เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าของความรักRed Panda
ผักกาดก้านขาว

  • “ไอช่า คุณไปไหนมา ฉันติดต่อคุณไม่ได้นึกว่าคุณเป็นอะไรไป” เธอลุกขึ้นจากที่นั่ง เข้าไปกอดเขา

    “นี่ครับเดอา” เมื่อเธอดันตัวออก เขาจึงสบโอกาสยื่นของถุงกระดาษเล็ก ๆ ในมือให้เธอ

    “ว่านหางจระเข้” เธอพูดชื่อต้นไม้ในถุงกระดาษออกมาอย่างงุนงง

    “วันก่อนคุณบอกว่าพวกมันน่ารักดี”





    เดอาหงุดหงิดคำพูดและท่าทางคล้ายสตรีสูงวัยผู้นี้มองไม่เห็นเธอของมาจอรี่ เดอาจึงเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ


    ตอนที่มาจอรี่เดินมาส่งทารกให้อะกาธาร์ เดอานั่งอยู่ตรงหน้าหญิงสูงวัยผู้นี้ ในระยะสายตา แต่มาจอรี่ไม่เหลือบมองเดอาเลยแม้แต่นิด ทั้งยังยื่นเด็กชายมาทางเธอ จนเดอาต้องเบี่ยงตัวหลบ เธอไม่ค่อยพอใจการกระทำนี้นัก และคำพูดของหญิงผู้นี้ก็ยิ่งทำให้เธอไม่พอใจกว่าเดิม


    คำว่าตายอาจพูดได้ทุกวัน แต่ควรเห็นแก่ทารกเพิ่งเกิดคนนี้สักนิด อย่างน้อย ๆ ก็เอาคำพูดแสลงหูนี้ไปพูดให้ไกลหูหน่อยเถอะเดอาคิดใบหน้ายุ่ง ยกแขนกอดอก นั่งไขว่ห้าง แต่อารมณ์ขุ่นมัวของเธออยู่ได้ไม่นานนัก มันเปลี่ยนไปทันทีเมื่อทารกน้อยส่งเสียงเรอเบา ๆ


    “อิ่มแล้วหรือลูก” อะกาธาร์ถามลูกน้อยในอ้อมแขนเสียงเบา แล้วโยกตัวไปมา พยายามกล่อมให้เด็กชายหลับ


    เห็นภาพนี้แล้วเดอาอดนึกสงสัยไม่ได้ ว่าครั้งหนึ่งแม่ของเธอเคยทำเช่นนี้กับเธอหรือไม่


    เธอมองทารกผู้นี้เคลิ้มหลับซุกหน้าอกของมารดา แล้วก็สงสัยขึ้นมาอีก ว่าในอนาคตเธอจะได้เป็นแม่คนเช่นนี้หรือไม่ ถ้าเธอมีลูก เธอจะตั้งชื่อเขาว่าอะไร...


    เดอาคงจ้องอะกาธาร์นานเกินไป หญิงสาวจึงตัดสินใจส่งทารกให้เดอา

    “ท่านคงรอรับขวัญเขานานแล้ว ดิฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ”


    “ไม่มีอะไรหรอกอะกาธาร์ ฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง เธอดูลูกต่อไปเถอะ...” เสียงของเดอาขาดหาย เมื่อได้พินิจเด็กทารกตรงหน้าอย่างใกล้ชิด โดยไม่รู้ตัว หญิงสาวก็เอื้อมมือไปรับห่อผ้าเล็ก ๆ นั้นมากอดไว้ในอ้อมแขนแล้ว


    เด็กคนนี้ใบหน้ากลมเล็ก จมูกนิด ปากหน่อย ผิวเป็นสีชมพูอ่อน คิ้ว กับขนตาสีอ่อนดูกลมกลืนไปกับผิว เดอายิ้มให้เด็กคนนี้อย่างอ่อนหวาน


    “ไงจ๊ะ...หนูเป็นใครเอ่ย” เดอาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอมีน้ำเสียงนุ่มนวลเช่นนี้


    “อลันค่ะ อลัน แวนเลอร์” อะกาธาร์ตอบหญิงสาวด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ


    “อลันหรือ อลัน...ยินดีต้อนรับจ้ะ” เดอาพริ้มตาก้มลงจุมพิตแผ่ว ๆ ที่หน้าผากของทารกน้อยในอ้อมแขน ขณะเดียวกันนอกบ้านน้อยหลังนี้ พระอาทิตย์ค่อย ๆ ขึ้นแทนที่ดวงจันทร์ ความอบอุ่นแผ่แทรกมวลอากาศหนาว ทำให้พายุหิมะค่อย ๆ สงบลง จนเหลือแต่เสียงลมหวีดหวิวเป็นพัก ๆ คล้ายจังหวะหัวใจเต้นของวาฬรักสงบในท้องทะเลลึก


    สงบ...เดอาคิด ละจุมพิตจากหน้าผากของทารกน้อย ส่งเขาคืนให้มารดา เธอลูบหัวทารกน้อยอีกครั้งสองครั้ง เงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างข้างเตียง ข้างนอกนั่นพระอาทิตย์ทอแสงสวยงามน่าจดจำ เดอามองมัน เธอนึกถึงหน้าต่างที่ห้องเช่า รู้สึกตัวอีกที...เธอก็นั่งอยู่บนเตียงในห้องพักของตัวเอง


    เธอนั่งหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง รับแสงแรกที่ขอบฟ้าอย่างเดียวดาย





    นี่เป็นเช้าวันใหม่ที่สวยงาม แต่เดอากลับรู้สึกว่าตัวเองช่างกลวงเปล่าและเหงาหงอย เธอนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น จนนาฬิกาปลุกส่งเสียงเตือนดังลั่น หญิงสาวได้สติกะพริบตาปริบ ๆ พยายามนึกว่าต้องทำอะไรต่อไป ไม่นานนัก เธอก็ลุกขึ้นเดินไปที่หัวเตียง ควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากซอกข้างหัวเตียง


    6 : 17 น.

