เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryPutt Proudparin
Chapter 1 : โชคชะตา
  • ....... ฉันตรวจพบว่าตัวเองต้องกลายเป็นคนมีโรคประจำตัว รักษาไม่หายแถมยังอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เมื่อปี 2011ขณะที่ใกล้จะถึงวันรับปริญญา.......

    ฉันต้องขอเล่าย้อนไปซักหน่อย เพราะถ้าจะให้เล่าถึงโรคประจำตัวเลย ผู้อ่าน อาจจะคาดหวังถึงข้อมูลการดูแลสุขภาพ ซึ่งฉันเอง คงไม่สามารรถให้ได้อย่างถูกต้องแบบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนัก ฉันอยากจะขอเล่าถึงชีวิตก่อนและหลังมีเพื่อนใหม่ที่ชื่อว่าโรค SLE ต่างหาก มุมมองการใช้ชีวิต แรงบันดาลใจ และกำลังใจต่างๆ ที่ทำให้ฉันผ่านไปได้ในแต่ละวัน ในเรื่องของความเปลี่ยนแปลงต่างๆ นั้น ไม่ต้องพูดถึง มากมายจนฉันคิดว่า ข้อความต่างๆ ที่ฉันได้กลั่นกรองมาให้ใกล้เคียงกับความรู้สึกที่ฉันอยากพูดมากที่สุด ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว มันก็ยังไม่ได้ใกล้เคียงกับความรู้สึกที่ฉันมีเลย สำหรับตัวฉันเองที่ต้องมาประสบโชคชะตาแบบนี้

    ถ้าพูดถึงเรื่องโชคชะตาแล้วเราจะคิดถึงอะไรได้บ้าง? ถูกล๊อตเตอรี่ รางวัลที่ 1? มีโอกาสต่างๆในชีวิต? สมัครงานได้ตำแหน่งดีๆ เงินเดือนสูง? ได้เกิดมาพบเจอคนดีๆ ในชีวิต? ประสบการณ์ต่างๆมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต อาจมีทั้งสิ่งที่เรียกว่าโชคดี และ โชคร้าย โชคชะตาของแต่ละคนคงไม่เหมือนกันเท่าไหร่นักบางคนอาจจะคิดว่าตัวเองโชคร้าย บางคนก็คิดว่าตัวเองนี่ช่างโชคดีซะเหลือเกิน

    และถ้าให้พูดถึงคนที่โชคดีซักคนแล้วล่ะก็ ฉันขอนับตัวเองอยู่ในกลุ่มคนจำนวนนั้นด้วยแน่ๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาจนโต ฉันได้รับแต่สิ่งดีๆ จากครอบครัว จากเพื่อนจากคนรอบตัวมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าฉันจะเคยได้ยินมาบ่อยๆ ตามหลักพุทธศาสนาว่าทำอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น เป็นเพราะฉันประพฤติตัวดี เป็นคนดี ฉันจึงได้รับแต่สิ่งดีๆนั่นเอง แต่ฉันก็ยังรู้สึกเสมอ ว่าโชคดีที่ฉันได้รับนั้นมันมากมายเกินความดีงามที่ฉันได้ทำมาในชีวิตนี้จริงๆ ฉันได้รับโอกาสดีๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการศึกษา โอกาสในการได้มีชีวิตที่ดี ทุ่กคนอิจฉามีครอบครัวที่ดี และนั่นก็รวมไปถึงได้รับโอกาสในการมีชีวิตอีก 1 ครั้งเช่นกัน

    จนทำให้ฉันคิดว่าทุกอย่างในชีวิตจะต้องสมบุรณ์แบบเพราะฉันเชื่อว่ามันจะเป็นแบบนั้น แต่โชคชะตาก็ทำฉันต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ฉันต้องมาเจอกับสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะต้องมาเกิดขึ้นกับฉันสิ่งที่ไม่อยู่ในแผนการณ์ของฉันเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าสิ่งที่ฉันได้เจอนั้นอาจไม่สามารถเทียบกับความยากลำบากของใครหลายคนได้ แต่ว่ามันก็สามารถให้ความทรงจำปรับทัศนคติในการมองโลก และการใช้ชีวิตของฉันไปอย่างสิ้นเชิง

