เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryPutt Proudparin
Chapter 9 : ฝันร้าย

  •                    ฉันจำได้ดี วันที่ฉันเตรียมตัวออกจากโรงพยาบาลเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วนั่งรอพยาบาลเตรียมเอกสาร และเตรียมยาสำหรับนำกลับบ้านให้ เพื่อนๆ คนป่วยที่อยู่รอบๆ เตียงฉันดีใจกับฉันเป็นอย่างมากประหนึ่งว่าฉันเป็นเป็นนักกีฬาที่แข่งขันชนะอะไรซักอย่างมาทุกคนส่งสายตาชื่นชมยินดีกับฉันมาก ฉันซื้อขนมเล็กๆน้อยๆมาฝากเพื่อนๆทุกๆเตียงในวอร์ดเพื่อเป็นกำลังใจให้พวกเค้าเป็นครั้งสุดท้ายมิตรภาพดีๆ น่ารักๆ เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าที่ไหนก็ตามแม้แต่ในขณะที่ฉันป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่เพื่อนๆ รอบเตียงของฉันคนอื่นๆก็เป็นหนักๆ ไม่แพ้กัน

                       เอกสารและยาได้ถูกเตรียมเรียบร้อย ฉันพร้อมเดินทางกลับ ทั้งคุณหมอและพยาบาลกำชับฉันอย่างมากว่า ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ให้ตรงไปสนามบินทันที แบบนี้แล้วฉันจึงไม่มีโอกาสร่ำลาเพื่อนๆ คนใดอีกเลย นอกจากคนที่สามารถมาส่งฉันที่สนามบินได้ บรรยากาศในวันนั้น แม่และน้องของฉัน ค่อนข้างจะผ่อนคลายมากขึ้น เพราะเตรียมจะได้กลับเมืองไทยแล้ว แต่ในส่วนของฉันและคนรักในขณะนั้นไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าดีใจเลยเราเดินทางออกจากโรงพยาบาลพร้อมกันทั้งหมด ทำให้เราไม่มีเวลาส่วนตัวที่จะพูดคุยกันตามลำพังเลย เมื่อรถแท๊กซี่จอดที่สนามบิน ฉันทำได้แต่ช่วยยกกระเป๋าแล้วเดินไปเช็คอินที่เคานเตอร์เงียบๆเท่านั้น ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก เพราะฉันรู้ดีว่าหากฉันเริ่มพูดเมื่อไหร่ฉันคงกลั้นน้ำตาไม่ได้อีกแน่ๆ และฉันไม่อยากทำให้เขารู้สึกแย่ไปด้วยซึ่งดูจากสีหน้าในขณะนั้นแล้ว เขาเอง ก็ไม่ได้ต่างจากฉัน เราได้แต่มองตากันแต่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย การจากกันครั้งนี้ ฉันไม่อาจรู้ได้เลยว่าเราจะมีโอกาสได้พบกันอีกในชีวิตนี้หรือไม่ เพราะเราเองก็คนละชาติ คนละภาษากันแต่มาเจอกันที่นี่ ฉันรู้ดีว่าอนาคตเป็นเรื่องไม่ที่ไม่แน่นอน ฉันไม่รู้ว่าเราจะคงความสัมพันธ์แบบนี้ได้ได้อีกนานเท่าไหร่เพราะเงื่อนไขในชีวิตที่เปลี่ยนไป ฉันไม่รู้และไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น ฉันไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างและหากเราจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้วจริงๆ อย่างน้อย ถ้าฉันได้มีโอกาสกอดลา หรืออย่างน้อยได้เอ่ยคำร่ำลาแบบเป็นทางการบ้างซักครั้งก็คงจะดี

    แต่ฉันก็ไม่มีโอกาส

    แผนการเดินทางของฉันต้องเกิดขึ้นตามที่มันถูกกำหนดไว้แล้ว

                       เมื่อเดินทางถึงสนามบินที่เมืองไทยแล้ว ฉันตรงไปโรงพยาบาลทันทีตามคำสั่งของคุณหมอจากที่อังกฤษเพื่อตรวจเลือดดูว่าปกติมั้ย มีติดเชื้อมั้ย ฉันก็ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัดเมื่อกลับถึงประเทศไทย ก็รีบตรงไปโรงพยาบาลก่อนที่จะเข้าบ้านด้วยซ้ำเพื่อดูว่าเลือดฉันเป็นอย่างไรบ้าง ผลการตรวจ ทุกอย่างปกติดี (คือมันก็ไม่ได้ปกติแต่ว่าไม่ได้แย่ลงจากผลตรวจเติม จึงถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้)ฉันจึงกลับบ้านพักผ่อน เพื่อรอนัดพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใหญ่ตามที่คุณแม่ได้นัดหมายไว้

