เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องที่ระบายไม่ได้ เราจะพูดว่ามัน เป็นเรื่องใส่ใข่(เรื่องแต่ง)Dareka Ayumi
เรื่องที่ระบายไม่ได้ เราจะพูดว่ามัน เป็นเรื่องใส่ใข่(เรื่องแต่ง) 1

  • เราชื่อ โก๊ะ (ตอนนี้อายุ 24 ปี) เราเขียนบันทึกลง Facebook มาได้ซักพัก เหมือนบันทึกส่วนตัว
    บังเอิญเรามาเห็น เรื่องเล่า ลูคีเมียหัวร้อน จาก The Metter เข้า เราเลยสนใจจะมาเล่าบ้าง

    ตอนเด็กๆ เราชอบแกล้งคนอื่น
    เราชอบหลอกคนอื่น เราเป็นเด็กที่ไม่ดีมากๆ
    พอเราเจอความรัก
    เราอยากเปลี่ยนตัวเอง
    เราเลยอยากจะเป็นตำรวจ
    เราสมหวังกับความรักเพียงชั่วครู่ แต่ไม่นานเราก็อกหัก
    เราพยายามใช้ชีวิต แต่ล้มเหลวทุกอย่าง เราออกจากมหาลัย 
    เราเหมือนตาย เราทิ้งทุกอย่าง ทั้งเพื่อน ทั้งครอบครัว
    ทั้งชีวิตเดิมๆของตัวเอง เราไม่สนว่าใครจะมองเราว่าเห็นแก่ตัว
    เราเลยเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ 
    จนตอนนี้เราก็ยังไม่เข้าใจ 
    ว่าทำไม เราเข้ากับเพื่อนคนอื่นไม่ได้
    เข้ากับสังคมไม่ได้
    เพื่อนมักจะตีตัวออกห่าง 
    แต่คงเป็นเพราะเราชอบมองว่า
    ตอนอยู่เป็นกลุ่ม มันช้ากว่า แม้กระทั่งเดิน กินข้าว พูดคุย
    ล้วนเป็นสิ่งที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญอยู่เลยทั้งนั้น
    หรือเพราะ ลึกๆแล้ว เพื่อนอาจจะรู้สึกถึงตัวตนที่น่ารังเกียจของเรา
    หรือเพราะเราดูถูกตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราแทบไม่ได้ทำความเข้าใจกับมันเลย

    เราเดินทางไปหลายที่ ไปหายาย ไปเจอเพื่อนใหม่ๆ
    ในที่สุด เราก็รู้ว่า เราจะเริ่มต้นชีวิตที่เหลือยังไงต่อดี
    เราชอบเล่าเรื่อง
    เราชอบวาดรูป
    เราเลยสอบเข้ามหาลัยแห่งหนึ่ง ด้วยการสอบปฏิบัติ โครงการพิเศษ 
    สอบวาดรูป แล้ว สอบสัมภาษณ์ ปรากฏว่าเราผ่าน เรากลายเป็นพี่ซิ่ว
    แต่เราไม่รู้เลยว่า
    วันหนึ่งเราจะเป็นสิ่งที่เราคิดว่า ไม่มีทางเป็นได้

    "นักสืบ"

    สิ่งที่เราเล่าต่อจากนี้ เราอยากจะเล่า แต่เราพูดกับใครไม่ได้ 
    ทุกอย่างมันเริ่มต้น จากเปลือกลูกอม ในมหาลัย
    เมื่อ 3 ปีก่อน เป็นคดีแรกของเราเลย ... (เราชอบดูการ์ตูน เราเลยเล่าเหมือนการ์ตูนหน่อยนะ)
  • เราว่า เราจะเล่าความเป็นมาก่อนของตัวเราซักนิดก่อน
    เราคิดว่า เราเป็นคนที่ วางตัวเก่งมาก โดยเฉพาะการสร้างภาพลักษณ์ ความประทับใจ
    เรามักพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเราอยู่เสมอ พยายามคาดเดาสิ่งที่คนอื่นต้องการมากที่สุด
    เราเป็นคนที่ ชอบเห็นคนอื่นยิ้ม แล้วเราก็เป็นคนที่ยิ้มอยู่เสมอ จนดูเหมือนคนสติไม่ดี
    (แต่ถึงจะเข้ากับสังคมได้ เราก็ไม่มีเพื่อนสนิทเลยซักคน เราชอบอยู่กินคนเดียว ใช้เวลาคนเดียว)

