เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryPutt Proudparin
Chapter 2 : จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
  • หลังจากที่เรียนจบมา ฉันมีเวลาว่างยาวนานหลายเดือนเพื่อที่จะรอรับปริญญาในช่วงนั้นฉันทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วย เพื่อแบ่งเบาภาระที่บ้านและเพื่อที่ฉันจะได้มีเงินส่วนตัวไว้ช๊อปปิ้งอะไรต่างๆที่ฉันอยากได้ฉันทำงานเป็นบาร์ริสต้า หรือ คนชงกาแฟ ในร้านกาแฟเฟรนไชส์ชื่อดังเจ้าใหญ่มีสาขามากมายในอังกฤษ ฉันเริ่มไต่เต้าจากเด็กฝึกงาน ต้องทั้งล้างแก้ว เช็ดโต๊ะขัดห้องน้ำ จัดสต๊อก ไต่เต้ามาจนได้เริ่มอบแซนวิช หยิบเค้ก ทำเครื่องดื่มเย็นเป็นแคชเชียร์ และได้รับการฝึกอบรมและสอบได้เป็นบาร์ริสต้าในที่สุดนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของฉัน ที่ฉันได้ทำงานแบ่งเบาภาระที่บ้านเรื่องค่าใช้จ่ายที่ส่งเสียฉันเรียนมาตลอดเวลาปีกว่าก็ไม่ต้องให้ส่งให้ฉันอีกต่อไป มันก็เป็นเรื่องปกติที่อยากได้เงินเยอะก็ต้องทำงานมาก เพราะฉันได้ค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง ฉันจึงทำงานยาวนานมากในแต่ละวันมีบางครั้งที่ฉันทำงานยาวถึงวันละ 14 ชั่วโมงก็ยังเคยพูดได้เลยว่ามันหนักมากสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบฉัน แต่คนอย่างฉันมันโลภมากอยากได้เงินเยอะ เพราะกิเลสของฉันมักเกิดขึ้นเวลาไปช๊อปปิ้ง อยากได้นั่นอยากได้นี่ ราคาแพง ก็ต้องทำงานเก็บเงินเอา ฉันทำงานเอาเป็นเอาตาย เหนื่อยก็สู้ปกติแล้ว ทำงานกะเช้าตรู่ที่ต้องไปเปิดร้านนั้น จะไม่ค่อยมีคนอยากทำเนื่องจากว่าเป็นร้านกาแฟ และ ขายอาหารเช้าด้วยร้านกาแฟของฉันจึงเปิดให้บริการตอนเช้าตั้งแต่หกโมงครึ่ง ทุกวัน นั่นหมายความว่าฉันต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 สี่สิบห้า นั่งรถเมล์ไป เพื่อไปถึงร้านตอน 6.15เปลี่ยนเสื้อผ้าและเปิดร้านให้ทัน 6.30 นั่นเอง

    อากาศในตอนเช้าหนาวมาก หนาวจนบางทีฉันเดินปากสั่นมือแข็งจนต้องเอามือซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อกันหนาวตลอดเวลา ในบางครั้งแม่โทรศัพท์จากประเทศไทยมาหาฉันในช่วงเช้าช่วงที่ฉันกำลังเดินฝ่าหิมะออกไปขึ้นเมล์ ฉันเสียงสั่นและหายใจหอบด้วยความหนาวแม่เป็นห่วงมาก ไม่อยากให้ฉันทำงานกะเช้าแบบนั้นเลยทั้งเป็นห่วงว่าจะต้องเผชิญอากาศหนาวเย็น บางครั้งก็ฝนตกแล้วออกจากบ้านเช้ามืดแบบนั้น ก็กลัวว่าจะมีมิจฉาชีพ หรือ คนเมา มารังแกอีกด้วยแต่ฉันนั้นไม่ได้ห่วงตัวเองมากนัก เพราะว่ารับเข้างานกะเช้าบ่อยๆ เจ้านายก็เห็นใจและ เห็นฝีมือในการทำงาน จึงขึ้นค่าแรงให้ ฉันก็ยิ่งดีใจ ทั้งได้เงินเพิ่มแล้วก็ได้เลิกงานเร็วไม่ต้องเก็บร้าน มีเวลาไปช๊อปปิ้งอีก จึงได้แต่บอกแม่ไปว่าไหวสบายมาก แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนั้นจริงๆ ฉันก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติเล็กๆน้อยๆของตัวเองบ้างแล้ว ที่บางครั้งฉันเหนื่อย เพลียมาก