เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryPutt Proudparin
Chapter 12 : This too shall pass
  • ตลอดเวลาที่อยู่ในห้อง ICU ในขณะที่ฉันรู้สึกตัวนั้นฉันอายมากที่จะต้องมีคนมาเช็ดตัวให้ พลิกหน้า พลิกหลัง เห็นทุกซอกทุกมุมของฉัน อาหารก็ต้องให้ทางสายยาง แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ บางครั้งฉันก็คิดว่าอุปกรณ์การแพทย์นี่มันช่างมหัศจรรย์จริงๆ สามารถรู้ได้ทุกอย่าง กระทั่งว่าฉันมีแก๊สในกระเพาะเยอะหรือไม่ พอพบว่ามีแก๊สเยอะมากไปจนทำให้ฉันไม่สบายท้อง พี่พยาบาลก็นำ syringe มาดูดแก๊สออกจากท้องโดยผ่านท่อที่ใส่ลงไปจากปากเพื่อทำให้ท้องฉันสบายขึ้น เครื่องมือยังรู้ขนาดว่าฉันหายใจกี่ครั้งต่อนาทีหายใจถี่ไปไหม แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ทำให้สะท้อนใจฉันเป็นอย่างมาก ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันหมดสิ้นความเป็นคนอีกต่อไป เป็นแค่ผักยุ่ยๆที่ใครจะทำอะไรกับฉันก็ได้ แถมคนอื่นยังรู้จักร่างกายฉันดีมากกว่าฉันรู้จักตัวเองเสียอีก

    เมื่อฉันได้ย้ายออกมาอยู่ห้องปกติแล้วนั้นฉันยังต้องอยู่โรงพยาบาลต่อไปอีกประมาณเกือบ 2 สัปดาห์เพื่อเฝ้ารอดูอาการ ในระหว่างนั้นคุณหมอที่เกี่ยวข้องก็เข้ามาเช็คร่างกายฉันในส่วนที่ตนรับผิดชอบ หมอปอดก็เข้ามาดูปอด หมอไตก็เข้ามาดูไต หมอโรคติดเชื้อก็เข้าสอบถามเรื่องอาการติดเชื้อ และหมอ SLE เข้ามาดูภาพรวมของทุกอย่างนอกจากนี้ยังมีหมอกายภาพเข้ามาให้คำแนะนำในการหัดบริหารกล้ามเนื้อส่วนต่างๆที่มันสลายไปอีกด้วยพร้อมทั้งแนะนำให้ฉันทำกายภาพบำบัดเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อให้กลับมาใช้งานได้เร็วขึ้นอีกด้วย อาการต่างๆ ของฉันดีขึ้นตามลำดับเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้นเองทุกอย่างก็ยังต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เร็วขึ้นอย่างที่ใจฉันต้องการ

    ฉันทราบชะตากรรมทันที ว่าออกไปคงต้องเป็นเหมือนคนพิการ คุณหมอที่รักษาปอดก็บอกว่าจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจไปอีกอย่างน้อย 3-6 เดือนจนกว่าปอดจะดีขึ้น ส่วนเรื่องเดินอาจต้องใช้เวลาเป็นปี เรียกได้ว่าฉันน้ำตาคลอเบ้ากันเลยทีเดียวจากนักศึกษาปริญญาโท เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากต่างประเทศ เพิ่งจบใหม่ๆ ไฟแรงมีงานรอ มีอนาคตไกล ทุกอย่างดับวูบเหลือแต่ร่างกายปวกเปียกที่แม้แต่ช่วยเหลือตัวเองยังทำไม่ได้ แต่ครอบครัวของฉันก็ปลอบใจฉัน และ ให้กำลังใจตลอด ทั้งพ่อ แม่ น้อง บอกฉันว่าให้ฉันรอดขึ้นมาก หายใจได้ พูดกับพ่อแม่ได้ อย่าจากพ่อแม่ไปไหน ต่อให้ต้องเลี้ยงทั้งชีวิตพวกเค้าก็ยอม แต่ก็ถือว่าโชคดีมาก ฉันยังต้องย้ำอีกครั้ง หรือหลายๆครั้งจริงๆ ว่ามันเป็นปาฎิหาริย์ เพราะตอนที่ออกจากโรงพยาบาลมานั้นทั้งพ่อและแม่ก็ได้เตรียมตัวตามคำแนะนำของหมอคือ ฉันต้องใส่สายอ๊อกซิเจนตลอดเวลาจึงได้ทำการสั่งเครื่องผลิตอ๊อกซิเจนมาไว้ที่บ้านเพราะเราไม่สามารถใช้อ๊อกซิเจนจากถังแบบเติมได้ตลอดเวลาไม่อย่างนั้นจะต้องใช้หลายถังต่อวันมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องมีอ๊อกซิเจนแบบถังไว้เผื่อสำรองกรณีฉุกเฉินอีกด้วยและยังต้องมีอ๊อกซิเจนแบบถังขนาดเล็กพกไว้ใช้ในรถ เวลาเดินทางอีกด้วย

