เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[นิยาย] ดุจเรือนใจMepMhee
ดุจเรือนใจ (บทที่ ๕)
  • การจราจรของวันจันทร์ซึ่งเมื่อคืนมีพายุฤดูร้อนกระหน่ำทั่ว เช้ามาฝนยังไม่ขาดเม็ด หลายจุดน้ำท่วมขังยังไม่ลด ทั้งหมดเป็นหายนะของคนเมืองกรุงโดยแท้ ภามินก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่หลังพวงมาลัย มองไฟท้ายสีแดงต่อเป็นแนวอย่างสิ้นหวังเช่นเดียวกับคนอื่น ทุกคนล้วนคิดว่าการขึ้นทางด่วนจะเป็นการปลดทุกข์รถติดได้ แต่เมื่อหลายคนคิดเหมือนกัน ท้ายสุดก็เลยมากองกันอยู่ตรงนี้ 

    หญิงสาวใช้บริการทางด่วนทุกวันเนื่องจากบ้านอยู่แถวซอยสุขุมวิทหลักร้อย ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงที่ทำงานย่านพระรามเก้าได้หากรถไม่ติด หลายคนบอกให้เธอขึ้นรถไฟฟ้ามาทำงาน ภามินก็เคยคิด แต่เมื่อเป็นเจ้าของออฟฟิศเองแล้ว การมีรถก็ทำให้การออกไปพบปะลูกค้าราบรื่น เนื่องจากสามารถให้ลูกน้องโดยสารไปด้วยได้ เช่นนั้นแล้วการใช้รถเป็นประจำก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก

    ภามินเคาะพวงมาลัยพลางฟังเพลงรักหวานซึ้งจากช่วงยุค ๙๐ พลางคิดเรื่อยเปื่อย เธอกวาดสายตาเห็นผู้หญิงในรถคันข้างๆ ซึ่งอาศัยช่วงเวลาวิกฤตินี้แต่งหน้าตนเองด้วยความชำนิชำนาญ 

    นี่มันเป็นความสามารถพิเศษของผู้หญิงในเมืองรถติดจริงๆ 

    พานให้เธอนึกถึงคนที่เหนือชั้นกว่านี้คือลูกน้องคนหนึ่งในออฟฟิศ ซึ่งครั้งหนึ่งหวิดจะเข้างานสายเพราะซอยบ้านน้ำท่วม กว่าจะออกมาถึงต้องใช้เวลานานกว่าปกติจึงไม่มีเวลาแต่งหน้า และสายวันนั้นมีนัดออกไปพบลูกค้า ด้วยจิตใจที่หาญกล้าของสาวน้อยที่เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยไม่นาน เธอเลยควักเครื่องสำอางออกมาจัดการบนรถไฟฟ้าเสียเลย

    ‘ครั้งแรกมันก็อายนะพี่’ เจ้าตัวเล่า ‘แต่สักพักหน้าก็หนาขึ้น ก็โอเคอยู่’

    ‘ลงรองพื้นด้วยเรอะ’

    ‘เปล่า แค่ยางอายมันบางลง’ คำตอบเรียกเสียงหัวเราะได้

    ‘แล้วแกไม่กลัวคนจำได้เหรอว่าอีนี่แต่งหน้าบนรถไฟฟ้าอีกแล้ว’ เพื่อนร่วมที่ทำงานอีกคนถาม

    ‘ไม่อะ ใครมันจะไปขึ้นรถไฟฟ้าขบวนเดียวกันได้ตลอด’ เธอแย้ง

    ‘เอ้า ก็เห็นเขามาเล่าว่าเจอกันในโรงหนังเลยตั้งกระทู้ถามหาแล้วก็เจอกันบ้างล่ะ เจอกันบนรถเมล์บ้างล่ะ’

    ‘โอ๊ย พวกนั้นจริงสักยี่สิบเปอร์เซนต์ มโน*เอาเองเสียแปดสิบ เชื่ออะไรได้ล่ะพี่ ไอ้เรื่องความบังเอิญแสนโรแมนติก มีเฉพาะในหนังกับกระทู้รวมคนขี้มโนเท่านั้นแหละ ชีวิตไม่สวยหวานเป็นสีกุหลาบหรอก’

    แล้วลูกน้องคนนั้นก็โดนรุ่นพี่บอกว่าเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย...ภามินในฐานะที่เป็นเจ้านายคนหนึ่งของบริษัทแม้อยากจะออกตัวปกป้องว่าไม่ได้มีคนคิดเช่นนั้นลำพัง ทว่าเธอก็ทำไม่ได้

    ใช่ ภามินไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ

    แต่ชีวิตของเธอช่วงนี้มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นติดๆ กันจนน่าขนพองสยองเกล้า

    เริ่มจากการที่จตุรวัชรน้องชายของลูกค้าคือคนเดียวกับ J4 หรือ ‘เจ๊สี่’ ซึ่งใครๆ ในเว็บไซต์รวมเรื่องความสวยความงามคาดว่าจะเป็นร่างอวตารของสาวประเภทสองฝีปากกล้าและน่าจะมีอายุเกือบเข้าวัยกลางคน แต่ท้ายสุดกลายกลับเป็นชายหนุ่มแต่งตัวดีมีสไตล์โดดเด่น(จนไม่มีใครหาญกล้าเลียนแบบ) แถมอายุยังไม่ถึงสามสิบอีกต่างหาก เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงเธอที่ตระหนกตกใจ คนทั้งงานต่างก็รู้สึกเหมือนกัน ชายหนุ่มโดนพิธีกรแซวไม่เลิก แถมพยายามจะลากเขาขึ้นไปพูดบนเวทีก็หลายครั้ง แต่เมื่อจตุรวัชรวางท่าขรึมไม่เล่นด้วยก็ไม่มีใครมายุ่ง แล้วเขาก็หันมาคุยกับเธอแทนจะได้ไม่มีใครมาวุ่นวาย

    แล้วเธอก็ดันสนทนากับเขาอย่างออกรสราวกับเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมาเป็นสิบปี แต่เรื่องที่พูดกันส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวในเว็บไซต์ที่เคยมีประสบการณ์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเคยแข่งกันเล่นเกมชิงครีมราคาแพง หรือเหตุการณ์ที่ทั้งเว็บช่วยกันจับโกหกคนที่หลอกขายกระเป๋าแบรนด์เนม ยังไม่นับเรื่องที่แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับเครื่องสำอางแบรนด์ต่างๆ ภามินเผลอไปสัญญามั่นเหมาะว่าจะต้องนัดเจอกันแล้วหอบเอา ‘คลังแสง’ มาผลัดกันเล่นเพื่อเป็นวิทยาทานให้ได้

    กิจกรรมเหล่านี้เหมือนที่ภามินทำกับศศิอาภาไม่มีผิดเพี้ยน เธอคุยกับจตุรวัชรได้เหมือนที่คุยกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง

    ถึงมันจะแปลกไปหน่อยแต่ก็ไม่เสียหายอะไร

    หญิงสาวนั่งตัวตรงเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนไป เธอแตะคันเร่งเบาๆ เพื่อให้รถแล่นไปข้างหน้า และเหยียบเบรคจากนั้นไม่นานหลังกลายเป็นไฟแดงอีกครั้ง หญิงสาวคิดในแง่ดี อย่างน้อยเธอก็เป็นคันแรกสุดที่จะทะยานออกไปเมื่อไฟเขียววนมาอีกรอบ

    ภามินถอนหายใจยาว ใช้เวลาบนท้องถนนคิดถึงเรื่องราวที่ยังค้างคาอยู่ในใจ  

    อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องของพ่อ และว่าที่ภรรยาใหม่ของพ่อ หญิงสาวกล้ายืนยันกับตัวเองว่าไม่เคยคิดกีดกันหรือห้ามทั้งสองเลย เธอโตมาจนป่านนี้แม้ไม่เคยมีความคิดว่าพ่อจะต้องครองตัวโสด แต่ขณะเดียวกัน...เมื่อวานนี้เธอก็ยังไม่ได้เตรียมใจยอมรับว่าที่ภรรยาของพ่อซึ่งเมื่อคะเนจากใบหน้าแล้วน่าจะแก่กว่าพี่ชายไม่น่าเกิน ๕ ปี นั่นหมายความพ่อจะแต่งงานใหม่กับผู้หญิงที่อ่อนกว่าตนเอง ๒๐ ปี เธอรู้ว่าพ่อและตติยาจะไม่มีปัญหา แต่คนรอบข้างสิ ต้องทำตัวเป็นพวกปากหอยปากปูใส่ทั้งสองเป็นแน่

    ทว่าพอถามไปถามมา(และอย่างตรงไปตรงมา) ถึงได้ทราบว่าคุณตติยาหรือคุณตุ๊กตานั้นแก่กว่าพี่ชายเธอถึง ๑๐ ปี ลบเลขเบ็ดเสร็จแล้วก็อ่อนกว่าพ่อ ๑๕ ปี

    คุณพระ! เป็นช่องว่างระหว่างอายุที่สามารถจดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมได้ด้วยซ้ำ

