เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryPutt Proudparin
Final chapter : บทส่งท้าย
  •                 ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปเป็นเวลาเกือบ 6  ปีแล้ว จากเหตุการณ์ที่ฉันป่วยหนักและฉันก็ไม่รู้ว่าต่อไปในอนาคตอะไรจะเกิดขึ้นกับฉันอีกบ้าง มีหลายครั้งในขณะที่ฉันกำลังเขียนหนังสือเล่มนี้อยู่นั้น ก็ต้องหยุดกลางคัน เพราะว่าฉันป่วยเข้าโรงพยาบาลไปบ้าง หรือบางครั้ง สภาพจิตใจของฉันมันห่อเหี่ยวด้วยภาวะจากโรคทำให้ฉันคิดมาก ทำให้ไม่สามารถนึกถ้อยคำดีๆ มาเขียนลงหนังสือได้ หนังสือเล่มนี้ฉันเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกๆ คนทั้งที่ป่วยและไม่ป่วย ถึงแม้ว่าในบางครั้งตัวผู้เขียนเองก็ไม่สามารถให้กำลังใจกับตัวเองได้ เนื่องจากโรคกำเริบไม่มีอารมณ์อยากจะเขียน อยากจะเล่า อยากจะถ่ายทอดอะไรทั้งสิ้น เพราะตัวเองก็ต้องการกำลังใจอยู่เหมือนกัน

                    ใครจะรู้ว่าบางครั้งคนที่หัวเราะได้ดังที่สุด หัวเราะได้อร่อยที่สุด แต่เวลาที่อยู่คนเดียวก็สามารถร้องไห้ได้ดังที่สุดเช่นกัน ด้วยสิ่งที่ฉันทำอยู่ และพยายามทำอยู่เสมอ นั่นก็คือการให้กำลังใจคนอื่นๆ เพราะฉันคิดว่า กำลังใจยิ่งให้ ก็ยิ่งมีกับตัวเองเช่นกัน ทำให้ฉันคิดว่าหากประสบการณ์ชีวิตของฉัน จะสามารถเป็นกำลังใจให้คนอื่นๆ มีพลังอยากจะลุกขึ้นสู้ต่อไปในทุกๆวัน ฉันก็อยากจะทำ ต้องขอบอกตรงนี้เลยว่า ฉันคิดหลายรอบมาก กว่าจะสามารถรวบรวมความคิด รวบรวมพลัง มาถ่ายทอดทุกอย่างเป็นตัวหนังสือแบบนี้ได้ เพราะบางเหตุการณ์ ฉันไม่อยากจะนึกถึงมันด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่ามันจะยังวนเวียนอยู่ในหัวฉันบ้างเป็นบางครั้งก็ตาม แต่เราก็ไม่สามารถบังคับความคิดของเราได้ว่า อยากนึกถึง หรือ ไม่นึกถึงตรงไหนบ้าง ถ้าทำได้แบบนั้นจริงๆ ฉันคงอยากนึกถึงแต่ตอนที่ดีๆ ตอนที่มีความสุข และให้เรื่องเราทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับฉันนั้น เป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น 

                    แม่บอกว่าเวลาที่เรามีความทุกข์เราก็รู้สึกว่ามันยาวนาน แต่ทุกครั้งมันก็จะผ่านไป ความทุกข์อยู่กับเราไม่นานฉันใด ความสุขก็อยู่กับเราไม่นานเหมือนกัน ตอนที่มีความสุขก็อย่าหลงไปกับมัน เพราะมันก็จะผ่านเราไปอยู่ดี ในตอนที่เราแข็งแรงดีไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเราอาจให้ความสำคัญกับหน้าที่การงาน การท่องเที่ยว รถยนต์ราคาแพง กระเป๋าแบรนด์เนมเสื้อผ้า รองเท้าสวยๆ เรามักจะลืมคิดไปเลยว่า ความทุกข์อาจจะวนเวียนอยู่ใต้จมูกเราก็เป็นได้ พอถึงวันที่เราป่วยขึ้นมาจริงๆแล้ว ต่อให้มีรถราคาเป็นสิบล้าน จอดเรียงกันเป็นร้อยคันก็ไม่สามารถบรรเทาความทุกข์เหล่านั้นได้เลย แต่อย่างไรก็ตามทรัพย์สินเหล่านั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีค่าในยามยากซะทีเดียว หากว่าเราสามารถเปลี่ยนเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่าหมอ ฯลฯ ได้ทันเวลา ในช่วงเวลาที่ฉันป่วยมานี้ฉันเห็นผู้ป่วยโรคเดียวกับฉันจากไปก็หลายราย บางรายด้วยอาการที่หนักหนาเกินเยียวยา บางรายก็จากไปด้วยการรักษาที่ไม่ดีพอ (อาจเรียกว่าไม่ดีพอคงไม่ได้เพราะค่ารักษาก็ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ของคนไข้เองด้วยเมื่อได้รับการรักษาไม่เพียงพอกับอาการอันหนักหนานั้นถึงจะทำดีที่สุดแล้ว แพทย์เองไม่ใช่เทวดาหรือผู้มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์เหนือมนุษย์ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตใครไว้ได้เช่นกัน) เพราะฉะนั้น เวลาที่เรามีเงิน ก็จงใช้จ่ายด้วยความไม่ประมาทเราต้องรู้ว่าชีวิตเราไม่เหมือนคนอื่น เงินอาจจะไม่ได้ซื้อได้ทุกอย่างเงินไม่ได้ซื้อความสุขได้ เงินไม่ได้ซื้อชีวิตได้ แต่อย่างน้อยคนที่มีเงินก็น่าจะมีหลักประกันในยามยาก ได้ดีกว่าคนที่ไม่มี

