เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryPutt Proudparin
Chapter 7 : หวาน-ขม
  • ขึ้นชื่อว่ามิตรภาพแล้ว ไม่ว่าจะที่ไหนๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ไม่มีข้อจำกัด ไม่มีเขตแดน และสำหรับฉันแล้วมิตรภาพที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล  ที่ๆฉันต้องอยู่เหมือนบ้านพักชั่วคราวในช่วงนี้ ยังทำให้ฉันอบอุ่น และพอจะทำให้ฉันรู้สึกว่าชีวิตมันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวนัก มันจึงเป็นความทรงจำที่นีกถึงทีไร ก็เรียกได้ว่าทั้งหวาน ทั้งขม สนุกปนเศร้าทุกครั้งที่ได้นึกถึงจริงๆ

    เรื่องสนุกๆในโรงพยาบาลก็มีมากมายอยู่ ไม่ใช่ว่าฉันจะมีเฉพาะประสบการณ์แย่ๆในโรงพยาบาลเท่านั้น ฉันก็มีวีรกรรมน่ารักๆในแบบของฉันจนทำให้เพื่อนคนไข้ร่วมวอร์ด และ พยาบาลจำฉันได้แม่น อย่างเช่น เพื่อนๆคนไทยที่มาเยี่ยมฉันมักจะมีขนมอร่อยๆและนิตยสารเล่มล่าสุดจากแผงเอามาฝากฉันเสมอ เพราะว่ากลัวฉันจะเบื่อ ขนม ผลไม้ต่างๆและน้ำผลไม้ที่เอามาเยี่ยมนั้นก็มากมายจนฉันกินคนเดียวก็ไม่หมดกินคนเดียวมันไม่อร่อย ฉันจึงมักจะแจกจ่ายขนมของเยี่ยมพวกนั้นให้เพื่อนๆข้างเตียงและพยาบาลประจำวอร์ดอยู่ตลอด ฉันนึกถึงสำนวนที่บอกว่า “ยิ่งให้ ยิ่งได้” ตอนนี้ฉันได้พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นเรื่องจริงๆ เพราะพอฉันยิ่งเอาขนม และ ผลไม้ต่างๆ เหล่านั้นแจกจ่ายไปให้เพื่อนรอบๆ เตียงทั้งคุณยายที่อยู่เตียงตรงข้าม คุณผู้หญิงชาวตะวันออกกลางที่อยู่เตียงข้างๆพอเพื่อนๆคนป่วยพวกนั้นได้รับของฝากจากฉันในวันที่ไม่มีใครมาเยี่ยมจริงอยู่ว่าพวกเค้าอาจจะไม่ได้ดีใจที่ได้ทานผลไม้หรือขนมฟรีๆแต่สิ่งที่พวกเค้าดีใจ นั่นคือ มิตรภาพที่มีให้กันในยามยากมากกว่าคนไข้เตียงถัดไปด้านใน ฉันสังเกตว่าไม่ค่อยมีลูกหลานมาเยี่ยมเท่าไหร่ หลายๆวันจึงจะมีมาซักคนหนึ่ง อาหารที่โรงพยาบาลก็คงทานไม่ค่อยถูกปากและหลายครั้งที่ฉันได้ยินเสียงละเมอในตอนกลางคืน เรียกชื่อๆหนึ่ง (คาดว่าคงเป็นชื่อใครซักคนในครอบครัว) ฉันก็เริ่มแบ่งผลไม้ที่ฉันมี ล้างให้สะอาดเอาใส่แก้วน้ำของฉันแล้วเดินเอาไปให้ หรือบางทีเพื่อนซื้อขนมเยลลี่นิ่มๆ มาให้ฉันฉันก็แบ่งไปให้ ฉันคิดว่าฉันเข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่มีคนมาเยี่ยมนะมันคงดูเคว้งๆ เวลาที่ถึงเวลาเยี่ยมแล้วพยาบาลเปิดประตูวอร์ด ญาติๆ เพื่อนๆก็ทะลักกันเข้ามาหาคนไข้ของตัวเองแล้วโผกอดกันบ้าง หยอกล้อ พูดคุยถามไถ่อาการแต่ถ้าทั้งหมดนั้น ไม่มีใครมาหาคุณเลยมันคงเป็นความรู้สึกที่ผิดหวังมากๆเลยทีเดียว ฉันจึงอยากช่วยเหลืออยากเป็นเพื่อนกับคนไข้ท่านนั้น  ซึ่งผลของมันก็คือคุณยาย และ คุณผู้หญิง พอวันไหนที่ตัวเองมีญาติมาเยี่ยม แล้วได้ของฝากมาบ้างก็มักจะนำมาให้ฉันเช่นกัน แล้วก็จะแบ่งบางส่วนไปให้คนที่ไม่มีคนมาเยี่ยมอีกด้วยทำให้ฉันก็มีของกินแปลกๆ ใหม่ๆ ให้ลองอยู่เรื่อยๆนอกจากผลไม้และน้ำผลไม้ที่เพื่อนๆ มักจะซื้อมาฝากแล้ว