    ในมหาลัยที่เราอยู่ มีธรรมเนียมกราบไหว้ผู้มาก่อน
     "มาก่อนคือพี่ มาหลังคือน้อง มาพร้อมคือเพื่อน" เราที่เป็นพี่ซิ่ว จึงรู้สึกแปลกๆ (เป็นธรรมดาเนอะ)
    เราว่า มันก็โอเคนะ เราเป็นคนที่ไม่มีปัญหากับเรื่องเล็กๆน้อยๆ
    อีกอย่าง เรามาจากสังคมครอบครัวทหาร
    เราเลยเคร่งในกฏระเบียบ แบบแผนของสังคมมาก 

    แต่การได้มาเรียนคณะศิลปะ ทำให้เรารู้สึกเป็น คนใหม่
    ไม่ต้องเคร่งกับเครื่องแต่งกาย เป็นอะไรที่ ใหม่สำหรับเรามาก
    เราตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆพวกนี้มาก 
    บอกตามตรง 
    เราเคยดูถูกศิลปะ ว่าเป็นงานของคนไส้แห้ง
    ทั้งที่ เราชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก
    ตอนคณะอื่นๆมองมายังคณะศิลปะ
    บางทีเราก็คิดว่า เราเข้าใจสายตาของคนคณะอื่น ที่อาจจะเคยมองมา แล้วคิดแบบเรา
    เรารู้สึกโล่งอก ที่ได้มายืนอยู่จุดๆนี้ แล้วไม่รู้สึกถูกเหยียดหยาม
    ด้วยสายตาที่สะท้อนความรู้สึก จากข้างในของตัวเราเอง ... 
    (เราติดนิสัยใช้ จุด สามจุด ... ตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่าเอามาจากไหน น่าจะเลข)
  • คณะเก่าของเรา มีปัญหาเรื่องการรับน้อง เราเลยไม่เคยสัมผัสวิถีเหล่านี้มาก่อน
    การได้เข้ามาเรียนอีกรอบในมหาลัยของคณะศิลปะ 
    ทำให้เราได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับ ระบบรับน้อง

    เราโดน ว๊าก ใส่หน้าครั้งแรก เจอความกดดันจากเหล่ารุ่นพี่ครั้งแรก
    แต่เราเคยรู้มาว่า นี้คือ การแสดง 
    บางทีเราก็สงสัยว่า พวกเค้าอาจจะจริงจังกับการรับคนเข้าคณะ
    มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า คณะยิ่งมีความสำคัญ
    ทำให้เรารู้สึกว่า นี้ไม่ใช่คณะธรรมดา
    ความสามัคคี ระเบียบวินัย การเคารพต่อกัน ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของเรามาก่อนแล้ว
    เราเลยไม่มีปัญหา เรารู้สึกมีความสุข แม้จะโดนว๊าก
    จนบางครั้ง จนเกือบ ขำ ขณะอยู่ในพิธีรับน้อง

    เราเคยเป็น นักศึกษาวิชาทหารมาก่อน 
    เราคิดว่า มันยังไม่โหดเท่ารับน้องเลย

    รุ่นพี่ปีสอง ใจดี 
    รุ่นพี่ปีสาม โหด 
    รุ่นพี่ปีสี่ เป็นมาเฟีย
    นี้คือความเข้าใจของเราหลังจากได้เจอเข้าด้วยตัวเอง ในพิธีของคณะศิลปะ
    คณะศิลปะให้ความสำคัญกับคำว่า "เพื่อน" มาก จนเราต้องอดปลิ้มไม่ได้

    ที่เราต้องทำ ก็คือการแสดงตัวให้ทุกคนรู้ว่า "เราเป็นดีของสังคม"
    แล้วจบเพื่อรับวุฒิไปประกอบอาชีพ 
    เป็นงานง่ายมากสำหรับเรา ที่เหลือก็แค่ทำคะแนนแต่ละวิชาให้ผ่าน

    เพราะนอกจากเราจะรู้วิธีทำงานของระบบการศึกษาแล้ว
    เรามีวิชาที่เคยเรียนมาแล้วรวมอยู่ด้วย เราจึง ออกทีท่า ชิลๆให้เพื่อนร่วมห้องเห็นความเท่บ้าง
    ต่อแถวท้ายสุด ส่งงานช้าสุด เข้าห้องช้าสุด งานเละที่สุด (เรานึกกลับไปแล้วรู้สึกขำ)
    ... 
    (เริ่มยาวได้ที่ เปลี่ยนแผ่นๆ)