    ฉันเชื่อว่าการไปเรียนต่อและการได้มีโอกาสใช้ชีวิตในต่างประเทศคงเป็น 1 ในความฝันของใครหลายๆคน ที่จะได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆเจอเพื่อนใหม่ๆ เรียนรู้ชีวิตใหม่ ในต่างแดน ฉันก็เป็น 1 ในคนรุ่นใหม่ไฟแรงเหล่านั้นฉันอยากเรียนสูงๆ อยากได้ลองใช้ชีวิตอิสระ อยากใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่อยากเลือกทางเดินชีวิตเอง ซึ่งถ้าอยู่ที่บ้าน ฉันเป็นได้เพียงลูกคุณหนูที่ถึงแม้ครอบครัวฉันจะสอนให้ทำงาน ให้ช่วยกิจการที่บ้าน แต่ในความรู้สึกของฉันมันก็ยังไม่ใช่การใช้ชีวิตแบบจริงๆ ในโลกแห่งความจริงที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน เจอผู้คนมากมายหลายแบบตัดสินใจ และดูแลตัวเอง โดยไม่มีพ่อแม่ปกป้อง ชีวิตของฉันที่ผ่านมาตลอดเวลาเกือบ 30ปีนั้นเรียกได้ว่าสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง สะดวกสบาย มีคนรับใช้ มีรถขับได้รับการศึกษาในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยที่ดี ผลการเรียนดี มีเพื่อนที่ดีไม่เคยทำตัวเหลวไหล และมีครอบครัวที่พร้อมจะสนับสนุนฉันได้ทุกอย่างเมื่อฉันเอ่ยปากบอกคนที่บ้านว่าฉันอยากไปเรียนต่อ ทั้งพ่อและแม่ ต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วยและอนุญาตอย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าช่วงเวลาแต่ละช่วงที่ฉันขอไปต่างประเทศนั้นเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาทางการเมืองส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำ การค้าขายชะลอตัวลงบ้างแต่ว่าครอบครัวของฉันก็รับปากว่าจะสนับสนุนเต็มที่ เพื่อให้ฉันได้เรียนรู้โลกกว้างตามที่ใจต้องการได้ดีกรีเรียนจบจากเมืองนอก เพื่อนำความรู้เหล่านั้นกลับเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงมาใช้พัฒนากิจการที่บ้านหรือ แม้แต่หากฉันอยากเลือกทางเดินอาชีพใหม่ ไม่อยากเดินตามรอยพ่อแม่ความรู้ที่ติดตัวฉันมาก็จะช่วยพาฉันไปถึงฝั่งฝันได้การเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษของฉัน จึงเป็นเหมือนความหวังของครอบครัวเลยทีเดียว

    การไปเรียนต่อของฉันผ่านไปอย่างราบรื่นตั้งแต่สมัครเรียน สอบวัดระดับภาษา การขอวีซ่า รวมไปถึงการตรวจสุขภาพฉันไม่มีปัญหาอะไรเลย สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง อย่างง่ายดาย ฉันยังจำได้ดีทุกๆ อย่างตั้งแต่วันแรกก้าวเท้าเข้าไปถึงประเทศอังกฤษ ทุกอย่างตื่นตาตื่นใจมาก ผู้คน ตึกรามบ้านช่อง ต้นไม้ กลิ่นของอากาศ ท้องฟ้าที่สีแตกต่างออกไป ฉันมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามไปหมดฉันพร้อมที่จะได้เปิดประสบการณ์ใหม่ในชีวิตจริงๆ

