เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryPutt Proudparin
Chapter 8 กว่าจะถึงไทยแลนด์
  •                ปกติแล้ว การเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิถึงสนามบิน Heathrow ลอนดอน ประเทศอังกฤษ หากเป็นบินตรง ก็จะใช้เวลา 11 ชั่วโมง แต่หากมีการต่อเครื่องที่ประเทศอื่นๆ ก็จะใช้เวลามากกว่านั้น อาจจะประมาณ 20 ชั่วโมงเลยก็ได้ แต่ถ้าถามฉันว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ กว่าจะเดินทางจากโรงพยาบาลที่อังกฤษ ถึงประเทศไทย นั้น สำหรับฉันแล้วฉันรู้สึกว่ามันช่างนานแสนนานเหลือเกิน ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในช่วง 2 เดือนก่อนที่จะกลับไทย โดยไม่ได้มีกำหนดการมาก่อน มันช่างยุ่งยาก มากมายเต็มไปหมดจริงๆ

                   ในตอนที่ฉันอยู่โรงพยาบาลที่อังกฤษนั้นจะมีแพทย์ 2 ท่านเป็นหลักในการรักษาฉัน ทั้ง  2 ท่านนี้จะผลัดกันแวะมาหาฉันทุกวัน บางทีก็ทั้ง 2คนในวันเดียวกันคนนึงมาตอนเช้า อีกคนมาตอนบ่ายเป็นต้น เพราะอาการของฉันในตอนนั้นไม่ค่อยจะสู้ดีนักจึงต้องติดตามอาการกันอย่างใกล้ชิด อีกอย่างหนึ่งก็คือเนื่องด้วยฉันมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำจึงทำให้ทุกครั้งที่มีการเจาะเลือดที่แขนหรือข้อพับของฉันนั้นจะทิ้งรอยเขียวช้ำไว้เสมอ จนกระทั่งพยาบาลที่ทำหน้าที่เจาะเลือดให้ฉันไม่กล้าเจาะให้ เพราะกลัวว่าฉันจะเจ็บ ซึ่งฉันก็ย้ำแล้วและบอกตลอดว่า เจาะได้ฉันไม่เจ็บหรอก ฉันชินซะแล้ว โดนเจาะวันนึงหลายๆ รอบแบบนี้ แต่พยาบาลก็ยังไม่กล้าภาระหน้าที่นี้จึงถูกโยนไปที่คุณหมอเจ้าของไข้ ที่จะต้องมาเจาะเลือดฉันเอง บางครั้งคุณหมอก็มาตอนที่ฉันกำลังนอนกลางวันก็ต้องปลุกฉันขึ้นมาแล้วขอโทษขอโพยฉันที่รบกวน แต่ว่าจะต้องขอเลือดหน่อย เป็นอยู่แบบนี้เกือบทุกวันจนกระทั่งบางวันที่หมอมาหาแต่ไม่ได้มาเพื่อเจาะเลือด ฉันก็นึกว่ามาเจาะเลือดคุณหมอแซวฉันว่านี่หมอกลายเป็นฝันร้ายของเธอไปแล้วเหรอ หรือบางทีก็พูดเล่นว่าหมอเป็นเหมือนแวมไพร์เลย มาดูดเลือดเธอไปทุกวันๆแต่หมอไม่ได้เอาไปกินนะ ฮ่าๆๆๆ

