เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[นิยาย] ดุจเรือนใจMepMhee
ดุจเรือนใจ (บทที่ ๔)

  • “นังมูมินนนนนน*”

    เสียงดัดแหลมแหวกอากาศมาหาภามิน ก่อนเจ้าของร่างสูงโปร่งในเดรสกระโปรงแคบจะเดินซิกแซกผ่านบรรดาหญิงสาวที่ยืนคุยกันขวางทางได้อย่างคล่องแคล่ว ชวนให้หญิงสาวคิดว่าตอนที่เพื่อนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนยังประเทศญี่ปุ่น บ้านโฮสต์ของอีกฝ่ายคงอยู่ในหมู่บ้านนินจาแสนเร้นลับเป็นแน่ ผิดกับเธอที่รู้ดีว่าจะต้องอาศัยความคล่องแคล่วในวันนี้ เลยใส่เสื้อเชิ้ตแขนกุดกับกางเกงเอวสูง ที่ขากางเกงบานออกและยาวถึงข้อเท้า

    แต่แน่นอน...ทั้งสองคนใส่รองเท้าส้นสูงด้วยความเคยชิน

    “นังมูมิน ยู้ฮู” มีแต่อีกฝ่ายเท่านั้นละ ที่จะเรียกชื่อเธอแทนด้วยชื่อการ์ตูนในวัยเยาว์

    “บิ่มบิ๋ม” หญิงสาวโบกมือทักทายเพื่อนสนิทที่มีสีหน้าบูดเนื่องจากรอเธอมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว “บิ่มบิ๋ม ฉันขอโทษนะแก แกเลยต้องรอนาน”

    “โอ๊ย ไม่ได้หน้าบูดเพราะแก” ศศิอาภาเพื่อนผู้สนิทสนมกันมาสิบกว่าปีกระแทกลมหายใจ ก่อนสะบัดผมดัดสีน้ำตาลแดงให้พ้นบ่า “บูดเพราะคนเยอะมากกกก ไม่คิดว่าจะมาเยอะขนาดนี้นะเนี่ย ร้านจะแตกป๊ะ”

    “ก็งานมีตติ้งฉลองครบห้าปีเว็บนี่นา คนมาเยอะก็ไม่แปลก ของแจกเยอะด้วย”

    “เอ้อๆ พูดถึงของแจก แกไปลงทะเบียนกั๊นนน” คนที่มาถึงนาน ไม่พูดเปล่าแต่คว้าข้อมือเพื่อนและลากไปยังด้านหน้าร้าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางเดินเชื่อมลานจอดรถ ซึ่งสองข้างทางเดินกลายเป็นจุดจัดนิทรรศการเล็กๆ แสดงประวัติความเป็นมาของเว็บไซต์

    “เนี่ยนะแพร์ ลงทะเบียนเฉยๆ ได้ถุงนี้มาเว้ย ถ้าคนเป็นผู้ติดตามก็ได้อันนี้ด้วย” คนพูดอวดถุงกระดาษใบเล็กสีน้ำทะเล “แต่ถ้าแกจองและลงชื่อในเว็บไว้ก่อนแล้วไอเดนติฟายได้ว่าเป็นเจ้าของล็อกอินในเว็บจริงก็จะได้ถุงนี้ค่า” เธอเปิดถุงสีชมพูดอวดเครื่องสำอางขนาดเทสเตอร์ซึ่งนอนอยู่ในนั้น

    “อื้อหือ ให้เยอะขนาดนี้” ภามินรำพึง

    “ก็สปอนเซอร์เขาเยอะ” เพื่อนยักไหล่ “เวลาแบรนด์เครื่องสำอางมาลงโฆษณาทีก็มีคนแห่ไปซื้อตามเยอะมิใช่เล่น ไม่แปลกหรอกที่พอมีงานของตัวเองจะมีคนมาช่วย”

    ภามินพยักหน้ารับทราบ

    “เออ แพร์ เดี๋ยวฉันไปห้องน้ำก่อนนะแก”

    “ถือของให้ไหม?” 

    “ไม่ต้อง เดี๋ยวเขาหาว่าแกเวียนรับของ” พูดจบศศิอาภาก็เดินจากไป

    ภามินเข้าไปต่อแถวกับสาวๆ เพื่อลงทะเบียนเข้างาน เธอกวาดตามองไปยังบริเวณโดยรอบที่คลาคล่ำไปด้วยผู้หญิงต่างเพศและวัยเสียเป็นส่วนใหญ่ แทบทุกคนแต่งหน้าอย่างสวยสดพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ หลายคนสวยจนต้องเหลียวหลัง และมีบ้างที่ดูยังไม่เข้าทีเท่าไรนักแต่ก็มีเพื่อนให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง ถ้าเธอเป็นคนกำหนดกฎหมาย หญิงสาวจะไม่จัดเครื่องสำอางเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะสำหรับบางคนมันกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมั่นใจได้

    ทางเว็บไซต์เลือกร้านอาหารย่านสุขุมวิทเป็นที่จัดงาน เพราะว่าสามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟฟ้าแม้จะต้องเดินต่ออีกนิดหน่อย แต่ก็ดีกว่าเลือกสถานที่ซึ่งต้องต่อรถเมล์หลายต่อหรือใช้บริการแท็กซี่เพียงอย่างเดียว อีกทั้งร้านนี้ยังมีที่จอดรถที่ใช้ร่วมกับร้านอื่น ซึ่งกว้างขวางพอที่จะไม่ให้มันกีดขวางการจราจรภายในซอย 

    ภามินมองการตกแต่งภายในของร้านเป็นแนวอิงลิชคอตเทจ สีขาวสะอาดของผ้าและเครื่องใช้ดูนุ่มนวลและไม่คมกริบบาดตาเมื่อมีลายดอกกุหลาบประดับ เธอเห็นหลายร้านที่ตกแต่งแนวนี้ แต่ออกจะ ‘มากไป’ เช่นมีเฟอร์นิเจอร์สีขาวมากเกินไป มีดอกไม้ทั่วทุกหัวระแหงจนเกินไป แต่ร้านนี้ไม่ใช่ เขาเลือกให้ผนังเป็นสีสดที่สีแตกต่างกันไปในแต่ละมุม สร้างบรรยากาศสดใสให้กับร้านได้ นอกจากนั้นยังเปิดไฟส่องเฉพาะบางจุดเพื่อเน้นให้ของโชว์นั้นเด่นขึ้นมา หากเป็นร้านที่ทำกันเองจะไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องพวกนี้ เธอมั่นใจว่าเจ้าของร้านต้องจ้างมัณฑนากรเป็นแน่

    หญิงสาวแอบลูบๆ ม่านผ้าเนื้อหนาที่ถูกรวบเอาไว้ พลางนึกว่าจะถามใครได้บ้างว่าม่านนี้ซื้อมาจากร้านใด

    เธอถอนหายใจเพราะเผลอแสดงนิสัยตนเองออกมาอีกแล้ว

    อันที่จริงเธอเป็นสถาปนิก ไม่ใช่มัณฑนากร หรือถ้าจะให้ใกล้สายงานกว่านี้ เธอไม่ใช่สถาปนิกที่ทำออกแบบภายใน แต่เธอก็เรียนจบสถาปัตยกรรมมาด้วยใจที่นึกนิยมการงานสายอินทิเรียอยู่ไม่น้อย เพราะว่าเธอชอบที่จะถ่ายทอด ‘บรรยากาศ’ ของสถานที่ผ่านภาพสเก็ตช์และลงสีน้ำ แน่นอนว่าการตกแต่งภายในของทั้งสถาปนิกออกแบบภายในและมัณฑณากรหลายคนสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เธออยากวาดรูปได้ จนบางครั้งก็เผลอนึกว่าถ้าย้อนเวลาไปเลือกเรียนออกแบบภายในแต่แรกที่เข้ามหาวิทยาลัยจะเป็นอย่างไร แต่ก็เสียดายเวลาจากภาควิชาสถาปัตยกรรมที่สร้างองค์ความรู้หลายสิ่งให้กับเธอ เอาจริงๆ หญิงสาวอยากได้เครื่องย้อนเวลาอย่างเฮอร์ไมโอนี่ในแฮร์รี่ พอตเตอร์ จะได้ลงเรียนควบมันเสียเลย

    ดีแต่ปาก...ภามินด่าตัวเอง

    เพราะแค่จบให้ได้ในภาควิชาเดียวก็ยังเกือบตายมาแล้ว

    เรื่องแบบนี้ใครไม่รู้แต่เด็ก ‘ถาปัด’ รู้ เชื่อสิ

    “คุณแพร์” 