    แต่ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามันจะมีเพชรฆาตเงียบคอยจ้องเล่นงานฉันอยู่เหมือนว่ามีแค่แม่คนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกลึกๆ ว่าฉันไม่เหมือนคนอื่นแม่พูดแบบนี้เสมอ แม่จะบอกฉันว่าเวลาจะเล่น จะทำอะไรให้เพลาๆหน่อยไม่ต้องเต็มที่กับทุกเรื่องก็ได้ โดยพื้นฐานแล้วฉันเป็นคนเต็มที่กับทุกอย่างไม่ว่าจะทำอะไรซึ่งนี่อาจจะเป็นเคล็ดลับที่ทำให้ฉันค่อนข้างประสบความสำเร็จในเรื่องการเรียนก็เป็นได้หากฉันอยากได้ อยากทำอะไร ฉันเป็นคนไม่รอช้ารีบความแผนและลงมือทำสิ่งนั้นขึ้นมาให้ได้ ฉันยอมรับว่าตัวเองเป็นคนมุมานะจึงบางครั้งเรียกว่า “บ้าคลั่ง” ก็ได้ หากฉันวางแผนอะไรไว้ และยังไม่บรรลุเป้าใจของฉันจะหมกมุ่น ครุ่นคิดกับเรื่องนั้น หาทางแก้ หาทางเดินจนบรรลุความมุ่งหมายให้ได้จึงจะเลิกคิด สมัยก่อนที่ฉันยังทำงานออฟฟิศอยู่นั้น (ก่อนไปเรียนต่อ)ฉันมีหน้าที่ในการประสานงานและต่อรองกับลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศในตอนนั้นใครๆก็บอกว่าการทำงานของฉันนั้นเฉียบคมมาก มากจนออกจะไปทางดุเสียด้วยซ้ำ เป๊ะเว่อร์….แทบจะเรียกได้ว่างานอะไรที่ผ่านมือฉันออกไปนั้นแทบจะไม่มีข้อผิดพลาดเลย นั่นส่งผลทำให้ฉันเป็นคนบุคลิกค่อนข้างเครียดและจริงจังนอกจากนี้ยังไม่พอ เมื่อเลิกงานเวลา 17.30 ตามเวลามาตรฐานของมนุษย์ออฟฟิศไทยฉันไม่เคยใช้เวลาหลังเลิกงานในการสังสรรค์ปาร์ตี้กับเพื่อนๆที่ออฟฟิศเลยเพราะฉันต้องรีบบึ่งรถไปเรียนพิเศษต่อ

    ใช่แล้ว! ไปเรียนพิเศษ อ่านไม่ผิดแน่นอนฉันลงคอร์สเรียนภาษาอังกฤษทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ แต่อย่าคิดว่าฉันฉันว่างวันอังคารกับ พฤหัสบดี เพราะว่า 2 วันนี้ฉันมีเรียนภาษาจีน สรุปก็คือทุกเย็นหลังเลิกงาน ฉันมีเรียนภาษาเพิ่มเติม ซึ่งในตอนนั้นฉันรู้ตัวอยู่แล้วว่าการมาทำงานนี้เพียงเพื่อเป็นทางผ่านให้ฉันมีประสบการณ์ชีวิตแล้วฉันจะไปเรียนต่อ ฉันรู้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นฉันจึงวางแผนชีวิตตัวเองเป็นอย่างดีด้วยการเรียนปูพื้นด้านภาษาไปเรื่อยๆ ด้วยเลยดังนั้นหลังจากทำงานวันละ 8 ชั่วโมงเสร็จ ทุกๆเย็นฉันก็ต้องไปเรียนต่ออีกวันละ 2 ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้ฉันถึงบ้านประมาณ 4 ทุ่มทุกวันแต่ชีวิตของฉันยังไม่ได้พักผ่อนง่ายๆแน่นอน เมื่อเรียน ก็ต้องมีการบ้าน กลับมาบ้านฉันก็จะอาบน้ำเปิดเพลงฟัง และนั่งทำการบ้าน ซึ่งแน่นอน เรื่องงานฉันไม่เคยบกพร่องเรื่องเรียน ฉันก็ต้องไม่บกพร่องเช่นกัน ฉันทำการบ้านอย่างมีคุณภาพไปส่งอาจารย์ ทั้งฝรั่งทั้งจีนอย่างไร้ที่ติทำให้ฉันนอนไม่ต่ำกว่าเที่ยงคืนซักคืน เมื่อสมองถูกใช้งานอย่างหนักตั้งแต่เช้าจนมืดทำให้ฉันมีอาการนอนไม่หลับอยู่บ่อยครั้ง ตาสว่างถึงเช้าแล้วอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานก็เคยเป็นแบบนี้อยู่เดือนแล้วเดือนเล่า ความเครียดโดยไม่รู้ตัวที่สะสมๆ มาก็ทำให้ฉันเป็นโรคกระเพาะ ปวดท้องบ้างในบางครั้ง

