เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
การท่องเที่ยวเชิงติ่งselynebb
วันหนึ่ง​ฉัน​เดิน​ตากแดด​ [1] #จันทบุรี​
  • เขียนไว้เป็นที่ระลึกสำหรับความประทับใจในการท่องเที่ยวครั้งนี้

     

    เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อเฟซบุ๊คแฟนเพจของพี่เอ๊ะ จิรากร แจ้งตารางงานของเดือนพฤษภาคม 2561 ในตอนแรกเราก็หงอยมากเพราะตอนต้นเดือนไม่มีงานที่เราจะไปได้เลย แม้กระทั่งไปรับ-ส่งที่สนามบินก็ไม่ได้เพราะเป็นวันธรรมดาและเราต้องทำงาน จนสายตาเลื่อนมาเห็นงานตอนปลายเดือนในที่สุดเราก็เจองานที่เราสามารถไปได้แล้ว

     

    20 พฤษภาคม ที่ อบจ.จันทบุรี เวลา 20.00 น.

     

    การตกลงกับเพื่อนร่วมทริปเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น ทั้งที่ยังไม่มีการวางแผนใดๆ ทั้งสิ้น เรียกได้ว่าใจถึงก็ไปถึง เมื่อตัดสินใจว่าจะไปแล้วการวางแผนเดินทางค่อยๆ เริ่มต้นขึ้น จริงๆ เราแทบไม่ได้มีส่วนช่วยในการวางแผน (รู้สึกเป็นคนร่วมทริปที่ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ แหะๆ) เพื่อนร่วมทางของเราจัดการวางแผนเสร็จสรรพ พร้อมส่งรีวิวมากมายมาให้ดู ซึ่งแต่ละอันก็น่าตื่นตาตื่นใจจนแทบอยากจะบินไปเดี๋ยวนั้นเลย จากตอนแรกเราจะไปกันแค่สองวันหนึ่งคืน แต่พอเห็นสถานที่เที่ยวต่างๆ แล้วก็ตกลงกันใหม่ว่าเอาเป็นสามวันสองคืนเลยก็แล้วกันจะเที่ยวให้คุ้ม



    การเดินทางแบบนี้เรากับเพื่อนแอบเรียกกันเล่นๆ ว่าการท่องเที่ยวเชิงติ่ง (ฮา..)

     

    ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง 19 พฤษภาคม 2561 เวลา 7.30 น. เราสองคนมาถึงสถานีขนส่งหมอชิตเพื่อขึ้นรถตู้ไปจันทบุรี คำนวณเวลาเดินทางคร่าวๆ คาดกันว่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง พวกเราแบกกระเป๋าเดินทางพร้อมแววตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นก้าวขึ้นรถไป ทันทีที่ล้อหมุนความตื่นเต้นที่ว่าก็เพิ่มมากขึ้น เราคุยกันสัพเพเหระไม่มีความง่วงใดๆ ทั้งสิ้นทั้งที่ตื่นเช้ากันมาก ซึ่งคนขับรถตู้ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังด้วยความเร็วระดับโดมินิก ทอเร็ตโต้ จาก Fast and Furious รถตู้ก็พาเราเดินทางมาถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารจันทบุรีในเวลา 11.30 น. เร็วกว่าที่คาดเอาไว้ตั้งครึ่งชั่วโมง


    สิ่งแรกที่จันทบุรีจัดไว้ต้อนรับเราก็คือท้องฟ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาและความร้อนระดับที่ต้มน้ำเดือด ขุ่นพระ เหมือนได้ยินเพลงพี่เบิร์ดดังแว่วมา

     

    แต่ถามว่าร้อนไหม ฉันตอบเลยว่า...

     

    ไหม้

     

    สาวน้อยบอบบางสองคนเดินตัวเกรียมไปตากแอร์ในร้านสะดวกซื้อระหว่างที่รอรถที่จะมารับเราไปที่พักที่หาดเจ้าหลาว ก่อนหน้านั้นเราก็แวะกินข้าวกลางวันกันที่ร้านข้าวแกงแถวนั้น รสชาติใช้ได้สำหรับมื้อแรกง่ายๆ อย่างไข่พะโล้พร้อมน้ำอัดลมที่เรียกความสดชื่นให้ร่างกายหลังจากการนั่งรถที่ยาวนาน

     

    อากาศในวันแรกที่จันทบุรีของเราสดใสมาก ท้องฟ้าใสแจ๋วมีก้อนเมฆสีขาวใหญ่น้อยประดับประดาเต็มไปหมด สวยจนต้องถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ก่อนจะไปถึงที่พักพี่ม่อน คนขับรถของเราก็พาไปเที่ยวในที่ต่างๆ ก่อน เราเริ่มต้นกันที่ค่ายเนินวง

