เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[นิยาย] ดุจเรือนใจMepMhee
ดุจเรือนใจ (บทที่ ๓)

  • “กลับมาแล้วค่า”

    ภามินเอ่ยด้วยความเคยชินทั้งที่อาจจะไม่มีคนขานรับ หญิงสาววางกระเป๋าและทุกสิ่งไว้บนพื้นกระเบื้องสีเข้ม ก่อนถอดรองเท้าส้นสูงแอบเอาไว้ข้างตู้สีโอ๊คหน้าบ้าน แล้วจึงหอบสัมภาระบางส่วนเดินขึ้นไปยังห้องนอน

    ห้องส่วนตัวของเธอตกแต่งด้วยโทนสีเทาและดำ ดูเรียบขรึมผิดวิสัยห้องผู้หญิง ถ้าจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งทำให้ห้องนี้เหมือนห้องนอนสาวๆ ก็คงเป็นโต๊ะเครื่องแป้งที่ยาวเป็นเคาน์เตอร์ย่อมๆ ในห้องแต่งตัวที่อยู่ติดกัน ภามินเดินผ่านประตูสีขาวเข้าไปยังส่วนที่เธอรักที่สุดของบ้าน พลางมองทุกสิ่งรอบกายเหมือนทุกครั้งที่กลับมาถึง

    ข้างที่เก็บเสื้อผ้าแบบวอล์คอินมีตู้บิลท์อินใบหนึ่งอยู่ มันเต็มไปด้วยเครื่องสำอางที่จัดหมวดหมู่ไว้อย่างเป็นระเบียบ บางชิ้นเป็นยี่ห้อเดียวกันก็มีหลากสีละลานตา ชวนให้คนเป็นเจ้าของรู้สึกอิ่มเอมกับของสะสมและของใช้ หญิงสาวหยิบกระเป๋าแต่งหน้าแบบพกพาเก็บไว้ในตู้ หย่อนถุงกระดาษสีดำไว้หน้ากระจกอย่างระมัดระวัง ก่อนเดินออกมายังส่วนของห้องนอนซึ่งมีพื้นที่รอบเตียงติดกับหน้าต่างบานยาวเพียงเล็กน้อย เพื่อเปิดหน้าต่างให้ลมหอบไอเย็นจากสวนเข้ามา ตอนแรกสร้างห้องนี้พ่อบอกว่ามันเล็กเกินไป แต่หญิงสาวก็ยังดึงดันออกแบบเองจนได้ห้องนอนในฝัน ที่ไม่ได้มีไว้ทำกิจอันใดนอกจากซุกหัวนอนโดยแท้ 

    ทว่าอีกฝั่งหนึ่งของผนังเป็นห้องทำงานที่มีตู้หนังสือเต็มทุกฝั่งผนังจากพื้นถึงเพดาน สันหนังสือการ์ตูนหลากสีเรียงรายเป็นระเบียบกินพื้นที่กว่า ๗๐% เช่นเดียวกับนิยายซึ่งเรียงแน่นขนัดในอีกตู้หนึ่งและเริ่มล้นไปที่ตู้ว่างข้างๆ ส่วนตู้ติดกัน เป็นโมเดลหุ่นยนต์และตุ๊กตาผู้ชายหน้าหวานสูงกว่าสองฟุต ซึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ที่เธอเป็นคนไสไม้ ออกแบบ และตอกตะปูด้วยมือตนเอง

    ด้านล่างเป็นกล่องพลาสติกมีฝากันฝุ่นซึ่งใช้เก็บกระดาษเปล่าสีขาวที่เรียงกันอยู่เป็นตับ ข้างๆ กันคือกล่องใส่บรรดาสีมาร์คเกอร์หน้าตาคล้ายสีเมจิกของเล่นเด็กน้อยกว่าร้อยแท่ง ถัดจากนั้นก็เป็นถาด จานสี กระบอกใส่พู่กันขนสัตว์ รวมถึงหลอดสีน้ำเกรดอาร์ทิสราคาแพง ซึ่งเจ้าของห้องไม่ได้แตะต้องมานาน ทว่ารักมันมากกว่าที่จะทำให้ยกให้คนอื่นหรือทิ้งไปได้

    หญิงสาววางกระเป๋าใส่แบบบ้านไว้ยังโต๊ะดราฟท์ไฟตัวใหญ่ที่ใช้มาตั้งแต่สมัยเรียน เธอมองกระดาษขาวเปล่าๆ ที่ถูกขึงทิ้งเอาไว้พลางคิดเป็นครั้งที่ร้อยเห็นจะได้ ว่าเธอต้องการกำจัดมันออกไปจากห้องทว่ายังตัดใจไม่ได้เสียที จากนั้นเธอจึงหันไปเปิดคอมพิวเตอร์ยี่ห้อดังที่มีแต่เพียงหน้าจอบางขนาด ๒๑ นิ้ว เปิดบราวเซอร์เพื่อเข้าไปอ่านและตอบอีเมลงานการทั้งหมดทั้งมวลอยู่เกือบสิบนาที แล้วจู่ๆ เธอก็ชะงัก เมื่อเห็นภาพอาหารจากเฟซบุ๊คของเพื่อน เจ้าของห้องจึงลงบันไดย้อนกลับไปหยิบกล่องพลาสติกใส่อาหารที่วางไว้จนลืมบนตู้เก็บรองเท้า

    ภามินเดินผ่านห้องนั่งเล่นที่เพลง ‘ขอให้เหมือนเดิม’ ฉบับดั้งเดิมดังขึ้น ผลงานอมตะของวงสุนทราภรณ์ดังมาจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงของเก่าแก่ที่วางอยู่มุมห้อง เป็นสัญลักษณ์แสดงว่าผู้ที่กลับมาถึงบ้านก่อนคือพ่อ หญิงสาวจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิดอย่างรู้ดีว่าตอนนี้ท่านจะอยู่แห่งใด

    ห้องครัวของบ้านนี้เป็นอาณาเขตของผู้ชาย ได้แก่ ภากรผู้เป็นบิดาและภาคินพี่ชายบังเกิดเกล้า ชายทั้งสองนิยมการทำอาหารและมีฝีมือดี จนภามินซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวของบ้านไม่เคยต้องกระดิกตัวไปทำอะไร ทักษะทำครัวของเธอหยุดอยู่ที่การทอดไข่เจียวซึ่งเป็นระดับสูงสุด ส่วนการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นเรียกว่าดีในระดับเอาชีวิตรอดได้

    เมื่อเดินผ่านเข้ากรอบประตูไป ห้องครัวที่ขนาดใหญ่โตเหมือนทำไว้รองรับคนในบ้านสักหกเจ็ดคนก็ทำให้เธอรู้สึกตัวกระจ้อยร่อย หญิงสาวเห็นร่างสูงพอสันทัดของบิดายืนง่วนล้างจานอยู่หน้าซิงค์ฉาบด้วยปูนเปลือย บนไอส์แลนด์กลางห้องมีเขียงและมีดเซรามิคอย่างดีวางทิ้งเอาไว้รอการล้าง

    “สวัสดีค่ะพ่อ ทำอะไรอะ ฮ้อมหอม”

    “อ้าว กลับมาแล้วหรือลูก กินข้าวรึยัง” พ่อถามกลับโดยไม่หันมามอง

    “กินแล้วค่า กินที่บ้านลูกค้า แม่บ้านทำอาหารอร่อยมากกก ตัวจะแตก” ภามินตอบผู้ที่กำลังถอดแว่นเอาชายเสื้อเช็ดฝ้าขาวที่เกิดเพราะไอร้อนจากหม้อที่ตั้งไฟอยู่ เธอเก็บกล่องอาหารใส่ตู้เย็นแล้วจึงหันกลับมา “นี่เห็นแพร์ชอบเลยใส่กล่องมาให้ด้วยเนี่ย” 