    จันทร์ 4 มีนาคม

    วันนี้พิพิธภัณฑ์ปิดไม่ต้องไปทำงาน


    เดอาอ่านข้อความบนหน้าจอแล้วถอนหายใจ หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงล้มตัวลงไปนอนฝันหวานต่อแล้ว แต่ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกเข็ดขยาดการนอน กลัวเหลือเกินว่าตนจะตื่นมาอยู่ที่อื่น เธอเสยผม แล้วเดินเข้าห้องน้ำ


    เมื่อหญิงสาวเห็นสภาพตัวเองในกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ เธอก็แทบเป็นลม เธอเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าเนื้อตัวของเธอเปรอะเปื้อนสกปรกจากการล้มลุกคลุกคลานอยู่กลางหิมะนานนับชั่วโมง


    หิมะกัดผิวเนื้อของเธอแดงไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใบหน้าและปลายเท้า เดอากลัวเหลือเกินว่าหากเผลอถูผิวเนื้อตรงนั้นแรงเกินไป ไม่จมูก ก็นิ้วเท้าของเธออาจหลุดออก เช้านั้นเดอาไม่กล้าอาบน้ำอุ่น เพราะกลัวน้ำจะร้อนเกินไปสำหรับผิวบริเวณที่ถูกหิมะกัดของเธอ


    เมื่ออาบน้ำเสร็จ เดอาเดินไปส่องกระจกดูรอยแดงบนใบหน้า


    เดอาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้น ปลายดัดงุ้มเข้าหาปลายคาง ในกระจก


    ผู้หญิงในกระจกใบหน้ารูปหัวใจ จมูกโด่งเป็นสันแบบคนมีเชื้อสายอารยัน คางยาว คิ้วเรียวบาง ดวงตาสีเทาอ่อนทั้งคู่คมดุ และริมฝีปากอวบอิ่มได้รูป


    ผิวของหญิงสาวตามปกติสีเนื้ออมชมพู แต่วันนี้มีรอยแดง รอยหิมะกัดเต็มหน้าไปหมด


    เดอาลองเอานิ้วจิ้มปลายจมูกจุดที่แดงก่ำที่สุด แล้วแทบวิ่งรอบห้อง เพราะแสบร้อนเหลือเกิน แต่ไม่อาจทำได้ เพราะฝ่าเท้าของเธอก็อยู่ในสภาพใกล้เคียงกัน วันนี้การแต่งตัวจึงเป็นไปอย่างทุลักทุเล กว่าเธอจะไปที่ห้องครัวได้ เวลาก็เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว


    วันนี้เธอสวมเสื้อแขนยาวสีเหลือง กางเกงยืดสีเขียวอมน้ำเงิน ไม่ใส่รองเท้าเช่นทุกวัน เพราะอาการบาดเจ็บที่เท้า


    หญิงสาวเปิดตู้เย็นเล็กในครัว หยิบนมถั่วเหลืองกับธัญพืชแท่งออกมาฉีกกิน พร้อมตรวจสอบข่าวสารต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน “นกสีฟ้า” ไล่อ่านข้อความที่พี่ ๆ น้อง ๆ เธอส่งมาให้ จากนั้นก็อ่านเว็บไซต์เกี่ยวกับข้อมูลเรื่องเหนือธรรมชาติที่อ่านค้างไว้ต่อ จนบ่ายคล้อยเดอาก็ผล็อยหลับไปบนโต๊ะอาหาร...




    เดอาคลี่ยิ้มทั้งที่หลับตา เมื่อลมอุ่นวูบหนึ่งต้องหน้าผากเธอ


    เธอมักจะเผลอนั่งหลับบนโซฟาในร้านกาแฟเจ้าประจำเสมอ ซึ่งไอช่า เคลย์...ไม่คิดจะสะกิด หรือเขย่าปลุกเดอา เพราะกลัวจะทำให้เธอตกใจ ส่วนการใช้เสียงปลุกก็ไม่เป็นสิ่งพึงกระทำ ในสถานที่ที่เงียบสงบเช่นร้านกาแฟกึ่งห้องสมุดแห่งนี้


    แต่ไม่ได้หมายความว่าชายหนุ่มไม่มีการวิธีปลุกเธอ ทุกครั้งที่เดอาเผลอหลับไป ไอช่า...จะเป่าหน้าผากเธอเบา ๆ


    เขาเคยเล่าให้เดอาฟังว่าเขาคิดวิธีการนี้อยู่ร่วมชั่วโมงจึงคิดออก แล้วทดลองทำดู ปรากฏว่าได้ผลดีเยี่ยม เพราะนอกจากเดอาจะตื่นโดยไม่ตกใจแล้ว วิธีนี้ยังไร้เสียงอีกด้วย


    หลังจากนั้นมา ไอช่าก็ใช้วิธีนี้ตลอด


    เดอาคิด...