  • แต่สิ่งที่วิเศษที่สุดก็ปรากฏตัวต่อหน้าเรา ในวันเข้าเรียนจริง คาปแรก
    เรียกว่า "เพื่อน" ก็ว่าได้
    ชายที่ดูชิลกว่าเรา ดูท้ายแถวกว่าเรา ดูช้ากว่าเรา ดูเละกว่าเรา (และแน่นอนแก่กว่าเรา)
    แต่เรารู้จักชายคนนี้มาก่อน

    บางทีเราเริ่มเชื่อในชะตาฟ้าลิขิตนะ 
    ชายคนนี้ คือชายที่เราเคยมองไปหาแบบดูถูกเมื่อตอนปีหนึ่ง 
    ตอนเข้ามาในรั้วมหาลัยครั้งแรก
    เป็นชายที่ถือกระดานวาดรูปขนาดใหญ่ คณะศิลปะ(คณะที่เราเคยมองว่าเป็นคณะไส้แห้ง)
     มองหาอาคารธุรการไม่เจอ
    แน่นอนว่า เราเป็นคนที่วางตัวเป็นคนดีเก่ง แม้แต่คนที่ไม่รู้จัก เราก็พยายามช่วย
    เช่น เราไม่อยากให้คนอื่นเห็น ว่าเราดูถูกคนอื่น เราก็ทำทุกอย่างไม่ให้มันเป็นเช่นนั้น
    (เห็นป่าว เรารักษาภาพเก่งนะ ไอเพื่อนชายคนนี้ของเรา มันคงเดาไม่ถูกว่าเราคิดอะไรอยู่)

    "ดาว" คือชื่อของเพื่อนคนนั้น 
    หลังจากนั้นเราก็เห็นดาวถูกทำโทษบ่อยๆตอนรับน้อง
    ดูเหมือนว่า ดาวจะซิ่วมาเรียนใหม่เหมือนเรา 
    ดาวจำเราได้ 

    ไม่ช้าเราก็รู้สึกว่า คนนี้แหละ เพื่อนตาย (ที่แน่ๆคือ เราบังคับให้ตาย)
    เพื่อนดาว เป็นอะไรที่ มาเหนือเราทุกอย่าง ความชิล ความนิ่ง คงหน้าตาด้วยแหละ
    (เราเป็นคนประเภทที่ พนักงานเซเว่นทอนตังค์ให้บนโต๊ะ 
    ขณะที่เพื่อนดาวหน้าตาดีจน พนักงานเซเว่น ทอนตังค์ให้ถึงมือ )

    เพื่อนดาวไม่เข้ารับน้อง อาศัยเครดิตจากการเป็นที่รู้จัก 
    (ลืมบอกไป เราเรียกชื่อนำหน้าเพื่อน ด้วยคำว่า เพื่อนนะ มันติดนิสัยไปแล้ว ขออภัยในความไม่สะดวก)
    จริงๆแล้วเพื่อนดาวเป็นรุ่นพี่ปีสาม เชียวนะ (ปีสามที่โหดๆอะ) 
    แต่ตอนเพื่อนดาวทักไปหาพวกรุ่นพี่ปีสาม
    รุ่นพี่ปีสาม กลายเป็นรุ่นพี่ปีสองไปเลย หน้ามือเป็นหลังมือ
    เราที่เดินกับเพื่อนดาว เลยได้รับเครดิตไปด้วย

    "รับน้องเป็นไงบ้าง"
    เพื่อนดาวถามเรา 
    (จะว่าไปเขาดูเป็นผู้ใหญ่ และแถมยังวางตัวจนเป็นที่น่าเคารพกว่าเราเยอะเลย
    เพื่อนที่อยู่แถวบ้านของเขาก็ยังเยอะด้วย เราว่าเพื่อนดาวน่าจะเป็นคนแบบคนละขั้วกับเราน่ะ)
    "อืม ว๊ากน่ากลัวมาก แต่ตลกดี" 
    เราได้ระบายออกแบบไม่ต้องยั้ง เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปีที่เราได้คุยแบบเปิดอกกับใครซักคน