หากได้นั่งลงตรงไหน ก็ผลอยหลับลงได้ทันทีแบบที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็น สังเกตเห็นว่าตัวเองผิวขาวซีดลงมาก เบื่ออาหารทั้งที่ๆคนที่ทำงานเหนื่อย ควรจะหิวข้าวและทานอาหารได้มากกว่าปกติ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกหิวไม่อยากรับประทานอะไรเลย ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ปวดไปถึงกระดูกแต่ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายมันออกมายังไง คิดว่าคนอื่นที่เค้าทำงานเยอะๆก็คงเป็นกันแบบนี้ ฉันบอกแล้วว่าฉันอยู่บ้านที่เมืองไทย ฉันไม่เคยทำงานอะไรหนักๆจริงๆสักที จึงคิดเอาเองว่าหากทำงานหนัก มันก็คงปวดเมื่อย เหนื่อยล้าแบบนี้ล่ะมั้ง

    ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าอาการต่างๆ นานาที่ฉันมักเป็นอยู่เสมอๆ ที่จะเล่าต่อไปนี้ นั่นคือลางร้าย คือความผิดปกติที่เปลี่ยนแปลงชีวิตฉันไปตลอด ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ฉันเป็นคนสุขภาพแข็งแรงมาตลอดไม่เป็นหวัด ไม่แพ้อากาศ ไม่ปวดหัวตัวร้อนบ่อยๆ จึงทำให้ไม่เคยตรวจสุขภาพใดๆเลยและ มองข้ามไป คิดว่าเรารู้ตัวเองดีว่าแข็งแรงแค่ไหน ไม่ต้องให้ใครมาบอกฉันประมาทมาก เพราะจริงๆ แล้วฉันมีอาการเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นบ่อยๆ มาโดยตลอดแต่ก็มักหาเหตุผล (แบบคิดไปเอง) ให้ตัวเองไม่กังวลได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตะคริว และนิ้วมือล็อคบ่อยๆ ก็คิดว่าเกิดจากอากาศหนาว อ่อนเพลียง่าย ก็คิดว่าตัวเองทำงานหนักเรียนเยอะ จึงอ่อนล้าเป็นธรรมดา (เพลียขนาดที่ว่านั่งรถเมล์แล้วหลับตั้งแต่ต้นสายยัน ปลายสายไม่รู้เรื่อง) ผมร่วง ก็โทษว่าเป็นผู้หญิงผมยาวอยู่กับเพื่อนผู้หญิงอีกคน ก็เป็นธรรมดาที่ผมของผู้หญิง 2 คนรวมกันจะเยอะขนาดนี้ฉันถามเพื่อนซึ่งผมสั้น เพื่อนก็บอกว่าไม่นะ ไม่ใช่ผมเธอ เพราะเธอผมสั้นอยู่บ้านก็ไม่เคยเห็นผมอะไรจะร่วงเยอะขนาดนี้ เพื่อนบอกว่าเป็นผมฉันส่วนฉันก็บอกเพื่อนว่า ไม่นะ ปกติฉันไม่ใช่คนผมร่วงเยอะขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ เราจึงสรุปกันง่ายๆแบบเข้าข้างตัวเองทั้งคู่ว่า ร่วงกันคนละหน่อย 2 คนรวมกันมันจึงเยอะขนาดนี้นั่นเอง แต่เรื่องมันมาปรากฏชัดในวันที่ฉันไปทำไฮไลท์ผมเป็นสีชมพูและทุกสัปดาห์ฉันจะต้องดูดฝุ่นทำความสะอาดห้องก็พบว่าผมที่ติดอยู่ในเครื่องดูดฝุ่นก้อนใหญ่ๆนั้น ส่วนใหญ่เป็นผมสีชมพูซึ่งหมายความว่าเป็นผมของฉันเองยังไม่นับส่วนสีดำที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นของฉันหรือของเพื่อนซึ่งถึงตรงนี้ก็สันนิษฐานได้เลยว่าสีชมพูซึ่งเป็นแค่ไฮไลท์ของฉันยังเยอะขนาดนั้นแล้วสีดำจะเหลือเหรอ น่าจะเป็นของฉันซะส่วนใหญ่แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าเราคงจะสระผมด้วยน้ำที่ร้อนมากไป เนื่องจากอากาศหนาวก็เลยพยายามปรับน้ำให้เย็นขึ้น พอน้ำเย็นขึ้น ฉันก็เป็นตะคริวและนิ้วล็อค วนเวียนอยู่แบบนี้หลายๆครั้งที่เป็นตะคริวตอนอาบน้ำ ตอนที่กลับมาประเทศไทย เพื่อนๆที่ไทยก็ทักว่าผมบางไปเยอะเลยนะทั้งที่เมื่อก่อนเป็นคนผมหนามาก และตัวขาวอย่างผิดปกติ(ปกติของฉันเป็นคนผิวสองสี ค่อนไปทางเหลือง แต่ตอนที่กลับมาไทยครั้งนั้นผิวฉันขาวมาก ขาวจนเห็นเส้นเลือด) ฉันก็เพียงแต่บอกเพื่อนว่าก็ที่ฉันอยู่มันหนาวฉันใส่แต่เสื้อกันหนาวมาตลอด แดดก็ไม่ค่อยออก ฉันก็ต้องขาวขึ้นเป็นธรรมดา เวลาที่ฉันรู้สึกว่าหนาวพียงนิดเดียว ทั้งนิ้ว ทั้งมือฉันจะซีดจนกลายเป็นสีเขียว สีม่วง ดูน่ากลัว ทำให้ฉันต้องใส่ถุงมือหนาๆ ตลอดเวลา นอกจากนี้ เท้าทั้ง 2 ข้างของฉันก็บวมมาก ฉันก็แก้ปัญหาแบบคนไม่รู้ด้วยการซื้อรองเท้าใหม่ที่คิดว่าจะใส่สบายมากขึ้นไปหลายคู่  นั่นเพราะฉันคิดว่าอยู่ต่างประเทศฉันเดินเยอะเวลาทำงาน ก็แทบไม่ได้นั่งเลยตลอดเวลาหลายชั่วโมง ไม่เหมือนตอนอยู่เมืองไทยสงสัยว่ารองเท้าที่ฉันใส่อยู่จะไม่ซัพพอร์ตการเดินมากๆฉันจึงไปซื้อรองเท้าใหม่มาเปลี่ยนคู่แล้วคู่เล่าเท้าฉันก็ยังบวมและช้ำเป็นสีม่วงเหมือนห้อเลือด ตามนิ้วเท้า เล็บเท้าของฉันเป็นสีม่วงช้ำทั้งหมดทุกนิ้ว เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนเพียงแค่ฉันลุกขึ้นยืนฉันก็เจ็บที่ฝ่าเท้าแล้ว ทำให้ฉันไม่ค่อยอยากไปไหนมากนักในช่วงหลังๆ นอกจากไปทำงานนอกจากนี้ฉันก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของปัสสะวะตัวเอง คือฉันเห็นฟองลอยฟ่องทุกครั้งที่ฉันเข้าห้องน้ำฉันมั่นใจว่าฉันล้างห้องน้ำสะอาดไม่เหลือสารทำความสะอาดเป็นฟองตกค้างแน่นอนแต่ฉันก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร ปัสสะวะของใครๆ ก็น่าจะเป็นฟองเหมือนกัน ก็ฉันก็ไม่เคยเห็นปัสสะวะของคนอื่นจึงไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่าเป็นฟองแบบนี้มั้ยแต่ฉันถามเพื่อนๆ เพื่อนฉันก็บอกว่าก็มีบ้างนะ เป็นฟองบ้าง แต่ราดน้ำก็หายไปฉันจึงไม่ได้คิดว่าตัวเองผิดปกติอะไรเลย บุญมีแต่กรรมมาบังแท้ๆ อุส่าห์ได้มีความรู้โชคดีกว่าชาวบ้านได้ร่ำเรียนสูงๆ มานั่งนึกย้อนดูแล้วฉันผิดปกติขนาดนี้ยังคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรได้อย่างไร ความผิดปกติต่างๆทั้งหมดมีมาเป็นระยะเวลาประมาณเกือบปี แต่ “ฉันก็ยังไม่คิดว่าตัวเองผิดปกติอะไร”พอมานั่งนึกดูแล้วอาการเล็กๆน้อยๆ เหล่านี้ ซึ่งมันมีเยอะแยะมากทำไมฉันถึงไม่เอะใจบ้าง หากฉันไหวตัวเร็วอีกซักนิด รีบโวยวายและพาตัวเองไปหาหมอไปให้หมอตรวจเช็ค รีบรักษาให้ตรงจุด ฉันอาจจะไม่ต้องไม่สบายมากขนาดนี้ก็ได้แต่เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นมักมีเหตุผลในตัวมันอยู่แล้ว เหมือนที่มีคำกล่าวของฝรั่งว่า“Everything happens for reasons, ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีเหตุปัจจัย” อยู่เพียงแต่เราจะมีโอกาสได้รู้ตอนที่ถึงเวลาอันสมควรแล้วเท่านั้นเองนี่คือข้อคิดแรกๆ ที่ฉันได้จากการรู้ตัวว่าป่วยหนักในครั้งนี้