    “งั้นก็ไม่กินซุปไก่ของพ่อแล้วซี” พ่อสวมแว่นกลับคืน ยิ้มล้อเธอด้วยใบหน้าที่ดูอย่างไรก็เป็นผู้ชายใจดี 

    แล้วคุณภากรก็ใจดีจริงๆ ด้วย

    “พ่ออย่าน้อยใจซี่ กินสิกิน” หญิงสาวเอ่ยอย่างกระตือรือร้น ทั้งที่รู้ว่าพ่อเย้าตนเล่น “ไว้กินดึกๆ ไงคะ แพร์หิวแน่เลย คืนนี้ท่าทางได้เกือบๆ โต้รุ่งอีกแหง”

    “ทำงานสายนี้ก็ลำบากอย่างนี้แหละ” ภากรหัวเราะลูกสาว พลางชี้ให้อีกฝ่ายนั่งเลยที่โต๊ะกินข้าวเล็กกลางครัว “พ่อเตือนแล้วใช่ไหม ว่าเป็นผู้หญิงถ้ามาสายนี้จะลำบาก”

    “ก็แพร์ชอบนี่...ก็ใครใช้ให้แพร์เกิดมาเป็นลูกสาวสถาปนิกล่ะคะ”

    ชายวัยหกสิบกว่าหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม “อย่ามาอ้าง พี่ชายเราเขายังไม่มาทางนี้เลย”

    “ฮู้ย แต่ก็เป็นวิศวกรแหละน่า ห่างกันนิดนึง” 

    ผู้เป็นพ่อตักซุปที่มีมันฝรั่ง แครอท และปีกบนไก่ในน้ำซุปใสกรุ่นควันขาวใส่ถ้วยเล็ก ก่อนยกมาวางตรงหน้าลูกสาว “ชิมหน่อย”

    “ไม่ต้องชิมก็รู้ว่าอร่อย” เธอตอบอย่างเอาใจ ก่อนตักกินจนหมด คนทำจึงรู้คำตอบ โดยที่ไม่คาดคั้นให้ลูกสาวเอ่ยอะไร “ทำไมวันนี้พ่อกลับไวคะ โดดงานที่บริษัทเหรอ”

    “ช่าย” 

    ลูกสาวหัวเราะคิด เมื่อพ่อตอบอย่างตรงไปตรงมา

    “ไปเดทกับสาวที่ไหนมาคะ”

    “ก็พูดไปเรื่อยน่ะแพร์” เขาหัวเราะเพราะรู้ว่าลูกสาวเย้าเล่น

    ภามินรู้ดีว่าตั้งแต่ที่แม่เสียไปตอนเธอเพิ่งขึ้นประถมพ่อก็ไม่เคยคิดแต่งงานใหม่ แต่ใช่ว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิง ในเมื่อพ่อก็ยังหนุ่มแน่น และหล่อเหลา ไม่แปลกที่จะมีหญิงสาวมาติดพัน ทว่ากว่าที่เธอจะรับรู้เรื่องนี้ ก็เป็นตอนที่เธออยู่มหาวิทยาลัยแล้ว ก่อนหน้านั้นพ่อเงียบเหงา และดูคล้ายทำใจไม่ได้ที่เสียภรรยาไปจากอุบัติเหตุ กลายเป็นเธอและพี่ชายที่คุ้นชินกับมันมากกว่า อาจเพราะท่านทำหน้าที่แทนแม่ได้ดีเหลือเกิน ลูกทั้งสองถึงไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไรไป แม้พ่อจะเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย และมีบริษัทของตนเอง แต่พ่อยังมีเวลาให้ลูกๆ เสมอ 

    เธอคิดว่าหาผู้ชายดีอย่างพ่อคงยาก เพราะในหมู่แฟนที่เคยมีมา ไม่เห็นมีใครได้สักครึ่งของท่านเลย

    “ที่บริษัทเป็นยังไงบ้างแพร์”

    “ก็ดีค่ะ” ภามินยิ้ม ก่อนทิ้งตัวลงนอนเกยกับโต๊ะ “พอมาทำบริษัทของตัวเองนี่ก็เหนื่อยนะพ่อ ตอนพ่อทำงาน พ่อหาวิศวกรเก่งๆ จากไหนคะ”

    “ในวงเหล้า” 

    “ฮะ!” ลูกสาวร้องเสียงหลง

    “ก็แดกเหล้ากันมาตั้งแต่สมัยเรียน พอจบออกมาก็ได้รุ่นพี่รุ่นน้องหรือเพื่อนนี่แหละแนะนำกัน” ภากรยกหม้อลงจากเตา ก่อนถอดผ้ากันเปื้อนพาดเอาไว้ยังไม้แขวน “แพร์ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือลูก ในบริษัทนี่ก็น้องๆ นี่”

    “ใช่ค่ะ” ตอนที่เธอกับเพื่อนคิดตั้งบริษัทกันเอง ก็ได้ชักชวนรุ่นน้องที่เป็นสายรหัสมาทำงานด้วยกัน ไม่ใช่ว่าชวนเพราะหาใครไม่ได้ แต่ทั้งหมดเคยทำโปรเจคต์ที่เป็นงานฟรีแลนซ์มาด้วยกันนานแล้ว จึงรู้มือกันดี

    “ตอนเริ่มต้นมันไม่ง่ายเท่าไหร่หรอกลูก”​ เขาลูบศีรษะเบาๆ คล้ายให้กำลังใจ “แต่ต่อไปนี่ยากสัตว์ๆ เลยนะ”

    “พ่ออ๊ะ” ลูกสาวส่งเสียงกระเง้ากระงอด ทำให้ชายสูงวัยหัวเราะออกมาได้

    ตอนเรียนจบมาใหม่ๆ ภามินเคยทำงานออฟฟิศพักหนึ่ง ก่อนออกมาทำงานกับพ่อและพี่ชายอยู่ไม่นาน จากนั้นไปเรียนต่อที่อังกฤษหนึ่งปี พอกลับมาเลยเข้าไปทำในบริษัทใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ แล้วนี่เธอก็เพิ่งจะออกจากงานอีกรอบเพราะได้หุ้นกับเพื่อนเปิดบริษัทของตนเอง จะเรียกว่ายังล้มลุกคลุกคลานก็ไม่ถูกนัก เพราะการที่จะออกมาทำงานของตัวเองได้ต้องมีพอร์ตรวบรวมผลงานอยู่บ้างแล้ว อีกทั้งต้องมีคอนเนคชั่นพอเพียง ทุกอย่างถึงจะดำเนินไปได้ ไม่ใช่ว่านึกอยากจะทำก็ทำได้เลยเสียเมื่อไหร่

    “โลกของการเรียนกับการทำงานมันไม่เหมือนกัน” ภากรยกอุปกรณ์ทำครัวที่เลอะแล้วไปวางไว้ในซิงค์โดยไม่ทำอะไร เพราะรู้ดีว่าเดี๋ยวลูกสาวก็จะมาล้างให้ “ตอนลูกทำธีสิสกัน ก็คงคิดว่านี่คือจุดสิ้นสุดของโลกแล้ว แย่กว่านี้ไม่มีแล้ว แต่ไม่ใช่ ชีวิตการทำงานมันมีอีก”

    “มีแย่ที่สุดในระดับเท่ากัน แพร์รู้ แต่แย่ในเรื่องอื่นๆ ไง ลูกค้างี้...” ลูกสาวถอนหายใจยาวทั้งที่ยังนอนพาดกับโต๊ะ “เดี๋ยวแพร์ไปอาบน้ำอาบท่าทำงานต่อก่อนดีกว่า พ่อวางของทิ้งไว้ในซิงค์นะ เดี๋ยวแพร์จัดการเอง”

