เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryPutt Proudparin
Chapter 6 : ชีวิตในวอร์ด
  • ต้้งแต่เด็กจนโต ฉันมีชีวิตอยู่ในประเทศไทย พอเรียนจบ ก็ได้ไปมีชีวิตอยู่อีกหลายๆ ที่ในต่างประเทศ อาชีพหมอ และ พยาบาล ไม่เคยอยู่ในความฝันของฉันเลยตั้งแต่เด็ก ทำให้ฉันไม่เคยจินตนาการตัวเองมาก่อนว่าการต้องมีชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลมันจะมีความรู้สึกอย่างไร จนกระทั่งได้เข้ามาใช้ชีวิตในโรงพยาบาลแบบจริงๆ จังๆ เรียกว่าอยู่จนเป็นเสมือนบ้านเลยก็ว่าได้ หากแต่ว่าไม่ใช่ในฐานะ หมอ หรือ พยาบาล แต่เป็นในฐานะผู้ป่วย  

    ถึงตอนนี้แล้ว ต่อให้ฉันพยายามอยากแข็งแรงพยายามจะบอกหมอเท่าไหร่ว่าฉันไม่เป็นอะไร ฉันแข็งแรงดี มันก็ไม่ได้ผล ช่วงนั้นเองแม่โทรหาฉันบ่อยยิ่งขึ้นกว่าเดิม แม่จะรู้เวลาตอนเช้าว่าฉันจะตื่นตอนกี่โมงก็จะโทรมาตอนนั้นพอดี เพื่อที่ว่าคุยกับฉันเสร็จแม่จะได้เข้านอนก็เพราะว่าเวลาที่อังกฤษนั้นต่างจากประเทศไทย 6 ชั่วโมง จึงทำให้ฉันตื่นเช้าโดยปริยายเพราะว่าหากฉันตื่นสาย ไม่ได้รับโทรศัพท์แม่ ทั้งพ่อ แม่ และน้องคงจะเป็นกังวลไม่ได้หลับได้นอนแน่ แม่มักจะโทรหาฉันตอนประมาณ 6 โมงเช้าที่อังกฤษซึ่งก็คือเวลาประมาณ เที่ยงคืนที่เมืองไทย และก็จะโทรหาฉันอีกทีตอนประมาณบ่ายๆซึ่งก็คือเวลาช่วงเช้าที่ไทย เรียกได้ว่าก่อนนอนแม่ก็โทรหาฉัน ตื่นนอนก็โทรอีกรอบเพื่อที่จะถามฉันว่าวันนี้เป็นอย่างไร เจอหมอแล้วหมอบอกว่ายังไงบ้างกินอาหารที่โรงพยาบาลได้มั้ย มีเพื่อนมาเยี่ยมมั้ย และ ที่สำคัญเลยคือกลัวฉันจะเหงา เพราะว่าโรงพยาบาลที่อังกฤษในวอร์ดที่ฉันอยู่ อนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้แค่ช่วงบ่าย2 โมง ถึง 6 โมงเย็นเท่านั้น และบางวันเพื่อนๆ ติดต้องทำงานกัน ฉันจึงไม่มีใครมาเยี่ยมแต่บางครั้งที่เพื่อนมาเยี่ยมได้ พี่ๆ พยาบาลบางกะก็ใจดีอนุญาติให้เลทได้ถึงประมาณทุ่มนึง ฉันก็จะได้มีเวลาคุยกับเพื่อนที่มาเยี่ยมนานขึ้นอีกหน่อย

                    ทั้งพ่อและแม่จะย้ำเสมอเวลาที่ฉันอยู่ไกลจากท่านว่าให้สวดมนต์ ไหว้พระนะลูก ทำให้ในไอพอดของฉันนอกจากจะเต็มไปด้วยเพลงโปรดแล้วก็ยังเต็มไปด้วยบทสวดมนต์หลายๆแบบ ทั้งสวดมนต์ทำวัตเช้า-เย็นสวดมนต์สรภัญญะ คาถาชินบันชร สวดมนต์แบบธิเบต สวดมนต์แบบเจ้าแม่กวนอิมเสียงพระนำนั่งสมาธิ และอื่นๆอีกมากมายที่เป็นอะไรประเภทนี้ที่เพื่อนฉันพอจะช่วยดาวน์โหลดมาให้ได้ กิจกรรมหลักๆของฉันในขณะที่อยู่โรงพยาบาล