    ยิ่งไปกว่านั้น พ่อเคยเป็นอาจารย์ของคุณตติยาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

    ใช่ ว่าที่ภรรยาพ่อก็เป็นสถาปนิกเช่นกัน

    ‘เคยทำงานเป็นสถาปนิกนี่แหละค่ะ แต่พอมีลูกคนที่สองเลยลองจับงานใหม่ๆ ไปทำออกแบบของเล่น’ เธอตอบด้วยรอยยิ้มจริงใจ

    เลยได้รู้อีกว่าตติยาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ดูแลลูกชายคนโตอายุ ๑๓ ปี และลูกสาววัย ๘ ขวบ ตามลำพังมานานเท่าอายุลูกคนเล็ก เหตุที่ออกจากงานสถาปนิกเพราะว่าอยากมีเวลาดูแลลูกทั้งสองคน เรื่องนี้ภามินนึกสรรเสริญและชื่นชมเธออย่างยิ่ง เพราะหากเป็นตัวภามินเองคงไม่สามารถเสียสละงานการที่รักเพื่อคนอื่นเป็นแน่

    ‘เราจะไม่จัดงานแต่งงาน’ พ่อเอ่ยพลางหันมองอีกฝ่าย ‘ตุ๊กตาบอกว่าไม่เอา เพราะอายุก็ปูนนี้แล้ว คงจดทะเบียน เลี้ยงพระเพลที่วัด แล้วก็กินข้าวกันเฉพาะพวกเรา’

    ‘มีอะไรให้แพร์กับพี่พลับช่วยก็บอกนะคะ’

    เมื่อเธอตอบ สีหน้าของตติยาพลันมีความประหลาดใจฉายชัด เธอยิ้มด้วยความโล่งอก ก่อนมองหน้าพ่อซึ่งยิ้มตอบ หญิงสาวเห็นคนทั้งคู่มีความสุขแล้วก็นึกดีใจ พ่อเหนื่อยกับเธอและพี่ชายมานาน  สมควรที่จะได้สิ่งที่ปรารถนาบ้างแล้ว

    ‘แพร์อย่าแกล้งน้องนะลูก’ พ่อหยอกด้วยสีหน้าจริงจัง

    ‘แพร์ไม่ได้อายุสิบห้านะ จะได้ไปตีกับน้อง’ เธอโวย

    ‘อายุสมองล่ะ’ พี่ชายท้วง แล้วก็ร้องโอยเพราะโดนเธอฟาดไปพลั่กหนึ่ง

    โธ่ เธอไม่ทำเป็นลูกเลี้ยงใจร้ายกับลูกและภรรยาใหม่พ่อหรอกน่า ไม่ใช่ละครหลังข่าวเสียหน่อยจะได้ทำอะไรแบบนั้น อีกอย่างภามินเองก็มีงานที่ต้องทำ คงไม่มีเวลามาเสวนากับใครในบ้านมากนักหรอก...มั้ง

    หญิงสาวเงยหน้ามองสัญญาณไฟที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นไฟเขียวพลางตั้งท่าพร้อม เธอจะเป็นคันแรกที่พุ่งทะยานออกไป...หลังฝูงมอเตอร์ไซค์ และเธอจะต้องไปทัน แม้ตอนนี้ความหวังของเราเข้างาน ‘ไม่สาย’ จะริบหรี่อย่างน่าสงสารก็ตามที



    สรุปว่าเธอเข้าสายไป ๓ นาที ส่วนลูกน้องที่บ้านอยู่ไกลสายสุดที่ ๓๐ นาที และเธอไม่คิดจะต่อว่าต่อขานอีกฝ่ายเพราะรู้ดีว่าวันนี้สถานการณ์บนท้องถนนเป็นมิคสัญญีแค่ไหน ยิ่งภายหลังรู้ว่ามีอุบัติเหตุเกิดในหลายจุดเนื่องจากฝนกระหน่ำเมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นรถชนกันหลายคันซ้อนบนทางด่วน เสาไฟฟ้าล้ม น้ำท่วมถนนบางสายสูงเกือบเลยบังโคลน นั่นทำให้หญิงสาวต้องทอดถอนใจว่าชีวิตในเมืองนั้นไม่ต่างอะไรกับรายการแนวเซอร์ไวเวอร์ที่ต้องเอาชีวิตรอดจากป่า เพียงแต่เปลี่ยนเป็นป่าคอนกรีตกรุงเทพฯ ความบัดซบก็ไม่ได้ต่างกันเลย

    ด้วยเหตุนี้เองทั้งบริษัทเลยเริ่มประชุมสาย จากที่จะเรียบร้อยก่อนอาหารกลางวัน กลายเป็นพาดยาวผ่านมื้อกลางวันไปอย่างน่าเห็นใจลูกน้อง ภามินกับสายมุกและชัชวงศ์เพื่อนสนิททั้งสองที่เป็นหุ้นส่วนเปิดสตูดิโอ จึงตัดสินใจโทรศัพท์สั่งพิซซ่ามาเลี้ยงน้องๆ ในออฟฟิศแทนการปล่อยออกไปหาอะไรกินตอนบ่ายคล้อยในยามที่ร้านรวงอาจจะเหลือแค่วิญญาณไก่และขี้ไคลผัก 

    เมื่อพิซซ่ามาถึงทุกคนก็ส่งสายตาไปที่ของกินราวกับว่าหากใช้พลังจิตแล้วมันจะลอยมาหาตัวเองได้ ภามินกับเพื่อนเลยบอกพักการประชุมและให้ทุกคนไปหยิบจานกับช้อนส้อมมากินพิซซ่าแล้วค่อยคุยกันต่อ เมื่อเสบียงมาถมท้องกองทัพก็พร้อมเดินต่อ หลังจากทุกคนได้มื้อกลางวันก็เริ่มคุยงานกันต่อไปอีกราวสิบห้านาทีก็เรียบร้อยและบอกให้ทุกคนแยกย้าย โดยมีสายมุกตามไปเก็บรายละเอียดเผื่อมีใครซักถามอะไร ชัชวงศ์มอบหมายงานให้ลูกน้องในตำแหน่งอาวุโสคนหนึ่งเป็นหัวหน้าคุมงานคราวนี้ และเมื่อพูดคุยสรุปงานเป็นการส่วนตัวเสร็จ ทั้งสามคนจึงเพิ่งจะได้เวลาพักเช่นกัน

    ภามินเข้าไปนั่งในห้องทำงานเล็กๆ ของตนเอง เอื้อมมือเปิดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะยี่ห้อเดียวกับที่บ้านและกรอกรหัสที่คุ้นเคยก่อนภาพเมืองชิคาโกที่เธอไปมาเมื่อปีก่อนจะปรากฏเป็นภาพหน้าจอ หญิงสาวเลือกเปิดโปรแกรมฟังเพลงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเปิดอินเทอร์เน็ตบราวเซอร์เข้าเฟซบุ๊คและนั่งเล่นอะไรเรื่อยเปื่อย โดยกำหนดเวลาให้ตัวเองไว้ว่าจะพักไม่เกิน ๓๐ นาที

    แน่นอนว่าเธอต้องเข้าเว็บไซต์ความสวยความงามอยู่แล้ว

    หญิงสาวเข้าไปในเว็บบอร์ดสนทนา เปิดหากระทู้ที่รวบรวมภาพบรรยากาศในงาน เธอมั่นใจว่ายังไงก็ต้องมีให้ดูเพราะเห็นหลายคนเอากล้องติดมือไปงานด้วย เหตุนี้เธอเลยไม่ได้มีภาพงานเลยสักรูป จะมีก็แต่ภาพที่ถ่ายกับเพื่อนๆ แก๊งสวย และภาพคู่กับจตุรวัชรที่กฤติกรเป็นคนถ่ายให้อีกภาพเช่นเดียวกับที่มีในมือถือของชายหนุ่มอีกหนึ่งภาพ เมื่อเธอนึกได้หญิงสาวจึงหยิบโทรศัพท์มากดเลือกภาพส่งเข้าห้องสนทนากับจตุรวัชร ทั้งสองเพิ่งสร้างห้องแชทนี้ในงานหลังรู้ว่าใช้แอพพลิเคชั่นเดียวกัน อย่างน้อยก็จะได้เอาไว้ ‘เม้ามอย’ กันตามประสา...ประสาอะไรล่ะ 

    เพื่อนผู้ชาย?

    ก็ไม่นะ...จตุรวัชรไม่เหมือนพวกเพื่อนผู้ชายของเธอ ไม่ว่าจะเพื่อนคณะหรือว่าเพื่อนเล่มเกมอ่านการ์ตูน ก็ไม่มีใครเป็นแบบนี้เลยสักคน ไม่มีใครที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจดเท้าปานนี้ ว่ากันตามตรงมันก็มีบ้างที่เนี้ยบๆ เท่ๆ มีสไตล์ แต่ไม่มีใครจะ...ประณีต ละเอียดลออ จนเกือบๆ จุกจิกขนาดนี้

    เพื่อนผู้หญิง?

