เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryPutt Proudparin
Chapter 10 : ปาฏิหาริย์
  •    จากคำบอกเล่าของครอบครัวฉันฉันไม่รู้สึกตัวไปเป็นเวลา 3 สัปดาห์เต็มๆ อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจได้รับสารอาหารทางสายยาง เนื่องจากปอดของฉันทั้ง 2 ข้าง โดนไวรัส2 ชนิดเข้าเล่นงานคือเชื้อไวรัส PCP และ ไรโนไวรัสในระหว่างที่ฉันไม่รู้สึกตัวนั้น แพทย์ได้ให้การรักษาทุกชนิด ทั้งยาฆ่าเชื้อยาเพิ่มภูมิคุ้มกันที่ชื่อว่า IVIG ทำการกรองพลาสมา (Plasmapheresis) แม่บอกหมอว่าทุ่มค่ารักษาไม่อั้นเพื่อรักษาชีวิตลูกไว้ ให้หมอดำเนินการได้เต็มที่ไม่ต้องรอถามเพื่อขออนุญาตยาทุกอย่างที่จะใช้รักษาได้ถูกใส่เข้ามาในร่างกายฉัน มือทั้ง 2 ข้าง เท้าทั้ง2 ข้าง ขาหนีบ ถูกเจาะหาเส้น เพื่อใช้ในการให้ยา แม่เล่าให้ฟังว่าคุณแม่ถามหมอทุกวันว่าจะรอดมั้ยคุณหมอก็ไม่สามารถตอบอะไรได้ ตอบเพียงแค่ว่าให้ดูไปวันต่อวัน ส่วนญาติๆ และเพื่อนๆที่ได้ไปเยี่ยมต่างก็บอกเพียงแค่ว่าคงมีแค่ปาฎิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยได้ คุณพ่อคุณแม่และน้องสาว กังวลมาก แต่ที่ทำได้ก็คือเร่งทำบุญ เอาบุญช่วยเพราะการรักษาทุกอย่างที่ดีที่สุด ก็ได้ทำให้แล้ว ท่านทำทุกบุญทุกวัน

                    เคราะห์ร้ายกว่านั้นด้วยความเจ็บปวด ทรมาน หรือ ฉันเป็นคนไข้ที่ดื้อแม้ในจิตใต้สำนึกหรืออะไรก็แล้วแต่ พี่ๆ พยาบาลในวอร์ด ICU เล่าให้ฟังหลังจากที่ฉันฟื้นแล้วว่า ฉัน “สู้”มาก ฉันต่อสู้กับเครื่องมือแพทย์ที่ประเดประดังอยู่บนร่างกายฉัน ทั้งดิ้นทั้งเอามือดึงออก จนกระทั่งต้องเอาผ้ามามัดแขนขาฉันไว้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังกัดบางส่วนของเครื่องช่วยหายใจขาด หล่นลงไปในปอดของฉันซึ่งแน่นอนว่าทำให้ปอดฉันทะลุ และทำให้การรักษายุ่งยากกว่าเดิมเนื่องจากต้องทำการนำชิ้นส่วนอันนั้นออกมา และปอดที่ใช้งานไม่ได้อยู่แล้วยังต้องมีบาดแผลเพิ่มขึ้นอีกทีมแพทย์จึงตัดสินใจให้ยาสลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย เพื่อให้ฉันสงบลง