    นอกจากนี้นิตยาสารต่างๆ พอฉันอ่านเสร็จและเอาของแถมออก(นิตยสารต่างประเทศมักจะมีของแถมเช่นลิปกลอสแท่งเล็กๆ มาส์กหน้า น้ำหอมเล็กๆหรือกระเป๋าผ้า แถมมาด้วยเสมอ ซึ่งฉันชอบมาก ฮ่าๆๆ) พยาบาลทั้งกะเช้า กะบ่าย กะค่ำก็แวะเวียนมาขอยืมฉันไปอ่านบ้างเช่นกัน ทำให้ฉันมีเพื่อนคุยอยู่ตลอดไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟชั่น เครื่องสำอางค์ ดารา สัพเพเหระที่เป็นหัวข้ออยู่ในหนังสือ มันทำให้ฉันมีเรื่องคุยต่อไปได้แลกเปลี่ยนทัศนคติและวัฒนธรรมไปในตัวเพราะว่าพยาบาลบางคนอายุน้อยกว่าฉันเสียอีก บางคนก็เป็นชาวต่างชาติเช่น ฟิลิปปินส์พอมาอยู่ต่างถิ่น ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ เลยได้เอามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันซึ่งตรงนี้ฉันว่ามันเป็นกำไรมากๆ ใครว่าอยู่ในโรงพยาบาลจะน่าเบื่อเสมอไปถ้ามีมิตรภาพดีๆ แบบนี้เกิดขึ้น ชีวิตในโรงพยาบาลมันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว (แต่ฉันก็ไม่ได้แนะนำให้ใครมาป่วยแบบฉันเพื่อสัมผัสประสบการณ์ดีๆ ถ้าให้แนะนำ ก็คงต้องบอกว่า ประสบการณ์ดีๆ ก็สามารถหาได้ที่อื่นเหมือนกัน ไม่ต้องมาทำแบบฉันจะดีที่สุด) เวลาที่ฉันบ่นๆกับหมอว่าไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลซักทีหมอดูสิฉันเพิ่งจะเรียนจบกลับต้องมาอยู่ในโรงพยาบาล ให้ฉันออกเถอะฉันจะได้มีประสบการณ์ที่ดีๆ คุณหมอท่านหนึ่งหัวเราะและบอกฉันว่า ก็นี่ไงตอนนี้เธอมีประสบการณ์การอยู่ในโรงพยาบาล ที่เธอสามารถเล่าได้ทั้งชีวิตเลยนะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสแบบนี้