ตอนที่ยังไม่ถึงเวลาเยี่ยม คือ ตอนเช้าตอนตื่นหลังจากที่คุยกับแม่แล้วก็จะได้เวลาอาหารเช้าพอดี ทานอาหารเช้าเสร็จฉันก็จะเสียบไอพอดเข้าหู สวดมนต์ทำวัตรเช้า (สวดในที่นี้คือ ฉันนั่งหลับตาพนมมือสวดในใจพร้อมกับเสียงสวดในไอพอดไม่ได้เปล่งเสียงออกมารบกวนเพื่อนข้างเตียงแต่อย่างไร) ทำวัตรเช้าเสร็จช่วงสายๆค่อยไปอาบน้ำและดูทีวีนิดหน่อย ก็จะถึงเวลาอาหารกลางวัน อาหารกลางวันทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็จะใกล้ถึงเวลาที่เพื่อนจะมาเยี่ยมแล้ว ฉันก็จะนั่งสมาธิรอเป็นแบบนี้ทุกๆวัน และปิดท้ายด้วยการสวดมนต์ทำวัตรเย็นอีกครั้งตอนก่อนนอนทั้งเพื่อนๆ เตียงอื่นร่วมวอร์ด และพยาบาลทุกคนจะทราบเวลาสวดมนต์ของฉันดีจึงไม่มีการรบกวนฉัน ทุกคนจะพร้อมใจกันรอ หากต้องการพูดกับฉันหรืออะไรก็ตามและเป็นที่น่าชื่นชม เพื่อนๆข้างเตียงที่เป็นชาวต่างชาติ ต่างศาสนากันนั้นบางคนเริ่มทำตามแบบฉันบ้าง ผู้หญิงชาวบังคลาเทศที่อยู่เตียงถัดไปก็เริ่มเสียบหูฟังและสวดมนต์แบบศาสนาอิสลามบ้างคุณยายชาวอังกฤษที่อยู่เตียงตรงข้าม ก็สวดมนต์แบบคริสต์สั้นๆและเอาไบเบิ้ลมาอ่านบ้าง ฉันว่าสันติสุขของวอร์ดนั้นเริ่มต้นจากฉันแน่ๆ อย่างน้อยคุณพยาบาลก็คงจะได้มีเวลาสั้นๆพักจากการดูแลคนไข้2-3 คนไปซัก 20 นาทีตอนเช้า และ 20 นาทีตอนเย็น

                    ครอบครัวของเราเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่ศรัทธามั่นคงในพุทธศาสนามากครอบครัวหนึ่งเลยก็ว่าได้แม่จะบอกเสมอว่า ให้ไหว้พระก่อนนอนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามยิ่งโดยเฉพาะเวลาคับขันแบบนี้แล้ว ไม่มีที่พึ่งทางใจอื่นใดนอกจากพระรัตนตรัยเท่านั้น ช่วงที่ฉันอยู่โรงพยาบาลนี้ ครอบครัวฉันทำบุญกันถี่มากขึ้น ทำทุกบุญที่มีคนบอกทั้งปล่อยโค ปล่อยสัตว์ ปล่อยปลา ถวายภัตตาหารพระ กฐิน ผ้าป่า อะไรทำหมดและที่สำคัญคือไม่เคยลืมที่จะโทรมาหาฉันตอนพระให้พรเพื่อที่ว่าฉันจะได้รู้สึกเหมือนได้ร่วมบุญนั้นด้วยจริงๆให้ฉันได้อนุโมทนาทุกๆครั้ง ในช่วงนั้นฉันรู้สึกว่ามีความสนิทกับพ่อ แม่น้องมากขึ้นเป็นอย่างมาก จากที่ปกติตอนที่ฉันอยู่อังกฤษจะได้คุยกันยาวๆก็เพียงแค่ประมาณสัปดาห์ครั้ง เพราะว่าธุรกิจที่ไทยก็ยุ่ง เวลาก็ต่างกันค่าโทรศัพท์ก็แพง ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียน ทำรายงานอะไรของฉันไปทำให้เวลาคุยกันแต่ละครั้งก็มักจะเล่าแค่เรื่องราวความเป็นไปเท่านั้นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ต้องการอะไรขาดเหลืออะไรมั้ย