    ภามินเหลียวหาต้นเสียง แล้วก็ได้เจอคนที่ไม่คิดว่าจะได้พบที่นี่...แต่ก็ไม่ประหลาดใจนักหากเป็นเขา

    “คุณสี่ สวัสดีค่ะ”

    “สวัสดีฮะ” จตุรวัชรยิ้มกว้าง ขณะที่หญิงสาวแถวนั้นพากันมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งแต่งผมเรียบแปล้ ก่อนหลบหน้าหันเข้ากลุ่มเพื่อซุบซิบ 

    ภามินเข้าใจว่าทำไมคนแถวนี้ถึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น นั่นเพราะการแต่งตัวของอีกฝ่าย ที่ออกจะดีเกินมาตรฐานชายไทยไปอักโข 

    “เดี๋ยวสี่ขออนุญาตรับโทรศัพท์สักครู่นะครับ” เขากล่าวก่อนหันไปรับสาย 

    วันนี้จตุรวัชรไม่ได้ใส่เบลเซอร์หรือสูททับอย่างที่เห็นเป็นประจำ(ซึ่งภามินคิดว่าดี เพราะอาจจะร้อนจนเป็นลมได้) แต่เขาใส่เสื้อกั๊กสีน้ำตาลอมชมพูที่อาจเรียกได้ว่าสีกะปิ แถมยังเกือบจะแน่นเปรี๊ยะพอดีตัว ทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายไม่ได้ตัวเล็กๆ บางๆ อย่างที่คิด เสื้อนั้นเข้ากันดีกับเสื้อเชิ้ตสีครีม เนคไทสีน้ำตาลเข้มมีลวดลาย กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มไม่มีรอยด่างของการฟอก และแน่นอน รองเท้าหนังสีน้ำตาลทรงแหลมและหัวตัด ไม่นับการพับผ้าเช็ดหน้าสอดกระเป๋าตรงอกซึ่งเจ้าตัวจัดเสียดูราวผ้าไหมเงาสีขาวนั่นเป็นดอกไม้

    ช่างเป็นผู้ชายที่...สำรวย ไม่สิ ต้องบอกว่าสำอางและร่ำรวยจริงๆ เพราะทั้งตัวน่าจะของแบรนด์ดีไซเนอร์หมดเลย

    “ขอโทษที่ทำให้รอนะ” เขาหันกลับมาพร้อมรอยยิ้ม

    “คุณสี่มาธุระแถวนี้หรือคะ?”

    “อ๋อ เปล่าฮะ มางานนี้แหละ เพื่อนอยากมา เลยมาเป็นเพื่อนเขาน่ะ”

    “แปลก” เธอหลุดปาก ไมไ่ด้หมายถึงเรื่องที่อีกฝ่ายใช้คำลงท้ายว่า ฮะ เพราะเมื่อคุ้นเคยกันมาสักระยะเขาก็เริ่มพูดเช่นนี้แล้ว “คือ ไม่น่าจะมีผู้ชายอยากมาเดินงานแบบนี้หรอกค่ะ เหมือนที่ช็อปเครื่องสำอางต้องมีมุมไว้ให้สาวๆ หย่อนแฟนหรือสามีทิ้งไว้ คงน่าเบื่อ”

    “ก็คนพวกนั้นไม่ใช่สี่นี่ฮะ” รอยยิ้มกว้างขวางและมั่นใจของคนพูดทำให้คู่สนทนาหลุดหัวเราะ “เขาไม่ได้สนใจเครื่องสำอางเหมือนที่สี่สนใจ จะเบื่อก็ไม่แปลก ถ้าเอาสี่ไปดูแข่งรถก็คงหงอยเหมือนกันแหละ”

    “คนที่มีแอสตันมาร์ตินพูดอย่างนี้ได้หรือคะเนี่ย” ภามินสัพยอกถึงรถสปอร์ตสมรรถนะสูงของอีกฝ่าย

    “แอสตันมาร์ตินของสี่ไม่ได้มีไว้แข่งกับใครฮะ มีไว้เป็นความสุข” เขายิ้มอีกครั้ง “คุณแพร์ จะถึงคิวลงชื่อแล้วล่ะ”

    “อุ๊ย จริงด้วย” เธอก้าวขยับตามแถว “เมื่อกี้เราไม่ได้ยืนคุยกันจนทำแถวเขาเสียนะ”

    “ไม่ฮะ สี่ก้าวตามเขาไป คุณแพร์ก็เผลอเดินขยับตามสี่โดยไม่รู้ตัว แถวยังอยู่เป็นระเบียบดี”

    “ค่อยยังชั่ว”

    “งั้นเดี๋ยวสี่ไปหาเพื่อนก่อน ไว้ค่อยเจอกันในงานนะ”

    “เจอกันค่ะ”

    ภามินยืนคอยกระทั่งถึงคิวลงทะเบียนของตนเอง แต่จู่ๆ ปากกาของผู้ที่กำลังลงชื่อแถวข้างๆ ก็เขียนไม่ได้ ทำให้เธอต้องส่งปากกาจากฝั่งตนเองไปให้และจึงเรียกทีมงานให้หาปากกามาเปลี่ยน ระหว่างนั้นเธอก็หยิบปากกาจากในกระเป๋ามาเซ็นชื่อ โดยไม่ลืมเขียนนามแฝงในเว็บไซต์ อีเมลและบล็อกส่วนตัวของตนเองไว้ในช่องที่ผู้จัดงานเว้นไว้ให้ ส่วนชื่อนามสกุลจริงนั้นทางผู้จัดได้บอกไว้ว่าจะลงไว้หรือไม่ก็ได้

    “ขอโทษนะค้า เปลี่ยนปากกาแล้วค่ะ” หนึ่งในทีมผู้จัดงานส่งปากกาด้ามใหม่ให้ “อุ๊ย แต่อันนี้ไม่ใช่ของแถวนี้นี่นา สีตัวปากกามันไม่แมทช์”

    “พอดีเอาปากกาของแถวนี้ให้ทางนั้นไปก่อนน่ะค่ะ” ภามินตอบ

    “ขอบคุณมากนะค้า” หญิงสาวผู้ตัดผมสีทองซอยสั้นกุดแบบพิกซี่คัตยิ้มตอบ แล้วจึงหันไปกล่าวกับผู้ที่ลงทะเบียนแถวข้างๆ “ขอโทษค่า ขอเปลี่ยนปากกาหน่อยนะคะ”

    หญิงร่างผอมซึ่งลงชื่ออยู่ยื่นปากกาให้ และด้วยความลน มือเธอปัดเอาแฟ้มลงนามร่วงไปใส่เท้าของสตาฟฟ์จนต้องละล่ำละลักขอโทษ 

    “ไม่เป็นไรค่ะไม่เป็นไร เรื่องแค่นี่เอง” คนพูดยิ้มกว้างพลางก้มและเอื้อมมือไปหยิบแฟ้ม เธอพลิกหน้ากระดาษเพื่อให้ถึงแผ่นที่คนลงชื่อไว้ล่าสุด “เอ๊ะ เฮ้ยยยยยย เฮ้ยๆๆๆ”

    เสียงอุทานของเธอทำให้หลายคนประหลาดใจ แต่เจ้าของเสียงก็ยังร้อง ‘เฮ้ย’ ไม่หยุด โดยไม่เอ่ยข้อความใดที่จะเฉลยสาเหตุของการอุทานรัวเป็นชุด

    “เป็นไรวะฝ้าย เงียบๆ เดี๋ยวคนตกใจ” สตาฟฟ์อีกคนหนึ่งเดินเข้ามาหา เพราะเกรงว่าจะมีเหตุขัดข้องอะไร 

    “พี่อ้อมมม” ผู้ที่ถูกเรียกว่าฝ้ายร้องดัง “พี่ดูดิว่าใครมางานนนน”

    “ใคร”

    เธอพลิกแฟ้มให้อีกฝ่ายดู

    “เจ๊มางาน” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เจ๊สี่ในตำนาน”

    “เจ๊สี่เหรอคะ!” หญิงสาวที่ยืนอยู่ในคิวโพล่งออกมา “ตายแล้ว เจ๊สี่มาด้วย หนูอยากถ่ายรูปด้วยเลยค่ะพี่”

    “พี่ก็อยากถ่ายค่าาาา” สตาฟฟ์ลากเสียงยาว “เดี๋ยวไว้รองานเริ่มเนาะ เดี๋ยวจับเจ๊ขึ้นเวทีเลย ต๊าย เปรี้ยวแซบในเว็บมานาน ไม่คิดว่าจะมาเผยตัวงานนี้ ช่างเป็นสิริมงคลเสียเหลือเกิน”

    “แล้วเมื่อกี้ใครคุมตรงนี้อะ เห็นไหมว่าคนมาเซ็นเป็นไง สาว เพื่อนสาว หรือยังไง”

    “ไม่เห็นอ่า...”

    เสียงโอดครวญดังประสานเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่อยู่ใกล้ได้

    ภามินอมยิ้มขณะรับบัตรติดอกและถุงกระดาษของแจกคล้องมาแขนเอาไว้ ก่อนเดินออกจากแถวเพื่อมายืนรอศศิอาภาที่ไปเข้าห้องน้ำ เธอเปิดถุงสำรวจตามประสา แม้จะเห็นที่เพื่อนอวดแล้วแต่เธอก็ยังอยากหยิบเล่นเองอยู่ดี ระหว่างนั้นก็ยังได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดของสตาฟฟ์ดังเป็นระยะ

    ภามินขำ

    เพราะทันทีที่ได้ยินคำขาน ‘เจ๊สี่’ เธอก็นึกถึงจตุรวัชรขึ้นมาในทันที

    แต่จะมีผู้ชายปกติที่ไหนเอาคำว่า ‘เจ๊’ มานำหน้าชื่อแล้วใช้เป็นนามแฝงตัวเอง มันช่างพิลึกพิลั่น

    “เมื่อครู่มีใครพอสังเกตไหมคะ ว่าคนที่เซ็นชื่อคนแรกของแผ่นนี้ท่าทางเป็นยังไง” สตาฟฟ์เอ่ยด้วยเสียงดังพอที่ทุกคนจะหันมามอง “แหม อาจจะรบกวนนิดหน่อย แต่อยากรู้จริงๆ ค่ะ ใครรู้บอกหน่อยนะ”

    “เอ…คุ้นๆ นะคะ” หญิงสาวผมสั้นที่ยืนรอเพื่อนอยู่ด้านข้างมุ่นคิ้ว “เหมือนจะลักษณะแบบ...” เธอทำมือวาดเป็นรูปร่างบางสิ่งที่ใหญ่กว่าร่างเล็กของตนสองเท่า จนภามินที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เผลอสร้างจินตภาพจนเป็นสัตว์ประหลาดไปเสียได้

    “อ๊ะ” ผู้ที่ให้เบาะแสอุทาน ก่อนชี้ขวับไปยังทางเดินเข้ามายังร้าน “คนนั้นค่ะ” 

    ผู้ที่ถูกจับจ้องเป็นสาวประเภทสองร่างสูงใหญ่และติดอวบ ผมสั้นซอยของเธอถูกย้อมเป็นสีขาวโพลน และด้วยสีสันบนใบหน้าที่ออกโทนม่วงดำ ทำให้ภามินนึกถึงแม่มดเออร์ซูล่าในเรื่อง The Little Mermaid ของดิสนีย์ขึ้นมาจับใจ

    “เจ๊สี่ขาาาาาา” หนึ่งในสตาฟฟ์ร้องเสียงแหลม 

    แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัว จนกระทั่งสตาฟฟ์สาวผู้นั้นถลันเข้าไปกอดแขนขาวของอีกฝ่าย

    “เจ๊สี่มามีตติ้งด้วยเหรออออ ทำไมไม่ลงชื่อไว้ก่อน ของแจกเยอะแยะเล้ย”

    “ต๊าย  อะไร ใครเจ๊สี่” คนพูดทำหน้าเลิกลั่ก คนเข้ามาทักก็ทำหน้าตาตื่นไม่แพ้กัน “นี่ไม่ใช่เจ๊สี่ค่าคุณน้องงงง นี่คุณพี่เองย่ะยัยสวยสามโลก” เธอแจงหลังเหลือบมองป้ายชื่อของอีกฝ่าย “คุณพี่ ‘สวยสะพรึง’ จากแก๊ง ‘สวย’ ของเราไง พี่แหนมไงเธ้ออออ ยัยแก้มบุ๋มมมม”

    “เอ้า จริ๊งงง” เจ้าของนามแฝง ‘สวยสามโลก’ ร้องเสียงแหลม “เจ๊ก็สวยสมชื่อล็อกอินเนาะ”

    “แหม ตบให้ลงไปจูบซีเมนต์ดีปะ” คนพูดหงายมือตั้งท่าพร้อม

    “โอ๊ย เอาน่ะ มันเป็นความผิดเจ๊นะที่รีวิวให้เห็นแต่ปากกับลิปสีแซบๆ ไม่ให้เห็นหน้า เลยไม่รู้จักหน้า แต่ไงก็ดีใจที่ได้เจอ เห็นเขาว่าคนที่ลงชื่อด้วยล็อกอินเจย์โฟร์มาด้วย คือบับว่า ทั้งเจ๊สะพรึงทั้งเจ๊สี่นี่ไม่เคยได้เจอกันเลยยยย คนตื่นเต้นกันสุดอะ ขอบอก”

    “อ๋อ นังนั่นเขาไปเอาของที่รถอะ” 

    “เอ๊ะ จริงเหรอ ใช่ที่มานั่นปะ สวยเฟ่อออรร์” เสียงของผู้เป็นสตาฟฟ์ชี้ชวนให้คนหันไปมองทางเดิม ทว่าคราวนี้ผู้ที่เดินเข้ามากลับเป็นหญิงสาวร่างสูงผิวแทนไว้ผมแสกกลางดำขลับ ซึ่งก้าวด้วยท่วงท่าสง่างามจนน่าประทับใจ “เจ๊สี่ปะค้า”

    “อุ้ย ไม่ใช่ค่ะ” เมื่อพูดออกมา เสียงที่แหบห้าวก็ทำให้ทุกคนเข้าใจได้ในทันทีว่าเธอนั้นไม่ต่างกับผู้เดินมาก่อนหน้า “นี่ ‘สวยสยบโลก’ ค่ะ”

    “แก๊งสวยของหนูอีกแล้ว” คนพูดยิ้มกว้าง “พี่สวยจะตาย ทำไมไม่ทำฮาวทูแต่งหน้าคะ รีวิวแต่ครีมกับสมุนไพรขัดหน้าแบบพื้นบ้านอะ”

    “ก็ชอบนี่นา โตมากับบ้านมีท้องไร่ท้องนาก็งี้” คนที่สวยยิ่งกว่าผู้หญิงโดยกำเนิดหัวเราะ “สวยตามธรรมชาติ”

    “แหม นางคิตตี้นางจะบอกว่านางสวยเหมือนแมงกลิ้งขี้” ผู้ใช้นามแฝงว่าสวยสะพรึงสัพยอกเพื่อน

    “เหมือนที่เจ๊สวยประดุจชีปะขาวริมแม่น้ำโขงอะค่ะ” คนสวยที่ถูกพาดพิงตอบด้วยเสียงห้าวพลางยิ้มหวาน

    “คุณพี่สวยสยบโลกหมายถึงความสวยเจ๊แหนมปริมาณมหาศาล คือขึ้นมาทีเป็นล้านจนคนตื่นตะลึงหรือคะ” สตาฟฟ์ผู้ที่น่าจะเป็นน้องเล็กในสายรหัส ‘สวย’ สันนิษฐานอย่างคนมีความรู้รอบตัว

    “เปล่า” เจ้าของนางแฝงสวยสยบโลกสั่นศีรษะ “สวยได้แป๊บเดียว...” เธอทอดเสียง “เดี๋ยวก็ตาย!”

    “ต๊าย อีจักรกฤษ!” ผู้ที่ร่างใหญ่กว่าขึ้นเสียง เรียกเสียงหัวเราะให้คนรอบข้าง

    “ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกฤติกรแล้วค่ะคุณพี่ณัฐพงษ์”

    “โอ๊ย อีบ้า อย่าพูด ใจร้าย เอาชื่อจริงฉันมาพูด ฉันจะไปเปลี่ยนชื่อบ้างแล้ว”

    “ขออาม่าให้ได้ก่อนนะคะเจ๊” กฤติกรลอยหน้าลอยตา

    ภามินเกือบหลุดขำ เพราะหลังจากที่ยืนดูทั้งสามคุยกันก็พลันนึกถึงเพื่อนชายบางคนในคณะของตนเองที่ตอนนี้สวยเสียยิ่งกว่าเพื่อนผู้หญิง แต่อีกฝ่ายดันกลับไปทำงานที่จังหวัดบ้านเกิดเสียนี่ เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่

    “แต่พี่หน้าคุ้นอะ คิตตี้ คิตตี้...” สตาฟฟ์ผู้ห้อยชื่อนามแฝง ‘สวยสามโลก’ ทำหน้าครุ่นก่อน ก่อนเปลี่ยนสีหน้าคล้ายว่านึกออกแล้ว เลยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มตรงแก้มสมชื่อ “อ๊ะ คุณคิตตี้ที่ไปเป็นนางแบบสาวข้ามเพศอยู่นิวหยวกกก”