    ในกรณีของฉันหากทั้งครอบครัวไม่ทุ่มเทเอาชีวิตเป็นเดิมพันฉันก็คงไม่มีโอกาสมาถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตนี้ลงในหนังสือแบบนี้ เมื่อปี 2554ปีที่ประเทศไทยประสบมหาอุทกภัยครั้งใหญ่เศรษฐกิจก็แขวนอยู่บนเส้นด้าย ฉันก็อยู่ในภาวะที่เรียกได้ว่ารอความตายแพทย์ที่รักษาฉันก็วิกฤติพอกัน (ได้ยินมาในภายหลังว่าบ้านคุณหมอเองก็น้ำท่วมถึงหน้าอก แล้วคุณพ่อของคุณหมอซึ่งอายุมากแล้ว ก็ยังติดอยู่ในบ้านจึงต้องพยายามอพยพกันออกมาด้วยความลำบาก) ในสถานการณ์นั้นทั้งครอบครัวของฉันพร้อมใจกันบอกแค่ว่า เท่าไหร่ก็รักษา ต่อให้ต้องขายอะไร ขายรถขายบ้าน ขายทุกอย่าง เพื่อเอาเงินมาจ่ายค่ารักษาราคาสูงลิ่วก็ยอมเพื่อรักษาชีวิตฉันไว้ เพราะว่าข้าวของเหล่านั้น ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่ฉันเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นลูกพ่อกับแม่ เป็นพี่ของน้องสาว ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงเรื่องนี้ฉันรู้สึกน้ำตาซึมทุกครั้ง เพราะฉันรู้ดีว่าครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวยมาจากไหน เงินทุกบาททุกสตางค์ไม่ได้หามาได้ง่ายๆดังนั้นเงินก้อนใหญ่ที่ใช้ในการรักษานั้น เรียกได้ว่าเป็นเงินที่พวกเราทุ่มเทกันทำงานมาทั้งชีวิตทุกๆคน เสียสละเพื่อรักษาชีวิตของฉันไว้

    อีกอย่างก็คือฉันคิดเสมอว่าฉันไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไปตอนนี้ฉันต้องอยู่เพื่อคนในครอบครัว เพื่อคนที่รักฉันเพราะว่าพวกเขาทุ่มเทแบบเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ฉันยังมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะฉะนั้นอะไรที่ถือเป็นการทำร้ายตัวเองฉันจะไม่ทำ เพราะชีวิตของฉันนั้นแลกมาด้วยความเสียสละของคนทั้งบ้านพ่อกับแม่ให้กำเนิดฉันถึง 2 ครั้ง ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่มีฉันในวันนี้ที่ได้มาถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตสู่สังคมได้

    โรค SLE ทำให้ฉันเป็นคนหมั่นสังเกตุ สำรวจร่างกายและภาวะอารมณ์ของตัวเองเป็นอย่างมากหากพบว่ามีอะไรผิดปกติไป เป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องรีบแจ้งให้หมอทราบเพราะไม่อย่างนั้นแล้ว เรื่องเล็ก อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ฉันต้องกลับมาสังเกตุและทำความรู้จักกับร่างกายตัวเองใหม่ เพื่อทำความเข้าใจเพราะตอนนี้ชีวิตฉันมีเพื่อนใหม่ที่คงจะอยู่ด้วยกันไปอีกนานชื่อว่า SLE พูดตามตรงว่าฉันอยู่ร่วมกันกับ SLE แบบเพื่อน ฉันไม่เคยมองว่าโรคนี้เป็นศัตรูกับชีวิตฉันเลยซึ่งต่างจากผู้ป่วยหลายคนที่ฉันรู้จักที่มักจะมองว่าโรคนี้เป็นเหมือนอสูรร้ายอยู่ในร่ายกาย เกลียดที่ต้องเป็นแบบนี้แต่ฉันกลับรู้สึกว่าหากอยู่กันเหมือนเพื่อนแล้ว ก็ต้องอย่าทำให้เพื่อนโกรธเพื่อนไม่ชอบอะไรก็อย่าทำ เช่นเพื่อนไม่ชอบให้โดนแดด ไม่ชอบให้เครียดไม่ชอบให้กินของไม่ดี ก็อย่าทำ เพราะถ้าเพื่อนโกรธแล้ว เราก็จะอยู่ไม่ได้ต้องไปง้อเพื่อน (ด้วยการกินยาและปรับปรุงพฤติกรรม) อยู่ดี ถ้าฉันกับเพื่อนคนนี้ไม่ทะเลาะกันเราก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบ ฉันก็สามารถใช้ชีวิตแบบคนปกติได้โดยไม่ต้องกินยา