    เธอคิด...บางที...ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไฟไหม้ หรือพายุหิมะ

    บางที...เธออาจอ่านหนังสือเล่มหนึ่งจบในร้านกาแฟ แล้วติดใจมาก จนเก็บมาฝัน

    บางที...ไอช่าคงเพิ่งมาถึงโต๊ะ แล้วเห็นเธอหลับอยู่

    บางที... ถ้าเธอลืมตาขึ้น เธออาจเห็นเขานั่งยิ้มอยู่ตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามเหมือนทุกที


    เดอาคิดเช่นนั้น แต่ลึกลงไป เธอก็รู้ดีว่าทั้งหมดที่คิด เป็นแค่การหลอกตัวเอง และทันทีที่เธอเปิดเปลือกตา หญิงสาวก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องพักของตนแล้ว




    เดอากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง ใบหน้าซบแนบโต๊ะไม้เก่า ๆ หญิงสาวอยู่ในท่าเดียวกับที่เธอผล็อยหลับไปบนโต๊ะอาหารที่ห้องเช่าตัวเอง เธอกะพริบตาสองสามครั้ง ปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างของดวงอาทิตย์ ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นยืนจากโต๊ะ แล้วเริ่มมองสำรวจรอบตัว


    ครั้งก่อนที่เดอามาบ้านหลังนี้เป็นเวลากลางดึก แสงไฟในบ้านมีเพียงไม่กี่จุด เธอจึงไม่มีโอกาสมองรอบตัวอย่างละเอียด คราวนี้หญิงสาวมาถึงตอนกลางวัน จึงเห็นทุกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น คาน ฝาผนังหินสกัด พื้นไม้ และเสาบ้าน


    บ้านหลังนี้เก่าคร่ำคร่าเพราะผ่านฝนผ่านหนาวมานานปี ในความเห็นของเดอา เธอไม่มั่นใจนักว่าหลังคาจะไม่ถล่มลงมาในหนึ่งหรือสองปี


    บ้านหลังนี้ เมื่อเปิดประตูไม้เข้ามาจะเจอกับพื้นที่รับแขก ที่มีเพียงโต๊ะกินอาหาร เก้าอี้ไม้สามตัว และเตาผิง ถัดเข้าไปเป็นห้องครัว ที่อยู่ตรงข้ามกับห้องน้ำ โดยมีทางเดินไปห้องนอนซึ่งอยู่ในสุดของบ้านขั้นกลางระหว่างสองห้อง


    เดอามองประตูบ้านที่เปิดให้แสงภายนอกสาดเข้ามา พลางคิดว่าใครก็ตามที่เปิดประตูทิ้งไว้ ไม่ได้คิดถึงโจรที่อาจบุกเข้ามาฉกฉวยของในบ้านเลย


    ใครเปิดประตูทิ้งไว้แบบนี้ น่าดุจริง ๆ หญิงสาวคิด แล้วเอะใจว่าไม่มีใครอยู่ในบ้าน เดอาขมวดคิ้ว นึกเป็นห่วงหญิงสาวเจ้าของบ้านและทารกน้อย โดยไม่ทันสังเกตว่าอากาศรอบตัวอุ่นขึ้นกว่าครั้งก่อนมากเพียงไร แต่ขมวดคิ้วได้ไม่นาน...เดอาก็เห็น...เด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่งที่หน้าประตูบ้าน




    อลัน แวนเลอร์ อายุได้ห้าขวบแล้วปีนี้


    เขาชอบแอบหนีออกไปเล่นนอกบ้าน แม้อะกาธาร์ แม่ของเด็กชายจะพยายามให้เขาอยู่ในระยะสายตาแค่ไหนก็ตาม วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เด็กชายตัวเล็กเปิดประตูออกไปข้างนอก ขณะมารดาก้มลงเก็บเข็มเย็บผ้าบนพื้นหน้าเตาผิง


    อลันชอบแสงแดด กลิ่นดิน กลิ่นดอกไม้นอกบ้าน เขาชอบลงไปคลุกดินจนเนื้อตัวเปรอะเปื้อน และเก็บดอกไม้ แม้แม่จะตามมาอุ้มเขากลับบ้าน แล้วดุเขาทุกวันว่าตัวเลอะบ้าง หนีแม่ไปบ้าง ทำให้แม่เป็นห่วงบ้างก็ตาม


    เขาไม่เข้าใจหรอกว่าแม่ดุทำไม ในเมื่อเขาแค่ออกไปนอกบ้าน แล้วแม่ก็ยิ้มทุกครั้งที่เห็นดอกไม้ที่เขาเก็บมา


    อลันชอบยิ้มของแม่ แต่แม่ไม่ค่อยปล่อยให้เขาอยู่ห่างกาย แม่มักนั่งเย็บผ้าอยู่ในบ้านทั้งวัน หากวันนั้นแม่ไม่ออกไปทำสวน จนเขาไม่ได้ออกไปข้างนอก นานวันเข้าดอกไม้ที่เขาเก็บมาให้แม่ก็ไม่สวยเหมือนเดิม


