เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เล่าเรี่ยราดam_vv
TOEFL กับ IELTS
  • จริงๆ อยากตั้งชื่อหัวข้อว่า TOEFL ไม่เท่ากับ IELTS แต่มันก็คงดึงดราม่าไป แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวเราว่ามันไม่เท่ากันนะ จะใกล้เคียงกันก็แค่เรื่องเรทราคาเท่านั้นแหละ ถ้าเทียบราคา ณ เดือนมี.ค. 2022 IELTS Academic computer-based 6,900 บาท ส่วน TOEFL iBT 215USD พอแปลงเป็นเงินไทยก็แพงกว่านิดหน่อย แต่มันก็ขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้นด้วย


    ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า TOEFL กับ IELTS เป็นแบบทดสอบความสามารถภาษาอังกฤษ ที่ใช้สำหรับยื่นเรียนต่อกับสมัครงาน คะแนนสองตัวนี้ก็เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เลือกสอบอย่างใดอย่างนึงได้ ส่วนตัวเราเคยสอบ TOEFL 3 ครั้ง ช่วงก่อนปี 2017 และ IELTS 1 ครั้ง เมื่อมี.ค. 2022 ที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งตอนแรกที่สอบโทเฟลเพราะเข้าใจว่าบริษัทเขาเป็นอเมริกัน สำเนียงที่ใช้การสอบมันก็ต้องเป็นอเมริกันแบบที่เราคุ้นเคยก็เลยเลือกสอบโทเฟลไป ต่างจากไอเอ้ลซึ่งเป็นบริษัทจากอังกฤษและออสเตรเลีย เราก็คิดไปเองว่ามันต้องฟังยากแน่ 555555 แต่พอคะแนนโทเฟลไม่ได้ใช้จนหมดอายุไป ก็มีความคิดอยากเปลี่ยนมาสอบไอเอ้ลบ้าง แล้วก็ตรัสรู้ว่าไอเอ้ลมันไม่ได้บริติชขนาดน๊านนน ชั้นคิดไปเองล้วนๆ

    ทั้ง TOEFL และ IELTS จะทดสอบความสามารถทั้ง 4 ด้าน (ฟัง พูด อ่าน เขียน) เหมือนกัน โดย TOEFL จะแบ่งคะแนนเป็นพาร์ทละ 30 คะแนน คะแนนเต็มรวมเป็น 120  แต่ IELTS จะให้คะแนนพาร์ทละ 9 คะแนน แต่ไม่ได้เอามารวมกันนะ ไอเอ้ลเค้าเฉลี่ยแต่ละทักษะแล้วคะแนนรวมก็เต็ม 9 เหมือนเดิม

    เราเลือกสอบเป็น computer-based ทั้งสองเทส เพราะถนัดพิมพ์มากกว่า โดย TOEFL จะเริ่มจาก Reading>Listening>Speaking>Writing แต่ IELTS จะเร่ิ่มที่ Listening>Reading>Writing และแยกพาร์ทพูดออกมา เพราะต้องสอบพูดกับคน ซึ่งอาจจะสอบก่อนเริ่ม Listening หรือเก็บไว้หลัง Writing เลยก็ได้ ขึ้นกับตารางในวันนั้นๆ 

    เดี๋ยวจะอธิบายทีละพาร์ทว่าต่างกันยังไง และจะได้เข้าใจว่าทำไมเรารู้สึกว่ามันไม่เท่ากันจริงๆ 

    เริ่มที่ Reading ซึ่งเป็นพาร์ทที่เลเวลความยาก-ง่ายใกล้เคียงกันที่สุดแล้ว 

    TOEFL ใช้เวลา 54 - 72 นาที อ่าน 3-4 บทความ บทความแต่ละบทจะประมาณ 700+ คำ มี 30-40 คำถาม (10คำถาม/บทความ) 

    IELTS ใช้เวลา 60 นาที อ่าน 3 บทความ บทความละ 900+ คำ มีคำถามทั้งหมด 40 คำถาม เฉลี่ยบทความละ 13-14 ข้อ

