เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryPutt Proudparin
Chapter 13 : Restart
  • ในตอนที่ฉันเดินไม่ได้นั้น น้องสาวของฉันเองซึ่งแข็งแรงกว่าฉันมากก็จะคอยช่วยเข็นรถเข็น หากิจกรรมอะไรมาให้ฉันทำแก้เบื่อเสมอ เช่น ซื้อหนังสือมาให้ ซื้อชานมไข่มุกมาฝาก หรือแม้แต่พาไปห้างสรรพสินค้าในบางครั้งน้องต้องอุ้มฉันขึ้นรถ อุ้มใส่รถเข็น อุ้มไปนั่งบนชักโครกเวลาฉันอยากเข้าห้องน้ำเราอุ้มกันจนรู้จังหวะ ฉันก็ไม่อยากให้ใครอุ้มฉันนอกจากน้องเหมือนกันเพราะคนที่อุ้มไม่รู้จังหวะนั้น ทำให้ฉันเจ็บตัวมาก ตามปกติแล้วผู้ป่วยโรค SLE จะฟกช้ำง่ายกว่าคนอื่น และฉันเองไม่สามารถเกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เพื่อช่วยผ่อนแรงคนอุ้มได้เลยดังนั้นหากอุ้มฉันผิดวิธีก็จะสามารถสร้างรอยช้ำบนร่างกายฉันได้อีกหลายแห่ง

    มีอยู่ครั้งหนึ่งที่น้องพาฉันไปเปิดหูเปิดตาที่ห้างแถวบ้านฉันยังต้องนั่งรถเข็นอยู่จึงไม่สามารถใช้บันไดเลื่อนได้ ใช้ได้แต่ลิฟท์เท่านั้นน้องก็เข็นฉันไปกดลิฟท์แล้วก็รอ พอลิฟท์มาเท่านั้น ทุกคนที่ขาดี เดินได้เร็วถึงแม้จะมาทีหลัง ก็เข้าลิฟท์ไปก่อน จนลิฟท์เต็ม เป็นแบบนี้อยู่ 2-3 ครั้งจนไม่มีคนแล้ว จึงได้พาฉันเข้าลิฟท์ได้เหตุการณ์นั้นสร้างความสะเทือนใจให้ฉันเป็นอย่างมากฉันเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนพิการที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีที่ยืนในสังคมขึ้นมาทันทีเพียงเพราะว่าฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น สังคมยังไม่ยอมหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ฉันเลย เราอยู่ในสังคมที่เหมือนกับว่ามือใครยาว สาวได้ สาวเอา ซึ่งก่อนที่ฉันจะป่วยฉันอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้โดยที่ไม่รู้ตัว ไม่ทันได้คิดหรือไม่เคยได้คิดด้วยซ้ำว่าเราคนที่เค้าเดินไม่ได้ หรือคนที่เค้าพิการนั้นเค้าก็ยังมีสิทธิ์เท่ากับเรานั่นเอง ทำให้เวลาฉันเห็นสถานที่ราชการ ธนาคารห้างร้าน หรือที่ไหนก็ตามที่ฉันไป ฉันมักจะสำรวจดูว่ามีทางลาดสำหรับผู้ใช้รถเข็นมั้ย ห้องน้ำเป็นอย่างไรมีห้องน้ำที่ประตูกว้างสำหรับผู้พิการมั้ยเป็นต้น และก็รู้สึกชื่นชมทุกครั้งถ้าเจอที่ไหนที่มีระบบรองรับผู้พิการจริงๆ เพราะฉันเข้าใจความรู้สึกพวกนี้แล้ว

    ร่างกายของฉันตอนนั้นก็ผ่ายผอมมากเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่หน้านี่บวมมาก เป็นอาการที่เรียกว่า moon face เป็นผลข้างเคียงจากยาสเตียรอยด์ที่ฉันทานอยู่เพื่อควบคุมโรคมือไม้ก็สั่นเนื่องจากฤทธิ์ยาอีกเช่นกัน ตามแขนและขา ก็ช้ำม่วงยับเยินมาก พ่อบอกว่าถ้ามีใครมาทำร้ายลูกจนกระทั่งช้ำขนาดนี้พ่อคงทนไม่ได้ ต้องไปเอาเรื่องเค้าถึงตายแน่แต่นี่มันเกิดขึ้นจากการพยายามช่วยชีวิตเป็นเวรกรรมของลูกเองที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ขอให้ลูกอดทนไปก่อน ส่วนแม่ก็คอยทำอาหารบำรุงฉันอยู่ทุกวันทั้งผัก ทั้งปลา กระเพาะปลาตุ๋นยาจีนรสชาติสุดสะพรึงหม้อละหลายหมื่นฉันก็ทานมาแล้ว นี่ถ้าเป็นปกติคงไม่มีโอกาสได้ทานของแพงขนาดนี้แน่ๆ การรักษาของฉันทำอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ปฏิบัติตัวเคร่งครัดตามที่คุณหมอแนะนำทั้งไปทำไปกายภาพบำบัดเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อ สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิเพื่อทำให้จิตใจผ่อนคลาย ยอมรับว่าช่วงนั้น ฉันอารมณ์หงุดหงิดค่อนข้างง่ายอาจจะด้วยฤทธิ์ยา และ อาจจะด้วยสภาวะจิตใจตอนนั้นเองก็เป็นได้ทุกๆคนในบ้านอดทนกับฉันมาก จึงทำให้อาการฉันดีขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับคนไข้อาการหนักรายอื่นๆ ตามที่คุณหมอเล่า ฉันถือว่าเป็นผู้ป่วยที่มีพัฒนาการดีกว่าคนอื่นๆมาก เพราะฉันสามารถหายใจได้ด้วยตัวเองภายในเวลาอันสั้น สั้นกว่าเวลาที่คุณหมอประเมินไว้ นอกจากนี้กล้ามเนื้อฉันก็พัฒนาได้ค่อนข้างเร็วอีกด้วย พลิกตัวเองได้ภายในเวลา 1 เดือนลุกขึ้นนั่งเองได้ และหัดยืน หัดนั่ง หัดเดินเตาะแตะๆ ใช้เวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้นฉันก็สามารถใช้ walker พยุงตัวเองไปห้องน้ำได้