    เมื่อสัปดาห์ก่อน แม่เอาดอกไม้ที่เขาเก็บมาไปทิ้งเพราะมันไม่สดสวย และวันนี้ดอกไม้ที่เขาเก็บมาแทนดอกที่แม่ทิ้งไปก็เหี่ยวแล้ว


    แย่แล้วเด็กชายคิด เมื่อเขาเห็นว่าดอกผักกาดก้านขาวของเขาที่แม่ใส่แจกันไว้บนโต๊ะอาหารกลายเป็นสีน้ำตาล


    ดังนั้นเช้านี้ขณะที่แม่ของเด็กชายก้มเก็บเข็มบนพื้น เขาจึงสบโอกาสวิ่งออกไปนอกบ้าน โชคดีที่ประตูหน้าบ้านไม่ค่อยแข็งแรงนัก เด็กห้าขวบเช่นเขาจึงผลักออกไปได้โดยง่าย เมื่อออกมาได้ อลันก็รีบวิ่งอ้อมไปทางหลังบ้าน มุดเข้าไปในพงหญ้าสูงท่วมหัว ตรงไปยังทุ่งดอกไม้ใกล้ ๆ


    ความจริงแล้วบ้านของอลันตั้งอยู่กลางทุ่งดอกไม้ เพียงแต่บริเวณหน้าบ้าน เป็นพื้นที่ที่ใช้ในการเข้าออก และปลูกพืชสวนครัว ทำให้ดอกไม้บริเวณนั้นไม่สวยเท่าบริเวณหลังบ้านซึ่งอยู่ไม่ห่างจากชายป่านัก


    เด็กชายถอดรองเท้าออก เพราะรู้สึกอึดอัดเท้า แล้วเดินเท้าเปล่าสำรวจดูดอกไม้


    ดอกนี้สวยจัง แต่ดอกนั้นสวยกว่า เอาดอกนั้นดีกว่า แต่ดอกตรงโน้นสวยกว่าดอกนี้อีกอลันคิด เขาอยากได้ดอกไม้สวยที่สุดในทุ่งนี้ ไปแทนที่ดอกผักกาดก้านขาวที่เหี่ยวแห้งบนโต๊ะอาหาร ซึ่งเคยเป็นดอกไม้สวยที่สุดในทุ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว


    เด็กชายมองไปรอบตัว ทุ่งดอกไม้แห่งนี้มีดอกไม้มากกว่าจำนวนนิ้วมือของเขามากมาย แล้วมองไปยังบ้านไม้หลังน้อยที่เขาเรียกว่าบ้าน ตรงนั้นเขาเห็นเงาเล็ก ๆ ของแม่กำลังวิ่งออกมานอกบ้าน เงาของเธอดูร้อนรนมาก


    ทำไมแม่ตัวเล็กจัง หรือแม่อยู่ไม่ได้อยู่กับผมตัวเลยหด เด็กชายคิด แล้วคิดต่ออีกว่า ต้องรีบหาดอกไม้แล้ว เดี๋ยวแม่ตัวหดจนหาแม่ไม่เจอ! 


    อลันรีบหาดอกไม้ดอกสวยที่สุดต่อทันที แต่ดอกไม้แต่ละดอกสวยงามมากจนละลานตา เขาหาดอกที่สวยถูกใจไม่พบสักดอก จนหงุดหงิด ลืมว่าตัวเองกำลังรีบ เที่ยวมองหาดอกไม้ หลงอยู่ในความงามละลานตาของพวกมันจนตะวันเที่ยง อลันยกมือป้องแสงอาทิตย์ที่แผดจ้าแล้วจึงนึกได้ว่าต้องกลับบ้าน


    เด็กชายรีบมาก จึงเด็ดดอกไม้ใกล้มือแถวนั้นออกมาเพียงดอกเดียว และรีบมากจนลืมรองเท้าที่ถอดไว้


    กว่าขาเล็ก ๆ จะพาไปถึงหน้าบ้าน เวลาก็เข้ายามบ่ายแล้ว อลันเห็นประตูหน้าบ้านยังเปิดอยู่ก็เข้าใจว่าแม่คงรออยู่ข้างใน


    ในความเข้าใจของอลัน ที่ไม่ใคร่จะตรงกับความเป็นจริงนัก คือแม่จะเปิดประตูบ้านไว้ เมื่อเขาออกไปวิ่งเล่นข้างนอก และภายในบ้านจะมีแม่อยู่เสมอ เด็กชายจึงไม่คิดว่าเมื่อเดินผ่านประตูบ้านเข้าไปจะพบคนแปลกหน้าที่เขารู้สึกแสนคุ้นเคยคนหนึ่ง...




    อลันหยุดชะงักตาโตมองคนแปลกหน้าที่โต๊ะอาหาร

    แม่ไปไหน คนนี้เป็นใคร เด็กชายคิดพลางเห็นว่าคนตรงหน้าเขาแต่งตัวสีเดียวกับดอกไม้สีเหลืองบนโต๊ะอาหาร หรือว่าคนนี้เป็น...