                        แผนการรักษาที่คุณหมอจากที่อังกฤษให้ฉันมาฉันจะต้องได้รับเคมีบำบัดอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้ครบโดสที่ประเทศไทยซึ่งเมื่อปรึกษากับคุณหมอที่ไทยแล้ว คุณหมอก็เห็นด้วยฉันจึงได้รับเคมีบำบัดอีกครั้ง ค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ประเทศไทยนั้นแน่นอนว่าสูงมาก และฉันไม่สามารถใช้สิทธิเบิกอะไรได้เลย ไม่เข้าเกณฑ์ซักอย่างแต่ก็ไม่เป็นไร คิดว่าแค่ครั้งเดียว ครั้งนี้ก็คงจบ คงไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมอีกแล้วคุณหมอบอกว่าจะสงบโรคลงได้ อย่างน้อยก็ 6-12 เดือนและหากฉันดูแลตัวเองดีๆ ก็จะแข็งแรงได้ไปอีกนาน ในช่วงนั้นทั้งตัว ทั้งขาทั้งหน้าของฉันนั้นบวมมาก ด้วยฤทธิ์ของยา และบวมจากโรคแต่ฉันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารซักนิด ฉันยังไม่ตระหนักว่าต่อไปนี้ร่างกายของฉันมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ด้วยความขาดประสบการณ์ ฉันจึงยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆคือ อยากทานอะไรก็ทาน โดนแดด โดนฝน ใช้สิทธิในการใช้ชีวิตเท่าคนปกติที่แข็งแรงๆ

                      หลังจากกลับมาประมาณ 2 เดือน ฉันเริ่มมีไข้ขึ้นต่ำๆ ตัวรุมๆ และรู้สึกว่าเพลียๆ ฉันก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมาก คิดว่าเป็นไข้ปกติ ก็ทานยาพาราแล้วก็นอนพัก ไข้ก็ลด แต่วันรุ่งขึ้นก็เป็นแบบเดิมอีก เป็นแบบนี้ประมาณ 3-4 วัน ฉันก็ยังไม่ไปหาหมอ เพราะคิดว่าอีกแค่ 10 วันก็จะถึงวันนัดแล้วขี้เกียจไปโรงพยาบาล ไปรอคิว ไม่อยากไป แต่อาการกลับแย่ลงอีก คือฉันมีอาการหายใจเข้าไม่เต็มปอด เมื่อพยายามหายใจเข้าให้สุดจะไอและสำลักออกมา จึงทำให้ฉันหายใจหอบเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆไข้ก็ขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 38.2 แม่จึงบังคับให้ฉันไปโรงพยาบาล เมื่อถึงโรงพยาบาลคุณหมอรีบให้อ๊อกซิเจนฉันโดยด่วน และ ให้เอกซเรย์ปอดทันที พบปรากฎว่า ฉันน้ำท่วมปอดซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อ จึงต้องเจาะเลือดฉันไปเพาะเชื้อผลการเพาะเชื้อใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน กว่าจะรู้ผล ในระหว่างนี้คุณหมอให้ฉันอยู่โรงพยาบาลเพื่อสังเกตุดูอาการอย่างใกล้ชิดและได้รับยาฆ่าเชื้อไปพลางๆ

                       คุณหมอปอดเข้ามาพบฉันเพื่ออธิบายว่านอกจากฉันจะต้องทำ CT scan เพื่อตรวจดูปอดแล้วฉันจะต้องทำการส่องกล้องลงไปในปอดเพื่อตรวจอีกชนิดและคุณหมอก็จะขอขลิบเนื้อเยื่อจากปอดเพื่อไปตรวจว่าฉันติดเชื้อไวรัสชนิดใดอีกด้วยใจฉันตอนนั้นไม่ได้กลัวอะไรเลย ฉันรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาไม่ได้ถามหมอด้วยซ้ำว่าจะเจ็บมั้ย ขั้นตอนยังไง แต่แม่เป็นห่วงฉันมากกลัวว่าฉันจะเจ็บ กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น

                      หลังจากทีคุณหมอปอดอธิบายทุกอย่างเสร็จ ท่านบอกว่าหากได้คิวเมื่อไหร่ จะมีพยาบาลมารับ น่าจะประมาณวันพรุ่งนี้พอแม่ได้ยินดังนั้น ด้วยความที่เป็นกังวลอยู่แล้วก็รู้สึกว่าอยากให้ฉันได้ทำบุญก่อนที่จะส่องกล้องปอดเพื่อความสบายใจ แม่จึงโทรศัพท์ไปนิมนต์พระอาจารย์ที่คุ้นกันกับครอบครัวเราให้มารับประเคนอาหารเพลที่ฉันจะถวายที่โรงพยาบาลพระอาจารย์ก็เมตตารับคำมาอย่างไม่ลังเล วันรุ่งขึ้น ฉันได้ถวายเพลพระ ถวายผ้าไตรได้รับพรที่ห้องผู้ป่วย ตามความต้องการของแม่ ฉันก็ใจชื้นขึ้น มันเหมือนมีที่พึ่งทางใจฉันไม่รู้เลยว่า วันนั้นเกือบจะเป็นวันสุดท้ายของฉันที่จะมีโอกาสได้หายใจได้อยู่กับครอบครัว