    บทความทั้งหมดจะเป็น Academic เหมือนกัน เลเวลคำศัพท์พอๆ กัน ซึ่งข้อสอบ Reading มันมีคำถามไม่กี่แบบ และรูปแบบสากลมากๆ แต่สองเทสนี้มีชุดคำถามต่างกันนิดหน่อย TOEFL จะใช้ชุดคำถามแบบปกติทั่วไป เช่น ประโยคนี้ผู้เขียนหมายความว่าอย่างไร คำนี้ในบรรทัดนี้ในบริบทนี้แปลว่าอะไร Main Idea คืออะไร ข้อใดถูก/ผิด บลาๆๆๆ และ 80% เป็น Multiple Choices แต่ IELTS ต่างนิดนึงตรงที่จะมีอัตราส่วนของ Multiple Choices น้อยกว่า เพิ่มการเติมคำในช่องว่างเข้ามาและมีการถามว่า ประโยคนี้ True/False/Not Given (จริง/ไม่จริง/ไม่ระบุ) ซึ่งมันก็คล้ายๆ กับถามว่าข้อใดถูก/ผิด แต่เอาจริงๆ มันชวนสับสนกว่านะ 


    ต่อกันที่ Listening 

    TOEFL ใช้เวลา 41–57 นาที ทั้งหมด 28–39 คำถาม และจดโน๊ตได้ แบ่งเป็น
    1. 2–3 บทสนทนาระหว่างคน 2 คน แต่ละบทยาว 3 นาที 5 คำถาม/บท
    2. 3–4 lectures (แบบฟังเลคเชอร์ห้องเรียนเลย) แต่ละบทยาว 3–5 นาที 6 คำถาม/บท

    IELTS ใช้เวลาไม่เกิน 40 นาที ทั้งหมด 40 คำถาม แบ่งเป็น 4 บทพูด (10 คำถาม/บท) 
    1. บทสนทนาในชีวิตประจำวันระหว่างคน 2 คน เช่น คุยโทรศัพท์ คุยกับ reception สอบถามข้อมูล
    2. บทพูดของคนคนนึง อธิบายเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว
    3. บทสนทนาระหว่างคน 2 คน (หรือมากกว่า) แต่คุยกันเรื่องเรียน ทำงาน
    4. Lecture ยาวๆ 

    ซึ่ง IELTS  มีกระดาษโน๊ตให้จดนะ แต่ไม่ได้จดเพราะต้องฟังตลอดเวลา เพราะคำถามและคำตอบจะเรียงกันตามเนื้อหาที่ได้ยิน เช่น คำตอบของข้อ 1 จะรีบโผล่มาตอนต้นๆ เลย ถ้าพลาดก็หลุดแล้วเตรียมใจทำข้อถัดไปต่อเลย  โดยส่วนใหญ่พาร์ทฟังของ IELTS จะเป็นเติมคำในช่องว่าง โดยใช้คำตามที่ได้ยินในบทพูดเป๊ะๆ ไม่ต้องคิดเยอะแค่ต้องฟังให้ออก และนอกจากนั้นก็มี Multiple Choices หรือสรุป/จับคู่ข้อมูลเล็กน้อย แต่ก็ไม่เยอะเท่าเติมคำในช่องว่าง 

    แต่ของ TOEFL จะยากกว่าไอเอ้ลตรงที่มันมีข้อที่ต้องฟังทั้งหมดและสรุป! ดังนั้นการจดโน๊ตจึงสำคัญมากๆ และด้วยความที่ข้อสอบจะเป็น Multiple Choices ทั้งหมด และคำศัพท์ที่ใช้ก็จะไม่ตรงกับบทพูดเป๊ะมาก เราต้องรู้ Synonyms เยอะๆ เพื่อสู้กับพาร์ทนี้ และมันก็จะมีคำถามที่ถามว่า ผู้พูดรู้สึกอย่างไร เรา imply อะไรได้จากบทพูดนี้บ้าง ซึ่งต้องคิดและวิเคราะห์มากกว่า IELTS 

    ว่าง่ายๆ คือพาร์ท Listening ของ IELTS จะค่อนไปทางจับข้อมูลเฉพาะจุดๆ แต่ TOEFL คือต้องฟังและเข้าใจจริงๆ