    “…คุณดอกไม้!” อลันยิ้มกว้าง เขาตื่นเต้นจนลืมว่าแม่ไม่ได้อยู่ในบ้าน



    เดอาตกใจเสียงสดใสที่ไม่เบานักของเด็กชายที่ประตูบ้าน


    “ดอกไม้...” เดอาทวนคำพูดของอลันอย่างไม่เข้าใจ เธอเหลือบมองดอกผักกาดก้านขาวสีเหลืองในมือของเด็กชาย เห็นสีเหลืองของพวกมันแล้วก้มมองสีเหลืองคล้ายกันบนเสื้อแขนยาวของเธอ มองก้านสีเขียวเข้มของดอกไม้สลับกับกางเกงสีเขียวเข้มอมน้ำเงินที่เธอสวม


    ดอกไม้จริง ๆ ด้วยหญิงสาวคิด


    “ใช่ ใช่ คุณดอกไม้” เด็กชายร้องพลางวิ่งเข้ามาหาเดอา


    อลันเป็นเด็กชายตัวเล็ก นัยน์ตาสีฟ้าใส เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งเหยิงจากการวิ่งเล่นนอกบ้าน เนื้อตัวมอมแมมเปื้อนดิน หญ้าเต็มไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเท้าเปล่าของเด็กชาย ที่มองผาด ๆ เหมือนเขาสวมรองเท้าสีน้ำตาล ความจริงเป็นคราบดินสีน้ำตาล เขาสวมเสื้อแขนยาวตัวโคร่งสีขาว และกางเกงสีเทาตุ่น ๆ พับขาไว้เพราะขายาวเกินไปและหลวมโพรกจนต้องใช้เชือกต่างเข็มขัด


    “เดี๋ยว หยุดก่อน” เดอาบอกเด็กชายเสียงดัง เขาหยุดตามคำพูดของเธอตรงกลางระหว่างโต๊ะอาหารกับประตูบ้าน เดอามองรอยดินบนพื้นบ้านเป็นรูปรอยเท้าเล็ก ๆ พูดต่อเสียงอ่อนลงว่า “เช็ดเท้าก่อนหนู เดี๋ยวบ้านเปื้อนหมด”


    เด็กชายก้มมองเท้าตัวเอง เขาเดินย้อนกลับไปที่ประตู ถูเท้ากับพรมเช็ดเท้า ก่อนสายตาเขาก็เห็นเท้าสีแดงก่ำ บวมแดง มีตุ่มน้ำใส ๆ ของเดอา


    “คุณดอกไม้เจ็บ” เด็กชายพูด คิดว่าคงเป็นเพราะตนดึงดอกไม้แรงเกินไป จึงถอนดอกจนถึงรากสีแดง มีตุ่มขึ้นแบบนั้น อลันมองเท้าของเธอสลับกับเท้าของเขาสองสามรอบ


    ดอกไม้ต้องอยู่กับดินเด็กชายคิด และโดยไม่ทันคิดให้ดีอีกที อลันเดินไปหาเดอาอีกครั้ง ลืมคำพูดห้ามของเธอไปหมดสิ้น


    “หนู!” เดอาร้องเสียงหลง ตกใจกว่าเดิม เมื่ออลันมาถึงตัวเธอแล้วก้มป้ายดินที่ยังเช็ดออกไม่หมดที่เท้าของเขาบนเท้าเธอ อลันเงยหน้ามองเดอาตาใส ไม่เข้าใจว่าเธอตกใจทำไม


    เดอาจ้องนัยน์สีฟ้าใสของเด็กชายอย่างอับจนคำพูด เด็กชายมองหน้าเธอครู่หนึ่ง แล้วตั้งท่าจะก้มตัวปาดดินให้บนเท้าของหญิงสาวอีก แต่คราวนี้เดอาไวกว่า เธอรีบหดเท้าเข้าใต้เก้าอี้ เอาสองมือช้อนใต้รักแร้ของเด็กชาย ลุกยืนจากเก้าอี้ จังหวะที่สัมผัสตัวเด็กนั้นเอง...อลัน...ชื่อของเด็กชายก็แล่นเข้าในหัวเดอา


    “อลัน หนูทำแบบนี้ไม่ได้นะลูก” หญิงสาวบอกเด็กชายตัวเล็ก ขณะวางตัวเขาบนพื้นไม้


    “คุณดอกไม้ต้องการดิน” เดอามองดวงตาสีฟ้าแจ่มใสทอประกายมุ่งมั่นตรงหน้า แล้วปฏิเสธเด็กชายอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่จ้ะหนู น้าไม่ต้องการดิน น้าต้องการให้หนูไปล้างเท้า”


    “แต่คุณดอกไม้เจ็บ คุณดอกไม้ต้องการดิน” อลันไม่ใช่เด็กช่างเถียง อันที่จริงเขาไม่เคยดื้อกับใครเลย ไม่ว่าจะเป็นอะกาธาร์ หรือมาจอรี่ แต่ตอนนี้ความรู้สึกบางอย่างในหัวใจดวงเล็กของเด็กชายตัวน้อย เฝ้าบอกว่าเขาต้องดูแลเดอา เขาทำเธอเจ็บ เขาต้องทำอะไรสักอย่าง


    อลันไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่เขาไม่ชอบมัน เด็กชายเชื่อว่าทางเดียวที่จะทำให้มันหายไปได้ คือต้องแก้ไขมัน หากเขาทำให้คุณดอกไม้เจ็บ เขาก็ต้องรักษาเธอ