         นั่นสินะ ก็จริงของหมอ! แต่ฉันก็ยังอยากกลับบ้านอยู่ดี

     เพื่อนๆคนไทยที่แวะมาเยี่ยมก็จะโทรมาถามฉันอยู่ตลอดว่าอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมจะซื้อมาให้ส่วนใหญ่แล้วที่ฉันอยากก็จะเป็นอาหารไทยรสแซ่บ (จริงๆแล้วฉันเพิ่งมารู้ในภายหลังว่า ฉันไม่ควรทานอาหารรสจัดเพราะจะทำให้ไตทำงานหนักแต่ฉันก็ได้ถามหมอแล้วว่าฉันไม่ควรทาน หรือ ควรทานอะไรบ้างหมอก็บอกว่าสามารถทานได้ทุกอย่าง ให้ฉันทานเยอะๆหมอคงไม่รู้สินะว่าอาหารไทยรสจัดแค่ไหน) ก็อาหารโรงพยาบาลมีแต่อาหารฝรั่งสำหรับคนป่วยเช่นในตอนเช้าก็จะมีอาหารเช้าธัญพืชให้เลือก จะใส่กับนมร้อน หรือ นมเย็นและขนมปังปิ้งกับชา ตอนกลางวันก็จะเป็นพวกมันบด ผักย่าง ไข่คน อะไรพวกนี้ตลอดๆซึ่งมันก็ถูกหลักโภชนาการดีแล้วคือ สุก สด สะอาด แต่คนไทยแซ่บๆ อย่างฉันโหยหาอะไรที่รสเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ เป็นอย่างมากบางครั้งที่เพื่อนมาไม่ได้ก็ยังอุส่าห์สั่งให้ร้านอาหารไทยแบบเดลิเวอรี่มาส่งถึงโรงพยาบาล จนเพื่อนรอบๆเตียงพยาบาลและคุณหมอต่างอิจฉาฉันมาก ที่ฉันมีอะไรอร่อยๆหน้าตาต่างจากอาหารโรงพยาบาลทุกวัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สะใจมนุษย์ซนๆอย่างฉัน ฉันยังอยากออกไปเดินเล่น ไปซื้อของจุ๊กจิ๊กด้วยตัวเอง หลายๆครั้งจึงขอร้องแกมบังคับเพื่อนที่มาเยี่ยมให้ช่วยแอบพาฉันออกจากโรงพยาบาลที

                    เพื่อนสนิทและคนรักของฉันก็ซนพอกันรับปากอย่างว่าง่าย เตรียมกางเกงกับเสื้อแจ๊กเก็ตมาให้ฉันเปลี่ยนเพื่อปฎิบัติการลับสุดยอด ฉันอยู่โรงพยาบาลนานพอที่จะรู้ว่าหมอจะมาหาฉันเวลาไหนบ้างฉันไม่ได้คิดจะหนีออกจากโรงพยาบาลจริงๆหรอก แค่อยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง นี่มัน 1เดือนเต็มแล้วนะที่ฉันไม่ได้ไปไหนเลย เปลี่ยนเสื้อผ้ามาเรียบร้อย แต่สายน้ำเกลือก็ยังคาอยู่ที่แขนและป้ายชื่อผู้ป่วยก็อยู่ที่ข้อมือ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาฉันใส่เสื้อแขนยาวทับแล้วออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ฉันดีใจมาก เข้าใจความรู้สึกของนักโทษแหกคุกขึ้นมาบ้างเล็กน้อย(แต่นี่เป็นคนไข้แหกรั้วโรงพยาบาล) เพื่อนพาฉันไปมินิมาร์ทเล็กๆแถวโรงพยาบาลและพาฉันไปกิน fish and chips แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้วตอนจ่ายเงินพนักงานในร้านตกใจปนขำตอนที่ฉันส่งเงินให้เพราะว่าเขาเห็นป้ายชื่อคนป่วยจากข้อมือฉัน จึงถามฉันว่านี่เธอยู่โรงพยาบาลเหรอรีบๆกลับนะ เดี๋ยวหมอรู้เข้าหรอก ฉันจึงเพียงแค่ยิ้มๆไม่ได้ตอบอะไรให้มากเรื่องมากความ จากนั้นฉันก็กลับไปโรงพยาบาลเข้าวอร์ดตามเดิมปฎิบัติการนี้ใช้เวลาไม่มาก เพียงแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นจะไม่ผิดสังเกตุไม่มีคนจับได้เลยถ้าผื่นผีเสื้อบนหน้าของฉันมันไม่บินหราอยู่อย่างนี้น่ะสิ เพียงแค่โดนแดดนิดเดียวผื่นผีเสื้อก็มา พยาบาลและหมอจึงจับได้ ฉันโดนดุนิดหน่อยเพราะว่าถ้าฉันขออนุญาตดีๆคุณหมอก็ให้ไปอยู่แล้ว แต่เล่นหายไปจากเตียงเฉยๆ ทุกคนเป็นห่วงมาก คนรักของฉันโดนดุมากหน่อยหมอบอกว่าการพาฉันไปในภาวะที่ฉันอ่อนแอแบบนี้อาจทำให้ฉันติดเชื้อและเป็นเรื่องใหญ่มากกว่าที่คิด ขอให้ระวังด้วย จากวันนั้นเป็นต้นมาฉันก็ขออนุญาตพยาบาลไปข้างนอกเพื่อซื้อของใช้ส่วนตัวบ้างประปรายพี่ๆพยาบาลก็อนุญาติแต่ให้ฉันสัญญาว่าจะกลับมาภายใน 1 ชั่วโมงไม่อย่างนั้นจะไม่อนุญาตอีกต่อไป พอเจอไม้แข็งแบบนี้ฉันก็ไม่เคยนอกลู่นอกทางอีกเลย