    ถึงตรงนี้แล้วสังเกตมั้ยว่า TOEFL จะมีจำนวนคำถาม/บทพูด/บทความที่ไม่แน่นอน 
    เทสปกติจะได้ Reading 3 บท กับ Listening 5 บท ทุกข้อก็จะนำมาคิดคะแนนปกติ แต่ว่า TOEFL เค้าจะมีชุดบทความ/บทพูด ที่จะเป็นว่าที่ข้อสอบในอนาคต เอามาสุ่มทดสอบก่อนและไม่ถูกนำมาคิดคะแนน!ถ้าใครดวงดีเจอ Reading 4 บท หรือ Listening 7 บท คือเหนื่อยมาก! (เพิ่มแค่พาร์ทเดียวนะ มันไม่เลวร้ายถึงขั้นเพิ่มท้ั้งสองพาร์ทในวันเดียว) และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าบทไหนไม่คิดคะแนนเพราะเค้าไม่บอก เพราะโทเฟลเค้าต้องการให้เราทำอย่างเต็มที่เพื่อเอาไปดูว่าข้อสอบมันไม่ยากและไม่ง่ายเกินไป ก่อนที่จะเอาไปใช้งานเป็นข้อสอบและคิดคะแนนจริงๆ 

    ซึ่งการสอบโทเฟลทั้ง 3 ครั้งของเรา โดนไอ้ dummy test ทุกรอบ! ดวงดีมาก! เจอ extra พาร์ทอ่านไปสองครั้ง พาร์ทฟังไปครั้งนึง ... 


    ถ้าเป็น TOEFL หลังจบพาร์ทอ่านกับฟังจะมีให้เบรค 10 นาทีเพื่อไปเข้าห้องน้ำ/กินขนม จำได้เลยว่าตอนเราสอบเราหมดพลังมากๆ ออกมาก็กิน Snickers รีบเพิ่มน้ำตาลในเลือดเลย แต่ IELTS คือยิง Writing ต่อยาวๆ ไม่มีเบรคจ้าาาา (แต่ศูนย์สอบอนุญาตให้เอาน้ำไปทานในห้องสอบได้นะ แค่ออกมาเข้าห้องน้ำไม่ได้ ถ้าออกมาคือต้องเสียเวลาทำข้อสอบไปเลย)

     
    เหนื่อยเนอะ แต่นี่แค่ครึ่งเดียวของบททดสอบ  ..... 


    ไปต่อกันที่ Writing  

    TOEFL ใช้เวลาทั้งหมด 50 นาที แบ่งเป็น 2 tasks อัตราส่วนคะแนนเท่ากันทั้งคู่ 
    1. Integrated writing task (20 นาที) อ่านบทความสั้นๆ (สั้นกว่าพาร์ทอ่านหน่อยนึง) และฟัง Lecture สั้นๆ ในหัวข้อเดียวกันแต่คนละมุม แล้วเขียนสรุปสิ่งที่อ่านและฟัง ซึ่งมันยากตรงที่เรามีโอกาสฟังแค่รอบเดียว (แต่บทความที่อ่านก็ยังขึ้นในจอให้เห็นตลอดที่เขียนตอบนะ)
    2. Independent writing task (30 นาที) เขียนตอบคำถามปลายเปิด 

    IELTS ใช้เวลาทั้งหมด 60 นาที มี 2 tasks แต่คะแนนพาร์ทแรกจะคิดแค่ 1/3 จากคะแนนเต็ม
    1. เขียนสรุปข้อมูลจากกราฟ ชาร์ท แผนที่ แผนผัง ฯลฯ ควรเขียนไม่ต่ำกว่า 150 คำ  
    2. เหมือน TOEFL พาร์ทสองเลย และควรเขียนไม่ต่ำกว่า 250 คำ

    พาร์ทสองของทั้งสองเทสเหมือนกันเป๊ะ แต่ IELTS จะไม่จำกัดเวลาในการเขียนแต่ละพาร์ทชัดเจน แค่แนะนำว่าพาร์ทแรกใช้เวลาแค่ 20 นาทีนะ แล้วรีบมาทำพาร์ทสองนะเพราะน้ำหนักคะแนนเยอะกว่า มันก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะบริหารเวลายังไงด้วย อาจตะ 20+40 หรือ 25+35 นาทีก็ได้ ถ้าใช้เวลาไม่หมดก็ย้อนไปแก้ได้ แต่ TOEFL จะต้องทำตามกรอบ 20+30 นาทีเท่านั้น ไม่มีโอกาสแก้ตัว ไม่มีโอกาสฟังรอบสอง ทุกอย่างขึ้นกับ Notes ที่จดไว้ ถ้าเทียบกับพาร์ทแรกของ IELTS ที่เขียนสรุปจากรูป มันต่างกันลิบลับเลยนะ (แม้ว่าจำนวนคำที่เขียนจะใกล้เคียงกันก็ตาม)