    “ค่ะ” กฤติกรตอบกลั้วหัวเราะ เมื่อได้ยินการออกเสียงเมืองนิวยอร์กเช่นในโฆษณาเครื่องสำอางทางโทรทัศน์

    “โอ๊ยยย น่ารัก ชอบที่ตอบคำถามในรายการคุณอรัญลักษณ์มากอ๊ะ ฉลาดกว่านางงามอีกพี่ เดี๋ยวหนูขอไปเมาท์มอยให้เพื่อนฟังก่อนนะฮะ แบบว่ามีคนดังมามีตติ้งด้วย”

    “ดังบ้าอะไรล่ะโธ่ นี่ก็ได้วิชาแต่งหน้ามาจากเพื่อนๆ ในเว็บนะ นี่ถือเป็นครู” 

    “ดีใจจริง” ผู้เป็นสตาฟฟ์ยิ้มกว้างกว่าเดิม

    “เอ๊ะ นั่นหน้าคุ้น” ณัฐพงษ์โพล่ง

    ภามินเลิกคิ้วเมื่อสมาชิกร่างใหญ่ขยับกระเป๋าสะพายเลื่อมสีเงินแล้วเดินมาจ้องหน้าตนเอง ก่อนก้มลงมองป้ายชื่อ

    “แพร์รี่ด็อก...ต๊ายยย นังแพรรรร์”

    “ต๊ายยย เจ๊แหนม” หญิงสาวแสร้งด้วยด้วยเสียงแหลมโทนเดียวกัน ทำให้ทั้งสองพากันหัวเราะก่อนผู้ที่ตัวอวบกว่าจะอ้าแขนรวบหญิงสาวเข้าไปกอด

    “นังแพร์ คุยกันมานานเพิ่งเคยได้เจอตัวเป็นๆ”

    “แพร์ก็อยากเจอเจ๊ค่ะ”

    “แหม ก็แกไม่เคยไปงานมีตติ้งไหนเลยนี่นา” คนพูดส่ายหัวพลางคลายอ้อมกอด “ฉันก็ด้วย”

    “ได้ข่าวว่าเจ๊สี่ก็มาด้วยเหรอ” ภามินถามหยั่งเชิง 

    “เออ มากับมันนี่แหละ ฉันอยากมา ฉันเลยบังคับให้มันมาเป็นเพื่อน อ๊ะ อีเจ้าของป้ายชื่อนี่มาแล้ว” เจ๊แหนมชูป้ายติดอก ทำให้ทุกคนพร้อมใจกันหันขวับไปยังทางเข้าร้าน

    แน่นอนว่าภามินก็หันมองเช่นกัน

    ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่เป็นหญิงสาวร่างสูงละม้ายกฤติกร เพียงแต่ดูขาวกว่าและคล้ายจะมีเชื้อจีน

    “เอ๊ะ เป็นเพื่อนสาวเหมือนกันเหรอคะ”​ สตาฟฟ์หนึ่งเดียวในวงเบิกตากว้าง 

    “ไม่ช้ายยย” ณัฐพงษ์ร้อง

    “อ้าว” ภามินอทุาน

    “นั่นไงเจ๊” กฤติกรชี้ “เมื่อกี้นางหายแวบไปอย่างกับนินจา”

    “เดี๋ยวผลุบประเดี๋ยวโผล่ เดี๋ยวก็ผลุบประเดี๋ยวโผล่” ณัฐพงษ์ไม่ร้องเพลงดังในอดีตเปล่าๆ หากยังทำท่าเต้นประกอบด้วย

    แต่ไม่มีใครสนใจการแสดงจินตลีลาสักเท่าไรนัก เมื่อผู้ที่เดินเข้ามาเป็นชายหนุ่มหน้าตี๋ร่างสูง แต่งตัวได้เนี้ยบกริบเสียจนสาวๆ มองคล้อยหลัง

    “อีสี่ อีนินจาาา เมื่อกี้เดินๆ อยู่หายไปไหนมา ใช้คาถาซ่อนตัวเหรอ” สาวประเภทสองร่างใหญ่ผู้น่าจะอาวุโสสุดของกลุ่มร้องทัก

    “สี่เห็นคนทิ้งแก้วน้ำไว้ตรงแนวต้นไม้ อุจาดตาพิกล เลยหยิบไปทิ้งถังขยะน่ะ” จตุรวัชรเดินตรงเข้ามาที่กลุ่ม ยิ้มทักทายเพื่อนที่มาด้วยกันเสียอีกรอบ “นี่คุณแพร์รู้จักกับเจ๊แล้วหรือครับ”

    “ค่ะ” ภามินตอบ

    “นังแพร์---“ ศศิอาภาที่ใช้เสียงพุ่งมาก่อนตัวเดินกระแทกส้นดังปั้กๆ เข้ามาสมทบ “ห้องน้ำคนเยอะมากกกก เหมือนเปิดใช้ฝั่งเดียวอะ”

    “อุ๊ย งั้นเดี๋ยวแก้มบุ๋มไปดูให้นะคะว่าเกิดอะไร” คนเป็นสตาฟฟ์ออกตัว “เดี๋ยวขอไปเม้าท์มอยกับเจ้ๆ ทางโน้นด้วย” พูดจบเธอก็วิ่งตื๋อเพื่อไปประสานงานให้ทุกอย่างเรียบร้อย

    ศศิอาภายืนมองอย่างงงๆ ว่าทำไมเพื่อนสนิทของตนถึงยืนอยู่กับชายหนุ่มที่แต่งตัวราวหลุดออกมาจากเว็บไซต์สตรีทแฟชั่นทางฝั่งยุโรป แถมยังมีสาวประเภทสองที่แต่งตัวเปรี้ยวจนเธอนับถือ และหญิงสาวร่างสูงที่หน้าตาสวยเก๋ดูเอ็กโซติกแบบเอเชียอย่างที่ต่างชาตินิยม

    “พี่แหนม คิตตี้ นี่บิ๋มค่ะ เพื่อนแพร์เอง ล็อกอินแอคชั่นบีม”

    “อ๋อ บิ่มบิ๋มผู้ตอบแต่ไม่เคยตั้งกระทู้” กฤติกรอุทานขณะที่อีกฝ่ายก้มศีรษะไหว้ณัฐพงษ์

    “สวัสดีค่ะ ก็บิ๋มไม่มีเวลาตั้งกระทู้...” คนพูดยิ้มเขิน “นอกจากทำงานก็ตามซื้อเครื่องสำอางนี่แหละค่า”

    “ย่ะ” ภามินหัวเราะ “บิ๋ม แล้วนี่คุณสี่ น้องชายของลูกค้าเราเอง”

    “สวัสดีครับ” จตุรวัชรไหว้ทักทายได้อย่างไม่ขัดเขิน 

    “อุ้ย” อีกฝ่ายเกือบส่งมือมารับไหว้เกือบไม่ทัน 

    “เห็นคุณบิ๋มบอกว่าอายุเท่าคุณแพร์ งั้นก็โตกว่าสี่แน่ๆ”

    “แหม นิดหน่อย ไม่ต้องไหว้แล้วนะคะทีหลัง” ศศิอาภาหัวเราะคิกคัก

    ภามินนึกชมคนพูดในใจ ที่เขาเลี่ยงคำว่า ‘แก่กว่า’ ได้แนบเนียนไม่ใช่น้อย

    “อ้าว งั้นก็เป็นพี่คิตด้วยสิคะ” กฤติกรไหว้อีกฝ่ายด้วยท่าทางเรียบร้อย

    “สวัสดีค่ะน้องคิตคนสวย” ศศิอาภายิ้มกว้าง ก่อนถามต่อ “คุณสี่เป็นลูกค้าแพร์ แล้วนี่มารอแฟนเหรอคะ” 

    “เปล่าครับ” เขาตอบ ด้วยคำลงท้ายที่ผิดแผกไปจากปกติที่ภามินคุ้นเคย ก่อนชายหนุ่มจะก้มหน้ามองท่อนแขนอวบแน่นซึ่งยื่นป้ายชื่อมาให้ จตุรวัชรหยิบมันมาติดขอบกระเป๋าเสื้อกั๊ก ศศิอาภาก็มุ่นคิ้วอ่านชื่อที่เขียนบนกระดาษขาวด้วยปากกาสีชมพูอย่างสนอกสนใจ

    “เจโฟร์…หา!” หญิงสาวตวัดหน้ามองผู้ที่ยืนยิ้มเขินๆ 

    “ครับ”

    “คุณสี่! เจ๊สี่! เจ๊สี่เป็นผู้ชายงั้นเหรอ!”