    “น้ำก็ได้หนู น้าชอบน้ำมากกว่า อีกอย่าง ดูสิบ้านสกปรกหมดเลย” เดอาบอกอลันยิ้ม ๆ มองหัวคิ้วน้อย ๆ ของเด็กชายขมวดเข้าหากัน เธอย่อตัวลงลูบผมสีน้ำตาลอ่อนของเขาอย่างเบามือ พูดสำทับว่า “ไปล้างเท้ากันนะหนู”


    “แล้วรากของคุณดอกไม้...” แม้เสียงของอลันจะยังสดใส แต่ก็เบาลง เด็กชายรู้สึกคล้ายมีก้อนอะไรสักอย่างติดในลำคอ เขาคิดว่าก้อนนั้น ความรู้สึกนั้น เขาไม่รู้จัก...ความรู้สึกซึ่งต่อมาภายหลังเขาจึงรู้ว่ามันเรียกว่าอะไร


    “รากน้าร้อนเฉย ๆ ได้น้ำสักหน่อยก็ดีขึ้น” เดอายกนิ้วโป้งที่ยังชาจากอาการหิมะกัดของตนกดนวดระหว่างคิ้วของเด็กชายอย่างแผ่วเบา ให้เขาคลายคิ้วออกจากกัน


    “จริงนะ” เด็กชายมองดวงตาสีเทาของเดอา


    “จริงจ้ะหนู” หญิงสาวตอบเด็กชาย อลันจูงมือเธอไปห้องน้ำของบ้าน เดอาเพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่าอลันเป็นเด็กชายตัวเล็กมากขนาดไหน มองเผิน ๆ ตอนแรกเธอนึกว่าเขาเพิ่งสามขวบได้ไม่กี่เดือน ที่ไหนได้ เมื่อพูดคุยกันไปสักพัก หญิงสาวเพิ่งรู้ว่าอลันอายุห้าขวบ ย่างหกขวบแล้ว ทั้งสองช่วยกันล้างเท้า เดอาไม่อาจทนเห็นเด็กชายใส่เสื้อผ้าสกปรกได้ จึงจับเขาอาบน้ำให้เรียบร้อยเสียเลย


    การอาบน้ำให้อลันไม่ใช่เรื่องยาก อาจเพราะทั้งบ้านมีเพียงเขาและแม่ เด็กชายจึงพอช่วยตัวเองได้ระดับหนึ่ง ความจริงแล้ว สิ่งที่เดอาต้องทำก็เพียงคอยระวังไม่ให้เขาลื่นล้ม สระผม และเทน้ำจากถังไม้เล็ก ๆ ที่รองน้ำจนเต็มล้างตัวให้เด็กชายเท่านั้น


    หลังจากเดอาเช็ดผมของอลันจนแห้งสนิท ทั้งคู่ก็ช่วยเปลี่ยนดอกไม้ในแจกัน


    เดอามองดอกผักกาดก้านขาวก้านใหม่ในแจกัน แล้วนึกสงสัยว่าเหตุใดอลันถึงหวงพวกมันถึงขั้นถือก้านไว้ไม่ยอมปล่อยมือ ทั้งตอนล้างเท้า อาบน้ำ และแต่งตัว


    ถ้าเปลี่ยนจากดอกไม้เป็นผ้าห่ม ฉันจะไม่แปลกใจเลย หญิงสาวคิดขณะจัดดอกไม้ในแจกันให้ดูงามเธอหมุนแจกันสำรวจความสวยงามอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็นึกถึงอะกาธาร์


    อะกาธาร์อยู่ที่ไหน ทำไมทั้งบ้านถึงมีแต่อลัน หญิงสาวคิด เธอเหลือบมองดวงตาสุกใสของอลัน เด็กชายดูไม่ทุกข์ร้อนกับการหายตัวไปของมารดาเลยแม้แต่นิด


    “แม่หนูไปไหน” เดอาตัดสินใจถามอลัน เมื่อเธอจัดดอกไม้ในแจกันเสร็จ


    “หด” อลันตอบหญิงสาวในเสื้อสีเหลืองสด เขายกนิ้วโป้งกับนิ้วก้อยของมือขวามาชนกัน เป็นท่าประกอบ


    “น้าหมายถึง...” คราวนี้เป็นเดอาเองที่ขมวดคิ้ว ไม่ใช่อลัน


    “แม่ตัวหด หดจนหาไม่เจอ แม่อยู่ห่างจากผมไม่ได้ ไม่งั้นแม่จะตัวหด แต่ตอนนี้ผมอยู่บ้านแล้ว เดี๋ยวแม่ก็ตัวขยายเอง” เด็กชายอธิบายให้หญิงสาวฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำและมั่นอกมั่นใจ ขณะที่เดอาคิดว่าตนควรถามเด็กชายมากกว่านี้ จะได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


    “ยังไงนะหนู” สิ้นคำถามของเธอ อลันก็เล่าเรื่องที่แอบออกไปเก็บดอกไม้หลังบ้าน ขณะอะกาธาร์ก้มลงหยิบเข็มบนพื้น และภาพที่เขามองเห็นแม่จากระยะไกล ซึ่งอลันเข้าใจว่าแม่ตัวหดเล็กลง


    “หนู!” เดอาร้องเสียงหลง ตั้งแต่ชั่วโมงที่เธอรู้จักเด็กชาย นี่เป็นนาทีที่เดอาตกใจที่สุด จนผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอกลายเป็นสีม่วงอมชมพูเลยทีเดียว