ไม่เคยเล่าถึงความรู้สึกต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในแต่ละวันเรียกได้ว่าคุยกันเฉพาะเนื้อๆ ไม่ได้หวานแหววเหมือนลูกสาวคุยกะพ่อแม่สักเท่าไหร่แต่พอถึงตอนนี้ฉันก็ไม่มีใคร วันๆ ไม่ได้เจออะไร ไม่ได้ไปไหนนอกจากอยู่แต่ในโรงพยาบาล กลับกลายเป็นว่ามีเรื่องคุยกับแม่เพิ่มขึ้นอย่างมากฉันดีใจทุกครั้งเวลาที่แม่โทรมาหา แล้วเล่าว่าแม่ไปทำบุญอะไรมาบ้างวันนี้ทำกับข้าวเป็นอาหารจานโปรดของฉันด้วย กลับมาแล้วจะทำให้กิน ถึงแม้ฉันจะไม่ได้ไปด้วยและไม่ได้กินอาหารที่แม่ทำในตอนนั้น แต่ฉันก็ชอบฟังฉันก็จะเล่าให้แม่ฟังว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง แดดออกหรือฝนตกอาหารที่โรงพยาบาลเป็นอย่างไร มีใครมาเยี่ยมบ้าง หมอบอกว่าอะไรบ้าง

                    แต่บางครั้งบังเอิญว่าแม่โทรมาแล้วฉันกำลังคุยกับหมออยู่หรือ เพียงแค่เดินไปเข้าห้องน้ำ หรือ ชาร์ตแบตโทรศัพท์ไว้ไกล วิ่งไปรับไม่ทัน แม่จะยิ่งกังวลมากกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันในตอนนั้นพอดีจึงทำให้ฉันไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ก็จะโทรซ้ำๆๆๆ อยู่แบบนั้นจนกว่าฉันจะรับ พอฉันรับโทรศัพท์ได้แม่ก็จะถามทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น แม่นึกว่าจะไม่ยอมรอแม่มารับกลับซะแล้วอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะลูก อย่างน้อยให้แม่รับกลับมาเมืองไทย มาเจอหน้าพ่อก่อนมันทำให้ฉันแทบจะร้องไห้ทุกครั้ง แต่ก็มักจะตอบแม่ไปแค่ว่า ไม่เป็นไรหรอกแม่ แหม แม่ก็พูดเกินไป

                    ในตอนนั้นจริงๆแล้วฉันรู้สึกตัวว่าโอเคนะ ยังไหวอยู่ คนใกล้ตายคงไม่ได้เป็นแบบนี้(อันนี้คิดเอาเอง ฮ่าๆๆ) คือฉันยังตื่นมาตอนเช้าแล้วรู้สึกว่ามีความสุขได้อยู่อาจจะมีเบื่อบ้างเล็กน้อย เพราะว่าไม่ได้ออกไปไหนมาเป็นเดือนแล้ว แล้วก็ยังพอมีแรงมีกำลัง เดินไปเข้าห้องน้ำเองได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ และ ยังรู้สึกหิวรู้สึกอยากกินนั่นกินนี่ได้อยู่ เมื่อนึกเปรียบเทียบกับผู้ป่วยโรคอื่นๆ แล้ว เขาดูน่าสงสารมากกว่านัก บ้างก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บ้างก็ไม่ได้รับการรักษาที่ดี และ คนใกล้ตายก็น่าจะเบื่ออาหาร ซึมเศร้า อ่อนแรงอะไรแบบนั้นมากกว่า ฉันคิด ถึงแม้ว่ามันจะมีบางวันที่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปทั้งตัวบางวันที่อยู่ดีๆ ก็ตัวบวม ขาบวม แต่ฉันก็อยู่ในความดูแลของแพทย์และพยาบาลซึ่งเมื่อฉันมีอาการผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยเกิดขึ้นทุกคนก็จะยิ่งเพิ่มความเอาใจใส่ในการดูแลฉันมากๆ อยู่แล้ว  และอาการต่างๆพวกนั้นก็เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยโรค SLE แทบทุกคนและมันก็มักจะหายไปภายใน1 วัน ฉันจึงไม่ได้อยู่ในสภาพน่าเป็นห่วงเท่าไหร่เมื่อเทียบกับความรู้สึกที่แม่คิดว่าฉันเป็นและเป็นห่วงฉันมาก

                    ตอนที่ฉันอยู่ในโรงพยาบาลนั้นฉันเองถูกย้ายไปหลายวอร์ดมาก เริ่มจากทีแรก อยู่วอร์ดผู้ป่วยโรคหัวใจ CCU (เนื่องจากฉันมีอาการเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบและน้ำท่วมปอด) และย้ายไป วอร์ดโรคหัวใจธรรมดาจากนั้นก็โดนย้ายไปวอร์ดผู้ป่วยโรคกระดูก (พวกผู้ป่วยที่รอรับการผ่าตัดกระดูก หรืออุบัติเหตุกระดูกหักอะไรพวกนั้น) จากนั้นก็โดนย้ายกลับมา CCU อีกครั้งและย้ายออกมาอยู่ที่วอร์ดสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อง่าย (อยู่ที่นี่นานหน่อย)และย้ายที่สุดท้ายก่อนได้ออกจากโรงพยาบาลคือวอร์ดผู้ป่วยโรคไตสาเหตุที่ฉันได้ย้ายที่นอนบ่อยๆ นั้นก็เพราะว่า SLE ของฉันนั้นลงหลายระบบมากเมื่อกำเริบที่ระบบใดมาก แพทย์ที่ดูแลด้านนั้นก็อยากย้ายฉันไปที่วอร์ดที่ตัวเองดูแล เนื่องจากพยาบาลในวอร์ดต่างๆก็จะเชี่ยวชาญในการดูแลคนไข้ไปคนละด้าน เช่น พยาบาลที่อยู่วอร์ด CCU ก็จะเชี่ยวชาญในการช่วยชีวิตเบื้องต้นหากฉันเกิดมีภาวะหัวใจล้มเหลวขึ้นมา พยาบาลที่อยู่วอร์ดกระดูก ก็จะมีความเชี่ยวชาญในการช่วยเหลือคนไข้ที่เคลื่อนไหวตัวเองลำบากพยาบาลก็จะรู้จังหวะในการช่วยพยุงคนไข้ช่วยให้คนไข้จะลุกจะนั่งเกิดความปลอดภัยมากที่สุดได้ (พยาบาลวอร์ดนี้มีผู้ชายถึง 2คนเพราะว่าคนไข้บางคนน้ำหนักมากๆ หากพยาบาลผู้หญิงมีกำลังไม่พอช่วย อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุและอันตรายกว่าเดิมได้)จึงทำให้ฉันถูกย้ายไปหลายๆ วอร์ดตามแต่อาการที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น

                    การย้ายไปหลายวอร์ดทำให้ฉันได้เจอผู้คนเยอะมาก ทั้งพยาบาล ทั้งเพื่อนร่วมวอร์ดที่แตกต่างกันไปบางคนก็น่ารักกับฉันมากๆ บางคนก็ไม่เข้าใจว่าฉันป่วยอย่างไร ว่าเหน็บว่าแนมฉันก็มีมีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่ฉันอยู่วอร์ดโรคหัวใจ มีคุณป้าข้างๆเตียงเพิ่งแอดมิทเข้ามาใหม่ คุณป้าร้องโวยวายตลอดเวลาบอกว่าปวดหัวและต้องการให้คุณหมอและพยาบาลดูแลเป็นพิเศษซึ่งตรงนี้ฉันก็เห็นแล้วว่าทั้งพยาบาลและแพทย์ก็ดูแลคุณป้าอย่างสุดความสามารถจริงๆ แต่เนื่องด้วยคุณป้ามีสภาวะความดันสูงซึ่งทำให้เวียนหัวได้ง่าย ดังนั้นจึงควรพักผ่อนมากๆ แต่ดูแล้วคุณป้าคงอยากหายไวๆจึง complain ตลอดเวลา และมักจะพูดว่าคนป่วยไม่ดูแล ทุกคนไปดูแลคนที่ไม่ป่วย(ซึ่งคงหมายถึงฉัน เพราะฉันอยู่เตียงข้างกับคุณป้าเลย) ทั้งหมอทั้งพยาบาลมาดูแลแต่ฉันซึ่งจริงๆ คุณป้าไม่ทราบด้วยซ้ำว่าฉันมีอาการอะไรบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรเวลาที่ป้าพูดแบบนี้ แล้วพยาบาลหันมาสบตาฉันเป็นเชิงขอโทษ โดยปกติแล้วในวอร์ดคนไข้จะเป็นเตียงอยู่ห่างๆ กัน แต่ละเตียงจะมีผ้าม่านกั้น ไว้รูดมาแบ่งห้องได้เวลาที่ต้องการเช็ดตัว หรือ เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่โดยส่วนใหญ่แล้วพยาบาลจะรูดผ้าม่านเก็บทั้งหมดไม่ให้กั้นห้องกัน เนื่องจากว่าจะได้ดูแลได้ทั่วถึงหากเกิดอะไรขึ้นกับคนไข้แต่คุณป้าท่านนี้จะชอบเอาผ้าม่านมากั้นและอยู่เฉพาะในม่านของตัวเองเท่านั้นป้าบอกว่าไม่ชอบให้คนอื่นมอง (คือจริงๆ แล้วไม่มีใครอยากมองกันและกันตลอดเวลาหรอกค่ะ แต่ว่าเราอยู่ร่วมกัน ก็ต้องทำตามกฎตามคำแนะนำของพยาบาล) พยาบาลก็ได้เข้าไปอธิบายอย่างทีฉันบอกไปตอนต้นคุณป้าก็ยังไม่ยอม และที่สำคัญเลยคือ ฉันอยู่เตียงในถัดจากคุณป้าเวลาที่คุณป้าปิดม่านกั้นทั้งหมด ฉันก็เหมือนโดนล๊อคไปด้วยลมจะไม่ผ่านเข้ามาทางเตียงฉันเลย ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของคุณพยาบาลที่จะไปเจรจาให้ฉันแต่ดูแล้ว ทำยังๆไงๆ คุณป้าก็ไม่ยอม ผ่านไป 2 วันคุณหมอเข้ามาบอกคุณป้าว่า ให้กลับบ้านได้แล้วคุณป้าก็ยังโวยวายอยู่เช่นเดิมว่ายังไม่หายเลย ยังไม่อยากกลับ แต่คุณหมอก็ยืนยันว่าให้กลับไปทานยาลดความดันต่อที่บ้านได้เพราะคุณป้าไม่อยู่ในขีดอันตราย หรือจำเป็นต้องให้ยาที่โรงพยาบาลแล้วเตียงนี้จะได้เตรียมรองรับผู้ป่วยท่านอื่นที่ต้องการมันจริงๆ (เนื่องจากโรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลรัฐบาลไม่ใช่เอกชน เตียงจึงมีจำกัด โรงพยาบาลในไทยก็เช่นเดียวกัน)หลังจากที่ป้าได้กลับบ้าน ความสงบสุข กลับมาสู่วอร์ดของเราอีกครั้งคุณยายที่นอนเตียงตรงข้ามฉัน ก็สบตายิ้มให้ฉัน พยาบาลก็ดูจะตึงเครียดน้อยลง