    ถ้านับเรื่องเพศนี่ผิด แต่ถ้าโฟกัสเรื่องความสนใจค่อนข้างก้ำกึ่ง...เธอสามารถคุยเรื่องความสวยความงามกับจตุรวัชรได้ไม่ต่างจากที่กรี๊ดกร๊าดกับศศิอาภา เผลอๆ อาจจะวี้ดว้ายชวนกันไปทัวร์เคาน์เตอร์เครื่องสำอางได้บ่อยกว่ากว่ายาย ‘บีซี่บิ๋ม’ เสียอีก แต่เรื่องอื่นที่คุยกันแบบผู้ญิ้งผู้หญิง ก็ไม่สมควรจะไปคุยกับเขา...แม้ว่าสมัยก่อนจะเคยคุยกับ ‘เจ๊สี่’ ก็ตามที

    เพื่อนสาว?

    ภามินตอบไม่ได้ และตัดกระบวนการค้นหาคำตอบในทันที เพราะคนเราไม่ควรตัดสินใครเนื่องจากท้ายสุดแล้วมันจะกลายเป็นอคติทำให้เราพลาดอะไรหลายๆ อย่างไป

    เอาว่ามองเขาอย่างที่เขาเป็นนี่แหละดีแล้ว

    หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนกดเข้าไปในกระทู้รวมภาพถ่าย มีสาวหลายคนในเว็บที่ถ่ายรูปได้สวยไม่แพ้มืออาชีพ บ้างก็รับจ๊อบเป็นช่างภาพตามงานอีเวนท์ บางส่วนก็ไม่ได้ทำงานด้านนี้เลยแต่เป็นแฟนคลับตามถ่ายภาพศิลปินดารา ทำให้ได้พัฒนาทักษะด้านนี้อยู่ตลอด สาวๆ กลุ่มนั้นรวมตัวกันห้อยป้ายตากล้องและเก็บภาพผู้ร่วมงาน จากนั้นก็ตั้งกระทู้และอัพโหลดภาพขึ้นเว็บรวมกันไว้ ทำให้ไม่ต้องแยกกระทู้ให้รก

    ภามินเลื่อนอ่านไปเรื่อยๆ กวาดสายตาหาคนที่รู้จัก เธอพบตัวเองอยู่ในภาพถ่ายบ้างประปรายแม้ส่วนใหญ่จะไม่ได้มองกล้อง แต่แล้วภาพที่ทำให้เธอสะดุดคือภาพของจตุรวัชร ที่คนถ่ายนอกจากจะบรรจงถ่ายมาอย่างสวยงาม ยังวาดเอฟเฟกต์เป็นรูปหัวใจและสี่เหลี่ยมข้าวหลามแทนออร่าระยิบระยับเป็นพิเศษ อย่างที่ใครผ่านมาก็คอมเมนต์ทักว่า ‘ส่วนตัวหรือเปล่า’ คนถ่ายออกมารับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าใช่

    หญิงสาวหัวเราะก่อนอ่านต่อโดยไม่คิดอะไรมาก จนกระทั่งท้ายๆ ของกระทู้รวมภาพถ่าย ปรากฏข้อความเน้นตัวหนาจากเจ้าของเว็บไซต์เขียนเอาไว้


    เพิ่งนึกออกว่าจริงๆ เราควรประกวด ดาว-เดือน-ดาวเทียม อะไรพวกนี้เนาะ แต่รู้สึกตัวช้าไปหน่อย 

    เอาว่าเรามาเล่นเกมย้อนหลังนะ มาโหวตสาวดาว หนุ่มเดือน และเพื่อนสาวดาวเทียม กันจ้าาาาา

    เลือกคนที่เจอตัวจริงและปลื้มปริ่ม ประทับใจ จนอยากจะทิ้งตัวลงตักโลด

    เข้าไปที่หน้าโหวตเลยนะคะ ทางสตาฟฟ์ของงานเลือกตัวแทนมาหมวดละห้าคน

    ใครไม่มีชื่ออย่าน้อยใจ ปีหน้าเธอก็อย่าเริ่ดแพ้เค้านะะะะะ


    ภามินกดเข้าเข้าไปในหน้าลงคะแนน เธอไล่ดูรายชื่อของสาวสวยที่มาร่วมงานและโหวตให้กับบล็อกเกอร์ท่านหนึ่งที่มีพัฒนาการด้านการแต่งหน้าจนเธอประทับใจ จากนั้นก็ไล่ลงมาดูบรรดาหนุ่มแบบผ่านๆ เพราะออกจะสนอกสนใจหมวด ‘เพื่อนสาวดาวเทียม’ มากกว่าว่าทั้งกฤติกรและณัฐพงษ์จะมีใครแซบจนติดโผหรือไม่ ในที่สุดเธอก็ลงคะแนนให้ผู้เป็นนางแบบข้ามเพศ แล้วจึงเลื่อนกลับขึ้นไปดูหมวดหนุ่มๆ (ที่บางคนก็ค่อนไปทางเพื่อนสาว) อย่างไม่ใส่ใจนัก 

    เธอยกแก้วน้ำเย็นขึ้นมาจิบพลางเลื่อนดู ภาพที่ปรากฏทำเธอเกือบสำลัก เมื่อเห็นจตุรวัชรติดโผอยู่ด้วย หญิงสาวโหวตให้อีกฝ่ายอย่างไม่ต้องใช้สมองคิด ก่อนกดส่งคะแนนและเมื่อดูผลก็พบว่าจตุรวัชรนำลิ่วเลยทีเดียว

    ภามินหยิบโทรศัพท์มากดโทรออกในทันที

    “สวัสดีฮะ” 

    “สี่- - -” เธอเอ่ยเสียงหวาน

    “คร้าบบบ” เขาลากเสียงยาว

    “สี่เข้าเว็บรึยังอะ” 

    “ยังเลยฮะคุณแพร์ นี่เพิ่งจัดเอกสารเสร็จ บ่ายแก่ๆ มีประชุม เดี๋ยวตอนกินข้าวสี่ว่าจะเปิดดู มีอะไรรึเปล่าฮะ”

    “โฮ้ยยยย เปิดเถอะเธอ มันดีงามมากจริงๆ กระทู้รวมรูปอะ”

    “มีคนถ่ายติดผีหรือไงฮะ”

    “ผีเห็นผีสิไม่ว่า” ภามินหัวเราะ “เขามีกระทู้โหวตดาว เดือน ดาวเทียมอะไรเทือกนี้ สี่คะแนนนำนะ หมวดดาวเทียม”

    “ฮะ!” เขาร้องลั่น ทำให้คนอำหลุดขำ “ทำไมสี่ไปอยู่หมวดนั้น เดี๋ยวเจ๊แหนมเอาสี่ตายเลย ไปแย่งที่แก ขอเวลาดูแป๊บนะ เดี๋ยวสี่โทรกลับ”

    “ได้ๆ งั้นวางก่อน” หญิงสาวกดวางสายพลางไล่ดูรูปภาพและคอมเมนต์เพียงไม่กี่นาทีโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น “ว่าไงล่ะ”

    “ใครมันเป็นคนโหวตตตต” ปลายสายโวยวาย

    “จะเดือดร้อนอะไรเล่า โหวตเป็นเดือนเชียวนะ ไม่เคยประกวดเดือนคณะหรือไง”

    “สี่เรียนตรีที่อังกฤษ ไม่เคยมีเดือนคณะหรอก”

    “ซะงั้น”

    “ใครโหวตเนี่ย”

    “การโหวตที่ไหนเขาเปิดเผยตัวกันล่ะยะ” 

    “สี่ถอนชื่อได้ไหมเนี่ย”

    “ทำไมล่ะ” 

    “เดี๋ยวชนะ ของรางวัลนั่นสี่มีแล้ว”

    ภามินระเบิดเสียงหัวเราะเนิ่นนานเสียจนน้ำตาซึม “โธ่ ก็ให้คนอื่นสิ เอามานี่ก็ได้ ของฟรี ชอบ”

    “มันเป็นครีมบำรุงใบหน้าของผู้ชาย”

    “งั้นให้เจ๊แหนม”

    “คุณแพร์พูดงั้นวางแผนฆาตกรรมเอาสี่ถ่วงเจ้าพระยา ยังดีซะกว่าให้เจ๊แหนมกรอกครีมสูตรฟอร์เมนใส่ปากสี่จนตายนะ” เขาเอ่ยเสียงขรึม “นอกจากชื่อณัฐพงษ์เจ๊จะไม่เก็บอะไรที่เป็นของผู้ชายเอาไว้แล้ว”

    หญิงสาวยังคงหัวเราะต่อเนื่อง “งั้นให้พี่ชายสิ ให้คุณตรัยน่ะ”

    “โอ้ย รายนั้นแล้วใหญ่” จตุรวัชรร้อง “นี่ตอนนี้ยังแพ้ท้องอยู่”

    “หา!”