    “เดี๋ยวรอให้ซุปเย็นอีกนิด ค่อยยกใส่ในตู้เย็นนะ” เขาเช็ดมือกับผ้าขนหนูที่แขวนไว้กับผนังเหนืออ่างล้างจาน ก่อนเดินมาลูบผมลูกสาวเบาๆ “กินเยอะๆ นะลูก พ่อกลัวแพร์ทำงานหนักจนป่วย วิตามินที่พ่อซื้อมาก็กินเอาไว้ให้เป็นประจำล่ะ”

    “พ่อของแพร์นี่น่ารักจริงๆ” เธอขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ คว้ากอดเอวพ่อไว้ “แต่ปลาบปลื้มพ่อนานไม่ได้หรอก เดี๋ยวไม่เหลือเวลานอน”

    ภากรสั่นศีรษะเบาๆ “มีงานบริษัทแล้วก็ไม่น่ารับงานนอกอีก”

    “แพร์แค่ทำเหมือนที่พ่อต้องเหนื่อยหนักเลี้ยงแพร์มาไง” ลูกสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เดี๋ยวแพร์เลี้ยงพ่อเอง”

    “เลี้ยงทำไม” ผู้เป็นพ่อหัวเราะลั่น “ไปแต่งงานแต่งการ เลี้ยงลูกเต้าของตัวเองไป”

    “โอ๊ยยยย พ่อเนี่ย” ภามินผุดนั่งตัวตรง มองคนที่ยังไม่หยุดหัวเราะ “ก็รู้อยู่ว่าทำงานสายนี้ก็เหมือนเป็นหญิงเดี่ยวยืนตีนเดียวเหนี่ยวคานทองกินลมไปแล้ว”

    “นั่นนางสวาหะ” ภากรเสริมพลางขยี้ผมลูกสาวทำให้เธอต้องปัดป้องเหมือนที่ทำตอนเด็กๆ 

    “พ่ออ๊ะ ผมแพร์ยุ่งงง”

    เขาหัวเราะ หยุดมือ ก่อนเอ่ยต่อ “แต่นางสวาหะยังมีพระพายพัดมาให้ป่องมีลูกเป็นหนุมาน มีหลานให้ฤาษี ทำไมแพร์ทำเหมือนกันแล้วไม่มีฮึ”

    “เป็นนางสวาหะแบบอัพเกรดระบบปฏิบัติการแล้วน่ะสิพ่อ” ลูกสาวโอ่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “พระพายพาลมรักมาให้ไม่กระเทือนร้อกกก ต้องลมเพลมพัดทำของใส่ แพร์ถึงจะรักจะหลงใครได้”



    ภามินเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดกางเกงเจเจลายพร้อยสีส้ม และเสื้อยืดสีเทาสกรีนลายเป็นชื่อคณะภาษาอังกฤษ มันเก่า ย้วย และมีรูพรุนอยู่หลายจุดเพราะเนื้อผ้ากินตัว ส่วนคอเสื้อก็ยุ่ยอย่างที่พี่ชายบอกว่า 

    ‘อีกนิดก็เป็นระบายแล้ว’ 

    เขาเอ่ยพลางสั่นศีรษะ เมื่อเห็นน้องสาวสวมเสื้อยืดที่ซื้อมาจากเพื่อนร่วมคณะตั้งแต่สมัยเรียน และไม่ใช่ว่าเพิ่งหยิบมาใช้ แต่ใส่มาตลอดสิบกว่าปี 

    เธอนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดไฟที่ติดรอบกระจกสะท้อนให้เห็นภาพหญิงสาวหน้าตาไทยๆ พอจะสะสวยในระดับธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งชั้นตาหลบในเสียจนต้องพึ่งเทปทำตาสองชั้นทุกวัน จมูกที่เห็นเป็นสันโด่งยามแต่งหน้าก็เพราะพอได้จากพ่อแม่มาบ้าง แต่หลักๆ ที่ถือเป็นบุญคุณต่อหนังหน้าเธอคือบรอนเซอร์สีน้ำตาลที่ใช้สร้างเงาควบกับแต่งไฮไลท์เพิ่งให้ดูนูนขึ้นมา ทว่าจุดดูแล้วน่าปวดใจสาหัสคือคิ้วที่เธอกันพลาดจนบางและหางคิ้วกุด คนนิยมแต่งหน้าและบรรดาบิวตี้บล็อกเกอร์*หลายคนนิยมกันคิ้วเช่นนี้ เพราะมันง่ายต่อการสร้างทรงคิ้วแบบต่างๆ 

    แต่เธอไม่ใช่คนที่แต่งหน้าทุกวัน

    ภามินเลือกแต่งหน้า ‘เต็ม’ ในวันที่จะต้องมีคนมาพบปะ 

    อาชีพสถาปนิกไม่ได้มีเวลาในยามเช้าเหลือเฟือเป็นชั่วโมงขนาดตื่นมาแต่งหน้าจัดเต็มได้ หากต้องใช้เวลากับการเสริมแต่งหน้าตาก่อนไปทำงานนานขนาดนั้น หญิงสาวเชื่อว่าเพื่อนๆ ร่วมอาชีพก็คงขอเปลี่ยนมันเป็นเวลานอนเสียมากกว่า แต่ขณะเดียวกันเธอก็ชื่อว่าการมีคิ้วทำให้หน้าผีกลับมาดีกลายเป็นคนได้ 

    การไม่มีคิ้วจึงเป็นเรื่องใหญ่อย่างยิ่ง

    ‘ช่วงนี้แกถือศีลห้าหรืออุโบสถศีลกัน’ พี่ชายทักเธอเมื่อตอนเช้าวันก่อน ขณะที่เธอเตรียมออกไปทำงาน

    ‘อะไรอะพี่พลับ’

    ‘เอ๊า นึกว่าเตรียมเข้าวัดถือศีล’ เขาร้องอุทานด้วยท่าทางประหลาดใจเกินเหตุ ก่อนยกนิ้วป้ายคิ้วดกดำของตนเอง ‘เนี่ย วันโกนแล้วเหรอ เตียนยังกะยักษ์วัดแจ้งยักษ์วัดโพธิ์มาแข่งกันเต้นแบรคแดนซ์บนหน้าผาก’

    นั่นทำให้หญิงสาวต้องวิ่งกลับไปเขียนคิ้วในทันที

    ก่อนไปทำงานเธอจึงแค่ลงครีมกันแดด ผัดแป้งนิดหน่อย เขียนคิ้วให้หน้าผากดูไม่โล้น กรีดอายไลเนอร์ให้ตาดูไม่ปรือ ลงสีแก้มให้คนไม่รู้ว่าซีดเพราะนอนไม่พอ และเติมสีปากเบาๆ ไม่ให้เห็นรอยแตกแห้ง ทั้งหมดทั้งมวลเสร็จสิ้นได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที นี่คือทักษะที่สั่งสมมาเป็นสิบปี แต่ช่วงนี้บวกไปอีกสามสี่นาที เพื่อถมคิ้วให้สวย

    อดทนรอ...จนกว่าวันที่มันจะกลับมางอกงามอีกครั้งหนึ่ง

    หญิงสาวใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่บนบ่าเช็ดผมให้แห้งหมาด ก่อนใช้ดรายร์เป่าลมร้อนให้แห้ง แล้วจึงใช้หวีจัดให้เป็นทรงพร้อมเป่าลมเย็นให้ผมเซ็ทตัว หลังจากผมแห้งดีแล้วเธอก็เก็บอุปกรณ์ทุกอย่างใส่ตู้อย่างเป็นระเบียบ แล้วหันกลับมายังเคาน์เตอร์แต่งหน้า มองถุงกระดาษใบจิ๋วที่เพิ่งได้มาจากคุณตรัยและอนุตดา

    ‘ของฝากค่ะ’ ฝ่ายภรรยาเอ่ยพลางเลื่อนถุงกระดาษให้ ‘ไม่แน่ใจว่าจะซื้ออะไรมาฝากจากที่ไปฮันนีมูนมาดี แพนก็เลยถามสี่ สี่บอกว่าซื้อพวกนี้ให้คุณดีกว่า’