                    อีกครั้งในวอร์ดCCU ที่ฉันเจอภาวะวิกฤติ คือคุณลุงโรคเบาหวานฉันไม่แน่ใจว่าคุณลุงต้องแอทมิทด้วยอาการอะไรมา แต่คุณลุงเข้าวอร์ดมากลางดึกพร้อมกับร้องโวยวายจะกลับบ้านแต่พยาบาลก็เข้ามาอธิบายให้คุณลุงเข้าใจและผ่านพ้นคืนนั้นไปได้ เช้าวันรุ่งขึ้นคุณลุงก็โวยวายแต่เช้าว่าจะกลับบ้านแบบเดิมพยาบาลก็เข้ามาอธิบายแบบเดิมว่าต้องรอหมอก่อน ผ่านไปสักพัก ที่ร้ายแรงที่สุดคือคุณลุงลุกขึ้นมาปัสสะวะที่ข้างเตียงคุณลุง ตรงนั้นเลยค่ะ (ข้างเตียงคุณลุงก็ข้างเตียงฉันด้วย เพราะเราอยู่เตียงติดกัน) ฉันช็อค ตกใจมากไม่คิดว่าคุณลุงจะก่อกวนด้วยวิธีแบบนี้ พยาบาลทุกท่านแทบจะคลั่งรีบเข้ามาห้ามคุณลุง และตัดสินใจบอกว่า โอเค ถ้าลุงอยากกลับบ้านก็จะให้กลับแต่คุณลุงต้องเซ็นสัญญาก่อนว่าหากลับไปแล้วมีอาการหนักกว่าเดิมจะไม่ถือเป็นความรับผิดชอบของโรงพยาบาล เพราะทางเราได้คัดค้านคุณแล้ว คุณลุงก็ยอมเซ็นต์ให้ เพื่อที่จะได้กลับบ้าน ฉันไม่คิดจริงๆว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ในโลกด้วย ที่พยาบาลตัดสินใจแบบนั้น เพราะว่านอกจากฉันที่อยู่เตียงข้างกันซึ่งได้รับผลกระทบเต็มๆ นั้น ผู้ป่วยท่านอื่นๆ ในวอร์ด ก็ร้องเรียนเช่นกันว่าคุณลุงทำเสียงดังแบบนี้ไม่ถูก รบกวนท่านอื่นมากๆและมาถึงจุดสำคัญของเรื่องคือการที่คุณลุงปัสสะวะข้างเตียงฉันนั่นเองพยาบาลจึงต้องตัดสินใจทำอะไรซักอย่าง เพื่อความสงบสุขจะได้กลับมา

                    โดยไม่ต้องมีใครบอกฉันก็ทราบได้เลยว่า ทั้งหมอ และ พยาบาล คงเจอคนไข้แบบนี้มานับไม่ถ้วน เมื่อเจอคนไข้ที่ไม่มีปากมีเสียงและ ไม่เคยบ่นถึงอาการตัวเองอะไรเลย จึงค่อนข้างเมตตาฉันเป็นพิเศษ(พิเศษหรือเปล่าไม่รู้ แต่อย่างน้อยฉันก็รู้สึกแบบนั้น) จริงๆ แล้ววัตถุประสงค์ของฉัน และ คุณลุงคุณป้า เราทั้ง 3 คนก็มีเป้าหมายเดียวกัน คือ การได้กลับบ้าน และ ต้องการรักษาโรคเพียงแต่วิธีการของเรามันต่างกันเท่านั้นเอง ฉันต้องการกลับบ้านฉันจึงเลือกที่จะบอกหมอและพยาบาลทุกวัน ว่าฉันสบายดี ฉันรู้สึกตัวว่าแข็งแรงปฎิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด ฉันมักจะบอกแบบนี้ตลอด และ ถามหมอกลับว่าหมอทานอาหารเช้าหรือยัง มาหาฉันเช้าๆ แบบนี้ ให้หมอทานอาหารก่อนแล้วค่อยมาก็ได้ฉันสบายดี เชื่อฉันสิ! ฉันอยากให้หมอรีบๆ รักษาฉันให้หาย อยากให้พยาบาลดูแลฉันดีๆ ฉันก็ต้องพูดดีๆ กับพวกเขา พวกด้วยเสียงสุภาพ ใช้ประโยคขอร้อง ไม่ใช่ประโยคคำสั่งสิ่งเหล่านี้ ทำให้ผู้คนดีกับฉันมากๆ ฉันมั่นใจว่าคุณลุงกับคุณป้าก็ต้องการได้รับสิ่งที่ฉันได้ จึงแสดงกิริยาต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมออกมาซึ่งพอยิ่งทำแบบนั้น ใครๆ ก็ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากดูแล เห็นมั้ยว่าจริงๆแล้วเราทั้ง 3 คนก็เป็นผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน นี่ SLE เริ่มให้ข้อคิดฉันแล้วฉันคิดแบบนั้น