     

    เราขึ้นไปดูป้อมปืนใหญ่ที่สูงเท่าตึกสองชั้น ปืนบันไดขึ้นไปถึงชั้นบนสุดเพื่อพบกับวิวต้นไม้และภูเขาที่สวยเอามากๆ ข้างๆ ป้อมก็มีต้นหางนกยูงต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่บริเวณนั้น ดอกหางนกยูงสีแดงตัดกับสีฟ้าจัดของท้องฟ้า และบางส่วนที่ร่วงลงมาบนกำแพงอิฐและพื้นหญ้าด้านล่างดูราวกับฉากหนึ่งในภาพยนต์สักเรื่อง เราถ่ายรูปแทบจะทุกมุม ก่อนจะลงมาแล้ววิ่งตื๋อไปเข้าพิพิธภัณฑ์พาณิชย์นาววีที่อยู่ใกล้ๆ กัน ก่อนจะจากที่นี่ไปเราแวะซื้อไอศกรีมจากรถเข็นที่จอดอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ อร่อยอย่างคาดไม่ถึง




    จากนั้นพี่ม่อนก็พาเราไปยังวัดพลับ ซึ่งเป็นวัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจันบุรี ที่นี่มีพระปรางโบราณที่สร้างด้วยศิลปกรรมสมัยอยุธยา ตัวพระปรางสีขาวสวยราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดของศิลปินเอก ภายในบริเวณวัดมีไก่แจ้เดินอวดขนสวยงามอยู่ทั่วไป (ที่วัดคงจะเลี้ยงเอาไว้เยอะเลย แต่ละตัวขนสวยๆ ทั้งนั้น) ภายในวัดยังมีตลาดทุบหม้อที่มีของกินของฝากขายมากมาย เราแวะดื่มน้ำสมุนไพรเย็นๆ กันที่นี่ นั่งพักถ่ายรูปเล่นบนแคร่ใต้ร่มไม้ใหญ่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าที่พักกัน



    ที่พักคืนแรกของเราคือปลายทะเลรีสอร์ทริมหาดเจ้าหลาว ถึงตัวที่พักจะไม่ได้ติดทะเลแต่ก็ยังอยู่ในระยะที่เดินไปดูทะเลได้ (ห่างไม่กี่ร้อยเมตร เดินกันประมาณสองนาทีก็ถึง) พวกเราเอาของมาเก็บในห้อง ล้างหน้าล้างตาพักให้หายเหนื่อยพร้อมคุยกันถึงแผนการช่วงบ่ายที่จะไปลานหินสีชมพูกัน ดูจากแผนที่แล้วก็คิดกันว่าระยะทางแค่ 3.6 กิโลเมตรจากที่พักคงเดินกันได้สบายๆ หึหึหึ

     

    แต่ความจริงมันโหดเหี้ยมกว่านั้น

     

    ลองคิดภาพนักท่องเที่ยวสองคนท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงตอนบ่ายสามโมง พวกเราแอบแวะเดินไปดูทะเลก่อนด้วย วิวทะเลที่หาดเจ้าหลาวสวยอย่างบอกใคร ทะเลกว้างๆ มองเห็นเส้นขอบฟ้า ทำเอาเรานี่แทบอยากจะสละสัมภาระและวิ่งโดดลงทะเล มันต้องรู้สึกดีมากแน่ๆ เราสองคนถ่ายรูปบนสะพานปลากันนิดหน่อย ดูพี่ๆ ชาวประมงจัดการกับเรือหาปลาก่อนออกเดินสู่จุดหมายสุดท้ายของวันนี้



    ลานหินสีชมพู

     

    จากรีวิวต่างๆ ที่เคยดูมาเราก็ตั้งใจจะไปที่นี่ให้ได้ แต่ไม่มีรีวิวไหนบอกเลยว่าเราจะต้องเจอกับอะไรก่อนหน้านั้น จากระยะทางแค่ 3.6 กิโลเมตรที่เราเคยคิดว่าจะเดินกันสบายๆ แต่ความจริงที่เราต้องเจอคือถนนบนภูเขา!!! ได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจเป็นหมื่นล้านคำ นี่เราต้องแบกน้ำหนักตัวกว่าหกสิบกิโลเดินขึ้นเขา!!!