                    ในช่วงนั้นไตของฉันอักเสบมากคุณหมอจึงต้องการเก็บชิ้นเนื้อจากไตเพื่อไปตรวจว่าอยู่ในระดับไหนแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเกล็ดเลือดฉันต่ำมาก หากทำการเก็บชิ้นเนื้ออาจทำให้เกิดเลือดไหลภายในไม่หยุดได้ จึงได้แต่รอดูอาการ ฉันบวมขึ้นมากๆ ทั้งขาทั้งหน้า ทั้งตัว น้ำหนักขึ้นถึง 10 กิโลภายในเวลา 3 อาทิตย์นอกจากนี้ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว ฮีโมโกลบินรวมไปถึงความเข้มข้นของเลือดของฉันก็ต่ำไปซะทั้งหมดทำให้มีความเสี่ยงติดเชื้อเป็นอย่างมากหากฉันยังออกไปซ่านอกโรงพยาบาลอยู่ช่วงนั้น ฉันต้องให้เลือดแทบจะวันเว้นวันคุณหมอจึงต้องพิจารณาให้เคมีบำบัดอีกชนิดคือ Rituximub (หมายเหตุ**คุณหมออธิบายว่าRituximub นี้ไม่ได้เป็นเคมีบำบัดแบบที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งแต่เพื่อความเข้าใจง่าย ฉันขอเรียกมันว่าเคมีบำบัดค่ะ)

                   การให้เคมีบำบัดด้วยยาชนิดที่ 2(Rituximub)ได้เริ่มขึ้นหมอเจ้าของไข้ ดูแลฉันเป็นอย่างดี คนไข้ทั้งวอร์ดมีอยู่ 10 กว่าเตียง ต่อพยาบาล2 คน แต่ฉันเป็นคนไข้พิเศษ มีพยาบาลพิเศษดูแลฉันคนเดียวต่างหาก 1คนในขณะให้ยาการให้ยาครั้งแรกผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่แพ้ ผลเลือดเริ่มดีขึ้นในตอนนั้น ฉันได้รับข่าวจากแม่ว่า ได้วีซ่าพร้อมเดินทางมารับฉันแล้วฉันดีใจมากๆๆๆๆ จึงรีบบอกคุณหมอว่าฉันอยากกลับบ้านแล้วนะ แม่จะมารับแล้วแต่คุณหมอบอกว่าอย่างไรก็ตามคงจะต้องรอดูก่อนว่าสภาพร่างกายของฉันพร้อมเดินทางหรือไม่ถ้ายังอยู่ในเกณฑ์อันตราย ก็คงไม่ได้กลับตามที่ตั้งใจ ฉันทั้งสวดมนต์ ไหว้พระขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ฉันอยากกลับบ้านเต็มทีแล้ว การอยู่ในโรงพยาบาล 2เดือนไม่ใช่เรื่องสนุกๆเลย

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in