                    ทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลฉันจะเล่าให้แม่ฟัง นี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่แม่เป็นห่วงฉันมากก็เป็นได้กลัวว่าฉันจะไม่ได้รับความสะดวกสบาย กลัวคนอื่นจะมารังแกเพราะฉันอยู่ต่างบ้านต่างเมือง พูดกันคนละภาษากับเค้า และยังเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวอีกด้วยแต่อย่างหนึ่งที่แม่จะบอกและย้ำฉันเสมอ คือ อย่าโต้ตอบนะลูกเราอยู่ไม่นานเดี๋ยวก็ไปแล้ว อย่าไปทะเลาะ บาดหมางกับใคร นิ่งๆ ไว้ฉันก็ทำตามที่แม่บอกตลอด ซึ่งโดยปกติแล้วฉันซึ่งเป็นคนใจร้อนถ้าเจอแบบนี้ข้างนอกคงได้มีโต้ตอบไปบ้าง แต่พอเจอสถานการณ์ในที่แบบนี้ที่ฉันไม่คุ้นเคยแล้ว ฉันเลือกที่จะเชื่อฟังพ่อแม่มากกว่าไม่อย่างนั้นโบราณเค้าจะมีสำนวนว่า “เชื่อผู้ใหญ่ หมาไม่กัด” ทำไม และฉันก็ไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยที่เชื่อแม่ทุกอย่างที่แม่พูด มันถูกจริงๆ เพราะถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลก่อนคุณลุงและคุณป้า และถ้าสมมติว่าในวันนั้นฉันระงับอารมณ์ไม่อยู่และไม่ฟังที่แม่เตือนมาตลอดไปมีปากเสียงกับทั้ง 2 คนนั้นแล้ว คงจะเป็นการเพิ่มความหนักใจให้ทั้งคุณหมอและพยาบาล เรื่องคงจะไม่จบง่ายๆแบบนี้ และพอผ่านสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นมากได้ ทุกๆคน กลับเห็นใจ และพยายามช่วยเหลือฉันด้วยความเมตตามากขึ้นอีกต่างหาก

                    ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้ฉันต้องทบทวนหลายๆเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลงไปมาก ถึงแม้ฉันจะได้รู้จักกับคุณ SLE แค่ไม่นาน ก็มีความท้าทาย ความแปลกใหม่ ประสบการณ์แปลกๆ เริ่มเข้ามาทักทายฉันแล้ว ฉันคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าในอนาคต ฉันจะต้องเจออะไรอีกบ้าง หากมันจะไม่สวยงาม อย่างน้อยฉันก็อยากจะจดจำให้มันเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่ไว้เล่าต่อ เพื่อให้ข้อคิด หรือให้กำลังใจกับผู้คน ตามที่คุณหมอได้พูดไว้กับฉัน ฉันก็ได้แต่หวัง


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in