    หากจะเรียกใครซักคนว่า Perfectionist ฉันว่าฉันเข้าเกณฑ์อย่างไม่ต้องสงสัยและไม่ใช่ว่าฉันจะ perfect เฉพาะเรื่องเรียน เรื่องทำงานกระทั่งเรื่องแต่งตัว เรื่องแฟชั่น ฉันก็ไม่ยอมแพ้ใครถึงแม้จะไม่ได้หน้าตาสะสวยมาก แต่อย่างน้อยออกจากบ้าน เสื้อผ้า หน้า ผม เล็บมือรองเท้า ของฉันนั้นต้องเข้าชุดกันอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนั้นฉันก็เพียงแต่คิดว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วมันจะดีเอง ไม่มีเรื่องอะไรจะหยุดฉันได้ ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน ก็ทำเพื่ออนาคตจะได้สบายในวันข้างหน้า และที่สำคัญคือฉันคิดว่าทุกอย่างคือการลงทุน เมื่อฉันลงทุน ลงแรงจ่ายค่าเรียนพิเศษแสนแพงไปแล้วนั้น ฉันควรได้รับอะไรกลับมาบ้างฉันควรมีพัฒนาการทางด้านภาษาที่ดี ใช้งานได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่เอาใบประกาศนียบัตรมาเพื่อแสดงว่าเรียนผ่านแล้วแค่นั้นแบบนั้นไม่ใช่ฉันแน่นอน ซึ่งฉันก็รู้สึกพอใจกับสิ่งที่ตัวเองได้รับและเป็นอยู่ในตอนนั้น

    ทั้งพ่อและแม่ รู้จักฉันดีว่าฉันเป็นคนแบบนี้ ท่านจึงค่อนข้างสบายใจว่าฉันจะไม่ทำตัวเหลวไหลเมื่อฉันอยู่ไกลหูไกลตาแน่นอนเพียงแต่เป็นห่วงกลัวฉันจะเครียดเกินไป ปกติแล้วลูกบ้านอื่นพ่อแม่อาจจะต้องเป็นห่วงกลัวว่าจะไปทำตัวเหลวไหล ไม่ตั้งใจเรียนแต่บ้านฉันนั้นกลับกัน ทั้งพ่อทั้งแม่เป็นห่วงกลัวลูกจะบ้าเรียน บ้างานและเครียดเกินไป เมื่อมีเวลาในสุดสัปดาห์ ครอบครัวเรามักจะพากันไปไหว้พระทำบุญอยู่เสมอ เพื่อสงบจิตสงบใจให้ฉันเสมอดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้ไปอยู่เมืองนอกเมืองนา แม่ก็จะย้ำฉันตลอดว่าให้พักผ่อนมากๆหาเวลาไปวัดทำบุญ และไปเที่ยวเล่นบ้าง ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินทองใช้จ่ายให้สบายแต่อย่าฟุ่มเฟือย พ่อแม่จะดูแลทุกอย่างเอง หากขาดเหลืออะไรขอให้บอกขอให้ฉันใช้ชีวิตให้มีความสุขและตั้งใจเรียนก็พอแล้ว

    การไปเรียนต่อครั้งนั้นของฉันราบรื่นดีฉันเดินทางไปคนเดียว ไปในประเทศที่ไม่รู้จักใครเลยซักคนเดียว เป็นการเผชิญโลกกว้างเปิดบันทึกชีวิตหน้าใหม่ของฉันที่น่าตื่นตาตื่นใจ ท้าทายความสามารถฉันมากว่าฉันจะดูแลตัวเอง จะแก้ปัญหาต่างๆเอง โดยไม่มีพ่อแม่คอยช่วยอีกแล้วได้หรือไม่ฉันก้าวเข้ารั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เริ่มต้นชีวิตใหม่ตั้งแต่หาเพื่อนใหม่แนะนำตัวกัน แลกเบอร์โทรศัพท์กัน ย้ายข้าวของเข้าหอในมหาวิทยาลัยเรียนรู้สถานที่ต่างๆ อาคารเรียนอยู่ตรงไหน ห้องสมุดอยู่ตรงไหนเข้าปฐมนิเทศเพื่อรับทราบรายละเอียดการเรียนได้รู้จักกับคณะอาจารย์ที่จะมาสอนฉัน การเริ่มต้นชีวิตใหม่ของฉัน จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ง่ายนักการพบเจอผู้คนที่ทั้งต่างภาษา ต่างที่มาและวัฒนธรรม อากาศ อาหารก็แตกต่างออกไปทำให้ฉันต้องเรียนรู้อะไรอีกหลายๆอย่างมากมาย ฉันรู้สึกสนุกและท้าทายเป็นอย่างมากฉันใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอนมาเกือบ 2 ปี โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย มีความสุขดีฉันเรียนจบได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ฉันภูมิใจในตัวเอง และครอบครัว ก็ภูมิใจในตัวฉันมากที่ฉันฝ่าฟันทุกอย่างด้วยตัวเอง 


    จนกระทั่งเรียนจบ.....

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in