    เสียงที่ดังกว่าปกติของศศิอาภาทำให้หลายคนหันมามอง และแทนที่ณัฐพงษ์กับกฤติกรจะใช้ร่างซ่อนเร้นตัวชายหนุ่มเอาไว้ไม่ให้ใครมอง ทั้งสองกลับทำท่าแนะนำด้วยการสะบัดและผายมือที่เกินจริงเหมือนกำลังเล่นละครเวทีอยู่ 

    จตุรวัชรยิ้มทักทายผู้ที่จับจ้องด้วยความสนอกสนใจ ก่อนหันมาหาภามินที่ยืนเฉย ไม่ได้แสดงอารมณ์ชัดเจนอย่างคนอื่น

    “นี่แหละฮะที่สี่นึกไม่ออกว่าจะบอกคุณแพร์ยังไงดี”

    “ไม่เป็นไรหรอก แพร์ไม่ถือ” หญิงสาวยิ้มตอบ

    “ขอบคุณฮะ”

    หลังจากนั้นพาทั้งหมดก็แยกย้าย และเดินเข้างานเพื่อไปรับประทานอาหารว่างที่ทางผู้จัดงานเตรียมไว้อย่างพร้อมพรั่ง ทั้งส่วนที่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพและที่ทำลายสุขภาพด้วยไขมันและแคลอรี่จำนวนมหาศาล แต่ดูเหมือนผู้คนจะหลั่งไหลไปที่อาหารแบบหลังมากกว่า...ภามินก็ด้วย

    หญิงสาวครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ซึ่งเพิ่งเจอมาว่ามันช่างน่าสนใจ การที่จตุรวัชรคือ J4 หรือ เจ๊สี่ ไม่ใช่เรื่องผิดคาด ภามินพอจะเดาได้เลาๆ แล้วตั้งแต่เห็นเขาเดินเข้ามา กอปรกับชื่อเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่าย ก็ไม่น่าจะเป็นใดอื่นไปได้ เว้นแต่เขาจะใช้ชื่อนามแฝงประหลาดเกินคาดอย่าง ‘คิวตี้ บิวตี้ แซสซี่ สี่’ ….อะไรเทือกนี้

    ผู้ชายใช้ชื่อว่า ‘เจ๊’ นำหน้าชื่อตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ

    แต่จตุรวัชรไม่ใช่ผู้ชายที่ปกติ

    ฉะนั้นการกระทำนี้ถือว่าเป็นเหตุเป็นผล




    ภามินเดินตรงเข้าห้องอาหารญี่ปุ่นภายในโรงแรมหรูย่านรัชดา ช่วงหัวค่ำเป็นเวลาที่ผู้คนควรจะแน่นขนัดตามร้านอาหาร แต่เนื่องด้วยกติกาของร้านที่ต้องจองก่อนล่วงหน้า ทำให้ร้านนี้มิได้มีผู้คนมากมายยืนรอเรียกคิวอย่างร้านแบรนด์ดังที่เปิดสาขาในห้างสรรพสินค้า

    “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าลูกค้าจองไว้หรือเปล่าคะ” พนักงานในชุดกิโมโนสีฟ้าทักทาย

    “ค่ะ คุณภาคิน ที่จองไว้”

    “เชิญทางนี้เลยค่ะ” เธอผายมือก่อนเดินนำไปยังห้องส่วนตัวด้านในของร้าน พนักงานค้อมหลังด้วยท่าทางสุภาพ ก่อนถอดรองเท้าขึ้นไปนั่งคุกเข่าอยู่บนชานเตี้ยๆ “ขออนุญาตค่ะ” เธอเลื่อนบานประตูกระดาษแบบญี่ปุ่น เผยให้เห็นชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นั่งกดแทบเล็ตเล่นเกมอยู่ในห้อง

    “อ้าว แพร์ มานั่งมาสั่งอะไรก่อนมา สักพักพ่อถึงจะมา”

    “แพร์หิว” น้องสาวโอดครวญ แล้วจึงหันไปหาพนักงาน “ขอไก่คาราอาเกะ ซุปเต้าเจี้ยว ข้าวหน้าเนื้อ เท่านี้ก่อนค่ะ”

    “รอสักครู่นะคะ”

    หญิงสาวเข้าไปนั่งในห้องแล้วพนักงานสาวจึงเลื่อนประตูปิด ภามินโยนกระเป๋าไว้ตรงมุม ก่อนตวัดตัวนั่งห้อยขาถอดรองเท้าส้นสูงทิ้งเอาไว้ยังพื้นเบื้องล่าง

    “เมื่อยล่ะสิ”

    “ด้วย แต่หิวมากกว่า” เธอหักตะเกียบ แล้วจึงคีบยอดวาซาบิที่เหลืออยู่มาวางขอบถ้วย จากนั้นเทโชยุรด และจัดการขโมยปลาดิบเนื้อสีส้มริ้วขาวของพี่ชายมากินโดยไม่คิดจะขออนุญาตก่อน 

    “ไปมีตติ้งเป็นไงบ้าง”

    “สนุกดีพี่พลับ ของแจกฟรีเยอะ แต่ทิ้งเอาไว้ในรถ อยากได้ครีมอะไรไปใช้มั่งมะ เป็นตัวเทสเตอร์”

    “ไม่อะ ขี้เกียจจำว่าอะไรใช้ก่อนหลัง” พี่ชายยักไหล่ “เห็นของแพร์แล้วแม่งเยอะไปหมด อยากจะกวนรวมกันแล้วทาทั้งตัว”

    “ถ้าทำงั้นแพร์จะฆ่าพี่พลับทิ้ง” ภามินแยกเขี้ยว “ครีมราคาหลอดละเป็นพันๆ เอามากวนรวมกันยังกะครีมกิโลขายในอินสตาแกรม”

    ภาคินหัวเราะลั่น “กินไปเถอะ พักซะ เห็นหิวซ่กมาก็สงสาร”

    “กินสิกิน” น้องสาวไม่ขัดศรัทธา ด้วยการกวาดอาหารตรงหน้าพี่ชายมากินเกือบหมด เหลือเพียงไข่ตุ๋นที่อีกฝ่ายยื้อไว้ทันอย่างฉิวเฉียด



    “แล้วไปมีตติ้งกับเพื่อนมา ไหนเจอใครอะไรยังไงบ้าง งานเสร็จแล้วเหรอถึงไปน่ะ” 

    ภาคินเปิดฉากถามน้องเป็นชุด หลังจากอาหารของตนและรายการที่น้องสาวสั่งเอาไว้หมดลงในเวลาไม่นานนัก

    คนโดนซักถอนหายใจยาวก่อนตอบ “ถามอะไรแทงใจว่ะพี่พลับ อืม… ก็…ดีขึ้นหน่อยแล้ว ถึงอยากไปผ่อนคลาย เดี๋ยวกลับไปคืนนี้ก็ไปลุยต่อล่ะนะ ยังไม่ถึงเดดไลน์หรอก แต่ก็อยากทำให้เสร็จๆ ไป พรุ่งนี้ก็ไปบริษัทอีก”

    “แล้วไปกะใคร”

    “กะไอ้บิ๋มไง”

    “อ้อ” ภาคินรู้จักเพื่อนคนนี้ของน้องสาวเป็นอย่างดี เพราะพากันไปเที่ยวญี่ปุ่นตามลำพังสองสาวตั้งแต่ครั้งเพิ่งเรียนจบและทำงานได้ไม่กี่ปี “บิ๋มรวยยังล่ะ เป็นโบรคเกอร์นี่นา พี่ว่าถ้าจะเล่นหุ้นจะฝากมันดูเสียหน่อย”

    “จัดมาเลย นางดูให้ได้” น้องสาวยิ้ม “นี่เดือนก่อนบิ๋มเพิ่งเลิกกับแฟนไง แล้วก็เครียด เบื่อ อยากไปงานมีตติ้งดูสาวๆ แต่งสวยให้เป็นแรงบันดาลใจ จะได้ไม่ทำตัวโทรม แต่เอาจริงๆ นางเป็นโสดมากกว่ามีแฟนอีกนะ ถึงขนดาบอกว่าขี้เกียจคบหาใครละ หาเงินเลี้ยงพ่อแม่ ซื้อเครื่องสำอาง กับไปเที่ยวต่างประเทศก็พอ”