    คนเรานี่จะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็เหมือนกันจริง ๆ ทำไมชอบแสดงความรักแบบนี้ คือมันก็ดีนะ แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ดี ป่านนี้อะกาธาร์จะเป็นอย่างไร!? เธอคงออกไปตามหาอลันแน่ ๆ แต่ออกไปนานแค่ไหนแล้ว ที่นี่มีโทรศัพท์รึยัง แต่ตั้งแต่เข้ามาในบ้านก็ไม่เห็นโทรศัพท์สักเครื่อง เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันติดต่อหาเธอไม่ได้ แต่อลันอยู่ในบ้าน แย่ละ...นี่ลูกไม่ได้หายแต่แม่หาย แย่แล้ว แย่แล้วเดอานิ่งคิดอย่างกังวล จนอลันสงสัย


    ตั้งแต่เข้ามาในบ้านเดอาเห็นอปกรณ์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวคือ หลอดไฟในห้องน้ำและห้องนอน ไม่มีทั้งโทรทัศน์ โทรศัพท์บ้าน วิทยุ หรือรถยนต์ แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เดอาตื่นมาในพื้นที่ห่างไกล ไร้เทคโนโลยี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์สื่อสารจริง ๆ


    เดอามองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้เป็นยามบ่ายแก่ ๆ เธออยากออกไปตามหาอะกาธาร์แต่เธอไม่อาจทิ้งอลันไว้ในบ้านคนเดียว อาการแสบแดงที่เท้าของเธอก็ยังไม่หายดี แค่การเดินบนพื้นไม้เธอยังเจ็บแสบจนแทนร้องไห้ เท้าเธอถูกหิมะกัด ซึ่งเป็นอาการแบบเดียวกับการเกิดแผลพุพอง จะมีตุ่มน้ำใต้ผิวหนัง ซึ่งติดเชื้อง่าย เอ...หรือเธอจะทนเจ็บเดินออกไปตามหาอะกาธาร์กับอลัน เปล่าประโยชน์ หากทำเช่นนั้นอะกาธาร์กลับมาบ้านแล้ว ก็จะคลาดกับพวกเธอ แม่ลูกคู่นี้อาจไม่ได้เจอกันในค่ำนี้เป็นแน่


    ถ้ามีใครอยู่ที่นี่อีกสักคนก็คงดี อย่างน้อยจะได้มีคนคอยรออะกาธาร์ในบ้านกับอลันเดอาครุ่นคิดแล้วเธอก็เห็นใบหน้าซีดขาวของใครบางคน พร้อมรอยยิ้มอวดเขี้ยวโชว์ฟันแล่นผ่านสมองของเธอ


    ใครบางคน ผู้ไม่ได้อยู่ที่นี่กับเธอ...


    สุดท้าย เดอาตัดสินใจรออะกาธาร์อยู่ในบ้านกับอลัน


    พวกเขาเล่นกันฆ่าเวลา เดอามองออกไปนอกประตูเป็นพัก ๆ เพื่อมองหาวี่แววของอะกาธาร์


    พวกเขาเล่นใบ้คำในยามบ่าย อลันอยากเล่นวิ่งไล่จับมากกว่า แต่เดอาขอเขาไว้ เพราะเธอเจ็บเท้าเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก


    ...เล่นต่อคำในยามเย็น


    ...เล่นหมุนกิ่งไม้ “กลัว” หรือ “กล้า” ตอนหัวค่ำ ซึ่งแสงสว่างยังคงสาดส่องราวกับเวลากลางวัน เดอาไม่แปลกใจกับปรากฏการณ์นี้เท่าไรนัก เพราะอลันเล่าให้เธอฟังว่าฤดูนี้คือใบไม้ผลิ กลางวันยาวนานถึงสามทุ่มในฤดูนี้


    อยู่กับคุณดอกไม้ อลันรู้สึกคล้ายอยู่กับแม่ ไม่ใช่อะกาธาร์แม่ของเขานะ แต่เป็นแม่อีกคน เด็กชายอธิบายความสนิทใจนี้ไม่ถูกนัก เขาเพียงรู้สึกคล้ายอยู่กับผู้ปกครองอีกคนหนึ่ง


    เดอาคิดว่า สถานที่ที่เธออยู่ ณ ตอนนี้ยังอยู่ในทวีปยุโรป แต่เธอเข้าใจสิ่งที่อลันพูดได้เช่นไร เธอบอกไม่ได้ เพราะสำหรับเดอา ตอนนี้อลันกำลังพูดภาษาบ้านเกิดของเธอ


    แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง แต่เดอาก็เริ่มชินกับเรื่องเหนือความคาดหมายเหล่านี้แล้ว...