    นอกจากนั้นก็ยังต้องมีเตียงคนป่วยแบบสามารถปรับระดับได้ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากเพื่อนคนหนึ่งให้ยืมอุปกรณ์คนป่วยมาหลายอย่าง เช่น เตียง ถังอ๊อกซิเจน รถเข็น กระโถนสำหรับขับถ่ายบนเตียง เป็นต้น ทุกๆอย่างถูกจัดเตรียมไว้รอการกลับมาของฉัน แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นที่น่ามหัศจรรย์คือฉันกลับบ้านมาได้ประมาณ 4 วันเท่านั้นฉันอยากรู้ว่าถ้าฉันไม่ใส่อ๊อกซิเจนแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะฉันรู้สึกว่าจริงๆแล้วฉันหายใจเองได้แล้ว ฉันรู้สึกโอเคมากๆ (ตรงนี้ฉันขอบอกว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี และไม่ควรปฎิบัติตามเป็นอย่างมาก) จึงลองถอดออกดูแต่ก็ยังกำสายอ๊อกซิเจนไว้ในมือ ในใจกะว่า ถ้าหายใจไม่ทันขึ้นมาก็เอามาใส่ได้ทันแน่นอน การเสี่ยงครั้งนั้นของฉัน ผ่านไปได้อย่างดี ฉันหายใจได้เองได้ดีด้วย ไม่มีติดขัด ไม่มีเหนื่อยหอบโดยที่ค่าอ๊อกซิเจนในเลือดที่แสดงจากเครื่องวัดยังเท่าปกติเท่ากับตอนใส่ท่ออ๊อกซิเจน ทำให้ฉันรู้ว่าหากนั่งเฉยๆ ฉันก็หายใจเองได้ แบบปกติแล้ว ทั้งพ่อ แม่และ น้องก็ดีใจเป็นอย่างมาก ตอนนั้น ฉันจึงใส่อ๊อกซิเจนแค่ตอนนอน และขณะทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล 

    แต่ถึงอย่างไรก็ตามฉันก็ยังทำอะไรเองไม่ได้อีกหลายอย่าง ภาระหน้าที่ในการดูแลฉันจึงตกอยู่กับแม่เพราะว่าแม่ไม่อยากจ้างใครมาดูเนื่องจากกลัวจะทำเรื่องต่างๆให้ฉันได้ไม่ดีและค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสูง แม่จึงดูแลฉันเองทุกอย่าง ทั้งทำกับข้าว คอยพลิกตัวให้ตอนกลางคืน อาบน้ำ พาเข้าห้องน้ำ แม้กระทั่งเรื่องขับถ่ายแม่ก็ต้องเอามือมาช่วยกดท้องฉันไว้ เพื่อช่วยเพิ่มแรงกดเนื่องจากฉันกล้ามเนื้ออ่อนแรงทั้งตัว ซึ่งรวมไปถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องฉันด้วยทำให้ฉันไม่มีแรงเบ่ง ทั้งถ่ายหนัก ถ่ายเบา ช่วงนั้นแม่ผอมลงไปมาก เพราะต้องดูแลฉันทั้งกลางวันกลางคืน ใจฉันเองตอนนั้นก็รู้สึกเสียใจมาก ฉันอยากเดิน อยากนั่งอยากช่วยเหลือตัวเอง เหมือนที่คนปกติเค้าทำกันก็ทำไม่ได้ 

    ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายกับฉันในตอนนั้น และมันยากเกินกว่าจะรับได้ ถึงแม้ฉันเองจะเป็นคนคิดบวกและชอบที่จะสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับตัวเองและคนรอบข้างเสมอ แต่การที่ฉันตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าแม้แต่การช่วยเหลือตัวเองขั้นพื้นฐาน เช่นเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน ทานข้าว ฉันยังทำเองไม่ได้ มันยอมรับได้ยากจริงๆ ว่าฉันต้องมาทนสภาพแบบนี้ ความตั้งใจ ความฝันเดิมที่จะกลับบ้านมาช่วยพ่อแม่ ท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำงานหนักอีกต่อไป กลับกลายเป็นต้องให้ท่านมาช่วยดูแล ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าฉันจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง  ฉันกังวลใจไปหมดทุกอย่าง หดหู่ สิ้นหวัง อยากจะหนีไปจากความจริง ความผิดหวังจากตัวเองในตอนนั้น ทำให้ฉันตัดสินใจบอกเลิกกับคนรักในขณะนั้นเอง ฉันเพียงคิดว่า หากเขาจะต้องมาเห็นฉันในสภาพนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร เขาอาจจะบอกว่ารับได้ แต่ในอนาคตล่ะ หากฉันไม่มีวันหายเป็นปกติ ฉันไม่ต้องการฉุดรั้งเขาไว้ ในเมื่อเขาสามารถจะมีอนาคตที่ดีกับคนที่สมบูรณ์พร้อม ที่จะช่วยกันสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบได้ ดีกว่าที่จะต้องมาอยู่ดูแลฉันทั้งชีวิต ฉันจำใจต้องบอกลาพร้อมน้ำตา และขอให้เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน 