    “คิดได้แบบนี้ก็ดีแล้ว” ผู้เป็นพี่หันไปมองประตูบานเลื่อนที่เปิดออก เพราะหมายใจว่าพ่อของทั้งสองจะมาถึงแล้ว แต่กลับเป็นพนักงานที่เอาปลาดิบซึ่งวางเรียงในชามรูปเรือมาเสิร์ฟให้ ชายหนุ่มสั่งเนื้อเทปันยากิเพิ่ม รอจนพนักงานปิดประตูเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยต่อ “มีอะไรสนุกบ้างไหมล่ะ”

    “มีมี” ดวงตาภามินเป็นประกาย “แพร์เจอน้องชายของลูกค้าแพร์ล่ะ”

    “แล้วไง”

    “ไม่ได้ไปนั่งรอแฟนนะ”

    “ไปขายของหรือไง”

    “ม่ายช่าย”

    “โอ๊ย เฉลยเหอะ ขยักเป็นรายการดูดวงไปได้” พี่ชายมุ่นคิ้ว

    “เขาไปงานมีตติ้ง เขาเป็นสมาชิกเว็บ”

    “หือ ผู้ชายเนี่ยนะเป็นสมาชิกเว็บความสวยความงาม เพ้อเจ้อปะเรา” 

    “เรื่องจริ๊ง ไม่ได้เป็นสมาชิกเฉยๆ เป็นคนดังด้วย บอกเลย” น้องสาวยิ้มกริ่มเมื่อได้เล่าเรื่องที่ทำให้พี่ชายประหลาดใจ “คือล็อกอินนี้เป็นคนดังแหละพี่พลับ แบบว่ารีวิวครีมบ่อย ทั้งของถูกของแพง แจกสูตรขัดผิวขัดหน้าแบบพื้นบ้าน บอกว่าได้มาจากญาติๆ ทดลองกันมานาน แล้วไม่ถ่ายหน้ามาไง ถ่ายแต่มือ มือซ้วยสวย ขาว บางทีก็ถ่ายหน้าญาติมา เวลาที่เว็บมีงานการกุศลก็ส่งเซ็ตเครื่องสำอางหรือของโคตรของโคตรพรีเมี่ยมมาให้เปล่าๆ ให้ประมูลเอารายได้ไปบริจาค”

    “หือ รวยขนาดนั้น” ภาคินเลิกคิ้ว

    “แอสตัน มาร์ตินคันนั้น...” ภามินยกสองมือชี้นิ้วไปยังพี่ชายคล้ายท่าเต้นฮิตของวงเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี จะขาดก็แค่ยกขาขึ้นมาข้างหนึ่งเท่านั้น

    “อ๋อ แอสตัน มาร์ตินคันนั้น” พี่ชายทำท่าเดียวกันตอบกลับเมื่อนึกขึ้นได้ 

    “รวย บ้านเป็นกลุ่มบริษัท ขายสากกะเบือยันเรือรบ”

    “ขอสั่งยานยูเอสเอสเอนเตอร์ไพร้ซ์*ลำนึงดิ๊”

    “หาโมเดลในอีเบย์ไป๊” น้องสาวมองตาขวางเมื่อโดนพี่ชายแหย่ก่อนเล่าต่อ “คุณตรัยพี่ชายของคุณสี่เป็นซีอีโอ ตัวคุณสี่เองเป็นดีไซเนอร์แบรนด์ร้านเพชรของที่บ้าน”

    “เกิดมารวยนี่มันแจ่มแมวจริงๆ มีงานอดิเรกพิลึกอย่างเรื่องความสวยความงามครอบครัวก็ไม่ว่า” ภาคินกอดอก “ดีนะที่ไม่ถึงขนาดแต่งหน้าแต่งตา”

    “ใครว่า” ภามินท้วง “ทำฮาวทูแต่ละทีสวยเจิดจรัสชนิดแพร์เทียบไม่ติดเลย ไม่ได้แต่งหน้าตัวเองนะ แต่งคนอื่น” หญิงสาวรีบอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นพี่ชายเบิกตากว้างกว่าเดิม “เขาดูโปรมาก พี่พลับดูดิ ผู้ชายแบบนี้ปกติหรือไงกัน”

    “ไม่รู้ว่ะ ไม่ใช่สายบิวตี้” เขายักไหล่

    “รู้แล้วว่าพี่พลับสายบีสต์ เป็นสัตว์ป่าร้องโฮ่งๆ”

    “โฮกสิ!” คนโดนทำร้ายด้วยวาจาแยกเขี้ยว “แล้วทำไมเขาแต่งหน้าเป็นอะ...”

    ยังไม่ทันที่ภาคินจะได้คำตอบจากน้องสาว โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ชายหนุ่มก้มลงมองหน้าจอแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา “งานว่ะ เดี๋ยวออกไปรับข้างนอกแป๊บ ถ้าเทปันเนื้อพี่มา อย่า-กิน-จน-หมด” เขาสั่งเสียงเข้มอย่างรู้จักน้องสาวดี

    “เดี๋ยวเหลือให้ชิ้นนึง” หญิงสาวยิ้มยิงฟัน

    ภามินนั่งกินอาหารไปเรื่อยเปื่อย แม้ว่าเธอจะกินไปเยอะแล้วแต่ก็ยังไม่อิ่ม เนื่องมาจากก่อนหน้าไปงานมีตติ้งนั้นเธอลืมกินข้าวกลางวัน และเมื่อไปถึงงานก็ได้กินรองท้องเพียงนิดหน่อย ด้วยของส่วนใหญ่เป็นขนมที่กินได้ในปริมาณหนึ่งก็จะเริ่มรู้สึกเลี่ยน เธอจึงหิ้วท้องหิวซ่กมานี่ ผิดกับใครอีกคนในงาน ที่กินของหวานเหล่านั้นด้วยสีหน้ามีความสุขอย่างยิ่ง

    ตอนนี้จตุรวัชรกับเธอกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว

    หลังจาก PEARIE dog และ J4 สนิทสนมกันมานาน ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้า



    ก่อนงานจะเริ่ม ศศิอาภาได้ชวนให้ณัฐพงษ์ กฤติกร รวมถึงจตุรวัชรมานั่งด้วยกัน ทั้งหมดเริ่มสนทนากันอย่างออกรส โดยเฉพาะเพื่อนของเธอซึ่งสนิทสนมกับเจ้าของล็อกอิน ‘สวย…’ ทั้งสองตั้งแต่ในเว็บไซต์ ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะเป็นไปอย่างราบรื่น เว้นแต่มุมที่เธอและชายหนุ่มเพียงคนเดียวนั่งอยู่ด้วยกัน ที่ออกจะเงียบงันจนน่าอึดอัด ทีแรกภามินคิดว่าตนเองจัดการเรื่องนี้ได้...เธอหมายถึงปรับทัศนคติต่ออีกฝ่ายจนสามารถคุยกันได้อย่างปกติ

    แต่ว่าปกติคือแบบไหนเล่า?

    แบบที่เธอคุยกับคุณสี่ น้องชายลูกค้าที่เป็นเพื่อนใหม่

    หรือว่าเป็นเจ๊สี่ที่กรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายจิกกัดกันมาตลอดเวลา

    หากเป็นภาพประกอบในอินเทอร์เน็ตที่คนมักจะแชร์กันไปมา คาดว่าภาพของเธอกับจตุรวัชรคงมีคำว่า ‘awkward’ เขียนแปะอยู่ชัดเจน เหมาะกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง หญิงสาวมองไปยังเวทีที่มีการจัดเวิร์คช็อปเทรนด์การแต่งหน้าล่าสุดโดยวิทยากรจากแบรนด์ดัง สลับกับมองมือตัวเอง

    มันยากนะ!...ภามินกรีดร้องในใจ

    เธอไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นบทสนทนากับชายหนุ่มรุ่นน้องที่ตลอดมาเธอเรียกเขาว่า ‘เจ๊’ อย่างไรดี จะภาพยนตร์หรือหนังสือเล่มไหนก็ไม่เคยเขียนวิธีรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้ 

    โธ่ ผู้ชายปลอมเป็นผู้หญิงมาเล่นเกมเธอก็เคยเจอ แถมตอนนี้ยังเป็นเพื่อนกันไปแล้วด้วย... แต่กับผู้ชายที่แฝงกายเป็น ‘เจ๊’ ที่ระบุเพศไม่ได้ในเว็บบอร์ดนี่ควรจะเริ่มบทสนทนาอย่างไรดี

    ต้องเริ่มอย่างตรงไปตรงมา

    นั่นแหละ ดีที่สุด

    ‘ขอโทษนะคะที่พอมานั่งใกล้กันแล้วทำให้บรรยากาศมันอึดอัด’