                    กว่าที่ฉันจะได้ออกจากโรงพยาบาลนั้นก็มีเรื่องให้ลุ้นตัวโก่งกันหลายเรื่องเช่น เรื่องวีซ่าของแม่และน้องสาวที่เตรียมตัวจะมารับฉันเนื่องด้วยช่วงที่จะมานั้นเป็นช่วงฤดูร้อนของที่อังกฤษ จึงทำให้มีชาวไทยจำนวนมากขอวีซ่าเพื่อมาท่องเที่ยวทั้งแม่และน้องของฉันจึงถูกจัดอยู่ในคิวนั้นด้วยซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลานานกว่าจะได้วีซ่า แต่ในสถานการณ์ตอนนั้นมันไม่สามารถรอได้อีกแล้ว หมอก็ถามฉันแทบทุกวันว่าคนในครอบครัวจะมารับหรือเปล่า?เมื่อไหร่จะมาได้? เพราะว่าหมอมีหลายเรื่องที่ต้องอธิบายให้คนในครอบครัวฟัง (จริงๆแล้วเพราะฉันเร่งหมอเรื่องกลับบ้านด้วย) จนคุณหมอเสนอขึ้นมาว่า ถ้าอย่างนั้นหมอจะเขียนจดหมายถึงสถานฑูตอังกฤษในประเทศไทยให้เผื่อว่าจะทำให้ขอวีซ่าได้เร็วขึ้นให้ฉันส่งอีเมลล์จดหมายอันนั้นไปให้ที่บ้าน และมันก็ได้ผล วีซ่าของแม่และน้องสาวอนุมัติทันทีภายใน3 วัน หลังจากยื่นจดหมายไปที่สถานฑูตทั้งแม่และน้องจึงจองตั๋วเครื่องบินและบินมาหาฉันภายในสัปดาห์นั้นเลยทีเดียว

                    หลังจากที่แม่และน้องสาวของฉันได้เดินทางมาถึงอังกฤษแล้วเพื่อนๆของฉัน ก็ช่วยดูแล และไปรับที่สนามบิน พร้อมทั้งพามาโรงพยาบาลมาฉันจากนั้นคุณหมอ และ ล่ามภาษาไทย (ทางโรงพยาบาลได้เตรียมมาเผื่อไว้ในกรณีที่มีปัญหาในการสื่อสาร) ก็ได้เข้ามาพบ หมอได้อธิบายถึงรายละเอียดของโรค SLEว่าสามารถเกิดอะไรขึ้นได้บ้างอาการของฉัน การรักษาที่ฉันได้รับ ข้อควรปฎิบัติตัว และแผนการรักษาเมื่อกลับไปประเทศไทยคุณหมอทั้ง 2 ท่านนั้นให้ความเมตตาฉันเป็นอย่างมาก ท่านย้ำแล้วย้ำอีกว่าโรคนี้เป็นโรคที่ต้องการการรักษาและใช้ยาต่อไปอีกนานรวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการทำเคมีบำบัดที่ราคาสูงเมื่อฉันกลับไปประเทศไทยทางครอบครัวฉันแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะสามารถดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ เพราะหากว่าฉันยังอยู่ที่อังกฤษต่อไปหมอสามารถช่วยให้ฉันได้รับการรักษาโดยไม่ต้องใช้เงินได้เพราะหมอจะเอาฉันเป็นกรณีศึกษาของโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว คุณแม่ของฉันก็เข้าใจความปรารถนาดีของคุณหมอและ รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งที่คุณหมอยินดีจะให้การช่วยเหลือ แต่ว่าการที่แม่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาฉันที่นี่ก็เพื่อพาฉันกลับเท่านั้น หากว่าคุณหมอจะอนุญาติ