                    อยู่มาวันหนึ่งฉันเริ่มมีไข้ต่ำๆและรู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าเคย ฉันเข้านอนตั้งแต่ 3 ทุ่มโดยไม่ได้ทานอาหารเย็นหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ฉันรู้ตัวตื่นมาอีกทีคือเกือบเที่ยงในวันรุ่งขึ้นฉันงงว่านี่ฉันหลับไปนานถึงขนาดนี้เลยเหรอ จากนั้นก็อาบน้ำ ทานข้าวและเปิดละครไทยดูจากอินเตอร์เนต เหมือนปกติ แต่ฉันก็ผลอยหลับไปอีกโดยไม่รู้ตัวตื่นมาอีกที 4 โมงเย็น ฉันคิดแล้วว่านี่ผิดปกติแน่ๆ สงสัยไข้ฉันจะสูงจัด ฉันจึงโทร.ไปบอกหัวหน้าเพื่อขอลาป่วยในวันรุ่งขึ้นเพลียขนาดนี้ฉันคงลุกไปทำงานไม่ไหวแน่ๆ และคิดว่าตัวเองควรไปหาหมอดีกว่า เอายามากินจะได้หาย วันรุ่งขึ้นฉันจึงหอบร่างของตัวเองเดินช้าๆฝ่าลมหนาว ไปขึ้นรถเมล์ (ใครๆ ก็รู้ว่าค่ารถแท็กซี่ที่ต่างประเทศแพงมากคนงกอย่างฉันไม่มีทางยอม ฮ่าๆๆ)โดยปกติแล้วฉันจะใช้เวลาเดินจากที่พักเพื่อไปป้ายรถเมล์นั้นประมาณ 10-15 นาทีไม่เกินนี้ แต่วันนั้น ฉันใช้เวลาเดินทั้งหมด 45 นาทีเพราะฉันเหนื่อยหอบมาก เดินได้เพียง 2-3 ก้าว ก็ต้องหยุดพักเหนื่อย ค่อยๆเดินแบบนี้ไปจนถึงป้ายรถเมล์ได้เพื่อที่จะไปหาหมอเมื่อถึงคลินิก คุณพยาบาลวัดไข้ได้ 38.9 องศา โห! นี่มันไม่ต่ำแล้วนะคุณหมอก็เอาไฟฉายส่องคอ และ ถามคำถามทั่วๆไป เช่น มีน้ำมูกมั้ย? ไอมั้ย?ฉันไม่เป็นอะไรซักอย่าง แต่บอกหมอว่าฉันเพลียมาก ฉันอยากนอนทั้งวัน คุณหมอบอกว่าก็แน่ล่ะสิ ไข้สูงขนาดนี้ แต่คิดว่าไม่เป็นอะไรมาก กลับไปบ้านให้ดื่มน้ำเยอะๆกินพาราฯทุก 4 ชั่วโมง นอนมากๆ น่าจะดีขึ้น แต่ฉันรู้สึกว่าไหนๆฉันก็อุส่าห์หอบร่างตัวเองมาคลินิกแล้ว ให้คุณหมอดูเท้าซักหน่อยก็แล้วกันเพราะว่ามันเจ็บมาก (จริงๆ แล้วนี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉันไม่อยากออกจากบ้านเพราะฉันเจ็บเท้า ไม่อยากเดิน)

    ต้องขอเล่าตรงนี้อีกนิดหนึ่ง คือการไปหาหมอที่ต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร ไม่ได้ง่ายดายเหมือนประเทศไทยที่เดินเข้าคลินิกไหนก็ได้ และ สามารถพบแพทย์ หรือ ขอระบุขอพบแพทย์เฉพาะทางได้เลยแต่การหาหมอที่อังกฤษนั้น จะต้องนัดกับแพทย์อายุรกรรมทั่วไป หรือที่เรียกว่า GP(General practice) ในเขตที่อยู่อาศัยเสียก่อน ซึ่งการจะนัดกับ GP นั้นเราก็ต้องไปลงทะเบียนก่อนแล้วก็ลงนัด แล้วพอถึงวันนัดเท่านั้นถึงจะไปพบหมอได้และหากเป็นโรคที่ต้องได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางเป็นพิเศษ GP จะทำการเขียนจดหมายส่งตัวเราไปเองแต่หากว่ามีอุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉิน เราก็สามารถไปที่โรงพยาบาลที่แผนก Accident& Emergency หรือที่เรียกว่า A&E ได้แต่ก็ต้องไปต่อคิวยาวเหยียดตามมาตรฐานโรงพยาบาลรัฐ ไม่ว่าจะที่ประเทศไหนก็ตาม วันที่ฉันได้พบหมอวันนั้นฉันต้องไปเข้าคิวอยู่ที่แผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลใหญ่ เนื่องจาก ตัวฉันเองอยู่อังกฤษมาตั้งนาน ไม่เคยคิดจะลงทะเบียน GP อะไรเลยเพราะว่าฉันแข็งแรงดีนี่ หวัดก็ไม่เคยเป็น ไม่เอาหรอก ขี้เกียจไปทำให้ฉันไม่สามารถนัดพบ GP ได้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องมากๆประมาทได้อย่างไรกับเรื่องสุขภาพ ก็วันที่ฉันป่วยนั่นเอง