    ภามินคิดว่าตัวเองพูดตรงไป

    จตุรวัชรหันมายิ้มให้ ก่อนเอ่ยในทันที ‘อ๋อ ไม่เป็นไรฮะ สี่เข้าใจ ที่มันอิหลักอิเหลื่อเพราะสี่เองแหละ ที่ไปคุยแบบนั้นในเว็บ จนคนเขาเข้าใจว่าสี่เป็นอย่างเจ๊แหนม’

    คนฟังพยักหน้ายอมรับและเข้าใจ ทั้งยังจับสังเกตการใช้คำที่ติด ‘แก่’ ของอีกฝ่าย ซึ่งถ้าเอาไปพูดกับเด็กอายุเลข ๑ นำหน้า คงงงกันจนต้องวิ่งกลับไปถามครูติวเตอร์วิชาภาษาไทยเลยทีเดียว

    ‘คือ พอสี่ได้มารู้จักคุณแพร์เพราะทำบ้านให้เฮีย สี่ก็รู้สึกผิดนะฮะ ว่าทำไมไม่บอกความจริงไป แต่ก็จะให้พูดยังไงล่ะ’ เขามีสีหน้ายุ่งยากใจ ‘จะให้สี่ทักแบบ ‘สวัสดีครับ ผมจตุรวัชร สี่ น้องเฮียตรัย ในบอร์ดคือเจ๊สี่’ มันก็ไม่ใช่นะ’ 

    ภามินนิ่งฟังเขาเล่าต่อ หลังพยายามกลั้นหัวเราะหลังฟังอีกฝ่ายแสร้งทำเสียงขรึม

    ‘หรือว่าจะให้สี่ทัก ‘ฮ้ายยย ยัยแพร์---นี่เจ๊เอง เจ๊สี่ ที่เราตบตีด้วยความรักใคร่เหมือนนายหัวเคราเฟิ้มและนางเอกขนตาเด้งแม้ติดเกาะไงยะ บับว่าดีใจม่อก ได้มาเจอกันตัวเป็นๆ’ แบบนี้เหรอ... ไม่นะ’ คนพูดยกมือโบกพลางดัดเสียงได้...น่าตบอย่างยิ่ง ส่งผลให้หญิงสาวที่ตั้งใจฟังอยู่หลุดหัวเราะทรุดลงไปซบหน้ากับโต๊ะ...โดยไม่ลืมเอาหน้าผากวางบนหลังมือกันผ้าปูโต๊ะก่อรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า

    หญิงสาวตั้งคางไว้บนหลังมือ มองหน้าชายหนุ่มซึ่งกำลังยิ้มแป้นก่อนให้คำตอบเขา ‘แบบหลังดีกว่านะ’

    ‘จะดีหรือฮะ’ คนพูดมีสีหน้าลังเล

    ‘ดี’

    ‘ก็ได้ย่ะนังแพร์’ 

    ภามินหัวเราะก๊าก พลันเอามือปิดปากตัวเองเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนการเวิร์คช็อป ‘คุณสี่ นี่มันมากไป!’

    ‘เอ้า แล้วจะเอายังไงดีฮะ เริ่มจากเลิกเรียกคุณก่อนไหม เรียกสี่เฉยๆ ก็ได้ งั้นก็ต้องเรียกคุณแพร์ว่าพี่แพร์’

    ‘บ๊าย’ เธอโบกมือ ‘ลาเลย เรียกพี่ ไม่โอเค เขารู้กันหมดว่าแก่แล้ว’

    สามสิบยังโสดน่า’

    ‘สามสิบยังสวยสิ เอ๊ะ ตอกย้ำทำไม’ ภามินหัวเราะ

    ‘งั้นเรียกสี่ว่าสี่นะ สี่จะเรียกว่าคุณแพร์เหมือนเดิม แต่ไม่ต้องวางมาดอะไรกันเหมือนเพิ่งรู้จักกันมาสองสามเดือน เรารู้จักกันมานานแล้ว เป็นเพื่อนกันเหมือนในเว็บเนาะ’ จตุรวัชรยื่นข้อเสนอ ซึ่งภามินก็เห็นสมควร 

    หลังจากนั้นทั้งสองจึงได้คุยกันยืดยาว ถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นครั้งยังรู้จักกันแค่ในเว็บบอร์ด ทั้งเรื่องที่เคยโต้ตอบข้อความกันยาวลากไปยี่สิบความเห็นโดยมีเพื่อนเชียร์อยู่ไม่ห่าง อันที่จริงเรียกว่าต่อมุขกันน่าจะถูกต้องมากกว่า ซึ่งจากเหตุการณ์นั้น ทำให้ทั้งเธอและ ‘เจ๊’ คุยกระเซ้าเย้าแหย่เมื่ออีกฝ่ายตั้งกระทู้ใหม่กันเป็นนิตย์

    ‘มือสี่สวยมากนะ เห็นแล้วไม่คิดเลยว่าเป็นมือผู้ชาย’ ภามินชมอย่างจริงใจ ‘มือขาว เรียว เนียนเชียว นิ้วก็สวย เวลารีวิวครีมนี่คนชมมือชมเล็บกันบ่อย’

    ‘ไม่จริงอะ” เขาค้าน “นิ้วสี่ด้านนะ’

    ‘หน้าล่ะ’

    ‘ฮู้ยยย ด้านขนาดฝังกากกัมมันตรังรังสี*ไว้ในหัวแล้วไม่สามารถแผ่อานุภาพออกมาได้น่ะ’ จตุรวัชรยิ้มกว้างเมื่อเห็นคู่สนทนาหัวเราะ ‘นิ้วสี่ด้านตรงปลายๆ นิ้ว’ 

    ‘ข้างซ้ายสิ’

    ‘หือ’ ชายหนุ่มอุทานด้วยความประหลาดใจ

    ‘ก็สี่เล่นซอนี่นา’

    ‘รู้ได้ยังไง’ เขาเบิกตากว้าง

    ‘ก็เห็นในงานแต่งคุณตรัยกับคุณแพนไง ใส่เสื้อราชปะแตนนุ่งผ้าสีกลีบบัวด้วย’ ภามินตอบกลั้วหัวเราะ ‘ถ้าไม่เห็นว่าสีซอสามสาย แพร์จะคิดว่าคุณตรัยมีน้องชายเป็นบ้า ไม่ก็เปิดร้านเช่าชุดไทยเลยใส่มาโฆษณา’

    ‘จริงๆ เปิดสตูดิโอถ่ายภาพชุดไทยที่ตลาดน้ำต่างหาก รายได้ดีกว่านะ’ จตุรวัชรลอยหน้าลอยตาตอบ

    ‘แหม จ้ะ” ภามินตัดบท “ทำไมสี่ถึงแต่งหน้าล่ะ’

    ‘วันนี้สี่ไม่ได้ลงรองพื้นหรือแต่งหน้านะ!’ เขาร้องพลางทำท่าตระหนก ‘วันนี้สี่หน้าดีมาก บอกเลย ไม่มีสิวไม่มีอะไร ฉีดน้ำแร่ ลงครีมกันแดด ทาแป้งเด็กแล้วออกมาเลย’

    ‘นี่ก็บอกซะละเอียด” หญิงสาวเม้มปากกลั้นขำ “หมายถึงทำไมถึงชอบแต่งหน้า ไม่สิ ชอบการแต่งหน้า’

    ‘อ๋อ เพราะอยู่กับแม่ เห็นแม่แต่งหน้า แล้วก็เพราะอยู่กับน้องสาว เห็นนางวิ่งเล่นบาสในสนามจนหน้ามันไม่ยอมแต่งหน้าแล้วหงุดหงิด ทั้งที่หน้าเหมือนสี่ แปลว่าต้องดูดี แต่ก็ไม่ยอมดูแลตัวเอง บ้าชะมัดเลย’ ชายหนุ่มบ่น ‘แต่นังเอรี่เพื่อนสนิทของสี่กับเบญจ์นี่ชอบมาก ชอบแต่งหน้า บ้าเครื่องสำอาง ม.ต้นก็แต่งหน้าเป็นแล้ว พอม.ปลายนี่นางแอบแต่งหน้าอ่อนๆ มาเรียนตลอด เรื่องแต่งหน้าพอรู้อะไรมาก็มาพ่นใส่เรา จนพานสนใจไปด้วย พอไปสี่ไปเรียนต่อต่างประเทศดันเจอเพื่อนที่เป็นพวกโชว์เกิร์ลกับช่างแต่งหน้าของเวสต์เอนด์* ที่นี้เลยเตลิดไปไกลเลย ชอบ มันคืองานศิลปะ’

    ‘บางทีความชอบก็พาเรามาไกลนะคะ’

    ‘สำหรับสี่น่าจะเรียกว่าทุกครั้งมากกว่าแค่บางทีฮะ’ 

    ภามินคิดว่าตนเองได้เห็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดของจตุรวัชรก็ตอนนั้นเอง...