                    แม่เล่าให้ฟังว่าสภาพของฉันตอนนั้นใครเห็น ก็บอกได้คำเดียวว่ารอดยาก คือ ไม่ได้สติอะไรเลย ตาลืม เปิดค้าง หัวห้อยแขนขาปวกเปียก พยาบาลต้องคอยพลิกตัวให้เป็นระยะเพื่อป้องกันแผลกดทับแต่ถึงอย่างนั้น ก็มีเพื่อนที่สนิทจริงๆ 2-3 คนเท่านั้นที่แม่อนุญาติให้เข้าไปเยี่ยมได้เพราะแม่ไม่อยากให้ใครเห็นลูกสาวในสภาพแบบนั้นแล้วบอกกับแม่ว่าลูกไม่รอดแน่ๆแม่ไม่อยากฟัง ถึงจุดนี้แล้ว แน่นอนว่าญาติๆหลายคนก็อาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าช่วย ทั้งไหว้เจ้า ไหว้พระ เอาหมดส่วนแม่เองที่ทำได้เวลา หมอให้การรักษาแล้วให้ญาติรอด้านนอก คือนั่งสวดมนต์บทแล้วบทเล่า ชวนญาติผู้ป่วยที่อยู่เตียงข้างๆที่โดนไล่ออกมารอด้านนอกให้สวดด้วยกัน มีเตียงหนึ่งเป็นอิสลาม เค้าก็สวดแบบอิสลามเราพุทธ ก็สวดแบบพุทธ เป็นแบบนี้อยู่ทุกวี่วัน บรรยากาศวังเวงมาก

                    ทั้งพ่อและแม่มาเล่าให้ฟังในภายหลังว่าพอเวลามีใครบอกว่าจะมาเยี่ยมฉันนั้นหัวใจแทบจะสลายเพราะคนที่มาเยี่ยมคงคาดไม่ถึงว่าสภาพฉันตอนนั้นมันสาหัสขนาดไหน ส่วนพ่อกับแม่เองก็ไม่อยากตอบคำถามที่กำลังจะต้องโดนถาม เช่นว่า อาการเป็นอย่างไรบ้างหมอบอกว่าอย่างไร ฯลฯ ซึ่งคำถามเหล่านี้ พ่อกับแม่ก็ถามตัวเองอยู่ทุกวันถามทั้งหมอ ทั้งพยาบาลอยู่แล้ว แต่มันเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบนั่นเองแล้วยิ่งพอรู้ว่าจะโดนถามแบบนี้ มันเหมือนโดนมีดกรีดไปที่หัวใจทำให้พอรู้ว่ามีใครจะมาเยี่ยมพ่อกับแม่ที่ทำได้คือรีบกลับก่อนที่พวกเขาจะมาจะได้ไม่ต้องโดนความห่วงใยเหล่านั้นทำร้ายซ้ำอีก

                    แต่ถึงกระนั้นเพื่อนๆ ฉันบางคน คนสนิทต่างๆ ก็มาเยี่ยม โดยการนำกระเช้าบ้างนิตยสารเล่มที่ฉันชอบบ้าง มาฝากไว้กับพยาบาล วางไว้ข้างๆ เตียงพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะมีโอกาสได้ตื่นลืมตามาเห็นความห่วงใยที่นำมาให้หรือเปล่าแต่อย่างน้อยตอนนี้ฉันรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของทุกๆ คนมาก ขอบคุณที่เชื่อมั่นในตัวฉันว่าฉันจะได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกๆคนทำไปทั้งๆที่มองด้วยตายังไม่มีความหวังด้วยซ้ำเพื่อนบางคนเล่าว่าไปเยี่ยมฉันแล้วคุยกับฉัน ฉันทำท่ารับรู้การมาของเขาจึงได้พูดคุยกับฉันเหมือนฉันรับรู้ได้ แต่มาคุยกันในภายหลังหลังจากที่ฉันฟื้นขึ้นมาแล้ว ฉันจำอะไรไม่ได้เลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครมาเยี่ยมบ้าง ที่รู้ก็คือเพราะแม่เล่าให้ฟังว่ามีใครมาเยี่ยมบ่อยๆบ้างของเยี่ยมชิ้นไหนเป็นของใครนำมา