    ‘สี่ก็กลัวเหมือนกันฮะ ว่าคุณแพร์จะมีตัวนี้แล้ว’ จตุรวัชรตอบ ก่อนหยิบจานสีเขียวอ่อนซึ่งมีขนมช่อม่วงจากถาดที่แม่บ้านถือเอาไว้แจกให้ทุกคน ‘ตอนโทรไปถามเรื่องความคืบหน้าครั้งก่อนโน้น เลยแอบแย็บๆ ถามเรื่องเจ้านี่ เห็นว่าคุณแพร์ยังไม่มีโครงการซื้อ เลยบอกให้เฮียจัดมาซะเลย’

    ในตอนนั้นเธอเปิดถุงและต้องระงับความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ แต่ในยามนี้ ในที่รโหฐาน ภามินจึงหยิบมันออกมาวางและออกอาการ ‘กรี๊ดกร๊าด’ เสียเต็มที่ เธอหยิบกล้องมิเรอร์เลส*ตัวจิ๋วออกมาถ่ายเก็บไว้ ตั้งแต่กล่องกระดาษที่มีสัญลักษณ์ยี่ห้อดัง ระหว่างแกะกล่อง จนถึงตัวกล่องโลหะขนาดยาวกว่าฝ่ามือ แล้วเธอยังเจาะถ่ายพาเลทท์สีของอายแชโดว์ที่เรียงกันสวยงามอยู่ข้างในอีก

    ทีแรกว่าจะกลับมากดสั่งซื้อคืนนี้ แต่อยู่ดีๆ สวรรค์ก็ประทานไอเท็มสุดฮิตของบิวตี้บล็อกเกอร์มาให้ มิหนำซ้ำยังได้ลิปสติกคอลเลกชั่นพิเศษที่เพิ่งวางขายในสหรัฐอเมริกาเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนมาครบเซ็ทสองแท่ง นี่ยังไม่รวมมาส์กหน้าที่จตุรวัชรแบ่งมาให้จากของฝากพี่ชายซื้อ(แต่เจ้าตัวบอกว่าจะเบี้ยวเงินพี่ชาย)

    ช่วงนี้เธอดวงขึ้น...จนชวนให้สงสัยว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องอะไรให้เหนื่อยหนักไหม

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้เจ้าของห้องต้องผละจากของรักชิ้นใหม่ไปเปิด

    ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเสมอเข่ายืนตระหง่านค้ำหัว ใบหน้าละม้ายคล้ายเธอของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าปรากฏรอยย่นที่หัวคิ้ว ทั้งด้วยวัยและอารมณ์ที่แสดงออกมา

    “อ้าว กลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อไหร่อะพี่พลับ” ภามินทัก

    “นานพอที่จะเห็นหนุ่มขับรถแอสตันมาร์ตินมาส่งแพร์” พี่ชายยิ้มมุมปาก “แฟนคนล่าสุดเหรอ ดูไฮโปรไฟล์กว่าทุกคนนะ ไม่แนะนำให้พ่อกับพี่รู้จักล่ะ”

    “โวะ รถลูกค้า จริงๆ คือรถน้องชายลูกค้า ไปคุยแบบที่บ้านพ่อแม่เขามา แพร์ไม่ได้เอารถไป เขาเลยมาส่ง”

    “เออ ก็พูดไปงั้นแหละ อย่างแกหนุ่มที่ไหนจะมาส่ง คงไล่ขึ้นรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชนมากกว่า”

    ภามินฟาดพี่ชายที่ต้นแขนไปทีหนึ่ง ทำให้เขาหัวเราะพอใจที่แกล้งน้องสาวได้ได้ ภาคินเดินเข้าห้องนอนด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนนั่งลงบนบีนแบ็กหนังสีดำที่เจ้าของห้องเอาไว้นอนเกยอ่านการ์ตูน และรูปร่างใหญ่โตผิดจากคนในครอบครัวทำให้เฟอร์นิเจอร์ไซส์เอ็กซ์แอลดูเล็กลงถนัดตา

    “พี่พลับกลับมายังไงอะ ไม่เห็นรถเลย”

    “เอารถเข้าศูนย์ พรุ่งนี้ไปเอา”

    “นั่งรถเมล์ฟรีกลับมาเหรอ”

    “มุขซ้ำ พี่นั่งแท็กซี่กลับมา” คนพูดคว้ามือเปะปะเจอตั้งการ์ตูนที่เรียงไว้ตั้งแต่เล่มหนึ่งถึงยี่สิบกว่า “เรื่องนี้หนุกปะ”

    “สนุกดี เกี่ยวกับศัลยแพทย์ นี่หยิบออกมาครึ่งเดียว อีกครึ่งอยู่ในตู้ เอาไปอ่านสิ”

    “ขอบใจ” เขาตอบ ท่าสายตากลับไล่อ่านข้อความในหนังสือการ์ตูนด้วยความสนอกสนใจ

    “นี่ๆ แพร์เพิ่งได้ของฝากจากบ้านลูกค้ามา”

    “ลูกค้าออฟฟิศเหรอ”

    “เปล่า งานนอก ทำบ้านน่ะ งบไม่อั้นเลย รีโนเวท ต่อเติม และตกแต่งบ้านเก่าแถวราชวัตร”

    “ท่าทางลูกค้าแพร์จะยูนีคเอาการ สมัยนี้เห็นแต่คนซื้อบ้านในหมู่บ้าน”

    “เขาบอกว่าราชวัตรของกินอร่อยๆ เยอะกว่า ไม่ต้องขับรถ นั่งรถเมล์เอาก็ได้ นี่ เขาเพิ่งกลับจากฮันนีมูน ซื้อของมาฝากแพร์ด้วย เดี๋ยวเอาให้ดู” ภามินลุกยืน เดินตรงไปหยิบของฝาก

    “ช็อกโกแลตล่ะสิ”

    “เปล่า” น้องสาวตะโกนมาจากในห้องแต่งตัว ก่อนเดินออกมาจากในห้องพร้อมกับถุงกระดาษ “พาเลทท์อายแชโดวส์ ลิปสติก ครีมบำรุง แล้วก็มาส์กหน้า”

    “อื้อหือ ถ้ายังไม่มีวิศวกรฝ่ายโยธาไว้คำนวณส่วนต่อเติมบ้านบอกได้นะ ใจดีงี้อยากสานสัมพันธ์เลย” 

    ภามินหัวเราะเสียงใส เพราะบางครั้งที่เธอต้องหาผู้รับเหมาและวิศวกรสำหรับงานนอก เธอก็ให้พี่ชายเป็นคนจัดการ และให้ตัวแทนจากบริษัทของพ่อไปประมูลเพื่อแข่งขันราคากับรายอื่นด้วย 

    น้องสาวเก็บของใส่ถุงพลางคุยกับพี่ไปด้วย “ลูกค้าแพร์น่าร้าก ไม่เหมือนพี่เชื้อตัวเองอะ คือไปเยี่ยมแฟนที่อังกฤษปะ แบบว่าน้องสาวฝากซื้อของปะ ก็ยังไม่ได้มาอะนะ นี่ถ้าแค่ขอของฝากคงได้ใบเสร็จร้านกาแฟในแฮร์รอดส์”

    “ก็บอกละว่าไม่ว่าง... คราวหน้านะ คราวหน้า” ภาคินเสียงอ่อย 

    “พี่พลับ พรุ่งนี้กลับบ้านไวปะค้า” เธอยิ้มหวานให้พี่ชายขณะที่เขาตอบรับมันด้วยการทำปากคว่ำ “พี่พลับถ่ายฮาวทูให้แพร์หน่อยดิ พี่พลับถ่ายสวยกว่าให้แพร์ตั้งกล้องถ่ายเองนะ”