    “แพ้ท้องแทนเมียๆ” เขาแก้ “ที่ไม่สบายไปเจอคุณแพร์ไม่ได้ก็เพราะงี้แหละ ไม่กล้าบอกสาเหตุ น่าสมเพชไป ไอ้โน่นก็เหม็น ไอ้นี่ก็คลื่นเหียน ให้ไปพอเปิดฝาให้ดมคงได้สำรากใส่กระเป๋าบัลแมง*ของสี่แน่ นี่ตอนนี้เฮียดมได้แต่ยาดมส้มมือ”

    “โถ…” ภามินเห็นใจ แม้เธอจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูรื่นเริงกับความลำบากของพี่ชายมิใช่น้อย “ยังไงก็แสดงความยินดีกับคุณตรัยแล้วก็คุณแพนด้วยนะคะ ไว้จะไปเยี่ยม”

    “ได้เลยฮะ” ชายหนุ่มตอบรับ “ว่าแต่ถ้าสี่ชนะคงพิลึกนะ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ได้อยากจะประกวดนี่นา”

    “สตาฟฟ์เว็บเขาเลือกแล้วก็ต้องตามๆ เขาไปแหละนะ” เธอปลอบ “ไหนๆ ก็ไหนๆ ถือโอกาสขายของสิคะ”

    “ยังไงฮะ”

    “ก็ถ้าสมมติเขามาขอสัมภาษณ์หรืออะไร ก็ยอมไปเลย แล้วก็โฆษณาบริษัท โฆษณาร้านเพชร คือมีกิจการเท่าไหร่ก็โฆษณาไปเลย ฟรีอยู่แล้ว”

    “งั้นสี่จะโฆษณาโรงสีข้าวที่อยุธยาด้วย”

    “มันจะใช่กลุ่มลูกค้าไหมคะคู้ณณณ” เธอท้วงเสียงแหลม ทำให้ได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสาย “เหมือนฝากร้านฝากอะไรในอินสตาแกรมไง ถ้าสมมุติว่าชนะ ก็จัดซะเลย อย่าให้เสียเที่ยว”

    “จะฟังคำแนะนำนะฮะ จริงๆ ก็ว่าจะประชุมเรื่องใช้โซเชียลเน็ทเวิร์คกับร้านที่บ้านนี่แหละ”

    “เอ้อ จริงด้วย เดี๋ยวสี่ต้องประชุมนี่นา นี่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วย” เธอนึกขึ้นได้ “งั้นเดี๋ยววางสายก่อนนะ โทรมาแค่นี้แหละ”

    “ขอบคุณมากเลยคุณแพร์”

    “ไม่เอา เอาแบบเจ๊สี่”

    “โธ่ คุณแพร์” ปลายสายมีน้ำเสียงยุ่งยากใจ

    “น่า…”

    “งานการมีก็ไปทำสิยะนังแพร์--- ว่างเหรอ หรือรวยแล้วนั่งกินนอนกิน กินข้าวผ่านสายยางแล้ว”

    ภามินหัวเราะก๊าก “เริ่ด ไว้เจอกันนะคะ”

    “เจอกันเมื่อไหร่ล่ะนั่น”

    “ไว้พิมพ์เมาท์กันต่อหลังเวลางานไง”

    “โอเคฮะ ขอบคุณนะ”

    หญิงสาววางโทรศัพท์ บราวเซอร์ที่เปิดเว็บทิ้งเอาไว้ จากนั้นจึงเปิดอีเมลและโปรแกรมที่ต้องใช้ทำงาน

    “ไอ้แพร์”

    “อุ้ย!” หญิงสาวสะดุ้ง เมื่อเงยหน้าจึงเห็นหนุ่มหน้าตี๋เสียยิ่งกว่าคนที่คุยด้วยเมื่อครู่ กำลังยืนพิงผนังห้องที่ทำจากกระจกขุ่น และคล้ายว่าเขาจะอยู่ตรงนั้นมาพักหนึ่งแล้วโดยที่เธอไม่รู้ตัว 

    “ตั้มมาทำไมเงียบๆ”

    “ฉันว่าฉันไม่ได้มาเงียบ แกต่างหากที่หัวเราะต่อกระซิกกับหนุ่มที่ไหนจนไม่สนใจเพื่อนเข้ามา” ชัชวงศ์กระเซ้า ก่อนลงนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “จะมาคุยงาน”

    “ว่ามา”

    “แกโทรคุยกะใครอะ หนุ่มที่ไหนอะ แก่ยัง อายุเท่าไหร่ จะคบกันเลยมั้ย ว้าย ไอ้แพร์คุยกะหนุ่ม”

    หญิงสาวยิ้มอย่างเยือกเย็นให้เพื่อน 

    “เสือก…” เธอเอ่ยเสียงขรึม



    จตุรวัชรเลื่อนมือไปบนแผ่นสีเงินที่เรียกว่าแทร็กแพดเพื่อไล่อ่านข้อความในกระทู้ แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ตั้งไว้บนที่วางซึ่งดูเหมือนบัลลังก์อันกะจ้อยร่อยโดยไม่ละสายตาไปจากจอ เขาว่าที่วางมือถือของตนเข้ากันดีกับโทรศัพท์มือถือที่ใส่เคสประดับคริสตัลเป็นประกายวิบวับ มันเป็นอะไรที่ดู...หลายครั้งคนในบริษัทเห็นมันก็พานคิดว่าเป็นมือถือของสาวน้อยสักคนที่ใช้เพชรประดับเหมาโหลจากสำเพ็ง ทว่าเมื่อเขาทราบว่าเป็นของจตุรวัชร ทุกคนล้วนตีความไปก่อนเลยว่ามันเป็นคริสตัลชวารอฟสกี้ ไม่ก็เพชรแท้

    ทั้งที่จริงๆ เขาไม่ได้ฟุ่มเฟือยขนาดนั้นสักหน่อย

    เคสและโทรศัพท์มันเป็นของที่เปลี่ยนกันได้ตามยุคสมัย หากใช้คริสตัลหรือเพชรแท้มาประดับ พอถึงเวลาต้องเปลี่ยนเครื่องก็ต้องเหนื่อยเลาะเอาอัญมณีเหล่านั้นออกมารียูสอีก เขามองว่ามันเหนื่อยโดยใช่เหตุ ชายหนุ่มเลยไปเดินลุยสำเพ็งสั่งซื้อคริสตัลงานฝีมือเกรดเอมานั่งแปะติดกับกรอบใสทีละอันในยามว่าง และถ้าวัตถุดิบเหลือเขาก็ทำส่งไปรษณีย์ไปให้พัชรเบญจ์ใช้ด้วย

    แต่คราวก่อนเขาเห็นนังเบญจ์เอาให้สามีใช้

    ก็ไม่เป็นไร ดีกว่าไม่มีคนใช้

    ชายหนุ่มวางมือจากคอมพิวเตอร์ ก่อนกดอินเทอร์คอมที่อยู่ข้างๆ 

    “พี่เอ๋ยฮะ ขอข้าวที่เมื่อกี้สี่ฝากป้าแดงอุ่นหน่อย เอาเข้ามาเลยเน้อ ไม่เอาพริกน้ำปลาหอมซอยนะฮะ”

    “ได้ค่ะคุณสี่” 

    ไม่นานหลังจากที่สั่งความไป แม่บ้านก็ยกอาหารกลางวันของชายหนุ่มเข้ามา จตุรวัชรมองข้าวหอมมะลิกรุ่นไอขาวซึ่งวางเคียงด้วยผัดฟักทองกับไข่และหมูสับปั้นก้อนทอดด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อเช้าเขาว่าง...ก็เลยรื้อตู้เย็นในครัวเอาของออกมาทำกับข้าวมากินเองเป็นมื้อกลางวัน เนื่องจากเขาขี้เกียจลงไปที่ศูนย์อาหารด้านล่าง เพราะถ้าลงไปจริงๆ เขาต้องเถลไถลไปซื้อขนมโตเกียวและข้าวโพดคั่วขึ้นมากินเป็นแน่

    “เหมือนอาหารกลางวันลูกพี่ตอนเข้าประถมเลยค่ะคุณสี่” ผู้เป็นเลขานุการยกกระติกเก็บความร้อนเข้ามา ก่อนวางถ้วยชาแบบญี่ปุ่นและรินน้ำสีน้ำตาลอ่อนอวลกลิ่นมะลิลงไป 

    “แหม นานๆ ทีก็อยากกินฮะพี่เอ๋ย” เขายิ้มกว้าง “ขอบคุณมากฮะพี่ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ เดี๋ยวสี่อาจจะรบกวนเก็บจานหลังกินเสร็จ ก่อนไปประชุมกับเฮีย สี่ต้องแปรงฟันก่อน”

    “ก็สมควรอยู่หรอกค่ะ” เธอยิ้ม “ว่าแต่คุณตรัยดู...อาการไม่ดีเลยนะคะ”

    “แย่มากเลยหรือฮะ”

    “พวกสาวๆ ที่ใช้น้ำหอมกลิ่นแรงๆ จากแผนกเลขาฯ นี่เข้าหน้าไม่ติดเลยค่ะ ทำจมูกฟุดฟิดบอกว่าเหม็นตลอด”