    (เราว่า เกริ่นนำมาเยอะละ ขอข้ามรายละเอียดไปบ้างเนอะ
    ก่อนจะเข้าใจผิด เราเป็นผู้ชาย เราชอบผู้หญิง เราเป็นชายแท้นะ 
    แต่เพื่อนดาวเป็นคนที่เราเคารพมากในตอนหลัง) 


  • หลังจากผ่านไปสามอาทิตย์
    เราก็เริ่มรู้สึกว่า เราไม่ได้เข้ามาเรียนเพื่อไปทำงาน
    แต่มาเรียนเพื่อรับน้อง

    ความรู้สึกขัดแย้งนี้ ทำให้เราไม่สบายใจ เรารู้สึกสูญเสียเวลา
    เราเลยพยายามตีตัวออกห่าง เพราะเราเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยที่ไม่อยากจะ
    เสียเวลากับเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ เราเลือกที่จะเห็นแก่ตัว เพื่อที่จะไปต่อตัวคนเดียว

    เราไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับใคร 
    เพราะเราจะเสียเครดิตความน่าเชื่อถือครั้งใหญ่จากสังคมที่เราวางตัวไว้
    เพื่อนดาวของเรา เสนอว่า เราไม่ต้องไปรับน้องก็ได้ เพราะเป็นพี่ซิ่ว
    แต่เรามองว่า เราต้องสร้างเครือข่ายข่าวสารไว้สำหรับการเรียน
    เราต้องตีสนิทกับเด็กในห้องไว้

    เพราะงั้นกิจกรรมรับน้อง จึงเป็นทางเลือกที่เรา หลีกเลี่ยงไม่ได้
    แถม เราได้ยินว่า มีกิจกรรม "คว่ำบาตร" เกิดขึ้นแน่ๆ หากไม่ทำเช่นนั้น
    ทั้งชีวิต ทุกคนเห็นเราเป็น "คนดี" หรือ "คนสร้างภาพ" แต่เราแน่ใจว่า
    เราวางตัวเป็นคนที่ "โค-ตะ-ระ คนดีมาก"

    เราเคยพยายามอธิบายรูปลักษณะเพื่อนของเพื่อนดาว
     ที่ถูกเรียกว่า "ฟันเหยิน"(ฟันซี่หน้ามีลักษณะผิดรูป) แต่เราจำชื่อเขาไม่ได้ 
    เราเลยพยายามอธิบายรูปลักษณ์แบบสร้างภาพให้ดูเป็นคนดีไปด้วย ว่า
      "คนที่มีฟันหน้ายื่นออกมานิดๆ" (คือเราไม่ได้ตั้งใจเล่นมุขนะ)
    เพื่อนดาวหัวเราะลั่น แม้แต่เราก็ไม่รู้สึกว่ามันผิดปกติกับคำพูดเมื่อครู่
    "ฟันเหยิน สุภาพเหลือเกิน 55555" เพื่อนดาวพูดไปหัวเราะเยาะเย้ยไป
    เป็นโมเม้นท์ที่เราเสียจุดยืนสุดๆ นั้นทำให้เราเริ่มรู้สึกว่า 
    เราเข้าใจผิด ในหลายๆเรื่องเกี่ยวกับการพยายามสร้างภาพ หรือ การพูดคุยเข้าสังคม

    และการที่เราเริ่มไม่เอาระบบรับน้อง ทำให้เรามาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
    ...

  • แม้รุ่นพี่จะบอกว่า "มาพร้อมคือเพื่อน"
    แต่คนที่ขาดการเข้ารับน้อง จะถูกตัดออกจากสาย
    หมายถึง การไม่ถูกยอมรับโดยสังคมเล็กๆของคณะ

    ถึงเราจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว
    แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเด็กๆที่เพิ่งเข้ามาเรียนใหม่ๆ
    เพราะการไม่เข้ารับน้อง หมายถึงการถูกตัดข้อมูลข่าวสาร
    และทำให้ห่างเหินจากสังคม

    นั้นเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ขนาดเราเองก็ยังต้องการข้อมูลข่าวสารจากคนในกลุ่ม
    ยิ่งอาจารย์ส่งข่าวนัดเรียนนัดสอบ ให้เด็กบางคนไปกระจายข่าว
    เด็กที่ไม่อยู่ในเครือข่าย ก็มีโอกาสที่จะอดได้รับข้อมูลไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
    ด้วยเหตุผลเพราะเด็กคนนั้นเลือกที่จะไม่เข้ากลุ่มเอง