    ครั้งแรกที่ฉันได้ไปเข้าห้องน้ำเองได้นั้นฉันแทบจะร้องไชโยดังลั่นบ้าน เพราะแปลว่า ต่อไปนี้ ฉันเวลาที่ฉันอยากขับถ่ายฉันก็ไม่ต้องเรียกใครอีกแล้ว ฉันสามารถดื่มน้ำได้เท่าที่อยากดื่มเพราะฉันจะเข้าห้องน้ำเองเมื่อไหร่ก็ได้ ความสุขของฉันในตอนนั้นมันแค่นั้นจริงๆมันอาจจะฟังเป็นเรื่องไม่ยิ่งใหญ่เท่าไหร่สำหรับคนอื่นแต่สำหรับฉันผู้ซึ่งช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มานานการแค่ได้เข้าห้องน้ำด้วยตัวเองได้นี่ก็เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากแล้ว

    จากนั้นฉันก็ฝึกกายภาพบำบัดเรื่อยๆ มาทุกวัน เหมือนนักกีฬาที่ต้องฝีกซ้อมเพื่อการแข่งขัน ต่างกันที่ว่า การแข่งขันของฉันนั้น ไม่ต้องไปลงสนามที่ไหน ฉันแข่งกับตัวเองต่างหาก ฉันอยากจะชนะ อยากเดินได้ อยากกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ในตอนนั้น ฉันแทบลืมทุกสิ่งไปเลยก็ว่าได้ ฉันเอาความเสียใจทั้งหมดที่มี กลับมาเป็นพลังให้ฉันเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทั้งหัดเดิน หัดใช้กล้ามเนื้อมือโดยการหัดปั้นดินน้ำมัน หัดจับช้อนส้อมทานข้าว ฝึกนั่งยืดหลัง หัดกระดกข้อเท้า หัดขยับนิ้วเท้า เรียกได้ว่าเริ่มใหม่ทั้งหมด เหมือนเด็กแรกเกิดเลยก็ว่าได้ ฉันทำทุกอย่าง อย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของคุณหมอและนักกายภาพบำบัด ที่บอกว่าว่ายิ่งฉันฝีกมากเท่าไหร่ กล้ามเนื้อก็จะยิ่งแข็งแรงเร็วขึ้นเท่านั้น ตำราเดียวกับการออกกำลังกายนั่นเอง

     จากต้องใช้walker ก็เหลือเพียงแค่ให้คนช่วยพยุง แล้วฉันเกาะเอา จากนั้นก็ดีขึ้นเรื่อยๆจนสามารถเดินเองได้ แต่ก็ยังไม่สามารถนั่งยองๆ ได้ เพราะการนั่งยองๆนั้นต้องใช้แรงมากเวลาจะลุกขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อของฉันยังไม่แข็งแรงมากพอที่จะทำได้ฉันก็หัดเดิน หัดนั่งของฉันไปเรื่อยๆ เพราะท่าเดินก็ยังดูไม่ปกติเนื่องจากกล้ามเนื้อยังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่ทั้งหมดทุกอย่างนี้ใช้เวลาประมาณครึ่งปีเห็นจะได้ ฉันทำทุกอย่างได้ดีมากๆ จนกระทั่งหัดขับรถไปคลาสโยคะ ออกกำลังกายเบาๆ และใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ในที่สุด ฉันมีความสุขมากกับการได้ทดลองอะไรหลายๆอย่างในช่วงนั้น ฉันอยากรู้ขีดความสามารถของตัวเองว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ฉันทั้งลองเต้น ลองใส่รองเท้าส้นสูง เพียงแค่อยากลองทำดู อยากรู้ว่าทำได้มั้ยถ้าทำไม่ได้ก็จะได้หลีกเลี่ยง

    ด้วยกำลังใจที่ที่ดี และ แรงสนับสนุนจากครอบครัวฉันจึงหายเร็วกว่าคนอื่นมาก เรียกได้ว่า มีแต่ปัญหาสุขภาพกายแต่ไม่มีปัญหาสุขภาพใจ ใครๆ ก็บอกว่า ฉันเป็นคนป่วยที่ร่าเริงแจ่มใสมากแต่ถึงอย่างไรก็ดี ฉันยังต้องตระหนักถึงร่างกายและสุขภาพของตัวเองว่าเราไม่เหมือนคนอื่น อยู่เสมอๆ ก่อนที่จะเผลอใช้ร่างกายอย่างหักโหม เหนื่อยไม่พักเหมือนที่เคยเป็นมา เพราะชีวิตของฉันนั้นมีค่ามากไม่ใช่เฉพาะกับตัวฉันคนเดียวเท่านั้น แต่มันยังมีความหมายมากกับเพื่อนๆ และครอบครัวที่ทุ่มเท เพื่อให้ฉันมีลมหายใจขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in