    เขาหัวเราะหึ ก่อนใช้ช้อนส้อมตัดหมูสับทอดเป็นชิ้นพอดีคำ “หอมแต่กลิ่นเมียตัวเองดิ๊”

    “คุณสี่นี่นะ” หญิงอายุมากกว่าเอ็ด “เดี๋ยวพี่ไปก่อนนะคะ”

    “ฮะ”

    หลังจากมัลลิกาผู้เป็นเลขานุการส่วนตัวของเขาเดินจากไป จตุรวัชรก็ตั้งหน้าตั้งตากินไปพร้อมๆ กับอ่านกระทู้ในเว็บบอร์ดพูดคุยไปด้วย เมื่อครู่เขาไม่ทันสังเกตข้อความที่มีคนมาตอบกระทู้ เลยไม่ทันเห็นว่าณัฐพงษ์หรือเจ๊แหนมเข้ามาแซวเขาเสียเป็นการใหญ่ ชายหนุ่มอ่านแล้วก็รู้สึกว่าตนจะปล่อยให้เพื่อนทำร้ายแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ เขาต้องใช้สิทธิ์ปกป้องตนเองจากการถูกกระทำย่ำยีทางจิตใจในสังคมออนไลน์ ชายหนุ่มจึงรีบจัดการกินอาหารกลางวันจนหมดในเวลาไม่นานนัก ก่อนพิมพ์ตอบด้วยวาทะดุเด็ดไม่ผิดไปจากที่คุยกันต่อหน้าเจ้าตัว

    เสียงเคาะประตูทำให้จตุรวัชรต้องเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าของร่างสูงหนาหน้าตาคุ้นเคยยืนพิงกรอบประตูด้วยท่าทางดูเท่ อย่างที่บรรดาลูกน้องสาวๆ ในออฟฟิศยังคงกรี๊ดกร๊าดแม้ตรัยจะแต่งงานมากว่าปี แต่แล้วภาพลักษณ์ที่แสนเท่ เก๋ ดูดีก็มลายหายไปสิ้นเมื่อเขาล้วงกระเป๋าด้านในสูทเอาตลับยาดมส้มมือสีเงินขึ้นมาจดปลายจมูก สูดหายใจเข้าไปฟืดใหญ่แล้วถึงได้เอ่ยขึ้นมา

    “กินข้าวเพิ่งเสร็จเรอะ”

    “ใช่แล้วเฮีย” น้องชายเลื่อนจานไปอีกทางหนึ่ง ก่อนรินชาจีนใส่ถ้วยเพิ่ม “ชาจีนมั้ย ลดอาการผะอืดผะอม”

    “ก็ดี” ประธานกรรมการบริหารลงนั่งยังเก้าอี้ตรงข้าม ก่อนจิบชาอุ่นๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลายขึ้น “เดี๋ยวเฮียบอกพี่ส้มให้ชงใส่กระติกไว้มั่งดีกว่า ใช้ได้”

    “ถ้าจะเอาไว้แก้เลี่ยนก็ชงแก่อีกหน่อย” จตุรวัชรแนะนำ “ว่าแต่มานี่มีอะไรอะเฮีย”

    “อีกยี่สิบนาทีประชุม”

    “แหม รู้แล้วน่า”

    “แล้วนี่ทำอะไรอยู่” พี่ชายเดินอ้อมไปอยู่ข้างหลัง “อ่านกระทู้!” ตรัยโพล่งด้วยเสียงดุ “นี่มันเวลางานไม่ใช่เวลาท่องเว็บบอร์ด!”

    “สี่รู้ว่าเฮียเพิ่งเข้าห้องเกี่ยวกับสุขภาพแม่และเด็กมา...” น้องชายตอบหน้านิ่ง

    “รู้ได้ยังไง” ผู้เป็นพี่เอ่ยเสียงค่อยลง “พี่ส้มบอกหรือไง”

    “ไม่จำเป็น” คนพูดยักไหล่ “ระดับสี่แล้ว เรื่องแค่นี้เดาไม่ยากหรอก”

    ตรัยใช้มือฟาดศีรษะน้องชายทางด้านหลังไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ 

    “อีกยี่สิบนาที” พูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวหมายจะเดินออกจากห้อง

    “โทรมาก็ได้แหม ทำเป็นมาเตือน กลัวไขข้อจะเสื่อมเหรอถึงต้องเดินบริหาร หรือว่าอยากโชว์ความหล่อให้สาวๆ ดู” คนเป็นน้องได้ทีใส่เป็นชุด แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพี่ชายเดินกลับมา “สี่ล้อเล่นน้า อีกสิบแปดนาที” น้องชายรีบออกตัว

    “เออ มีมะขามจี๊ดจ๊าดไหม” ตรัยถามด้วยสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง

    “ฮะ…”

    “มะขามจี๊ดจ๊าด นิ่มๆ ที่มันคลุกผงบ๊วย”

    จตุรวัชรกะพริบตาปริบๆ ก่อนเปิดลิ้นชักหยิบขนมแก้ง่วงของตนเองออกมาวางบนโต๊ะอย่างงงๆ คนเป็นน้องได้แต่มองพี่ชายฉวยไปทั้งกระปุกเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ



    การประชุมที่เนิ่นนานและจริงจังเกิดขึ้นเช่นนี้เป็นประจำ ถ้าจตุรวัชรไม่ได้มีงานออกแบบที่ต้องดูแลอยู่ด้วยแล้วเขาต้องทำงานเช่นนี้เหมือนพี่ชายทุกวัน ชายหนุ่มคิดว่าเส้นเลือดในสมองอาจจะระเบิดบึ้มไปแล้วก็ได้ เขารู้ตัวว่าตนไม่มีความรับผิดชอบพอที่จะดูแลธุรกิจหลายๆ สิ่งได้เหมือนตรัย 

    สำหรับพี่ชายของเขา จตุรวัชรคิดว่าตรัยเกิดมาเพื่อเป็นผู้บริหาร แม้ไม่ได้ร่ำเรียนมาในสายงานที่เกี่ยวกับบริหารโดยตรง ทว่ามีทักษะพอปรับใช้วิชาเศรษฐศาสตร์กับการทำงานด้านนี้ แม้ในความเป็นจริงตรัยจะไม่ได้เกิดมาและโดนวางตัวให้สืบทอดกิจการจากทศเดชผู้เป็นพ่อ 

    ก็ตามชื่อนั่นละ 

    เฮียตรัยคือลูกชายคนที่สามที่ไม่น่าจะต้องมีภาระอะไรให้ดูแล เหมือนๆ กับลูกคนรองอย่างพี่ทวิ...พี่ชายคนที่สองชิ่งไปตั้งรกรากอยู่ที่สหรัฐอเมริกา โดยการงานของเขาในสายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมได้รุ่งเรืองดี ธุรกิจทั้งหมดทั้งมวลเลยมาตกอยู่ที่ลูกชายคนกลาง จากที่เป็นข้าราชการสายพาณิชย์ในกระทรวงการต่างประเทศ กลับต้องลาออกและมารับหน้าที่อย่างกะทันหันต่อจากเฮียเอกพี่ชายคนโตซึ่งประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ในห้วงของความทุกข์เทวษ คนที่พาทุกอย่างให้ผ่านพ้นไปได้คือเฮียตรัย เขานับถือพี่ชายคนนี้อย่างยิ่ง

    แต่ไม่ใช่กับการที่เฮียจกมะขามจี๊ดจ๊าดของเขาไป

    เขาเคือง

    ย่าเพียงจิตต์เคยบอกว่าจตุรวัชรเหมือนเปียกปูนหมาบางแก้วของที่บ้าน เปียกปูนเป็นหมาใจดีผิดสายพันธุ์ ฉลาด แสนรู้ สู่รู้ มีความแรดผิดพี่ผิดพี่น้อง และประการสำคัญที่ราวกับโขกพิมพ์เดียวกันมาคือ ‘หวงกิน’ 

    ชายหนุ่มไม่ได้หวงขนาดนั้นหรอก เขาไม่มีทางร้ายกาจกับพี่ชายที่เลี้ยงดูอุ้มชูมาเป็นแน่ แค่ตั้งใจจะให้รสที่อร่อยน้อยกว่าไป ไม่ใช่ให้เฮียหยิบเอารสโปรดกระปุกสุดท้ายไปดื้อๆ

    เอาเถอะ ถือว่าทำบุญ

    จตุรวัชรมองตาขวางไปที่พี่ชายซึ่งนั่งประจำหัวโต๊ะ ขณะที่ท่านประธานกรรมการฟังฝ่ายต่างๆ ของสายการผลิตอัญมณีนำเสนอถึงแผนงานและผลงานต่าง ๆ ในช่วงนี้ เขาก็ใช้ส้อมค็อกเทลอันเล็กจิ้มมะขามจี๊ดจ๊าดในถ้วยใส่ปากไปพลาง