    มาถึงพาร์ทสุดท้าย Speaking ที่มันต่างกันมากกกกกกกกกกกกก เพราะ TOEFL อัดเสียงพูดคนเดียวกับคอมแล้วระบบก็จะส่งไฟล์เสียงไปให้คนตรวจอีกที แต่ IELTS พูดกับ Examiner ต่อหน้าเจ้าของภาษาเลย 

    TOEFL ใช้เวลา 17 นาที กับ 4 คำถาม โดยจะมีกระดาษโน๊ตให้เราจดเตรียมคำตอบไว้ 
    **จริงๆ TOEFL จะสอบ Speaking ก่อน Writing นะ แต่ยกมาอธิบายไว้ท้ายสุด
    • คำถามที่ 1 (Independent Speaking Task) สอบถามความเห็น ไอเดียของเรา ในเรื่องง่ายๆ เช่น ระหว่างอยู่ในเมืองกับตจว.ชอบอะไรมากกว่ากัน
    • คำถามที่ 2-4 (Integrated Speaking Task) เราจะได้อ่าน หรือ ฟัง หรือทั้งฟังและอ่าน แล้วพูดตอบคำถามหรือสรุปอีกที!  
    • แต่ละคำถามจะมีเวลาเตรียมคำตอบในโน๊ต 15-30 วินาที และพูดตอบ 45-60 วินาที โดยคอมพิวเตอร์จะจับเวลาและเริ่มอัดเสียงให้เราอัตโนมัติ

    IELTS ใช้เวลาประมาณ 11-14 นาที แบ่งเป็น 3 พาร์ท
    1. สอบถามเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับตัวเรา เช่น บ้านอยู่ไหน ทำงานอะไร ชอบทำอะไรเวลาว่าง 
    2. Examiner จะบอกหัวข้ออะไรซักอย่างมา แล้วให้เราเตรียมตัว 1 นาที เพื่อพูดเกี่ยวกับหัวข้อนั้น 1-2 นาที เป็นพาร์ทเดียวที่ได้เขียนโน๊ตเตรียมตัว แต่ถ้าเราพูดจบเร็ว ก็อาจมีคำถามเกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ ตามมาบ้าง
    3. สอบถามความเห็น/discuss ในเรื่องที่หนักขึ้นมาหน่อย (กึ่งๆ คำถามนางงาม แต่ไม่ถึงขั้นเรื่องการเมืองนะ) เช่น ของเล่นสมัยนี้ต่างจากสมัยก่อนยังไง คิดว่าการออนไลน์ช็อปปิ้งมีผลกระทบยังไง คิดยังไงกับการเรียนออนไลน์    

    อย่างที่เล่าไปว่าสอบ IELTS Speaking จะได้พูดกับคนจริงๆ มีการโต้ตอบจริงๆ มันเลยอาจมีการเพิ่ม/ลดคำถามในพาร์ท 1 และ 3 ขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ในแต่ละข้อ เช่น ถ้าเราตอบยาวอาจจะโดนถามน้อย แต่สุดท้ายแล้ว Examiner ก็จะควบคุมให้อยู่ใน 15 นาทีเอง ต่างจาก TOEFL ที่เราต้องบริหารเวลาเองให้ได้ เพราะถ้าตอบนาน/ยืดเกินไป ระบบก็จะตัดอัตโนมัติทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ แถมยังต้องสรุป+ประมวลผลข้อมูลในคำถามที่ 2-4 ด้วย ซึ่งถ้าหลุดแล้วฟังไม่ทันหรืออ่านไม่เข้าใจ = จบ! 

    และแน่นอนว่าพูดกับคนจริงๆ มันดีกว่าพูดหน้าคอมอยู่แล้ว .... 

     
    ครบทั้ง 4 ทักษะ เป็นอันจบเทส

    ถ้ารวมเวลาทั้งหมด TOEFL (แบบไม่มี extra test) ใช้เวลา 2 ชม. 42 นาที  + เบรค 10 นาที ก็เกือบๆ 3 ชั่วโมง  แต่ IELTS จะอยู่หน้าคอมไม่เกิน 2 ชม. 40 นาที + Speaking 15 นาที 