                    หลังจากที่คุยกันเสร็จแล้ววันนั้นคุณหมอก็บอกว่า เอาล่ะความดันฉันอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยที่พอจะเดินทางกลับโดยเครื่องบินได้แล้วผลเลือดก็ดีขึ้นมาก ถึงแม้จะยังไม่ปกติซะทีเดียว เป็นห่วงแต่เรื่องติดเชื้อก็ขอให้ฉันระวังให้มากในระหว่างเดินทางแต่ถึงอย่างนั้นก็ตามวันก่อนที่จะถึงวันเดินทางคุณหมอก็ได้ให้เคมีบำบัดฉันอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อที่ฉันจะได้ไปทำอีกแค่ 1ครั้งที่ประเทศไทยเท่านั้นจะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายที่เมืองไทยให้ฉันไปได้อีกเป็นแสน การให้เคมีบำบัดครั้งนั้นฉันรู้สึกอุ่นใจมากมีทั้งแม่ ทั้งน้อง และเพื่อนๆ มาให้กำลังใจเพียบ ไม่ต้องนอนจ้องตากับพยาบาล 2คนอีกแล้วเราทั้งถ่ายรูปเล่นกัน แม่ก็คุยกับพยาบาล โดยมีฉันเป็นล่าม เพื่อนทั้งคนรักอยู่ล้อมรอบ ฝากนั่งกินขนมไปคุยกันไป ให้ยาไปสบายๆ เวลา 3 ชั่วโมงผ่านไปเร็วมาก และก็เหมือนกับทุกๆครั้งการให้ยาครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี ฉันไม่มีอาการแพ้ใดๆ เกิดขึ้น เรียกได้ว่ากำลังใจดีมีชัยไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นหมอก็ยังไม่ได้ให้ฉันออกจากโรงพยาบาลในวันนั้นทันทีเพราะก่อนหน้านี้ฉันได้แจ้งวันกลับตามตั๋วเครื่องบินไว้คุณหมอก็เลยบอกว่าให้ฉันออกจากโรงพยาบาลได้ในวันที่กำหนดบนตั๋วนั่นแหละโดยให้ฉันเดินทางออกจากโรงพยาบาลและตรงไปสนามบินเลยเท่านั้นฉันผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะว่าอย่างน้อยฉันก็อยากเห็นลอนดอนที่เคยเป็นบ้านของฉันตั้งเกือบสองปี เป็นครั้งสุดท้าย อย่างน้อยก็ขอพาแม่กับน้องไปร้านอาหารที่ฉันชอบไปขอไปทานเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี จึงรบเร้ากับคุณหมอ ว่าพอจะเป็นไปได้มั้ยให้ฉันได้มีความทรงจำดีๆ ครั้งสุดท้ายแบบนี้ (ดราม่ามาก ฮ่าๆๆๆ)การอ้อนวอนของฉันเป็นผลคุณหมออนุญาติให้ฉันออกจากโรงพยาบาลได้ในบ่ายก่อนวันเดินทาง เป็นเวลาสั้นๆ 3ชั่วโมงแล้วฉันจะต้องกลับมานอนโรงพยาบาลต่อ และออกได้จริงๆในวันรุ่งขึ้นที่จะต้องไปสนามบินนั่นแหละ แค่นั้นฉันก็ดีใจมากแล้ว

                    เพื่อนๆของฉัน ก็บริการเต็มที่เรียกแท็กซี่มารอที่โรงพยาบาลกันในบ่ายวันนั้น(ด้วยสภาพที่ฉันยังถือว่าเป็นคนป่วยอยู่ จะให้ไปขึ้นรถไฟใต้ดินเหมือนตอนปกติคงจะไม่ได้เพื่อนๆฉันได้ตระหนักดี แต่ในตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรเลยบอกแต่แค่ว่าขึ้นรถไฟใต้ดินไหว ค่าแท็กซี่มันแพง ฉันไม่เจียมตัวเลยจริงๆ และต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่เป็นห่วงฉัน ไม่อย่างนั้นฉันคงได้ติดเชื้อตั้งแต่ในรถไฟใต้ดิน ไม่ทันได้ขึ้นเครื่องบินกลับแน่ๆรถไฟใต้ดินนี่สกปรกมากๆ) เพื่อที่เราจะได้ไปทานอาหารไทยกันแม่เองก็ต้องการเลี้ยงขอบคุณทุกๆคน ที่ดูแลฉันแทนแม่เป็นอย่างดีด้วยอาหารเย็นซักมื้ออีกด้วย อาหารเย็นมื้อนั้นเป็นมื้อที่อร่อยมาก ที่ฉันจะไม่มีวันลืมเลย ได้ทานข้าวกับแม่กับ เพื่อน อาหารก็ถูกปาก ยิ่งทานกับคนถูกใจด้วยแล้ว มันช่างเป็นมื้อที่วิเศษมากๆเลยทีเดียว 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in