                    ช่วงเวลาที่วิกฤตินั้นมันผ่านไปช้ามาก สำหรับคนที่ต้องอยู่ดูฉัน รอคอยว่าเมื่อไหร่ปาฎิหาริย์จะเกิดขึ้นกับฉันบ้าง“ปาฎิหาริย์” ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่เราก็คาดหวังว่ามันจะเกิดขึ้นในเวลาคับขันในเวลาที่เราต้องการมันจริงๆ เป็นความหวังสุดท้าย เป็นเหมือนแสงริบหรี่ถ้าให้เทียบก็คงจะเหมือนแสงจากไม้ขีดไฟในห้องมืดๆ ที่ให้แสงสว่างเล็กๆ ได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นความเป็นความตายของฉันมันเป็นแบบนั้นจริงๆครอบครัวของฉันตอนนั้นแบกรับความรู้สึกที่หนักหนาสาหัสมาก ฉันที่นอนรอความตายน้ำที่กำลังจะท่วมที่บ้าน ร้านค้ากิจการที่ต้องดูแลและถ้าหากฉันต้องตายไปตอนนั้นจริงๆ ทุกคนในบ้านคงหัวใจสลายแน่ๆ

                  แม่ไม่สามารถทนดูฉันที่ไม่รู้สึกตัว ด้วยสภาพน่าเวทนาแบบนั้นได้อีก แม่ได้โทรศัพท์ไปปรึกษาเพื่อนที่เป็นหมอและมีความคิดเห็นว่าหากโรงพยาบาลจะให้แม่รอแบบนี้อย่างเดียวคงไม่ไหวแม่รอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว อยากใช้การรักษาแบบแพทย์ทางเลือกเข้ามาร่วมด้วย เพราะว่าทางคุณหมอและโรงพยาบาลเองก็ได้พยายามอย่างเต็มที่และสุดความสามารถแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นแม้แต่นิด เพราะ ฉันยังคงหลับไหล อยู่แบบนั้นมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว สัญญาณชีพต่างๆ ก็ยังไม่มีท่าทีแม้แต่น้อยว่าฉันจะสามารถกลับมามีชีวิตได้ แต่การจะนำการรักษาแบบอื่นเข้าไปในโรงพยาบาลนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากไม่ใช่การรักษาของโรงพยาบาลเอง คุณหมอจากทั้ง 2 ฝั่งเอง ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่ แต่แม่ก็ยังขอยืนยันว่าจะต้องรักษาให้ถึงที่สุด ให้ครบทุกทางจริงๆ เท่านั้น หากฉันตายโดยที่แม่ยังทำไม่ครบทุกทาง แม่ไม่สามารถยอมรับได้จริงๆ จึงเริ่มดำเนินการเป็นขั้นๆ เริ่มด้วยการไปขออนุญาตแพทย์เจ้าของไข้ก่อน 

               เบื้องต้นเมื่อคุณหมอที่โรงพยาบาลได้ฟัง ก็ปฏิเสธแทบจะทันทีเนื่องจากอาการของฉันก็หนักมากพออยู่แล้วเกรงว่าหากมันไม่ทำให้ฉันดีขึ้นแล้วมันทำให้ฉันแย่ลงล่ะ การรักษาอื่นๆมันก็จะยิ่งยุ่งยากขึ้นไปอีก แต่แม่ฉันก็ไม่ย่อท้อพยายามโทรติดต่อทุกคนที่พอจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องการรักษาที่จะนำเข้ามานี้ได้ทั้งโทรหาเส้นสาย หาคนที่หมออาจจะเกรงใจให้มาช่วยพูดให้ แต่ก็ไม่เป็นผลคุณหมอยืนยันอย่างเดียวว่าไม่ได้ แต่แม่ก็ไม่ย่อท้อและยืนยันกับหมอว่าขอรับความเสี่ยงนั้นไว้เอง ขอให้หมอคิดว่าถ้าเป็นลูกหมอที่นอนอยู่บนเตียงแล้วโรงพยาบาลก็บอกว่าไม่มียาใดๆที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ได้แต่นอนรอความตายอย่างช้าๆแต่มีคนมาบอกว่าอาจจะมีหนทางแม้เพียง 1% ที่จะทำให้ลูกรอดได้ หมอจะยอมทำมั้ยแม่ทั้งกราบทั้งไหว้ขอให้หมออนุญาติในที่สุดหมอคงเห็นใจจึงอนุญาติแต่ต้องให้เซ็นต์ใบยินยอมว่าหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นทางโรงพยาบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