    สรุปสั้นๆ ทั้งสองเทส ใช้ศัพท์ยาก-ง่ายพอกัน สำเนียงฟังไม่ยากเหมือนกัน ค่าสอบต่างกันนิดหน่อย แต่ลักษณะคำถาม กระบวนการคิดเพื่อตอบคำถามของ TOEFL จะซับซ้อนกว่า เพราะต้องมีการประมวลผลเพื่อสรุปก่อนตอบ/พูด/เขียน ต่างจาก IELTS ที่ตรงไปตรงมา บวกกับประสบการณ์ที่เราดวงดีกับโทเฟลเลยใช้เวลาเกินสามชั่วโมงทุกครั้ง ออกมาจากห้องสอบคือหมดสภาพทุกรอบ ต่างจาก IELTS ที่ยังมีแรงเหลือ มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าสองเทสนี้ไม่เท่ากันจริงๆ 



    เทียบคะแนนที่เว็บนี้ https://www.ets.org/toefl/score-users/scores-admissions/compare
    ในเว็บมีเทียบคะแนนแต่ละพาร์ทฟังพูดอ่านเขียนไว้ด้วย เข้าไปศึกษาต่อได้จ้า

    พอคะแนนออกมาแล้วก็ชัดมากๆ เราสอบ IELTS 2022 ได้ 7.5 คะแนน ถ้าดูในตารางเทียบคะแนนจะเท่ากับ TOEFL 102+ แต่คะแนนสูงสุดที่เราเคยสอบโทเฟลได้ = 98 คะแนน ซึ่งกว่าจะได้ 98 ก็เตรียมตัวหนักและนานมาก ลงคอร์สเรียนออนไลน์ไว้ด้วย แต่ไอเอ้ลเราเตรียมแค่เดือนเดียว ไม่มีลงเรียนเพิ่ม ศึกษาเองและใช้ Free resources ล้วนๆ งานที่ทำตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเท่าไหร่ ถ้าให้เทียบทักษะภาษาอังกฤษของเราตอนปี 2017 เรามั่นใจว่าดีกว่า 2022 แน่ๆ ถ้าย้อนเอาร่าง 2017 มาสอบไอเอ้ลได้คงได้ 8+ คะแนนไปแล้ว และคิดว่าร่าง 2022 เทียบได้กับตอนสอบโทเฟลสองครั้งแรกมากกว่า 

    และจากคะแนนก็เห็นได้ชัดเลยว่าการพูดกับคนมันได้คะแนนเยอะกว่าพูดกับคอมจริงๆ ...


    จริงอยู่ที่เรามองว่าการได้มาซึ่งคะแนน IELTS สูงๆ มันง่ายกว่า TOEFL แต่ต้องยอมรับเลยว่าช่วงที่เตรียมสอบ TOEFL  มันสามารถอัพสกิลภาษาอังกฤษแบบก้าวกระโดดไปเลย เพราะโทเฟลมันทำให้เราคิดเป็นภาษาอังกฤษตลอด และทักษะคิด/วิเคราะห์/สรุป/จดโน๊ตที่ได้มามันเอามาประยุกต์ใช้ตอนทำงานได้ มันเป็นมากกว่าคะแนนสอบยื่นเรียนต่อไปแล้ว 


    วิธีการเตรียมตัวสอบทั้ง TOEFL และ IELTS จริงๆ คล้ายกันนะ แต่ TOEFL ต้องฝึกจดโน๊ตเพิ่มขึ้นนอกจากนั้นก็เหมือนกันเลย หลักๆ เราฝึกพื้นฐานตามนี้

    1. ท่องศัพท์ synonyms antonyms และฝึก Paraphrase 
    2. ฟังและอ่านภาษาอังกฤษเยอะๆ แต่เน้นฟังในสิ่งที่ชอบและมีศัพท์ยากอยู่ เช่น เราชอบดูรีวิว Gadget ก็เปิดช่อง MKBHD แทนพี่อู๋ Spin9 ไปก่อน, ดู Miss Universe Final Questions เพราะคำถามพาร์ทสปีคกิ้งกับ Independent Writing มันประมาณนี้เลย!, อ่านฟีด LinkedIn, Quora, รีวิวรองเท้าวิ่งจากเว็บต่างประเทศ ฯลฯ มันไม่จำเป็นต้องอ่านหรือฟังอะไรที่เป็น academic ขนาดนั้น เดี๋ยวเครียดเกินไป แต่สิ่งที่เรารับรู้ต้องมีศัพท์ใหม่ๆ หรือไม่คุ้นเข้ามาบ้าง 
    3. ทำความเข้าใจว่าข้อสอบแต่ละพาร์ทมีคำถามแบบไหนบ้าง แต่ละคำถามต้องการอะไร ใช้ทักษะอะไรตอบ แล้วก็ฝึกเบสิคของคำถามประเภทนั้นๆ 
    4. ฝึกเบสิคได้แล้วก็ทำข้อสอบเยอะๆๆๆๆๆ 
    5. ทำสมาธิ สติเยอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 
    6. ฝึกจัดการเวลาตัวเองให้ได้ อันนี้สำคัญพอๆ กับฝึกสติเลย


    อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ... จะชี้เป้า Study Materials ที่เคยใช้ไว้ตามนี้เลย! ลองแล้วเวิร์คและใกล้เคียงกับข้อสอบจริงมากๆ 
     
    หนังสือ ถ้ามีเวลาเตรียมสอบไม่นาน ไม่จำเป็นต้องไปซื้อมาถมเยอะ เอาแค่ Official Guide เพียงพอแล้ว
    • TOEFL ฝึกตามเล่ม Official ของ ETS และฝึกใช้คำศัพท์ตาม Barron's Essential Words for the TOEFL ก่อน ถ้าทำจบทั้งสองเล่มแล้วมีเวลาเหลือค่อยไปฝึกต่อ Practice Test เพิ่มในเล่มของ Barron's หลายคนบอกว่าใช้ของ Barron's แล้วเวิร์ค แต่รู้สึกว่าข้อสอบในเล่มนั้นยากกว่าข้อสอบจริงไปนิดนึง  
    • IELTS ส่วนตัวมีโอกาสได้ใช้แค่เล่มเดียวเพราะมีเวลาน้อย ได้มาฟรีจากพี่สาวที่เคยสอบก่อนหน้านี้ แต่เป็นเล่มที่เวิร์คแน่ๆ และนั่นก็คือ The Official Cambridge Guide to IELTS with Answers 


    TOEFL Online Materials
    1. Magoosh TOEFL เราลงเรียนแบบ 6 เดือน ราคา 129USD กับเว็บนี้ เพื่อเตรียมสอบ TOEFL รอบสุดท้าย เพราะมีเวลาเตรียมตัวเยอะเลยลงทุนนิดนึง  แต่ใช้จริงๆ ประมาณ 3-4 เดือน ซึ่งคอร์สเค้าทำให้เราเข้าใจพื้นฐานอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น ทำให้คะแนนกระโดดจาก 86 > 98 ได้ ความยาก-ง่ายของข้อสอบในเว็บก็ใกล้เคียงกับข้อสอบจริงมากๆๆ 
    2. Magoosh TOEFL Vocabulary Flashcards แอพไว้ฝึกท่องศัพท์แบบไม่เสียตังค์ แต่มี tie-in คอร์สเรียนนิดหน่อย ถ้ามีแอพนี้กับหนังสือ Essential Words คู่กัน = เยี่ยมมาก!  เพราะแอพจะให้เราจำ แต่หนังสือจะมีแบบฝึกให้ฝึกใช้คำด้วย