    เมื่อพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน อลันก็พาเดอาไปเล่นหน้าบ้าน พวกเขาเล่นเป็นผู้กล้าปราบมังกรร้ายกัน


    “ไม่นะ ดาบของข้า!” อลันมองดอกไม้ในมือตน ที่สายลมหอบหนึ่ง พัดทุกกลีบของมันปลิวหลุดไปหมด คล้ายมีมือล่องหนมาดึงกลีบดอกไม้ออกไป เด็กชายมองกลีบดอกไม้เหล่านั้นแล้วพูดว่า “ดาบของข้าแตกเป็นห้าส่วน! ข้าต้องไปตีดาบใหม่ รออยู่นี่นะ เจ้ามังกร ข้าจะกลับมาปราบเจ้าแน่ ห้ามตัวหดหายไปเชียวนะ”


    “ช้าก่อน ผู้กล้า นั่นคือดาบของเจ้าหรือ” เดอาถาม


    “ใช่สิ เจ้าไม่เห็นคมดาบของมันหรือ เจ้ามังกรสีชมพู” อลันหันมาสนใจมังกรตรงหน้า กอดอก ขมวดคิ้ว ราวกับตนเป็นผู้ใหญ่กำลังตั้งคำถามเด็ก แบบที่แม่ทำกับเขาบ่อย ๆ


    “ข้า...เข้าใจว่าเมื่อกี้เจ้าใช้คทาวิเศษเสียอีก” ...ก็หนูบอกน้าว่ามันปล่อยลำแสงได้ เดอาแก้ตัวในใจ


    “ไม่ใช่นะ เจ้ามังกรสีชมพู! ดอกไม้คือดาบของข้า...อาวุธของข้า ตอนนี้ข้าจะไปซ่อมมันแล้วค่อยกลับมาจัดการเจ้า” อลันกล่าวอย่างหงุดหงิด


    ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าถือดาบอยู่ ทำไมเจ้ามังกรมองไม่ออกเด็กชายคิด แต่ก่อนที่นิ้วเล็ก ๆ ของเขาจะสัมผัสกลีบดอกไม้บนพื้น ลมอีกหอบก็พัดมันปลิวไปอีก คราวนี้ปลิวขึ้นฟ้าไปทางตะวันตก


    สายตาอลันมองตามกลีบดอกไม้สีขาวลอยเล่นกับสายลมและแสงอาทิตย์ เมื่อกลีบดอกไม้ปลิวสูงกว่าระดับศีรษะของเขา เด็กชายก็เห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง...อะกาธาร์นั่นเอง


    “แม่!” เด็กชายร้องเสียงดัง วิ่งไปหาแม่ เดอามองตามเขาจึงเห็นอะกาธาร์วิ่งเข้าไปกอดเด็กชายเช่นกัน


    อะกาธาร์กอดอลันแน่น ใบหน้านองน้ำตา มือข้างหนึ่งถือรองเท้าคู่เล็ก ๆ ไว้แน่น ผมสีทองของเธอยุ่งกระเซิงจากการก้ม ๆ เงย ๆ ดูตามโพรงหญ้า เสื้อผ้าเก่าของเธอมอมแมมเปรอะดินโคลนและใบไม้ใบหญ้าจากการตามหาเด็กชาย


    “แม่ตัวขยายแล้ว” อลันพูดที่ข้างหูของมารดา


    “จ้ะ คราวหลังอย่าแอบหนีแม่ไปอีกนะลูก ถ้าลูกเป็นอะไรไป แม่คงอยู่ต่อไปไม่ได้”


    “ผมแค่ออกไปเก็บดอกไม้มาให้แม่” เสียงของเด็กชายแผ่วและแหบแห้ง เขากำลังร้องไห้ ก้อนความรู้สึกที่เขาไม่รู้จักนั้นขึ้นมาจุกคอเขาอีกแล้ว คราวนี้ดูเหมือนมันจะดันตัวออกมาจากปาก จมูก และตาของเขาด้วย


    “คราวหลังก็ชวนแม่ไปด้วยสิลูก แม่จะได้ช่วยเลือก” อะกาธาร์พูดพลางปาดน้ำตาบนพวงแก้มของลูกชายอย่างเบามือ ด้วยมือหยาบกร้านจากการกรำงานมานานปี


    “แบบนั้นแม่ก็ไม่ประหลาดใจสิ” เด็กชายพูด เขาจริงจังมากเรื่องอยากเห็นแม่ยิ้มประหลาดใจ


    “แค่วันนี้แม่ก็ประหลาดใจมากจนนอนไม่หลับไปอีกสิบปีแล้วลูก” อะกาธาร์บอกลูก เธอสังเกตว่าอลันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว


    “ใครช่วยลูกเปลี่ยนเสื้อผ้า” เธอถาม


    “คุณดอกไม้ครับ” เด็กชายตอบเสียงแหบ


    “คุณดอกไม้” อะกาธาร์ทวนคำเป็นเชิงถาม


    “คนนั้นไงแม่” อลันเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง พลางชี้นิ้วไปทางที่เดอานั่งอยู่


    อะกาธาร์มองตามไปที่หน้าประตูบ้าน เธอเห็นคนคุ้นเคยนั่งอยู่ตรงนั้น แต่เพียงพริบตาเดียว ที่ตรงนั้นก็ไม่มีผู้ใดนั่งอยู่แล้ว






    “คุณนี่น้า...” เธอดุเขานิดหน่อย ก่อนจะขอบคุณ





    TBC

    ....................................................

    คนมีความรัก มักชอบเซอร์ไพร

    ถ้าใครจะเซอร์ไพรใครอย่าลืมวางแผนดี ๆ นะคะ เดี๋ยวจะพลาดเหมือนหนุ่ม ๆ เรื่องนี้

    ขอบคุณค่ะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in