    ตอนนั้นเราเห็นว่า เป็นโอกาสดี
    ที่เราจะได้สร้างความสัมพันธ์อันเหนียวแน่น
    เราเลยพยายามช่วยเด็กที่หลุดออกจากสาย ด้วยการให้ข้อมูล
    (เท่านี้เด็กพวกนั้นก็จะเห็นเราเป็นพ่อพระ แล้วเชื่อใจเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้นเอง)

    ปกติเราจะเดินแผนคนเดียว แต่ เราเชื่อใจเพื่อนดาวมาก
    เราเลยเล่าความเป็นมาของเรา และ เหตุผลที่เราพยายามสร้างภาพ
    เพื่อนดาวแปลกใจน่าดู แต่คงแสดงออกมาให้เราเห็นนิดเดียว (น่าจะต้องตกใจมากนั้นแหละ)

    เพื่อนดาวดูท่าจะมอบเครดิตให้เรา มองเราเป็นเสาหลัก เป็นที่พึ่งพาได้
    แม้แต่ความช่วยเหลือของรุ่นพี่ปีสามของเพื่อนดาว ก็ไม่เท่ากับการยืนหยัดสู้หลังชนฝากับเรา
    ตอนนั้นเราเริ่มรู้สึกว่า เรามีเพื่อนสนิทครั้งแรกในชีวิต(เราแอบซึ้งจนร้องไห้)

    ในที่สุด เราก็ทำตามแผนสำเร็จ เราสร้างกลุ่มใน facebook เล็กๆ ว่า "กลุ่มไส้เดือน"
    คอยส่งข่าว แชร์ข้อมูล เราไม่อยากจะพูดชมตัวเอง แต่ในคณะศิลปะ 
    จะมีแต่คนที่ขี้เกียจเรียนเยอะมาก
    เราเป็นคนที่เน้นวิชาการ เรียนได้เกรด 2-3 ประมาณนั้น 
    แต่พอมาอยู่คณะศิลปะ เราคิดว่า เราเป็น Elite (ผู้เล่นระดับขั้นสูง) ที่น่าพึ่งพาไปเลย ...

    (ขออนุญาติเปลี่ยนแผ่น)

  • น่าเสียดาย ไม่มีอะไรอยู่ค้ำฟ้า ความแตกหัก ความล่มสลายก็มาถึง
    เมื่อเรา เริ่มต่อต้านการรับน้องอย่างจริงจัง หลังจากได้เรียน วิชาสุทรียศาสตร์ 
    จากอาจารย์ที่เราตอนเด็กๆเคยได้ยินว่าเป็น
     "พวกล้มเจ้า" หรือ "พวกหัวสูง" หรือ "พวกหัวก้าวหน้า"

    เราฟังอาจารย์คนนี้พูดครั้งแรก เค้าโจมตีสถาบันทหาร สถาบันชาติ สถาบันกษัตริย์ 
    จนเราเลือดทหาร เกือบลุกขึ้นมาโต้ตอบอย่างรุนแรง
    จนกระทั่ง อาจารย์พูดถึงเรื่อง "รับน้อง"
    จนกระทั่ง อาจารย์พูดถึงเรื่อง "ยูนิฟอร์ม" (เครื่องแบบ)
    จนกระทั่ง อาจารย์พูดถึงเรื่อง "ประวัติศาสตร์"
    อาจารย์คนนี้สมควรจะสอนสุทรียศาสตร์ 
    แต่กลับพูดไปถึงการเมือง สังคม ประวัติศาสตร์

    อาจารย์ท่านนี้ มีคำตอบ ของทุกคำถามที่เราไม่มีวันหาได้ 
    เพราะ สายเลือดของเรามัน อคติ
    เราเริ่มจะเข้าใจอาจารย์หลังเรียนได้ สี่ถึงห้าคาป 
    เราเริ่มหัวเราะสนับสนุน สะใจแนวคิดของอาจารย์ทุกครั้ง 
    ที่เสียดสีรับน้อง ขณะที่เด็กทั้งห้องเงียบกริบ
     (ส่วนเพื่อนดาวมักจะขาดเรียน ไม่ก็มาสาย เราเลยลุยคนเดียวตลอด)