    ถึงแม้ว่าฉันจะคิดว่าฉันทำสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งสำหรับฉัน และสำหรับเขา แต่มันไม่ง่ายเลย ฉันคิดว่าการตัดขาดทุกอย่าง จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่ทำให้เราทั้ง 2 คนเจ็บปวดน้อยลง ฉันตัดการติดต่อสื่อสารทุกทาง ฉันไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบข้อความ บล๊อคอีเมลล์ และพยายามทำตัวเป็นคนเข้มแข็ง ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามติดต่อมาตลอด และต้องการจะมาหาฉันที่เมืองไทย แต่ฉันก็ปฏิเสธไปอย่างแข็งกร้าว เพียงเพราะคิดว่า ฉันกำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขาอยู่ถึงแม้ฉันจะต้องเจ็บปวดขนาดไหน และก็ยังมีเรื่องอีกมาก ที่ฉันต้องทำ ฉันพยายามคิดว่าเรื่องส่วนตัวของฉันเป็นเพียงเรื่องเล็ก ที่ฉันจะสามารถผ่านมันไปได้ไม่ยากนัก 

    แต่ฉันคิดผิด

    แต่ละวัน ผ่านไปอย่างยากลำบาก คำพูดทุกคำที่ฉันบอกเขา เสียงที่ออกจากปากของฉัน แหบ เบา แต่ฉันยังจำมันได้ทุกอย่าง มันแทบจะวนเวียนอยู่ในหัวฉันทุกวันทุกคืน หากฉันยังสามารถบังคับตัวเองได้ ฉันก็จะไม่ร้องไห้ ฉันจะทำทุกอย่างในปกติที่สุด แต่ในบางวันที่ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถหนีไปไหนได้อีกเลย ฉันไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกแล้ว ฉันร้องไห้อย่างหนัก ฉันไม่สามารถบอกครอบครัวได้ถูกว่า ฉันร้องไห้เพราะเรื่องอะไรบ้าง เหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงไม่กี่เดือนนี้มันช่างมากมายเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้ จึงร้องไห้อยู่บ่อยๆจนเดือดร้อนทั้งพ่อ แม่ น้อง มาช่วยกันปลอบ ซึ่งก็ทำให้ฉันหยุดร้องไห้ได้เป็นครั้งคราว  มีครั้งหนึ่ง พ่อปลอบฉันว่าลูกจะรีบอยากเดิน อยากวิ่งไปไหน อยากหนีไปจากพ่อ ไปอยู่ไกลๆ อีกเหรอ เป็นแบบนี้พ่อแม่ น้อง ก็ยังไม่เคยทิ้งลูกไปไหน ยินดีและเต็มใจที่ดูแลลูกอยู่แล้วไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ค่อยๆรักษาไป เดี๋ยวลูกก็เดินได้เหมือนเดิมแล้วทีนี้อย่าทิ้งพ่อไว้อยู่บ้านก็แล้วกัน พอพ่อพูดแบบนี้ ฉันจึงได้สติขึ้นมาว่า ที่จริงแล้วคนที่ลำบากนั้น ไม่ได้มีแค่ฉันเพียงคนเดียว หากแต่มีครอบครัว ที่ต้องสู้ไปพร้อมๆ กับฉันเช่นกัน ทั้งเพื่อนๆ ที่ทั้งลุ้น ทั้งเชียร์ ให้กำลังใจฉัน ตั้งแต่ฉันยังไม่ฟื้น แล้วฉันมามัวร้องไห้แบบนี้ได้อย่างไร ฉันจะทำให้ทุกคนผิดหวังในตัวฉันไม่ได้

    ในช่วงนั้นภาระการดูแลฉันนั้นตกอยู่กับแม่ส่วนภาระทางเศรษฐกิจนั้นพ่อและน้องสาว ต้องเป็นผู้รับผิดชอบน้องสาวฉันนั้นเรียกได้ว่าเป็นตัวหลักในการดูแลธุรกิจในตอนนั้นเลยเพราะพ่อก็ต้องเทียวมาเทียวไปทั้งบ้านและโรงพยาบาล เคลียร์ค่าใช้จ่ายและอื่นๆปลีกย่อย พ่อดูแก่ไปเยอะ ปกติแล้วพ่อถึงจะอายุมากก็ไม่ค่อยมีผมหงอกแต่ฉันป่วยหนักครั้งนั้นเอง พ่อผมเป็นสีขาวเกือบทั้งหัว ตอนนั้นใครๆก็บอกว่าพ่อก็ดูน่าเป็นห่วงไม่น้อยไปกว่าฉัน ฉันได้แต่บอกกับตัวเองว่าต้องพยายามช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัดเพื่อที่จะได้หายไวๆ ไม่เป็นภาระของคนอื่นนาน ถึงฉันจะรู้ดีว่าทุกอย่าง ทุกความเสียใจ ฉันจัสามารถข้ามผ่านมันไปได้ แต่ฉันก็อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปให้เร็วที่สุด

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in