    “ทำคืนนี้เลยปะล่ะ” ภาคินชวน “ตอนนี้ว่าง พรุ่งนี้จะไม่ว่าง มีการ์ตูนรอห้าสิบเล่ม”

    ภามินเข้าใจทันที ว่าอีกฝ่ายจ้องจะอ่านการ์ตูนของเธอให้จบรวดเดียว “แต่แพร์มีงาน ไม่ว่าง”

    “แพร์ก็ไม่ว่างเหมือนกันทุกวันอะ” พี่ชายเอ่ยอย่างคนที่รู้จักและเห็นวิถีการใช้ชีวิตน้องมานาน “ได้ของมา อยากถ่ายฮาวทู อยากรีวิว ก็รีบทำซะให้เสร็จ เกิดพรุ่งนี้ตายไปแล้ววิญญาณกลับมาหาที่บ้านให้พี่ช่วยถ่ายรีวิวให้ ถึงตอนนั้นทำห่าอะไรไม่ได้แล้วนะ กล้องถ่ายไม่ติด ต้องไปยืมกล้องพี่ป๋อง กพล แบบที่จับวิญญาณได้เอามาถ่ายรีวิว”

    หญิงสาวถอนหายใจยาว “เดี๋ยวแพร์นอนดึกเองก็ได้ ขอเวลาสองชั่วโมง นี่เพิ่งหัวค่ำ พอไหวเนอะ”

    “ไม่รู้” พี่ชายยักไหล่ “พี่ถ่ายเฉยๆ แต่คนที่จะต้องทำรูปและอดนอนน่ะแพร์”


    ภามินใช้เวลาในการปรับแต่งรูปถ่ายไม่นานนัก เพราะไม่ได้ทำรีวิวเครื่องสำอางแบบอัดคลิปวิดีโอ ทว่าที่ต้องใช้เวลา สติ และความตั้งใจอย่างมหาศาล คือการตั้งกระทู้ในเว็บบอร์ดเกี่ยวกับความสวยความงาม ทีแรก...เธอคิดว่าจะรีวิวแค่ตัวแพ็คเกจ เม็ดสี ที่ใช้เพียงแค่รูปถ่ายของตัวผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่พอพี่ชายยุส่งให้แต่งหน้าทำ How to ด้วย เธอเลยปล่อยเลยตามเลย และใช้ของที่เพิ่งได้มาทั้งหมด เป็นส่วนประกอบในการแต่งหน้าลุคที่เพิ่งโพสต์กระทู้ไปเมื่อครู่

    หญิงสาวล้างเครื่องสำอางออกหมดแล้ว และใช้มาส์กของเก่าในตู้เย็นมาแปะบำรุงหน้าขณะที่กำลังใช้คอมพิวเตอร์อยู่ เธอปิดหน้าต่างเว็บบอร์ดนั้นก่อนเปิดโปรแกรมที่ใช้ทำงานขึ้นมา และกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับงานของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง โดยเหลือการติดต่อกับโลกภายนอกไว้แค่โปรแกรมแชทเพียงเท่านั้น

    โลกของความจริงกับโลกเสมือนเป็นสองที่ที่เธอใช้ชีวิตอยู่ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือ พินเทอเรสต์* ที่เอาไว้หาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ภามินเลิกเล่นเกมคอมพิวเตอร์และเกมออนไลน์ไปนานแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอเบื่อมันเพราะเนื้อหาซ้ำซาก แต่เพราะเธอไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะไปสัมผัสจนบอกได้ว่ามันเป็นอย่างไรเสียด้วยซ้ำ เมื่ออายุมากขึ้น การใช้ชีวิตตัวคนเดียวก็มีอะไรให้คิดเพิ่มเป็นตามตัว งานอดิเรกเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ได้พักผ่อนและมีแรงกลับมาทำงานต่อ

    ท้ายสุดแล้วเธอก็เลือกงาน เธอรักงานสายนี้แม้จะเจ็บปวดและเหนื่อยหนักจากมันสักแค่ไหน

    จะว่าไปก็คล้ายนางเอกละครที่โดนพระเอกทำร้ายจิตใจสารพัด ทว่ายังรักและให้อภัยทุกครั้งที่เขามาขอโทษ หลายครั้งที่ใจห่อเหี่ยวเพราะกลัวจะทำงานไม่ทัน หลายคราที่สุขภาพร่อแร่เพราะนอนไม่พอ แต่เมื่อเห็นผลงานออกแบบเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และได้เห็นสายตาปลาบปลื้มของลูกค้าที่ได้มีบ้านหรือออฟฟิศในฝัน เธอก็รู้สึกว่าจะได้ต้องเจ็บกว่านี้ก็ยอม และเธอจะไม่เลิก

    คงเป็นนางเอกละครที่ยื่นหน้าบอกพระเอกว่าตบฉันอีกสิคะ ฉันยินดี

    หลังจากนั่งทำงานไปชั่วโมงกว่า จู่ๆ หน้าต่างโปรแกรมแชทเด้งขึ้นมาพร้อมกันทั้งในโทรศัพท์มือถือและหน้าจอคอมพิวเตอร์ หญิงสาวมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย เพราะชื่อผู้ติดต่อคือภาคิน พี่ชายของเธอเอง


    Pakin

    ไอ้แพร์

                                                                                              PEARIE Dog

                                                                                              พี่พลับมีอะไร


    ไอ้เจ้าโปรแกรมแชทตัวใหม่ที่เธอใช้งานหลังจาก msn ปิดตัวลง ส่งข้อความที่พิมพ์ไปอยู่ในบอลลูนคำพูด ดูแล้วก็น่ารัก แม้แรกๆ จะไม่ค่อยคุ้น แต่เมื่อใช้ทั้งติดต่อเพื่อน ครอบครัว และลูกค้าอยู่ทุกวัน เธอก็ชินไปเอง


    Pakin                                                                                PEARIE Dog

    แพร์ลงรีวิวแป๊บเดียว คอมเมนต์มาตรึมเลย

                                                                                               คนมันฮอท

    ไอ้รุ่นนี้มันฮอทมากเหรอ

                                                                          ใช่ดิ ไทยมีของก็อปแล้วอะ

    ว้า ว่าจะฝากแฟนหิ้วมาขาย ปิ๋วเลย

                                                      นี่มันของอเมริกา แฟนคุณพี่อยู่อังกฤษ

                                                         ถ้าอยากขายหาเงินกรุบกริบก็บอกนะ

                                                                                  ดี๋ยวแพร์แนะนำให้

    ขอบใจมากน้องสาว


    การที่พี่ชายทักมาทำให้เธออยากรู้อยากเห็นว่ามีใครตอบกระทู้อย่างไรบ้าง ภามินจึงทรยศงานตัวเองจนเปิดหน้าเว็บบอร์ดที่รวบรวบเหล่าบิวตี้บล็อกเกอร์และผู้สนใจเกี่ยวกับความสวยความงามเอาไว้ด้วยกัน หญิงสาวสงสัยว่าทำไมจู่ๆ กระทู้ของเธอก็ฮอตขึ้นมา ทั้งที่เครื่องสำอางที่เธอรีวิวก็ไม่ใช่ของหายากหรือไม่เคยมีคนแกะกล่องอวดมาก่อน ตรงกันข้าม เพราะเป็น ‘บิวตี้ไอเท็ม’ ที่สาวๆ หลายคนชอบและมองว่าคุ้ม ในช่วงแรกถึงกับมีกระทู้รีวิว ๔-๕ กระทู้ต่อวันเลยทีเดียว