    หญิงสาวสรุปว่าจตุรวัชรเป็นผู้ชายแปลก จะบอกว่าพิลึกสุดเท่าที่เคยเจอมาก็ไม่ผิดนัก

    เขาเป็นคนมีความขัดแย้งในตัวเองสูง ตั้งแต่สไตล์การแต่งตัว งานประจำ งานอดิเรก สิ่งเหล่านี้ดูเป็นอะไรที่เข้าสมัยนิยม จัดว่ามี ‘สไตล์’ ไม่แพ้บล็อกเกอร์สายแฟชั่นในต่างประเทศ แต่ก็เป็นชายหนุ่มคนเดียวกันนี้ ที่นั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมสีซอสามสายกล่อมหอได้อย่างนุ่มนวลจนสร้างบรรยากาศละมุนรอบกายได้ คล้ายเขาใช้ดนตรีพาทุกคนย้อนเวลากลับไปในช่วงที่ดนตรีไทยรุ่งเรือง

    แต่ดนตรียุคนั้นคงไม่ย้อมผมสีน้ำตาลอ่อนและเจาะหูซ้ายใส่ต่างหูเพชรวิบวับเป็นแน่

    ภามินดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับอีกฝ่าย เพราะเขาเป็นคนสนุกสนาน คบหาเป็นเพื่อนกันไปชีวิตคงจะมีสีสันนอกเหนือไปจากที่ต้องทำงานออฟฟิศ ตื่นเช้า กลับดึก นอนเกือบสว่าง

    แค่นึกว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์...ชีวิตก็รันทดขึ้นมาทันที

    “ของหมดยัง” ภาคินเปิดประตูและไถลตัวเข้าไปนั่งประจำตำแหน่ง ก่อนใช้ตะเกียบคีบอาหารที่ยังมีควันกรุ่นใส่ปากเคี้ยว “พ่อกำลังจอดรถอยู่ เดี๋ยวก็ขึ้นมาแล้ว”

    “แหม กำลังห่วงพอดีว่ารถติดอยู่ที่ไหนรึเปล่า” น้องสาวกล่าวพลางรินน้ำชาใส่แก้วให้พี่ชาย

    “ขอบใจ” ชายหนุ่มจิบชาเขียวเย็น เขาวางแก้วลงบนถาดรองอย่างเบามือ ทว่าในห้องเงียบเสียงมันกลับดังชัด “แพร์ พ่อไม่ได้มาคนเดียวนะ เดี๋ยวจะมีแขกด้วย”

    “คนใหม่เหรอ” ภามินคาดเดาอย่างไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ

    “อื้อ”

    “พี่พลับ”

    “หือ”

    “แล้วทำไมต้องแนะนำอะ ปกติไม่เห็นทำอะไรจริงจังขนาดนี้” 

    ภาคินส่งเนื้อชิ้นใหญ่เข้าปากจังหวะเดียวกับที่น้องสาวถาม ภามินจึงได้แต่นิ่งรอให้พี่ชายเคี้ยวเสร็จแล้วค่อยตอบตนเอง

    ว่ากันตามตรงเธอคุ้นชินเสียแล้วที่พ่อมีคู่ควงตามประสาพ่อม่ายเนื้อหอม ก็พ่อของเธอหล่อคมเข้ม ดูเด็กกว่าวัยเล็กน้อย และยังแต่งตัวมีมาดไม่ปล่อยให้ตนเองอ้วนลงพุง แถมยังเป็นเจ้าของสตูดิโอสถาปนิกมีชื่อ ไม่แปลกที่จะมีสาวๆ เทียวไปเทียวมา แต่ไม่มีครั้งไหนที่พ่อจะพามาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ แค่พามากินข้าวด้วยให้ทักทายทำความรู้จักกันเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน หรือไม่ก็อ่อนกว่าเล็กน้อย

    นั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ 

    อะไรที่เป็นความสุขของพ่อภามินไม่ได้คิดถือสา เธอไม่ได้ติดในอุดมคติขนาดหวังให้พ่อรักมั่นกับแม่ที่เสียไปแล้วตลอดกาล พ่อเป็นพ่อ ทว่าพ่อก็เป็นคน และเป็นผู้ชาย ย่อมมีความต้องการและความปรารถนาจะมีใครสักคนอยู่ข้างๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากที่ผ่านมาพ่อต้องทนฟังคำปรามาสของญาติฝ่ายแม่ที่บอกว่า ‘ผู้ชายตัวคนเดียวเลี้ยงลูกให้ดีไม่ได้’ แม้จะโดนเสียงคนพวกนั้นกดดัน ทว่าพ่อยังคงทำหน้าที่ของตนเองที่มีต่อเธอและพี่ชายได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แค่นี้เธอก็คิดว่าตนเองโชคดีมากแล้ว

    “พ่อจริงจัง” ภาคินเอ่ย

    “คะ?”

    พี่ชายจิบน้ำก่อนพูดต่อ “พ่อจริงจังกับคนนี้ จะพามาแนะนำ ขอให้ทำความรู้จักกับเขาด้วย อย่าเพิ่งเม้งแตกหรือว่าอะไรไป”

    “โฮ้ย จะเม้งทำไม พ่อเจอคนที่ชอบจริงๆ แพร์ก็ดีใจ พ่อจะได้มีความสุข พี่พลับเห็นแพร์เป็นคนยังไงเนี่ย คิดเหรอว่าแพร์จะวีน บ้าแล้ว”

    “เป็นงั้นก็ดี”

    เสียงเคาะประตูทำให้บทสนทนาสะดุด 

    ผู้ที่เลื่อนประตูเปิดคือพนักงานสาวที่ผายมือให้ภากรเดินเข้าไปก่อน ทว่าเขากลับชะงัก และก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนวาดแขนอ้อมร่างบางของหญิงสาวผมยาว เป็นนัยให้เธอก้าวเข้าไปก่อน ภาคินเขยิบไปนั่งข้างน้องสาว ทิ้งอีกฝั่งห้องให้เป็นที่ว่างพอให้พ่อและสตรีใบหน้าสวยคมผู้นั้นนั่งด้วยกันสบายๆ 

    ภามินมองหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามตนเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย อีกฝ่ายยิ้มทักทายอย่างกล้าๆ กลัวๆ ระหว่างที่พ่อของเธอเปิดเล่มรายการอาหารเพื่อสั่ง เขาส่งมันต่อให้ผู้หญิงที่นั่งใกล้ได้เลือกบ้าง ก่อนกล่าวสำทับไปว่าได้สั่งชาร้อนให้แล้ว เพราะรู้ว่าไม่ค่อยชอบเครื่องดื่มเย็น

    “ตุ๊กตา นี่ลูกชายลูกสาวผม พลับ แล้วก็แพร์ ตุ๊กตาเคยเจอพลับแล้ว ส่วนแพร์นี่คงครั้งแรก”

    ผู้เป็นน้องหันขวับไปมองพี่ชายที่ทราบเรื่องนี้ก่อนตนทว่าไม่เคยปริปากเกริ่นให้ตั้งตัวก่อน

    “พลับ แพร์” พ่อย้ำอีกครั้ง ก่อนที่ลูกทั้งสองจะก้มศีรษะไหว้ “ตุ๊กตาเป็นคนที่พ่อคบหาด้วยมาระยะหนึ่งแล้ว พ่อเพิ่งขอเธอแต่งงานเมื่ออาทิตย์ก่อน เลยนัดกินข้าว จะได้แจ้งข่าวให้ทราบ”

    “ยินดีด้วยนะครับพ่อ”

    “ยินดีด้วยค่ะ” 

    ภามินยิ้มหน้าชื่นให้พ่อเบาใจ ทั้งที่กรีดร้องอยู่ข้างในด้วยความตระหนกอย่างสุดแสน

    นี่พ่อจะแต่งงานกับผู้หญิงที่แก่กว่าเธอและพี่ชายไม่กี่ปีอย่างนั้นหรือ!



    (จบบทที่ ๔)


    Mumintroll ตัวละครในหนังสือการ์ตูนเด็ก โดย Tove Jansson มีตัวสีขาว มีจมูกยื่นคล้ายฮิปโปโปเตมัส

    Radioactive Waste - ของเสียที่ประกอบด้วยสารกัมมันตรังสีจากการใช้งานของปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชั่นหรือเทคโนโลยีนิวเคลียร์ กากกัมมันตรังสีเป็นอันตรายต่อสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

    USS Enterprise

    West End ย่านหนึ่งในใจกลาง London ซึ่งมีโรงละครมากมาย ในที่นี้หมายถึงละครเวทีของทางฝั่งอังกฤษ



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in