     พอถอดรองเท้า ถอดถุงเท้าให้หมอดูเท่านั้นแหละ หมอถึงกับตกใจไม่ใช่ว่าเพราะเหม็น แต่เพราะว่ามันบวมและช้ำมากคุณหมอเลยบอกว่าคิดว่านี่ไม่ธรรมดาซะแล้วล่ะคุณอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับการหมุนเวียนเลือดจึงทำให้เลือดไหลลงมาที่เท้าแล้วไม่วนกลับขึ้นไปเท้ามันจึงช้ำขนาดนี้หมอจะเขียนจดหมายส่งตัวไปที่โรงพยาบาลให้นะให้ผู้เชียวชาญด้านเท้าดู บ่ายนั้นฉันกลับบ้านไปนอนตั้งแต่บ่ายเลยเพราะพรุ่งนี้เช้าฉันต้องไปพบหมอที่โรงพยาบาลแต่เช้าและแน่นอนว่าเท้าฉันเจ็บจึงทำให้เดินได้ช้ามาก ฉันต้องเผื่อเวลาเดินไว้ด้วย

                    เช้าวันรุ่งขึ้นฉันพาตัวเองไปถึงโรงพยาบาลได้ตรงตามเวลานัด ถอดรองเท้า ถุงเท้าให้หมอดู หมอท่านที่2 นี้ก็ถึงกับตกใจเช่นกัน แต่ก็ตรวจเช็คเท้าของฉัน และก็บอกว่ากระดูกปกติดีเส้นเอ็นก็ปกติ แต่ว่ามันช้ำขนาดนี้ เธออาจจะเป็นอย่างอื่นที่มากกว่านี้แล้วแหละฉันสงสัยว่าเธออาจจะเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจจึงทำให้การหมุนเวียนโลหิตเธอไม่ค่อยดีฉันจะทำจดหมายส่งตัวเธอไปโรงพยาบาลอีกที่ ที่มีผู้เชี่ยวชาญเธอต้องไปอย่างเร็วที่สุดภายในวันนี้เลยนะฉันว่ามันดูอันตรายปล่อยไว้นานอาจจะไม่ดีถึงตอนนี้ฉันเริ่มงงแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็เชื่อหมอ บอกให้รีบไป ก็รีบไปเท่าที่จะขา 2 ข้างของฉันจะรีบได้ด้วย พอถึงอีกโรงพยาบาลอีกที่หนึ่ง เนื่องจากฉันมีจดหมายวิเศษจากคุณหมอโรงพยาบาลเดิมแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูก็ได้ลัดคิวเข้าไปตรวจในทันที มีคุณหมอเข้ามาซักประวัติอย่างละเอียด เช่นว่าเป็นเท้าบวมมานานเท่าไหร่แล้ว? อ่อนเพลียมานานเท่าไหร่? มีอาการอะไรอีกบ้างในช่วง2-3 เดือนที่ผ่านมา? ปัสสะวะแสบขัดมั้ย? ทานอาหารได้ปกติมั้ย?ฉันก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง คุณหมอก็จับฉันเจาะเลือดตรวจ ตรวจปัสสะวะ ให้ฉัน x-rayปอดและขอตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันที หลังจากนั้น รอประมาณ 2 ชั่วโมง ผลเลือดฉันออกมาหมอบอกว่ามีความผิดปกติหลายอย่างในเลือดของฉัน ฉันคงกลับบ้านไม่ได้วันนี้เพราะหมอต้องการตรวจเลือดเพิ่มอีกหลายตัวด้วย ส่วนผลปอด และคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้นก็มีความผิดปกติเช่นกัน เพราะว่ามีของเหลวถูกปั๊มลงไปในปอดเนื่องจากฉันโลหิตจางมากหมอถามฉันกลับว่าฉันมาโรงพยาบาลยังไง ฉันตอบหน้าตาเฉยว่า นั่งรถเมล์มา คุณหมอเงียบ อึ้งไปซักพัก แล้วถามว่าทำไมเธอไม่เรียกรถพยาบาลล่ะอาการขนาดนี้ปกติคนอื่นเดินไม่ไหวแล้วนะ ก็แน่ล่ะสิ ฉันไม่คิดว่าตัวเองเป็นอะไรนี่ทั้งที่ก่อนที่ฉันจะออกจากบ้านในวันนั้น ฉันกับเพื่อนยังพูดติดตลกกันอยู่เลยว่าถ้าฉันต้องอยู่โรงพยาบาลนี่ให้ไปเยี่ยมด้วยนะ ให้ซื้อขนมไปฝากเยอะๆ นะ เอาของแพงๆเพราะฉันไม่คิดว่าเรื่องตลกที่ฉันพูดเล่น มันจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้อย่างไร