    สุดท้ายนี้ฉันขอขอบคุณพ่อ แม่ น้องสาวของฉัน ที่อยู่เคียงข้างกันเสมอมา ให้ชีวิตและทุกสิ่งที่อย่างกับฉัน ขอขอบพระคุณคุณหมอและพยาบาลทุกๆ ท่านทั้งที่ Royal London hospital โรงพยาบาลรามาธิบดี Absolute health clinic และโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ที่เมตตาฉันเสมอมา ขอบพระคุณ นพ. ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต สำหรับความเมตตาและทุกๆโอกาสในชีวิตที่คุณหมอมอบให้ หากไม่มีคุณหมอ คงไม่มีพุทธในวันนี้เช่นกัน ขอกราบขอบพระคุณพระอาจารย์ทุกๆ รูป ครอบครัวยุวฯ ทุกคน ขอบคุณ พี่จอย สอง John Vanlalruatdika ต่าย ที่คอยช่วยดูแลเป็นอย่างดี ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลที่อังกฤษ และยังเป็นธุระให้อีกหลายๆเรื่อง ขอบคุณ แก้ว หนูเพื่อน กิฟฟี่และแม่ปุ๋ย ที่ไปเยี่ยมหลายๆ ครั้งที่โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่เราไม่รู้สึกตัว ขอบคุณที่เชื่อว่าเรายังอยู่ ขอบคุณอี๊ทุกคนที่คอยดูแลเป็นเพื่อนแม่ในตอนที่แม่อ่อนแอที่สุด ขอบคุณแก๊งค์สตรีวัดระฆัง สำหรับความบันเทิงถึงบ้านหลายๆครั้ง ขอบคุณพี่บอย (วิษณ์บอย) หลายครั้งที่อยากลืมเรื่องต้นฉบับอันนี้ไป ก็นึกถึงคำพูดพี่บอยทุกครั้ง จนอย่างน้อยที่สุด ถึงมันจะไม่มีโอกาสได้ตีพิมพ์แต่ตอนนี้ก็มีคนได้อ่านมันแล้ว ขอบคุณกองเชียร์ทุกคนที่ผลักดันจนพุทธเริ่มเขียนมันจริงๆ ขอบคุณทุกๆ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตพุทธทั้งที่ผ่านไปแล้ว และที่ยังอยู่ ขอบคุณที่เราได้รู้จักกัน ขอขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่มอบให้กันมา พุทธคงจะเอ่ยชื่อได้ไม่หมด แต่ว่าพุทธรู้สึกขอบคุณจริงๆ ค่ะ และสุดท้ายขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้คุณได้อ่านถึงบรรทัดนี้ ขอบคุณจริงๆ

    ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ

    รัก 

    จาก พุทธ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
minimore (@minimore)
คุณพุทธ (ในที่สุดก็รู้สักทีว่าชื่อสะกดอย่างไร)

มินิมอร์รู้สึกขอบคุณและเป็นเกียรติมากๆ ที่คุณพุทธเลือกบันทึกเรื่องราวครั้งสำคัญของชีวิตตนเองไว้ที่นี่ มินิมอร์ตามอ่านด้วยใจระทึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และรู้สึกนับถือเมื่อได้อ่านทัศนคติของคุณพุทธที่มีต่อสิ่งที่เป็นอยู่รวมถึงสิ่งที่กำลังจะเกิด มันเป็นความรู้และกำลังใจที่ดีสำหรับทุกคนจริงๆ

ขอให้สุขภาพแข็งแรงยิ่งๆ ขึ้นไปจ้ะ

รัก
มินิมอร์
Putt Proudparin (@mailtopudding)
@minimore ขอบคุณมากเลยค่ะ ไม่คิดว่าจะได้รับการติดตามจากทีมงานด้วย ขอบพระคุณ minimore สำหรับพื้นที่ในการบอกเล่าประสบการณ์ของพุทธด้วยค่ะ ^^