    แล้วก็เป็นอย่างที่เธอคาด

    คนส่วนหนึ่งสนใจสีลิปสติกที่เป็นคอลเลกชั่นพิเศษมากกว่าอายแชโดว์และฮาวทูแต่งหน้า แต่ก็มีไม่น้อยที่กล่าวถึงการรีวิวเครื่องสำอางด้วยการแต่งหน้าให้เห็นกันจริงๆ ซึ่งมันทำให้คนคิดอยากจะซื้อได้สัมผัสตัวอย่างของการใช้งานจริง มากกว่าแค่เอานิ้วป้ายสีลงบนแขนให้ดู


    ความคิดเห็นที่ ๑ mali is hippy, mali is hippy

    คราวนี้แพร์แต่งตาสวยอะ ดูเบาๆ ใสๆ หลอกให้เชื่อได้เลยว่าแบ๊ว

    ปากก็เบา (แต่เอ๊ะ หูเบาปะยะ) 

    ป.ล.หร่อนเป็นตัวปลอมมมม 


    หญิงสาวหลุดหัวเราะ คอมเมนต์ของพี่ ‘มะลิ’ คุณแม่ลูกสามซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส เธอรู้จักอีกฝ่ายผ่านทางเว็บบอร์ดนี้จนคุ้นเคยกันดีตั้งแต่อีกฝ่ายยังใช้นามแฝงเก่า ถึงได้คอมเมนต์แอบจิกกัดเบาๆ เพื่อความสนุกสนานได้


    ความคิดเห็นที่ ๗ EiEi~~

    พี่แพพพรรรรร์ คราวนี้หวานมากกก ผิดปกติ แต่น่าร้ากกก

    ชอบฮาวทูพี่แพร์จังเลย ไม่ใส่คอนแทคเลนส์สี

    คืออี๋ใส่คอนแทคฯไม่เป็น เดี๋ยวจะแต่งตามน้าาา ร้ากกกกกก ม้วฟฟฟ


    นี่ก็น้องอีกคนหนึ่งซึ่งสนิทสนมกันมากว่าปี พอถามไปถามมาได้ความว่ากำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ ๓ คณะเดียวกัน แต่ ‘เกี้ยมอี๋’ อยู่ภาควิชาออกแบบภูมิสถาปัตยกรรม และเพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันจึงทำให้ได้เจอกันในงานของคณะอยู่เรื่อยๆ ทั้งเธอและอีกฝ่ายเลยสนิทสนมกันไปโดยปริยาย

    ไม่นับเรื่องที่ชอบการ์ตูน แนวเดียวกัน ด้วยอีกประการ

    ภามินเลื่อนหน้านั้นดูผ่านๆ ก่อนจะสะดุดตากับความคิดเห็นของผู้หนึ่ง


    ความคิดเห็นที่ ๙ ฉันเอง ดีงามที่สุดในโลกนี้

    เธอออออออ

    ลุคนี้หวานเป็นนางเอกเชียว เพราะพาเลทท์นี้เป็นโทนชมพูแน่ๆ

    มีแต่ฮาวทูอายแชโดว์อะ ไหนฮาวทูลิป สีสวยยยยยยออก

    เอาสีเจ็บๆ ฟาดปากมาสักลุคสองลุค

    เผื่อสาวๆ หนุ่มๆ แถวนี้จะได้แต่งไปสงกรานต์ได้

    แบบว่าใส่แว่นดำกันแป้ง แต่ปากเจิดจรัสมัดใจหนุ่ม

    เอาปากนีออนฟาดตาผู้ชายเหมือนขับรถเปิดไฟซีนอนตอนกลางคืนเลยยย


    ป.ล. ลุคแพร์นี่ งานคิ้วงานปากไม่มาไม่ได้นะ บอกเลย ดีงามเหมือนเดิม


    เจ้าของกระทู้หัวเราะอยู่ลำพัง เมื่อลองคิดถึงเสียงคนพูดจริงๆ ตามไปด้วย แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ใช้ชื่อจริง แต่สำนวนการพิมพ์ก็ทำให้ทุกคนรู้ได้อยู่ดีว่าเจ้าของความเห็นนั้นเป็นใคร

    เธอรู้ว่าคนที่มาตอบโดยพรางชื่อล็อกอินคือใคร(มีนามแฝงเช่นสมาชิกเว็บคนอื่นแล้วยังจะพรางตัวอีก) สมาชิกคนนี้มีชื่อเสียงในเว็บบอร์ดแวดวงความสวยความงาม ไม่เคยมีใครเห็นตัวจริงของเขา กระทั่งงานมีตติ้งครั้งก่อนหน้าเขาก็ไม่เคยมาร่วม หากส่งของรางวัลเป็นเครื่องสำอางคอลเลกชั่นลิมิเต็ดและครีมบำรุงมาให้กับผู้ดูแลเว็บเพื่อร่วมประมูลสมทบมูลนิธิการกุศล มันน่าแปลกที่สมาชิกส่วนใหญ่วางใจและสามารถสนิทสนมกับอีกฝ่ายได้ในเวลารวดเร็ว ราวกับทั้งหมดร่วมกันตักบาตรพระสงฆ์หมู่มาแต่ชาติปางก่อน กระนั้นก็ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด เจ้าของนามแฝงที่ชอบรีวิวครีมบำรุงทั้งราคาแพงและถูก ถึงได้หายไปราวสองเดือนแล้ว และนี่ก็เพิ่งมาปรากฏตัวให้เห็น 

    ที่คอมเมนต์ในกระทู้เธอเยอะก็เพราะคนนี้มาแสดงความเห็น สมาชิกคนอื่นเลยพากันมาทักทายเสียมากมาย 

    นี่แหละ เจ้าของชื่อ ‘เจ๊สี่’

    แล้วเธอก็นึกถึง ‘สี่’ อีกคน ที่ภาพลักษณ์ไม่ต่างไปเท่าไร่นัก

    หรือนี่เป็นอาถรรพณ์ของชื่อ ‘สี่’

    คุณสี่ที่เธอเพิ่งเจอมาเมื่อกลางวันนี้เป็นน้องชายของลูกค้า เธอไม่ได้เพิ่งมาเจอเขาครั้งแรกตอนที่อีกฝ่ายตามพี่ชายและพี่สะใภ้มาคุยเรื่องบ้าน แต่เป็นในงานแต่งงานของตรัยและอนุตดา



    ในตอนนั้นเธอเบื่องาน เบื่อความดราม่าของลูกค้า แต่เธอไม่ได้หนี ภามินรีบจัดการงานให้เสร็จตามที่เจ้านายบอก แล้วก็ขอลาพักร้อนล่วงหน้าเอาไว้หลายวัน และถือโอกาสรับงานแต่งหน้าเจ้าสาวที่ปกติไม่ค่อยทำ แต่ที่หญิงสาวตกลงเพราะเป็นงานแต่งงานเพื่อนของอภิชญา หรือไอ้ออย รุ่นน้องที่สนิทสนมด้วย อีกประการหนึ่งคือพ่อเธอเป็นแฟนคลับลับๆ ของคุณอนุตดาพิธีกรคนสวย เมื่อเล่าให้พ่อฟังท่านจึงขับไล่ไสส่งให้ออกจากบ้านไปพักผ่อนและทำงาน ทั้งยังสั่งว่าห้ามลืมขอลายเซ็นมาฝากพ่อด้วย

    เธอนึกว่าเธอจะได้พักยาวๆ แต่เธอคิดผิด

    จู่ๆ ก่อนหน้างานไม่กี่วัน  รุ่นพี่ซึ่งงานตึงมือจนทำไม่ทันก็ได้ติดต่อขอความช่วยเหลือ ภามินเร่งทำงานอย่างละเอียดและรอบคอบจนเสร็จ แต่แล้วงานก็ยังไม่จบไม่สิ้น แบบที่ทำไปโดนสั่งแก้ และต้องการก่อนเที่ยงคืน แถมยังมีงานอื่นต่อเนื่องมาอีก นั่นทำให้เธอต้องหอบคอมพิวเตอร์ไปเชียงใหม่ด้วย 