              เมื่อเรื่องได้รับการอนุมัติแล้วแม่ก็ไม่รอช้า รีบติดต่อเพื่อนำการรักษาเข้าไปให้ฉันใน ICU ทันทีหลังจากนั้นก็นับรอเวลา 48 ชั่วโมง ตามที่ได้รับข้อมูลว่ายาจะเริ่มทำงานเมื่อครบเวลา 48 ชั่วโมง แม่เฝ้ารอแทบจะเรียกได้ว่านับเวลาถอยหลัง แม่รู้ดีว่าหากปาฏิหาริย์เกิดขึ้นง่ายๆ เราก็คงไม่เฝ้ารอมัน และเรียกมันว่าปาฏิหาริย์อีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังเฝ้ารอสิ่งที่เรียกว่า “ปาฎิหาริย์” ให้เกิดขึ้นกับฉันจริงๆ ถึงแม้ว่าจะไม่มีความหวังใดๆ หลงเหลืออีกแล้วก็ตาม

                  ผ่านไป 24 ชั่วโมง เสียงของเครื่องช่วยหายใจที่ทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อทำหน้าที่หายใจแทนฉัน สัญญาณชีพจรต่างๆ ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ทั้งแม่และพ่อก็ไม่มีความหวังอื่นใดที่จะพอมองเห็นได้อีกแล้ว นอกจากรอต่อไป ผ่าน 24 ชั่วโมงอีกครั้ง ปาฎิหาริย์ก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะด้วยยาที่ได้รับมาตลอด 3 สัปดาห์ออกฤทธิ์ขึ้นมากระทันหัน หรือเพราะยาตัวใหม่ได้รับเข้าไป หรืออะไรก็ตาม ไม่มีใครทราบได้ ช่วงสายวันนั้นสัญญาณชีพในจอแสดงผลในห้อง ICU บอกว่าฉันอาการดีขึ้นแม่บอกว่าคุณหมอที่ดูแลฉันนั้นพูดเองว่าเป็นปาฏิหาริย์พร้อมทั้งเรียกแพทย์ท่านอื่นๆมาช่วยดูเพื่อเปรียบเทียบผลต่างๆอีกด้วย เป็นครั้งแรกที่แม่รู้สึกดีขึ้นในรอบ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาที่เฝ้าถามหมอทุกวันว่าเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้หมอบอกว่าดีขึ้นๆ ปอดก็ดีขึ้น ความดันก็ดีขึ้น ไข้ก็ลดแล้ว ปาฏิหาริย์คุณแม่ น้องมีโอกาสฟื้นคำพูดของคุณหมอนั้นเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชะโลมใจพ่อแม่ขึ้นมาทันที เพราะในช่วง 3สัปดาห์ที่วิกฤตินั้นแม่บอกว่าแม่อยากจะเข้าไปกอดลูก หอมลูก ก็ไม่สามารถทำได้เพราะสายที่ห้อยระโยงระยาง ท่อช่วยหายใจ แผงกั้นเตียง แม่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยทำได้แค่ดูอยู่ห่างๆแล้วจับมือไว้เท่านั้น พอถึงเวลาพยาบาลก็จะขออนุญาติปิดม่านเพื่อทำการดูดเสมหะบ้างพลิกตัวบ้าง เช็ดตัวให้ฉันบ้าง (เพราะการที่ฉันไม่รู้สึกตัวนั้นฉันก็ยังต้องขับถ่ายตามกลไกอัตโนมัติของร่างกายอยู่ดี)ซึ่งภาพเหล่านั้นคงไม่เหมาะสมที่จะให้ใครๆ เห็น

                 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Anuluck Mam Aursak (@fb1020424920830)
ฉันต้องการปฏิหาริย์ ขอความกรุณา อยากจะทราบการรักษาด้วยคะ ลูกดิฉันเป็นเหมือนคุณทุกอย่าง ถ้าคุณเห็นข้อความนี้ กรุณาติดต่อ
Line:anuluck.mam
083-0468288