                    ช่วงเย็นของวันแรกในโรงพยาบาลคุณหมออีกท่านเข้ามาแนะนำตัวว่าเป็นอาจารย์หมอ rheumatologis ได้รับรายงานจากนักศึกษาแพทย์เลยมาดูอาการฉันและสงสัยว่าฉันน่าจะเป็นโรค SLE หรือ Lupus แต่ตอนนี้กำลังรอผลเลือดอยู่ยังสรุปไม่ได้ฉันค่อนข้างงงกับสิ่งที่คุณหมอพยายามอธิบายให้ฉันเข้าใจ จับใจความได้ว่าเป็นโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันสารภาพตามตรง ความรู้ทางสุขศึกษาของฉันต่ำมาก ยิ่งมาพูดอะไรเข้าใจยากๆศัพท์การแพทย์แบบนี้ ฉันรู้ว่ามันแปลว่าอะไรก็นับว่าฉลาดมากแล้วแต่ถ้าให้ต้องเข้าใจถึงความหมายมัน ฉันไม่รู้จริงๆฉันไม่เข้าใจว่าภูมิคุ้มกันแล้วยังไง? อันตรายตรงไหน? ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า SLEคืออะไรไม่รู้ว่า SLE คือโรคที่คนไทยเรียกว่าโรคพุ่มพวง ไม่รู้ด้วยว่าคุณพุ่มพวงต้องเสียชีวิตลงอย่างไรเรียกได้ว่าฉันไม่รู้อะไรเลย จนพาลไปคิดว่า หรือว่าหมอหมายความว่า HIV ซึ่งหมายถึงโรคเอดส์หรือเปล่า?ฉันไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้ แต่อย่างไร แต่ทำไมหมอพูดแบบนี้ เอ๊ะ!หรือว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้ประมาณ1 สัปดาห์ ในขณะทำงานฉันทำแก้วบาดมือเหวอะหวะหัวหน้าจึงย้ายฉันจากหน้าที่บาร์ริสต้าชงกาแฟ ไปให้ฉันอยู่แคชเชียร์แทนเนื่องจากไม่อยากให้มือฉันโดนน้ำ และมันดูไม่มีอนามัยอีกด้วยที่จะมีพนักงานแปะพลาสเตอร์เต็มมือแล้วยังยืนชงกาแฟส่งให้ลูกค้าอีกฉันคิดไปว่าในระหว่างที่ฉันรับเงิน ส่งเงินให้ลูกค้าในขณะปฏิบัติหน้าที่แคชเชียร์นั้นอาจมีลูกค้าซักคนเป็นโรคเอดส์ แล้วบังเอิญว่ามือของฉันมีแผลพอดีเป็นไปได้ไหมที่ว่าติดโรคมาจากตอนนั้น เพราะหลังจากวันนั้นเองฉันก็รู้สึกว่าเพลียๆเหมือนมีไข้ต่ำๆ ตัวรุมๆ ตลอดเวลา และมือก็บวมเล็กน้อย เย็นวันที่โดนแก้วบาดหลังจากลูกค้าบางตาลงแล้ว หัวหน้าขอดูมือฉันว่าโดนบาดมากขนาดไหนจะได้วางตำแหน่งคนทำงานถูกในวันรุ่งขึ้นหัวหน้าสังเกตุว่าฉันโดนแก้วบาดตั้งแต่ช่วงสายๆ แต่นี่เย็นแล้วปากแผลยังดูมีเลือดซึมๆ อยู่เลย จึงถามฉันว่าเธอโอเคนะ ฉันว่าเลือดเธอน่าจะหยุดไหลแต่ว่ามันไม่หยุด เธอเป็นอะไรหรือเปล่า? ฉันก็บอกหัวหน้าว่า ไม่รู้สิฉันคิดว่าฉันไม่เป็นอะไรหรอกเพียงแต่แผลมันใหญ่ เลือดเลยอาจจะหยุดช้าหัวหน้าเลยบอกฉันว่าเธอต้องระวังนะ ถ้ายังไม่หยุดไหล เธอก็ควรไปหาหมอแต่หลังจากคืนนั้นพอฉันกลับไปบ้าน ฉันไม่ใช้มือหยิบจับอะไรมากนัก เลือดก็หยุดสนิทไม่มีปัญหาอะไร