    คืนแรกในรีสอร์ทกลางหุบเขาที่แสนจะโรแมนติก ท้องฟ้าดารดาษด้วยแสงดาวนับล้านเรียงรายและกระจายทั่ว ทว่าเหนือหัวเธอมีแต่โคมไฟที่ไปขอยืมมาจากออฟฟิศของรีสอร์ท แทนที่เธอจะได้นอนหลับสุขสบาย กลับต้องนั่งทำงานในห้องที่ปิดมิดชิดกันมิให้ความเย็นเข้ามา ภามินห่อตัวเองด้วยเสื้อกันหนาวตัวหนา นั่งขดอยู่บนเก้าอี้พลางใช้มือขยับเมาส์ทำงานอย่างแข็งขัน

    เธอส่งงานทั้งหมดตอนตีสองครึ่ง

    หญิงสาวเลิกล้มความตั้งใจที่จะนอน เลยเปิดตู้เย็นซัดเป๊ปซี่ไปเสียขวด และเปิดโทรทัศน์ช่องเคเบิลหาซีรีส์ดูไปพลาง กระทั่งโทรศัพท์มือถือปลุกตอนตีสามครึ่ง เธอจึงลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมกล่องเครื่องสำอางเพื่อแต่งหน้าเจ้าสาว 

    ‘หนูแพร์ตื่นเช้าจัง’ นิลุบลมารดาของเจ้าสาวทัก หลังจากมาเคาะเรียกด้วยตนเอง

    ‘แพร์ยังไม่ได้นอนค่ะ...ทำงานโต้รุ่ง แต่แพร์ไหวค่ะ’

    แทนที่ผู้สูงวัยจะห่วงว่าเธออาจแต่งหน้าให้ลูกสาวตนออกมาไม่ดี กลับถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่ามึนหัวหรือไม่ อยากได้อะไรรองท้องหรือเปล่า เธอเลยได้โจ๊กอุ่นๆ และซุปไก่สกัดหนึ่งขวด

    เขาว่า ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ก็จริงตรงนี้ เจ้าสาวที่นิสัยดี น่ารัก และอ่อนหวาน ก็มีแม่ที่นิสัยไม่ผิดกัน

    ส่วนเธอที่กำพร้าแม่มาแต่เด็กก็คงต้องหาวิธีพิสูจน์ทางอื่นแทน

    ภามินแต่งหน้าให้เจ้าสาวและเจ้าบ่าวเสร็จแล้วทว่ายังมีเวลาเหลือ เธอจึงแต่งหน้าให้แม่เจ้าสาวด้วยเสียอีกคนหนึ่ง แล้วนั่นก็เป็นช่วงที่พลังงานที่เธอสะสมเอาไว้หมดเกลี้ยง หญิงสาวลางานหมั้นและรดน้ำสังข์ช่วงเช้า และขอไปร่วมงานตอนเย็นแทน โดยไม่ลืมไถ่ถามว่าตกลงใครจะเป็นคนแต่งหน้าเจ้าสาวสำหรับงานกลางคืน เพราะเธอได้รับว่าจ้างมาสำหรับงานเช้าเท่านั้น แต่ถ้าหากไม่มีใครทำงาน เธอจะได้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 

    ‘น้องเจ้าบ่าว คุณสี่น่ะค่ะ เป็นคนจัดการ’ 

    หญิงสาวรับทราบ และในตอนนั้นเธอยังไม่คิดอะไรมากไปกว่าขอทิ้งตัวลงเตียง

    ทันทีที่หัวถึงหมอน เวลาก็หายไปหลายชั่วโมง ภามินรู้สึกตัวตื่นอีกทีจวนได้เวลางานเลี้ยงฉลองตอนเย็นแล้ว หญิงสาวเลือกเดรสสีสันสดใสตามคอนเซปต์งานที่อยากให้แต่งอะไรเข้าธีมดิสโก้ แต่เนื่องด้วยเป็นปลายฤดูหนาวเธอจึงต้องสวมเสื้อโค้ทเข้าชุดกันทับไว้อีกตัว

    งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นอย่างสนุกสนาน เป็นกันเองเพราะมีแต่เพื่อนของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แขกของพ่อแม่ที่ทำให้บ่าวสาวต้องยิ้มแห้งๆ ตลอดงาน ทั้งตรัยและอนุตดาต่างหัวเราะให้แก่กันอย่างมีความสุข เมื่อวงดนตรีป๊อบแจซชื่อดังเเริ่มบรรเลง ทั้งสองต่างผลัดกันออกไปเต้นรำกับแขกและบ้างก็กลับมาเต้นรำด้วยกัน ทำให้เกิดภาพโรแมนติกชนิดที่แขกหลายคนคว้ากล้องตัวใหญ่ขึ้นมาถ่ายโดยพร้อมเพรียง สมกับที่บ่าวสาวถูกแนะนำว่าเป็นคนรักการถ่ายรูปเหมือนกัน จึงไม่แปลกที่จะมีเพื่อนในแวดวงนี้

    งานจัดเป็นแบบค็อกเทล แม้ซุ้มอาหารที่เรียงรายโดยรอบจะดูเป็นซุ้มไม้พื้นถิ่น ทว่าอาหารที่จัดมาเลี้ยงนั้นล้วนเป็นอาหารชั้นเลิศ ทั้งอาหารไทย อาหารเหนือ อาหารฝรั่งเศส และปลาดิบเกรดเยี่ยม ที่เพื่อนเจ้าบ่าววิ่งเข้ามาต่อคิวจากเธอพร้อมจานหลายใบ โดยมีวงก๊งเหล้านั่งผิงไฟคลายหนาวรออยู่อีกหลายคน

    เมื่อได้เวลา พ่อแม่ของทั้งตรัยและอนุตดาก็เข้าไปทำพิธีในเรือนหอ แขกบางส่วนทยอยกลับเข้าห้องพักของตนเอง พวกเพื่อนเจ้าบ่าวยังสรวลเสเฮฮากับปลาดิบและเตาหมูกระทะที่เสกมาจากในครัว เปลี่ยนจากงานปาร์ตี้ค็อกเทลมีระดับกลายเป็นวงขี้เมาต้านภัยหนาวไปในทันที

    ภามินหลบไปนั่งยังโต๊ะที่จัดไว้ด้านใน ใกล้ๆ เวทีเล็กที่ไม่มีใครรู้ว่าเอาไว้ทำอะไร จู่ๆ ‘จตุรวัชร’ ก็เดินมาในชุดราชปะแตนผ้านุ่งสีกลีบบัวพร้อมหิ้วซอสามสายสีดำสนิท ทั้งที่เมื่อครู่ยังใส่เสื้อสูทผูกไทกางเกงขาสั้นท้าหนาวให้หนังหน้าแข้งลอกกันเป็นหมู่คณะกับก๊วนเพื่อนเจ้าบ่าว ผู้มาสมทบคือคนที่อภิชญา...ไอ้ออย เพื่อนของเจ้าสาวแนะนำเมื่อเย็นว่าเขาเป็นน้องชายของเจ้าบ่าว และเป็นคนเลือกช่างแต่งหน้าเจ้าสาวสำหรับงานเลี้ยง รวมควบคุมดูแลการจัดงานรวมถึงการจัดดอกไม้

    ภามินมองผมสีน้ำตาลอ่อน ต่างหูเพชรที่ติ่งหูซ้ายซึ่งล้อแสงไฟเป็นประกาย แข่งกับแสงวิบวับจากส่วนหนึ่งของซอสามสายที่เป็นตุ้มแปะอยู่หน้าหนัง

    ความสมัยใหม่ของรูปลักษณ์กับเสื้อผ้าและเครื่องดนตรีไทย เป็นความขัดแย้งที่เก๋ไม่หยอก

    จู่ๆ ชายหนุ่มในชุดไทยเดินไปที่เวที หยิบไมโครโฟนบนขาตั้งพื้นมาด้วย แล้วเขาก็ทรุดตัวลงนั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยม ปรับตำแหน่ง ขยับไมโครโฟนให้อยู่ใกล้ซอในระยะที่น่าจะเหมาะสม ก่อนเคาะเบาๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงออกชัดเจนดี ทั้งลำโพงในบริเวณงาน และสายอีกทางหนึ่งซึ่งแยกไปทางห้องหอ

    สายอะไร?