    มันเป็นการประทำที่ดูไม่มีมารยาทอย่างยิ่งในห้องประชุม 

    แต่ทุกคนเข้าใจ ประทับใจ และน่าจะระคนความสงสาร เพราะต่างเพิ่งเคยเห็นผู้ชายที่แพ้ท้องแทนภรรยาหนักขนาดนี้ 

    จตุรวัชรนั่งฟังทุกฝ่ายกล่าวถึงงานของตัวเองด้วยความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นญาติรุ่นราวคราวเดียวกับเขาคนหนึ่งที่ดูแลการตลาด ผู้ดูแลร้านสาขากระจายตัวอยู่ในห้าง ฝ่ายประชาสัมพันธ์แบรนด์ รวมถึงฝ่ายโรงงานผลิตเครื่องประดับ ชายหนุ่มว่าเขาโชคดีที่เป็นดีไซเนอร์ให้กับแบรนด์ของครอบครัวที่มีโรงงานเป็นของตนเอง ทุกอย่างเลยง่ายขึ้น และสามารถควบคุณคุณภาพการผลิตได้ตั้งแต่ต้นทาง แต่เพราะเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบ ไม่ใช่เจ้าของบริษัทอย่างเต็มตัว เขาจึงไม่ไปล่วงขอบเขตงานของผู้อื่น หากมีปัญหาหรือข่าวใดที่ได้ยินมา ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะไปกระซิบบอกพ่อหรือไม่ก็พี่ชายให้ไปจัดการด้วยอำนาจบริหารอีกที

    ทุกอย่างมันมีระบบ และควรไปตามระบบ การเป็นลูกชายและน้องชายผู้บริหารไม่ได้แปลว่าจะข้ามหัวผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องได้

    เมื่อการประชุมสิ้นสุดลงในอีกชั่วโมงเศษ ก่อนทุกฝ่ายก็ต่างแยกย้ายฝ่ายจัดประชุมก็เชิญทุกคนเข้าไปยังห้องข้างๆ ซึ่งเชื่อมต่อกันเพื่อรับของว่าง จตุรวัชรตั้งใจว่าจะไม่ไปกินแต่ปล่อยให้ลูกน้องอร่อยกันได้เต็มที่ เพราะหลังประชุมจนได้ข้อมูลที่น่าสนใจ เขาว่าตนเองต้องไปวางแผนการทำงานและการประชุมภายในแผนกต่อ

    “สี่”

    จตุรวัชรหันตามเสียงเรียกของพี่ชาย “เฮียมีอะไร”

    “จะไปกินกับเขาหรือเปล่า”

    “ไม่อะ สี่จะกลับไปทำงานที่ห้องต่อ”

    “งั้นไปที่ห้องทำงานเฮียก่อน” ตรัยตบไหล่ “มีเรื่องต้องคุย”

    “เรื่องมะขามจี๊ดจ๊าดเหรอ”

    พี่ชายหรี่ตามองคนที่อาฆาตไม่เลิกก่อนถอนใจและเดินจากไป

    “เฮียๆ” ชายหนุ่มเรียกอีกครั้ง “แล้วที่ห้องเฮียมีผลไม้ดองรึเปล่า”

    ตรัยทำหน้างง “ไม่มี…ทำไม เฮียไม่เคยกินผลไม้ดอง”

    “ก่อนประชุมสี่ฝากพี่เอ๋ยให้น้าแม่บ้านไปซื้อผลไม้ดองให้เฮีย เดี๋ยวสี่ไปเอาให้แล้วค่อยเจอกันที่ห้องทำงานเฮียนะ”

    พี่ชายพยักหน้าแล้วจึงกลับไปยังห้องทำงานของเขา โดยมีเลขานุการตามหลังไปติดๆ



    จตุรวัชรเข้าไปในห้องทำงานของตรัย น่าประหลาดที่เจ้าของห้องไม่อยู่แถมยังหมุนเก้าอี้หันหลังไว้เสียอีก ชายหนุ่มจึงถือวิสาสะเข้ามา วางถาดผลไม้ดองหั่นลงบนโต๊ะของชุดรับแขก เมื่อครู่เขาหั่นของดองแต่ละอย่างเป็นชิ้นเล็กๆ จัดใส่ถ้วยให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ถึงพี่ชายของเขาจะแพ้ท้องแทนภรรยา ซึ่งอาการไม่มีคำอธิบายทางการแพทย์บอกสาเหตุของมันได้ แต่คนเป็นน้องก็อยากช่วยให้พี่ชายรู้สึกดีขึ้น เพราะเรื่องคนแพ้ท้องแล้วอยากกินของเปรี้ยวคนที่เติบโตมาในต่างประเทศอย่างตรัยไม่น่าจะคุ้นชิน

    คนดีศรีอยุธยาอย่างจตุรวัชรเลยถือโอกาสจัดให้เสียเลย

    กระนั้นแล้วถ้าผลไม้ดองไม่สะอาดก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายไม่สบาย เขาเลยเลือกร้านที่ไว้ใจได้และจัดการหั่นด้วยตนเอง เพื่อควบคุมคุณภาพและความสะอาด

    ห้องทำงานของตรัยเป็นห้องทำงานที่เรียบแต่มีสไตล์...เรียกว่าสไตล์สำนักงานทั่วไปก็ห่างกันนัก ผิดกับคอนโดมิเนียมที่ตกแต่งในสไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์*ดูดิบสมกับเป็นห้องผู้ชายอย่างยิ่ง ทว่าสิ่งที่ทั้งห้องทำงานและคอนโดมิเนียมของเขามีเหมือนกันคือเครื่องเสียงและบรรยากาศของดนตรีแจซ

    ที่ห้องทำงานของตรัยไม่ได้มีเครื่องเสียงชุดใหญ่หรือตู้แอมป์สำหรับเล่นแผ่นเสียงเหมือนที่คอนโดมิเนียม ทว่ายังคงมีลำโพงตัวเล็กสีดำที่ออกแบบได้เรียบทว่าหรูหรา เข้ากับไอพอดสีดำที่เสียบอยู่ด้านบนของตัวเครื่อง ซึ่งมีแสงจากหน้าต่างที่ทอดยาวเป็นแนวไล้ขอบเป็นกรอบสวย หน้าต่างนี้ก็จัดเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยอย่างหนึ่งที่พี่ชายขอเอาไว้

    ‘จะได้ถ่ายวิวพาโนราม่าตอนเย็นได้สวยๆ’ เขาว่าเช่นนั้นครั้งย้ายเข้ามาทำงานในตึกใหม่

    แต่เอาเข้าจริง พอหลังแต่งงานไปพี่ชายของเขาก็แทบไม่ได้อยู่ชื่นชมวิวยามเย็นที่ออฟฟิศเลย เห็นรีบกลับบ้านไปแวะซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ก็ก็ตลาดเตรียมทำกับข้าวเย็นให้ภรรยากิน เห็นแล้วก็น่าเอ็นดูปนน่าหมั่นไส้ให้คันไม้คันมือ

    “ต๊ะเอ๋!”

    “คุณพระ!”

    จตุรวัชรอุทานดังเมื่อได้ยินเสียงคนตะโกน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบทศเดชนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานพนักสูงที่หมุนหันหลังอยู่เมื่อครู่ ผู้เป็นพ่อยิ้มกว้างก่อนชี้นิ้วมาที่ลูกชาย

    “อุทานเหมือนย่าเลย”

    “ย่าสี่ก็แม่พ่อแหละ” ลูกชายยิ้มแยกเขี้ยวใส่ “แล้วนี่พ่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะเนี่ย มาซะเงียบแต่เปิดตัวซะขวัญบิน ถ้าจะเสียงดังขนาดนี้ไม่จ้างแตรวงมาด้วยเลยล่ะแหม่” 

    “พูดสั้นๆ เป็นมั้ยเนี่ย” ทศเดชคำรามเสียงต่ำ “พูดทีไรยาวทุกที เหมือนย่าเป๊ะ”

    “อ๊ะ ก็สี่หลานคนโปรด” คนพูดลอยหน้าลอยตาพลางยิ้มกริ่ม

    “นี่สี่ไม่รู้ตัวจริงๆ เหรอลูกว่ามีคนอยู่ในห้อง”

    “ไม่รู้” ชายหนุ่มตอบเสียงสูง “ปกติถ้าเป็นเฮียนั่งหัวจะเลยพนักนิดๆ เพราะเฮียสูง นี่พอพ่อนั่ง แบบว่าช่วงตัวสั้นกว่าไง เลยไม่เห็น สี่ไม่รู้”

    “ว่าพ่อเตี้ยเรอะ”

    “เปล่า บอกว่าพ่อตัวสั้น”

    “ไอ้ลูกหมานี่นิ!”

    “พะ…พ่อ ทำไมพ่อพูดงั้น” จตุรวัชรแสร้งกะพริบตาทำหน้าคล้ายเสียอกเสียใจอย่างที่สุด “นี่สี่นะ สี่ลูกพ่อนะ ทำไมพ่อว่าสี่เป็นไอ้ลูกหมาล่ะ!” 