                    หมอรีบอธิบายฉันว่าไม่ๆ ไม่ใช่ HIV แต่อย่างไร แต่ก็แน่นอนว่าหมอส่งเลือดฉันไปตรวจ HIV ด้วยเรียบร้อยแล้วซึ่งผลออกมาว่าฉันไม่เป็น HIV คือโรคติดต่อทางเลือด เรียกว่าภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่ของฉันไม่ใช่โรคติดต่อ เป็นโรค SLE เรียกว่าภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองคุณหมออธิบายต่อว่ามีคนที่เป็นโรคนี้จำนวนไม่มากนักและตอนนี้ก็สงสัยว่าฉันอาจจะได้เป็นผู้โชคดีในจำนวนนั้นซะด้วยสิเอาเป็นว่าเดี๋ยวหมอจะหาเอกสารที่เกี่ยวข้องที่อธิบายฉันได้โดยละเอียดว่าโรคนี้คืออะไรเอามาให้ฉันอ่านในระหว่างอยู่ที่โรงพยาบาลดีไหม แก้เบื่อด้วยแล้วไม่เข้าใจตรงไหนค่อยถามหมออีกทีถึงตรงนี้ต้องยอมรับว่าด้วยความที่ฉันเป็นคนต่างชาติถึงแม้ว่าจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสารกับหมอได้แต่ว่าหมอก็ตระหนักถึงความสำคัญว่าคนไข้ควรเข้าใจทุกกระบวนการที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองหมอจึงมีหน้าที่ที่จะต้องอธิบายทุกอย่างให้ฉันเข้าใจหากฉันไม่เข้าใจก็ต้องหาทางทำให้ฉันเข้าใจให้ได้ ฉันถามหมอว่าแล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้ออกจากโรงพยาบาลหมอบอกว่ายังตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็อีก 3 วันรอผลเลือดออกก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ในช่วง 3วันนี้ หมอจะให้ฉันตรวจ MRI หัวใจและปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและอีกมากมายหลายรายการอีกด้วย เพราะไหนๆก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรคิดแค่ว่าดีเหมือนกันจะได้นอนหลับพักผ่อนมากๆ เหนื่อยมาหลายวันแล้วเหมือนกันติดนิดเดียวก็กังวลอีตรง MRI นี่แหละ เกิดมาก็ไม่เคย เค้าจะให้เราทำอะไรบ้างก็ไม่รู้แต่ก็เอาน่ะ! หมอบอกว่าไง ก็ว่าตามนั้น หมอยังไม่ได้บอกผลเลือดฉันที่ว่าไม่ปกตินั้น มันไม่ปกติขนาดไหน อย่างไร เพราะดูอาการแล้ว ฉันยังงงอยู่มากและไม่เข้าใจอะไรเลย จึงเพียงแต่สรุปคร่าวๆ ว่าผิดปกติหลายอย่าง (มารู้ในภายหลังว่าฉันโลหิตจางรุนแรงเม็ดเลือดขาวต่ำ เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และ เกล็ดเลือดต่ำมากนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันอ่อนเพลียมาก และเลือดหยุดไหลช้าในวันที่แก้วบาดนั่นเอง)

                    ตอนที่หมอบอกว่าสงสัยว่าฉันจะเป็นโรคSLE นั้น ฉันไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ามันรักษาไม่หาย ไม่ใส่ใจด้วยคิดว่าเป็นโรคอะไรก็ช่าง เพราะคิดว่าก็รักษาไป กินยาไป เดี๋ยวก็หายเอาเป็นว่าไม่ได้เป็นโรคเอดส์ก็แล้วกัน ไม่ได้รู้เลยว่าเป็นโรคอันตรายหรืออะไรใดๆทั้งสิ้น และยังคุยกับเพื่อนที่อยู่เมืองไทยว่า หมอให้อยู่โรงพยาบาลนะ อีก 2-3วันคงออกได้ ไม่ต้องบอกแม่นะ เดี๋ยวแม่จะเป็นห่วง ถ้าฉันออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ค่อยบอกฉันจะโทรคุยกับที่บ้านเอง แล้วก็รีบโทร.