                      หลังจากนั้นไม่นาน พระยังไม่ทันฉันเสร็จดี ก็มีเจ้าหน้าที่มารับฉันไป การส่องกล้องที่ปอดนั้นคุณหมอทำโดยการใช้กล้องขนาดเล็กสอดลงไปกับสาย (ความรู้สึกว่าคล้ายๆ สายน้ำเกลือแต่ฉันก็ไม่เห็นเพราะถูกปิดผ้าที่หน้าไว้) เข้าไปทางจมูก ผ่านทางหลอดลม ลงไปถึงปอดคุณหมอพูดกับฉันไปด้วยในระหว่างการส่องกล้อง อธิบายว่ากำลังทำอะไรอยู่ และขั้นตอนต่อไปคืออะไร ฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากนัก แต่เมื่อคุณหมอบอกว่าหมอจะขอขลิบชิ้นเนื้อแล้วนะคะ ฉันเจ็บแปล๊บบบ ขึ้นมาทันที รีบยกมือขึ้นตามที่ได้มีการพูดคุยเตรียมความพร้อมตั้งแต่ต้นว่าหากรู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว ให้ยกมือบอก พอบอกคุณหมอเสร็จ คุณหมอก็บอกว่าเสร็จพอดีเช่นกัน ฉันเพิ่งเข้าใจคำว่าเจ็บแปล๊บจริงๆ ก็วันนี้เอง

                       เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการส่องกล้องและขลิบชิ้นเนื้อฉันต้องใส่อ๊อกซิเจนและนอนดูอาการในห้อง ICU 1 คืน เจ้าหน้าที่ได้ส่งฉันไปที่ห้องICU พ่อ แม่ น้องตามไปเยี่ยมฉันในนั้น ฉันรู้สึกตัวทุกอย่างรู้สึกว่าตัวเองสบายดี ความดันปกติพูดคุย ทานอาหารได้ และฉันก็ไม่อยากอยู่ห้อง ICU ด้วยจึงขอร้องให้แม่ช่วยคุยกับคุณหมอและพยาบาลว่าขอฉันอออกมาอยู่ห้องเดิมได้ไหมคุณหมอดูอาการแล้วก็บอกว่าถ้าอยากย้าย ก็ย้ายได้ ยังไงก็ยังอยู่ในโรงพยาบาลและสภาพร่างกายฉันก็ดูไม่มีปัญหาอะไร ฉันจึงได้ย้ายกลับไปอยู่ห้องเดิม

                      คืนนั้นน้องสาวมาเฝ้าฉันที่ห้อง ปกติแล้ว ตอนกลางคืนฉันจะต้องเข้าห้องน้ำอยู่ประมาณคืนละอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงที่อยู่โรงพยาบาล ตอนกลางคืนน้องหลับ ฉันจึงไม่อยากปลุก ก็จะลุกไปเข้าห้องน้ำเองเป็นประจำอยู่แล้วแต่คืนนั้นฉันเดินกลับมาจากห้องน้ำก็รู้สึกว่าเหนื่อยหอบผิดปกติทั้งที่ระยะทางจากเตียงไปห้องน้ำนั้นแค่ไม่ถึง 5 เมตรด้วยซ้ำเอนตัวลงนอนก็ยังหายใจไม่ได้ น้องฉันได้ยินเสียงผิดสังเกตุจึงเปิดไฟและรีบวิ่งออกไปเรียกพยาบาลมาโดยด่วนพยาบาลรีบเข้ามาให้ความช่วยเหลือโดยการใส่อ๊อกซิเจนให้ฉันและรีบเข็นเตียงฉันไปห้อง ICU แต่ฉันรู้สึกว่าฉันหายใจเองไม่ได้อีกต่อไป ทรมาณมาก ได้แต่พยายามบอกพยาบาลซ้ำๆ ว่าหายใจไม่ได้ๆ เมื่อถึงห้อง ICU ทีมพยาบาลที่นั่นเปลี่ยนเครื่องช่วยหายใจอีก 2-3 แบบมาให้ฉัน ทั้งแบบที่เป็นหน้ากากครอบให้ดันอากาศเข้าไปแต่ฉันหายใจไม่ได้จริงๆ ได้แต่ส่งสัญญาณมือไปว่าไม่ได้ๆๆ ฉันจำได้ว่ายินพยาบาลพูดและจำได้แม่นจำว่าความดันของฉันตก ขอเครื่องปั๊มหัวใจ หมอสั่งให้ฉันอ้าปากและก็ใส่ท่อช่วยหายใจลงไปฉันมองไปที่ปลายเตียงเห็นน้องยืนหน้าเสียอยู่ พยาบาลบอกน้องเสียงดุๆว่าญาติเชิญด้านนอกค่ะ แต่นาทีนั้นฉันทำอะไรไม่ได้อีกแล้วและนั่นก็คือความทรงจำสุดท้ายก่อนที่ฉันจะหลับไปนานแสนนาน
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in