    “ไอ้ลูกของหมาตัวที่หล่อที่สุดในโลก! ยิ่งกว่าฌอน คอนเนอรี่รวมกับมาร์ลอน แบรนโด แล้วก็โจวเหวินฟะ!” 

    “อุ้ย พ่อร่ายยาวกว่าสี่อีก” ลูกชายครางอย่างยอมรับความพ่ายแพ้ที่โดนพ่อแก้เกมแต่โดยดี

    “พ่อ สี่ เลิกทะเลาะเถอะน่า” ตรัยที่เพิ่งเข้ามาในห้องห้ามทัพ 

    “ตรัยก็ดูน้องชายเราเถอะ” ทศเดชฟ้อง “ไม่ใช่เถียงคำไม่ตกฟาก พูดคำเถียงร้อยคำแบบไม่น่าให้มีชีิวิตจนได้เวลาตกฟาก” 

    “พ่อจะเอาขี้เถ้ายัดปากสี่เหรอ”

    “ควร!”

    “สี่ฟ้องแม่” 

    “ฮึ” ทศเดชเอนหลังและกอดอกอย่างไม่อยากต่อความนัก

    ตรัยสั่นศีรษะมองภาพที่เกิดขึ้นเป็นประจำในครอบครัว ไม่ใช่ว่าน้องเป็นคนไม่มีสัมมาคารวะต่อบุพการี แต่บ้านเขาชอบหยอกกันเล่นเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ มันเป็นบรรยากาศสนุกสนานที่ตรัยไม่ค่อยได้สัมผัสเนื่องจากไปเรียนต่อต่างประเทศเป็นเวลานาน ทว่าเมื่อเห็นครั้งใดก็พานให้เขารู้สึกว่าตัวเองควรเรียนเมืองไทยเสียมากกว่า จะได้มาต่อปากต่อคำกับน้องชายช่วยพ่อด้วย

    ตรัยยอมรับกับตัวเองอยู่ในใจว่าเขาเถียงมันไม่ทัน ก่อนลงนั่งข้างน้องชายและมองถาดของดองตาปริบๆ 

    “นี่อะไรน่ะสี่”

    “ผลไม้ดอง กินแล้วจะทำให้อาการแพ้ท้องดีขึ้น”

    “เฮ้ย เฮียไม่ได้แพ้ขนาดนั้น” พี่ชายแย้ง

    “แหม จ้า ไม่แพ้จ้า แล้วที่ถือในมือนั่นรีโมทรถเหรอ เห็นชัดๆ ว่ายาดมส้มมือ ‘ของสี่’ ไม่ใช่เหรอ” จตุรวัชรเน้นคำท้ายๆ เป็นพิเศษ

    “เคยเป็น” ตรัยแก้ “แต่เฮียยึดแล้ว เข้าใจตรงกันนะ”

    “จ้ะๆ พ่อคุณ พ่อมหาจำเริญ ถ้าสบายใจก็ทำไป ขัดคนแพ้ท้องขี้หงุดหงิดมันบาป” น้องชายเบะปาก “เฮียลองกินก่อนเถอะ ถ้ากินแล้วดีขึ้นก็สั่งพี่ส้มว่าให้ใครไปซื้อที่ซอยฝั่งตรงข้ามบ.เรานะ จะมีเป็นตู้กระจกหน้าร้านก๋วยเตี๋ยว เจ้านั้นอร่อย สะอาด ทำเองด้วย”

    “อื้อๆ” พี่ชายรับคำอย่างไม่ใส่ใจ เขาพิจารณาดูผลไม้ทีละชนิด “อันไหนเปรี้ยวน้อยหน่อย?”

    “ลองๆ จิ้มดูเอาสักอัน เป็นของดองมันก็เปรี้ยวอยู่แล้ว” คนออกเงินซื้อแทบไม่ได้ให้คำแนะนำอันใด

    แน่ละ ตรัยรู้ดีว่ามะยมมันมีรสเปรี้ยวอยู่ เช่นนั้นเขาจะเลี่ยง

    มะกอกนี่เคยกินแต่ในอาหารทางยุโรป เขาก็รู้รสดี และเขาจะยังไม่สนใจ ชายหนุ่มมองอยู่นานก่อนลองจิ้มเอาผลไม้ที่หั่นเป็นเสี้ยวทรงโค้งๆ เข้าปาก โดยมีน้องชายน้องชายให้กำลังใจด้วยการทำหน้าหวาดเสียวแทนเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายเลือกคือมะดัน

    จตุรวัชรมองคนที่เคยดูการแสดงสดเพลง Like A Virgin ของ ‘ขุ่นแม่มะดันน่า’ แต่ไม่รู้จักลูกมะดัน

    ตอนเขาเรียก Madonna เช่นนั้นพี่ชายยังเข้าใจว่าหมายถึงใคร...ซับซ้อนยิ่งนัก

    “อร่อย ขอบใจนะสี่” ตรัยเอ่ย ก่อนจิ้มมันเข้าปากเพิ่มอีกชิ้น แล้วตามด้วยมะยมเม็ดจิ๋ว จากนั้นเขาก็ยกของดองไปทั้งถาดเพื่อวางไว้บนโต๊ะทำงาน นั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามทศเดช และยังชวนผู้เป็นพ่อกินผลไม้ด้วยอย่างมีกตเวที ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่โบกไม้โบกมือไม่ขอยุ่งเกี่ยว

    “แล้วพ่อมาทำไมฮะเนี่ย” จตุรวัชรถามด้วยความประหลาดใจ

    “ประชุมเป็นอย่างไรบ้างล่ะสี่” ทศเดชตอบด้วยคำถาม

    “ก็ยังมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะ” เขาตอบ “นอกเหนือจากเรื่องที่เราจะใช้โซเชียลเน็ทเวิร์คโปรโมทร้านมากขึ้น ก็มีเรื่องยอดจากยุโรปที่ชะลอตัวไปเริ่มกลับมาแล้ว ถึงยังไม่ดีนักแต่ก็เป็นแนวโน้มที่ดี ที่ยากคือการหาลูกค้าใหม่ สถานการณ์การเมืองภายในประเทศเราไม่ค่อยเสถียร เสียความเชื่อมั่นไปเยอะ ถึงกลุ่มลูกค้าเก่าจากต่างประเทศจะไม่แคร์อะไร เพราะรู้ฝีมือกันดี แต่ลูกค้าใหม่นี่สิ เราจะวิ่งหาดีลได้ยากมาก ส่วนลูกค้าในประเทศตอนนี้นอกจากคนที่ลอยตัวจากทุกปัญหาแล้ว ส่วนใหญ่เก็บเงินไว้ลงทุนมากกว่า”

    “แต่เรื่องดีก็มีครับ” ตรัยเสริม “ยอดจากการทำตลาดในประเทศกลุ่มเพื่อนบ้านอย่างจริงจังอย่างที่สี่บอกไว้เมื่อหลายปีก่อนตอนนี้กำลังผลิดอกออกผล จากทางเมียนมาร์หลังเปิดประเทศนี่เริ่มมียอดสั่งซื้อมากขึ้นกว่าก่อนนั้นแล้ว ที่ดีสุดคือการโร้ดโชว์ที่อินเดียคราวก่อน สินค้าทุกชิ้นโดนจองและมีรายการสั่งซื้อเพิ่ม”

    “ดีจริง แต่ไม่พอ” จตุรวัชรแย้ง

    ทั้งพ่อและพี่ชายหันมองเขาพร้อมกัน

    “สี่มองว่าที่เราขายของได้เพราะร้านใหญ่ซื้อเอาไปวางในร้านเขา ไม่ใช่เป็นยอดซื้อจากผู้บริโภคโดยตรง ตลาดอินเดียเป็นตลาดใหญ่และคนชอบอัญมณีเครื่องประดับอยู่แล้ว และคนรุ่นใหม่ก็กำลังจะโตขึ้นมา ของอะไรที่เป็น ‘ลุค’ แบบเดิมๆ มันจะขายพวกนั้นไม่ได้ ของอย่างเราสิ ทันสมัย ต้องจริตเขามากกว่า” เขาเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น “เราต้องทำให้ได้มากกว่านี้ เราต้องมีร้านของเราเองที่นั่น คนต้องเดินเข้าร้านแล้วซื้อของเรา เพราะมีป้ายชื่อเราอยู่หน้าร้าน ไม่ใช่วางปะปนกับของคนอื่น มันไม่ได้ สี่อยากให้เรามีร้านที่เป็นแฟล็กชิปในอินเดียอย่างน้อยสักร้าน เลือกทำเลที่ดี จุดที่เหมาะสม”

    ผู้ที่อยู่ในห้องตั้งใจฟังพลางพยักหน้าเห็นด้วย

    “แต่การที่เราจะไปเปิดอะไรใหม่ เราก็ต้องหาของใหม่ไปให้เขา” จตุรวัชรเอนหลังพิงพนัก “เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของสี่ ฝ่ายออกแบบจะต้องมีอะไรให้ดูในการประชุมครั้งหน้า”