ไปบอกเพื่อนร่วมห้องของฉันแบบขำๆว่านี่ตกลงฉันต้องอยู่โรงพยาบาลจริงๆด้วยล่ะ ซื้อของมาเยี่ยมด้วยนะ เอาแพงๆตามที่ตกลงกันไว้ ฮ่าๆๆๆ ถ้ามีเวลามาเยี่ยมฉันเย็นนี้ก็ฝากเอาข้าวของที่จำเป็นของฉัน เช่น แปรงสีฟัน ชุดชั้นใน สบู่ยาสระผมมาให้ฉันด้วย (การค้างที่โรงพยาบาลในต่างประเทศไม่รู้ว่าเฉพาะที่นี่หรือเปล่า ทางโรงพยาบาลจะไม่ได้เตรียมอะไรให้คนไข้ต้องบอกให้ญาตินำมาเอง เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลรัฐซึ่งจะแตกต่างจากโรงพยาบาลในประเทศไทยที่หากคนไข้ต้องค้างคืนที่โรงพยาบาลแล้วจะมีของใช้จำเป็นบริการให้ แล้วบวกไปกับค่าบริการ)แต่เพื่อนคนนี้ซึ่งอยู่อังกฤษมานานมากกว่าฉันเริ่มคิดแล้วว่ามันน่าจะไม่ธรรมดาเพราะโดยปกติแล้ว หมอจะไม่ให้คนไข้อยู่โรงพยาบาลง่ายๆ หากไม่เป็นหนักจริงๆเนื่องจากเตียงในโรงพยาบาลก็มีจำกัด จึงจำเป็นต้องเก็บไว้สำหรับคนไข้ที่ต้องการมันจริงๆเท่านั้น และหากฉันต้องอยู่โรงพยาบาล นั่นก็แปลว่าอาการหนักหนาอยู่แต่ฉันก็บอกว่าไม่เป็นไรมากหรอก จากนั้นฉันก็รีบโทร.ไปบอกหัวหน้าเล่าว่าคุณหมอบอกแบบนี้ ฉันคงต้องลางานยาวสักหน่อยหากได้เรื่องว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่จะรีบแจ้งให้ทราบให้หาคนไปทำงานแทนฉันที อารมณ์ตอนนั้นฉันห่วงแต่งานเพราะว่าการที่ไม่ได้ไปทำงานนั่นยังหมายความว่าฉันก็ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายอื่นๆตามปกติ แต่รายได้ฉันหายไปแล้วฉันก็ยังเล็งกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงระยับไว้อีกด้วย แต่จะให้ทำไงได้หมอไม่ให้กลับ ฉันได้แต่ทำใจ

    ในช่วง 2-3 วันแรกฉันรู้สึกแปลกๆที่ต้องมาอยู่ในโรงพยาบาล การที่ต้องนอนร่วมห้องกับคนอื่นหลายๆ คนมีเพื่อนข้างเตียงเป็นคนป่วยแบบนี้ มีพยาบาลมาวัดไข้ วัดความดันตามเวลา เมื่อถึงเวลาอาหารก็มีพยาบาลเอาอาหารมาเสิร์ฟให้ถึงเตียงถึงเวลาอาบน้ำก็มีพยาบาลเอาผ้าเช็ดตัว พร้อมชุดคนไข้ชุดใหม่มาให้ จริงๆก็สบายดีเหมือนกันนะ ฮ่าๆๆ ฉันได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเต็มที่ ทานยาตามที่หมอบอกฉันก็รู้สึกราวกับว่าแข็งแรง สดชื่นดี และอยากกลับไปทำงาน อยากกินนั่น อยากกินนี่แล้วในระหว่างนี้หมอก็ลงเวรมาเยี่ยมฉันบ้าง มาสอบถามอาการทั่วไปก็ไม่มีอะไรผิดปกติมากไปกว่านี้ แต่เมื่อ 2-3 วันผ่านไปก็ยังไม่มีวี่แววจะได้ออกจากโรงพยาบาล เพื่อนซี้ของฉันที่อยู่เมืองไทยเราคุยกันตลอด ฉันคอยส่งภาพในแต่ละวันที่ฉันอยู่ที่นี่ไปให้เพื่อนดูแทบทุกวันแน่นอนว่าฉันบ่นเรื่องอาการอ่อนเพลีย และเจ็บเท้าให้เพื่อนคนนี้ฟังมาระยะหนึ่งก่อนตัดสินใจมาหาหมอ และส่งรูปเท้าของฉันที่บวมเบ่ง ช้ำม่วง ให้เธอดูพอเริ่มอยู่โรงพยาบาลหลายวันแบบนี้ เพื่อนซี้ของฉันยิ่งร้อนใจเป็นห่วงจนทนไม่ไหวผิดคำสัญญากับฉันที่ว่าห้ามบอกแม่จนต้องโทรไปบอกพร้อมทั้งส่งรูปเท้าบวมๆอันนั้นให้แม่ดู และ แม่ก็โทรมาหาฉันในที่สุด ฉันจึงเล่าให้แม่ฟังตามที่หมอบอกครอบครัวฉันเองก็ไม่รู้เท่าๆกับที่ฉันไม่รู้ว่า SLE คืออะไรก็เลยยังไม่เป็นห่วงมาก คิดแค่ว่าไม่สบายมากหน่อย แต่รักษาไปก็คงหาย  

    การป่วยของฉันทำให้ฉันต้องตัดสินใจชีวิตใหม่ในหลายๆเรื่องทำให้ฉันต้องกลับมาอยู่ประเทศไทย

    และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงในชีวิตฉัน

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in