    กว่าจะมาถึงจุดซื้อตั๋วเข้าชมลานหินสีชมพูเราก็ใช้เวลาไปกว่าห้าสิบนาที (ลานหินสีชมพูอยู่ในบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าคุ้งกระเบน เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 8.00 -16.30 น. มีค่าเข้าชม 20 บาท) สองสาวเดินตัวเปียกเหงื่อและพกพาความเหนื่อยหอบไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อซื้อบัตรเข้า พี่ๆ เจ้าหน้าที่ดูตกอกตกใจทันทีที่รู้ว่าเราเดินขึ้นเขากันมา (แอบเห็นว่าพี่ผู้ชายกลั้นขำอยู่ด้วย) พวกเรานั่งพักที่โต๊ะหินอ่อนใต้ร่มไม้ก่อนจะไปจ่ายค่าเข้า ตอนแรกพี่เจ้าหน้าที่จะไม่เก็บค่าเข้าจากพวกเราด้วยซ้ำเพราะเห็นใจในการเดินตากแดดมาไกล แต่พวกเราก็ดื้อจ่ายจนได้พร้อมขอบคุณพี่ๆ เขายกใหญ่ ก่อนเดินต่อไปเพื่อไปที่ลานหินสีชมพู เดินกันอีกเกือบหนึ่งกิโลบนทางหินริมหาด มีน้องหมาเจ้าถิ่นนำทางไปด้วย น้องน่ารักและเชื่องมาก



    ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายของเรา โขดหินน้อยใหญ่เป็นสีชมพูเต็มไปหมด น้ำทะเลก็ใส ลมทะเลพัดเอื่อยเฉื่อยพาความเหนื่อยอ่อนให้หายไปหมดเมื่อได้เห็นทิวทัศน์ตรงหน้าจนอดหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ สวยอย่างที่คิดไว้เลย เรานั่งรับลมเย็นๆ ผลัดกันถ่ายรูป เดินไปจนสุดทางเพื่อเก็บภาพความประทับใจ บันทึกความทรงจำว่าครั้งหนึ่งได้มาเยือนที่นี่ ทำทุกอย่างจนพอใจก่อนจะกลับที่พัก



    สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือความใจดีของพี่ๆ เจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าคุ้งกระเบน พี่ๆ สองคนที่เราพบตอนซื้อบัตรเข้าชมได้ฝากฝังพวกเราให้กับพี่เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งที่มารับเวรต่อ (อาจบอกกันว่ามีเด็กเด๋อสองคนเดินขึ้นเขามาและไม่มีรถกลับ) พี่คนที่เข้าเวรต่อก็แสนจะใจดีบอกว่าจะขับรถไปส่งเราที่ตีนเขา แต่ว่าโชคเราดีกว่านั้นเพราะในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นมีพี่สาวจากร้านค้าสหกรณ์ขับรถมอเตอร์ไซผ่านมาพอดี พี่เจ้าหน้าที่ก็เลยฝากพวกเรามากับพี่สาว ในตอนแรกคิดกันว่าแค่พี่เขาไปส่งที่ตีนเขาก็เป็นพระคุณแล้ว แต่พี่สาวก็ใจดีขับรถไปส่งเราถึงหน้าที่พักเลย พวกเราแทบจะกราบขอบคุณในความใจดีของคนจันทบุรี

     

    หลังจากจัดการอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อยก็ได้เวลาอาหารเย็น และใช่ มาทะเลทั้งทีเราต้องกินซีฟู้ดดดดดด

     

    เราปั่นจักรยานไปริมทะเลดูทะเลยามเย็นกันก่อนเล็กน้อย (และแน่นอนเราไม่ใช่คนปั่น ฮา..) เดินเล่นกันบนสะพานดูวิวพระอาทิตย์ตก ในทะเลมีเรือหาปลาลำเล็กๆ จอดเรียงกันดูสวยแปลกตา กลิ่นไอเค็มๆ ของทะเลช่างสดชื่น เรามั่นใจว่าเราคงไม่ลืมภาพที่เห็นวันนี้แน่นอน เพราะสิ่งที่เราบันทึกมันไว้ในใจจะไม่หายไปง่ายๆ แน่ๆ เราดื่มด่ำกับบรรยากาศจนพอใจก่อนจะไปจัดการเติมท้องว่างๆ ให้เต็มด้วยซีฟู้ด



    เรารักซีฟู้ด ปูนิ่มผัดมะนาว หอยเชลล์ทดกระเทียม และต้มยำโป๊ะแตก อิ่มจนตัวกลม

     

    และแล้ววันแรกของเราที่จันทบุรีก็จบลงด้วยความประทับใจและอิ่มหนำสำราญ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in