    ทศเดชสบตากับตรัยและยิ้มน้อยๆ ก่อนพูดขึ้นมา “แล้วสี่ไม่สนใจไปทางตะวันออกกลางหรือลูก ก็มีคอนเนคชั่นนี่นา”

    “ชีคเฟาว์ซี ชีคของสี่” ตรัยเสริม...อันที่จริงน่าจะเรียกว่าทับถมมากกว่า

    น้องชายจิกตามอง “แหม่ พูดถึงบ่อยจัง แอบชอบเขาล่ะสิ ชอบผู้ชายมีหนวดมีเคราสินะ”

    พี่ชายยักไหล่ “เฮียเป็นคนตรงๆ ไม่เหมือนคนที่ปากแข็งไม่ยอมพูดหรอกน่า ใจอ่อนยวบแล้วซี”

    “น่าจะโรยยาถ่ายลงผลไม้ดองซะก็ดี” จตุรวัชรแยกเขี้ยวใส่ “เอาจริงๆ ทางนั้นยาก ทั้งที่แรงซื้อเขาเยอะแต่มันยาก เพราะเขาซื้อสิ่งที่ ‘มีชื่อ’ เขารวยขนาดที่ว่ามีเหมืองเป็นของตัวเองกัน เขามีเพชรแล้วเขาจะส่งไปให้บริษัทไหนทำให้เขาก็ได้ด้วยซ้ำ หรือถ้าคนที่ไม่มีเหมือง เขาอยากได้อะไร เขาก็ซื้อของที่มีคุณภาพ แต่มีคุณภาพแล้วไม่ติดแบรนด์จะซื้อทำไม ก็ซื้อแบรนด์สิ” คนพูดถอนหายใจ “เอาจริงๆ ถ้าเราทำของเราให้เป็นแบรนด์ทางสายแฟชั่นได้มากกว่านี้ ชีวิตเราจะง่าย”

    ตรัยมองหน้าทศเดช แล้วจึงเอื้อมไปกดอินเทอร์คอม “พี่ส้มครับ เอาของเข้ามาหน่อย ขอน้ำมาเติมให้ผมกับพ่อด้วยนะครับ”

    “รับทราบค่ะคุณตรัย”

    ไม่นานนักเลขานุการก็เดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารสีชมพูช็อกกิ้งพิงค์ ซึ่งทำให้จตุรวัชรสนอกสนใจอย่างยิ่ง

    “พี่ส้มฮะ ออฟฟิศเราใช้แฟ้มสีๆ ด้วยเหรอ สี่นึกว่าจะมีแต่ที่แผนกสี่”

    เธอยิ้ม “อันนี้เป็นกรณีพิเศษค่ะ”

    “วันหลังพี่ส้มหาสีฟ้า สีม่วงเอามาให้เฮียอ่านเอกสารบ้างนะฮะ สดใสดี”

    “ถามเฮียยัง” ตรัยสวน มือพลางเลื่อนแก้วให้แม่บ้านซึ่งเดินเข้ามาเติมน้ำให้ “ขอบคุณมากครับคุณน้า ขอบคุณมากครับพี่ส้ม เดี๋ยวผมมีอะไรจะเรียกอีกที” 

    ทั้งสองเดินจากไป ทิ้งห้องไว้เหลือแต่จตุรวัชรที่เริ่มเดินไปหยิบกระท้อนเชื่อมมากินที่โซฟา “ว่าแต่แฟ้มไรอะ งานด่วนเหรอ สี่ออกไปก่อนมั้ย”

    “สี่ต้องอยู่” ทศเดชตอบ เขากางแฟ้มวางบนโต๊ะ ทำให้ลูกชายสงสัยและเดินไปยืนข้างพี่ชาย ที่เขาเห็นคือภาพสเก็ตช์มือรูปเครื่องประดับดีไซน์ต่างๆ รวมทั้งหมดแล้วก็หลายสิบรูป

    และนั่นเป็นของเขา

    “เฮ้ย!” จตุรวัชรร้องลั่น “นี่มันของสี่ งานของสี่ นี่พ่อขโมยมาเหรอ!”

    “เปล่า” พ่อตอบ “เรียกว่าขโมยไม่ได้ นี่คือตัวสำเนา แค่แอบเอาไปทำสำเนา”

    “รับมุขหน่อยสิพ่อ” ลูกชายทำปากคว่ำ

    “นี่พ่อจริงจัง” 

    จตุรวัชรคิดว่ามันต้องมีเรื่องอะไรที่สำคัญ ไม่เช่นนั้นพ่อคงไม่หยิบงานของเขามาโดยพลการ ปกติแล้วทุกคนในบ้านจะเคารพความเป็นส่วนตัวของกันและกันอย่างยิ่ง

    “สี่ พวกนี้เหมือนจะไม่ใช่งานออกแบบให้กับร้านเราใช่ไหมลูก”

    “ฮะ” 

    “แล้วสี่ทำไปทำไม”

    “สี่ออกแบบเล่นๆ ว่างๆ นอกเวลางานนะ สี่ไม่ได้ทำงานฝิ่น*ในเวลางานเน้อ” เขาออกตัว

    “เหมือนเป็นเครื่องประดับของผู้ชาย...ดูโมเดิร์นด้วย” ทศเดชพลิกดูทีละหน้า

    “ฮะ ไม่ใช่กลุ่มลูกค้าของร้านเรา” ชายหนุ่มอธิบายเพิ่ม “สี่ก็เลยคิดๆ อยู่ว่าอาจจะทำเอง จ้างโรงงานกับทีมผลิตของเราทำ แล้วก็คงขายตามที่มีคอนเนคชั่น คือยังไงสี่ก็อยากเห็นมันออกมามีตัวตนจริงน่ะนะ เงินเก็บก็มีอยู่ คิดว่าน่าจะพอทำได้ แต่จะไม่ให้กระทบกับงานนะพ่อ พ่อกับเฮียก็รู้ว่าสี่ขยันทำงานขนาดไหน คนอื่นเป็นจิ้งหรีดร้องรำทำเพลง สี่นี่!” เขาตบอก “ทำงานหนักตลอดเวลา อย่างกับมดน้ำผึ้ง*!”

    พี่ชายกะพริบตาปริบๆ “จิ้งหรีดกับมดน่ะเข้าใจ ทำไมต้องมดน้ำผึ้ง”

    “เพราะมดน้ำผึ้งมันสวย ดูบั้นท้ายอวบเต่งของมันที่ดูดน้ำผึงไว้จนเต็มและเป็นสีเหลืองอำพันสิ งดงาม!”

    “ถุย” พี่ชายปาส้อมค็อกเทลที่ใช้จิ้มมะดันลงถ้วย

    “มดน้ำผึ้งมันเก็บน้ำผึ้งไว้ในก้นจนเต่งไง ทำงานหนัก สี่ก็ทำงานหนักนะ!”

    “พ่อรู้” คนพูดยิ้มเพราะภูมิใจ “แต่สี่ไม่เหนื่อยหรือลูก ไม่ได้ทำงานอย่างที่ตัวเองชอบ”

    “ก็ทำนี่ไงพ่อ” เขาตอบทันที “สี่ไม่เคยเกลียดงานดีไซน์ของร้านเรา ทุกคนในแผนกสี่ทำงานได้ดี สี่แค่อยากลองทำเฉยๆ แต่ถ้ามันมีผลต่อร้าน สี่จะไม่ทำ เนี่ย ดูสิ เป็นมดงานแสนขยันขนาดนี้ เพิ่มเงินเดือนกับโบนัสให้หน่อยสิ”

    ทศเดชมองหน้าตรัย พยักพเยิดเบาๆ คล้ายรู้กัน...ในสิ่งที่จตุรวัชรเดาไม่ได้

    “สี่ทำอย่างที่อยากทำเถอะ” พี่ชายกล่าวเสียงนุ่ม หลังจากเงียบมานานจนมะดันหมดถ้วย “แต่พ่อกับเฮีย จะขอเชิญให้สี่ออกจากการเป็นหัวหน้าแผนกออกแบบ”

    “ฉิบหายละ” จตุรวัชรเบิกตากว้าง สีหน้าตระหนกเสียจนพ่อกับพี่ชายขวัญเสีย “พ่อ เฮีย แล้วสี่จะได้เงินชดเชยที่โดนเลย์ออฟมั้ย?”

    ตรัยทำปากคว่ำเลียนแบบน้องชาย

    ทศเดชค้อมกาย เท้าศอกกับโต๊ะ และก้มหน้าใช้มือนวดขมับอย่างเหลืออดเหลือทนกับลูกชายคนเล็ก


    (จบบทที่ ๕)


    มโน หมายถึงจิตใจ แต่ในความหมายของคำคะนอง คือนึกคิดไปเอง

    Balmain แบรนด์จากฝรั่งเศส โดยการก่อตั้งของ ปิแอร์ บัลแมง (Pierre Balmain)

    Industrial Loft

    งานฝิ่น - งานนอก งานฟรีแลนซ์

    Honeypot Ant





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in