    ผลที่ตามมาของการใช้ชีวิตสวนกับกระแสสังคม
    แหล่งข่าวสารเราพัง อย่างที่เราคาดไว้
    กิจกรรมคว่ำบาตร ที่เป็นไม้ตายของระบบรับน้อง การกดดันให้เด็กออกทุกรูปแบบ

    แต่ใครจะไปนึกว่า เปลือลูกอมชิ้นเดียว จะพลิกสถานการณ์ที่กำลังตกที่นั่งลำบาก 
    มากลายเป็น ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา
    ...
  • เรากลายเป็นสิ่งที่เรากลัวที่สุด
    นั้นคือ "คนไม่ดี" ในสายตาของคนอื่น
    นอกจากเราจะทิ้งเด็กร่วมห้องไป เพราะบอยคอตการเข้ารับน้อง
    จนทำให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อน แม้กระทั่งคนในกลุ่ม "ไส้เดือน" ของเราก็เดือดร้อนไปด้วย
    เด็กๆในกลุ่มเราต่างก็ไม่เข้าใจว่าเราคิดอะไรอยู่ เราควรจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องข่าวสารแท้ๆ

    เราพยายามอธิบายแล้ว แต่ก็ช้าไป เด็กๆบางกลุ่ม เลือกที่จะขายเราให้กับพวกรุ่นพี่
    กลายเป็นว่า ข้อมูลของกลุ่มไส้เดือนตกไปถึงมือรุ่นพี่ 
    นั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เรา โดน หักหลัง (ถ้าไม่นับหักอก) จากคนที่เราช่วยเหลือไว้
    จากเครดิตที่เราอุตส่าห์สร้างไว้ เราโดนเพ่งเล็งจากคนระดับรุ่นพี่

    แน่นอนว่า ปีสามโหด ปีสี่น่ากลัวแล้ว แต่ที่เลวร้ายกว่า กลับเป็น
     รุ่นพี่ที่จบไปแล้วต่างหากละ ! 
    ถึงตรงนี้ เราอยากให้ผู้อ่านลองนึกภาพตาม
    ตอนที่ คุณตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มคนนอกกฏหมาย 
    เรานั่งวาดรูปอยู่ ขณะบอยคอตการรับน้อง
    รุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ประมาณสามสี่คน เดินเข้ามาในห้อง
    แล้วซักถามประวัติของเรา เราตอบไปแบบกล้าๆกลัวๆ
    สุดท้าย เค้าก็พูดดีๆกับเราว่า 

    "ถ้าอยากจะใช้โต๊ะใช้ห้อง ก็ไปเข้าร่วมกิจกรรม"
    เราพยักหน้า แล้วจำใจต้องไปร่วมกิจกรรมในวันต่อมา
    (บางทีเราก็สงสัยนะ รุ่นพี่จบไปทำอะไรอะ ถึงมีเวลาว่างมาคุมเด็กในมหาลัยอีก น่ากลัวเหลือเกิน)
    แน่นอนว่า เราไม่มีทางเลือก
    แต่ อยู่ๆเรากลับคิดได้ว่า เรามาไกลเกินกว่าจะถอยแล้ว
    เด็กๆตัดเครดิตของเราเรียบร้อยแล้ว คนที่หักหลังเราก็มองหน้าเราไม่ติดแล้ว
    เราเลยคิดแผนขั้นต่อไปต่อ

    นั้นคือ เราร่วมกิจกรรม แต่ ทำพลาดให้มากที่สุด 
    แล้วเรามักจะโดนทำโทษ โดนดุ แต่เราจงใจจะให้พวกเด็กๆเห็นถึงความเลวร้ายของระบบ
    เราเลือกที่จะเล่นตามเกม เห็นแบบนี้ เราเป็นคนหน้าด้านหน้าทนมาก
    ถ้ารุ่นพี่เล่นละคร เราก็จะเล่นละคร พิสูจน์จุดเดือดของพวกเขา

    ในที่สุดเราก็พอจะมีเครดิตเหลือ (จากคะแนนความน่าสงสาร)
    เราได้ข่าวสารข้อมูล กลับมาให้เด็กๆในกลุ่ม "ไส้เดือน" เหมือนเดิม
    ...
    (อ่า ได้เวลาเล่าคดีเปลือกลูกอมซักที เราเปลี่ยนตอนเลยดีกว่า)



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in