    IELTS Online Materials ลิสนี้จะมีของฟรีเยอะกว่าหน่อย เพราะด้วยความที่เตรียมตัวน้อยเลยไม่กล้าลงทุนเยอะ 55555
    1. UQx IELTS Academic Test Preparation เป็นคอร์สออนไลน์ของ The University of Queensland มีทั้งแบบเสียตังค์และฟรี ซึ่งเราลงแบบฟรีไป มันต่างจากแบบจ่ายเงินตรงที่จะจำกัดเวลาเข้าถึงคอร์สแค่เดือนนิดๆ หลังจากสมัครเรียนและไม่มี Practice Test ให้ทำ  แต่พวกวิดีโออธิบาย Tips ต่างๆ ปูพื้นฐานได้ดีมาก แบบฝึกเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาให้ทำก็ช่วยได้เยอะเลย และหัวข้อ Speaking, Writing ในแบบฝึกที่อาจารย์ให้มาเป็นตัวอย่างคือส่วนหนึ่งของข้อสอบจริง! 
    2. IELTS Liz บล็อคสอน IELTS ออนไลน์แบบฟรีๆ ถ้าอ่านครบทั้งเว็บก็จะได้เทคนิคทำข้อสอบเพิ่มเสริมจาก UQx ไปอีก แบบฝึกของเขาก็ปูพื้นฐานได้ดีมากๆ แต่มีข้อเสียตรงที่ไม่มี Full Practice Test ให้ทำ (เพราะเป็นของฟรีอะนะ) และคลิปเสียงส่วนใหญ่ที่ใช้ฝึกจากแอบฟังยากนิดนึง เพราะลิซอัดเสียงพูดเองและสำเนียงเขาเป็นแบบ British บางคำจะไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ (สำหรับคนที่เติบโตมาจากฝั่งเมกัน) 
    3. Magoosh IELTS Vocabulary Flashcards มากูชคนดีคนเดิม คำศัพท์ก็คล้ายกับของ TOEFL แหละ แต่ของ IELTS จะเพิ่มพวกคำวิเศษณ์สำหรับใช้อธิบายกราฟ แผนภูมิ แผนผัง ที่ต้องใช้ใน Writing Task 1 ด้วย 
    4. Youtube เสิชว่า IELTS Speaking Test แล้วก็ฝึกตอบคำถามตามคลิปเลย เราเน้นดูพวก Band 7.0+ ได้ยินคำถามปุ๊ปแล้วกดพอส ตอบเองก่อน แล้วค่อยฟังว่าคนที่ได้คะแนนเยอะๆ ตอบยังไง แต่บางคลิปก็มีคำถามที่ยากไปหน่อยนะ ถ้าอยากได้หัวข้อคำถามที่ใกล้เคียงสอบจริงที่สุดให้ไปที่ UQx เลย 

    ก่อนปิดคอนเท้นต์นี้ เราขอแปะเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้ทำข้อสอบได้ดีขึ้น และสามารถ applied ได้กับการสอบอื่นๆ ด้วย
    • ในช่วงที่เตรียมสอบให้พยายามใช้เวลากับการฝึกวันละไม่เกิน 2 ชม. (ยกเว้นวัน Full Practice Test) สมองจะได้ไม่เครียดจนเกินไป
    • ถ้าวันไหนเจออะไรถาโถมเข้ามาจนเรียนไม่ไหว พักบ้างก็ได้ การฝึกทำข้อสอบมันก็เหมือนออกกำลังกายที่ต้องมีวันพักบ้างนะ 
    • 1 วันก่อนสอบ ไม่ต้องเรียนหรือฝึกอะไรเพิ่มเพราะมันไม่ทันแล้ว แต่พยายามทำบรรยากาศรอบตัวให้เป็นภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุด ฟังเพลง ดูยูทูป พิมพ์แชทเป็นภาษาอังกฤษไว้ก่อน เพื่อซ้อมมือซ้อมหูไว้
    • คืนก่อนสอบให้นอนเยอะๆ จะได้สดชื่น 
    • มื้อเช้าหรือมื้อเที่ยงก่อนสอบอย่ากินเยอะเกินจนจุกและอย่ากินน้อยเกินไปจนหิวระหว่างสอบ เน้นทานโปรตีนและคาร์บที่ดีให้มีแรงไว้
    • อย่าเผลอกินอะไรเผ็ดๆ แปลกๆ จนทำให้ท้องเสียระหว่างสอบ
    • กินกาแฟได้ตามปกติ ไม่ Overdose แต่สำหรับคนที่ปกติไม่กินกาแฟก็ไม่จำเป็นต้องโด๊ปนะ เดี๋ยวใจจะเต้นแรงเกิน
    • ก่อนเข้าห้องสอบต้องเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยจะได้ไม่เสียเวลาออกมาระหว่างทาง 
    • อย่าลืมจิบน้ำระหว่างทำข้อสอบ เพื่อไม่ให้ร่างกาย Dehydrated
    • เมื่อเข้าห้องสอบนั่งหน้าคอมแล้วปรับที่นั่งให้เหมาะกับความถนัดของตัวเอง และถ้ามีเวลาก็ยืดแขน ขา ไหล่ วอร์มนิ้วก่อนเริ่มสอบด้วยก็จะดีมากเลย
    • ก่อนสอบ Speaking ให้วอร์มปาก วอร์มกรามรอไว้
    • (สำหรับโทเฟล) ขนม Snickers เหมาะที่สุดสำหรับการกินตอนพักเบรค เพราะได้ทั้งน้ำตาลและพลังงานไปสู้ต่อ! 



    เป็นคอนเท้นต์ที่ยาวมากๆๆๆๆๆๆ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ 
    :) 




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in