    ภามินนึกสงสัย แต่ก็ไม่รู้จะถามใครได้

    แล้วจตุรวัชรก็ใช้คันชัก...ที่ฝังเพชรวิบวับเหมือนกัน สีกับสายซอและใช้นิ้วเรียวกดให้เกิดเสียงโน้ตไล่สูงต่ำ เป็นเพลงไทยอ่อนหวาน อย่างที่คนไม่รู้จักเพลงไทยเดิมเลยอย่างภามินยังว่านุ่มนวล ไพเราะ จนแขกหลายคนเดินกลับออกมาจากห้องพักเพื่อฟังเพลงซอหวานกังวานก้องไปใบหุบเขา

    ‘อื้อหือ สีตับวิวาห์พระสมุทร’ เธอได้ยินแขกสูงวัยท่านหนึ่งเอ่ยกลั้วหัวเราะ ‘ไม่เห็นงานยุคใหม่งานไหนเล่นเพลงกล่อมหอแล้ว’

    ภามินก็เพิ่งรู้ว่านี่คือเพลงกล่อมหอ เพราะตลอดชีวิตไม่เคยได้ไปงานแต่งงานที่มีเครื่องดนตรีไทยอยู่ด้วยซ้ำ

    เมื่อเพลงกล่อมหอจบลง จู่ๆ เพื่อนฝรั่งผมทองของเจ้าบ่าวก็เข้าไปใกล้พร้อมกับไมโครโฟนอีกตัว เขานั่งพับเพียบราวหัดนั่งมาแต่อ้อนแต่ออก มือก็ถือไมโครโฟนจ่อปากผู้ที่ปรับสายซอ น้องชายเจ้าบ่าวตั้งท่านิ่ง ก่อนเริ่มบรรเลงเพลงต่อ

    หญิงสาวสาบานว่าคุ้นทำนองเพลง แต่นึกชื่อไม่ออก เหมือนเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่งที่ฮิตอยู่ในช่วงนั้น ทว่าพอชายหนุ่มเปล่งเสียงออกมา ความสงสัยก็มลายสิ้น

    ‘มีเมียเด็กต้องหมั่นตรวจเช็คร่างกาย...’

    เหลือแต่เสียงสำลัก หลายคนระเบิดเสียงหัวเราะ

    น้องชายเจ้าบ่าวคนนี้ไม่ธรรมดา

    เขาต้องมีรสนิยมวิไลเฉิดฉายกว่าชายทั่วไปเป็นแน่แท้

    เริ่มจากผมสีน้ำตาลอ่อนยาวระคอ เสื้อราชปะแตนสมกับเป็นสุภาพบุรุษแต่นุ่งโจงกระเบนสีกลีบบัว ไหนจะนั่งพับเพียบได้นิ่งกว่าสาวสมัยนี้ รวมถึงการที่เขาสีซอสามสายได้ไพเราะ และเหนืออื่นใดความวูบวาบที่มาคู่กับเขาราวเป็นเอฟเฟกต์ประจำตัว ตั้งแต่ต่างหูเพชร แหวนเพชร ซอสามขายฝังมุกประดับเพชร

    ทีแรกหญิงสาวคิดว่าเพชรที่ประดับอยู่คงเป็นเพชรสำเพ็งที่เอาไว้ประดับ แต่เมื่อรู้จักจตุรวัชรมากขึ้นอีกนิด เธอก็เชื่อโดยไม่คิดสงสัยว่านั่นคงเป็นเพชรแท้อย่างแน่นอน

    ภามินดีใจที่โลกนี้มีคนสร้างสีสันในชีวิตตัวเองกระทั่งล้นหลากออกมาให้ผู้อื่นได้ชื่นชม 

    ไม่นับเรื่องที่เธอกับเขาคุยกันเรื่องเครื่องสำอางได้ถูกคออีกประการ 

    พอกลับมาเรื่องนี้ ภามินก็คิดว่าชื่อ ‘สี่’ นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ



    ภามินปิดหน้าต่างเว็บกลับไปทำงานต่อได้อีกราวชั่วโมง แล้วจู่ๆ โปรแกรมแชทก็เด้งขึ้นมากลางดึก โดยผู้ที่ทักมานั้นคือพ่อของเธอ


    Papa_Pud                                                                          PEARIE Dog

    แพร์ วันเสาร์นี้ว่างไหมลูกพ่อลืมถาม

    จะนัดกินข้าวกันหน่อย ถามพี่พลับแล้ว เขาว่างนะ

                                                                                    เดี๋ยวน้า แพร์เช็คก่อน

                                                      อ้อ แพร์ว่างตอนเย็นๆ อะพ่อ หกโมงเลยงี้

                                                                          พอดีนัดมีตติ้งกับเพื่อนเอาไว้

                                                 ได้ค่า เดี๋ยวนัดกันสักทุ่มก็ได้เนอะ กินข้าวเย็น

    ไม่กวนละ แพร์หิวอย่าลืมอุ่นซุปไก่กินนะ

                                                                                              ร้ากกกกพ่อ จุ๊ฟๆ


    หญิงสาวปิดหน้าต่างสนทนากับพ่อ ก่อนมองตารางนัดหมายในสมุด เธอเพิ่งนึกออกว่าวันเสาร์ที่จะถึงนี้เป็นวันนัดมีตติ้งของเว็บบอร์ดที่เธอเพิ่งโพสต์ฮาวทูแต่งหน้าไป ช่วงที่เปิดให้ลงชื่อและจ่ายเงินค่าอาหารกัน ภามินติดงานอยู่เลยฝากเพื่อนจัดการให้ทั้งหมด นั่นอาจจะทำให้เธอลืม แต่ยังโชคดีที่จดเอาไว้ ไม่เช่นนั้นคงได้เผลอนัดซ้อนเป็นแน่

    นึกถึงมีตติ้งแล้วก็เนื้อเต้น ภามินเริ่มคิดแล้วว่าตนเองจะแต่งตัวและแต่งหน้าอย่างไร มีรองเท้าคู่ไหนที่อยากใส่ มีการแต่งหน้าแบบไหนที่อยากลอง

    แม้ในตอนนี้มือเธอจะยังจับเมาส์กอดเข่าเจ่าจุกนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็ตามที

    ชีวิตสาวโสด สามสิบกว่า สายงานนี้ก็เป็นเช่นนี้

    ภามินนึกแล้วก็ต้องถอนใจ ก่อนลุกไปยังตู้กระจกเพื่ออุ้มตุ๊กตาตัวใหญ่กว่าสองฟุตมาจากเก้าอี้ เธอวางตุ๊กตาผู้ชายหน้าตาเหล่อเหลาพิงผนังไว้ข้างๆ จอคอมฯ พร้อมจัดท่าให้เหมือนตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลที่นอนเอกเขนกราวพระปางไสยาสน์

    ตอนนี้เธอนอนไม่ได้ แต่ขอให้ตุ๊กตามันผ่อนคลายแทนเธอก็ยังดี


    จบบทที่ ๓

    fb page : จตุรดา - เอื้องอลิน - เมพหมี

     Blogger ผู้ที่เขียนบล็อกหรือไดอะรี่ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม รูปร่าง และบ้างก็สอนเทคนิคการแต่งหน้า

    Mirrorless กล้องที่พัฒนาโดยให้สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ มีคุณภาพของภาพถ่ายเท่ากล้อง DSLR แต่มีขนาดกะทัดรัดเหมือนกล้อง compact

    Pinterest.com 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in