เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ลูค ไวท์ ผจญภัยห้วงนิทราKGUNTION
มากอส (1)
  •           โชคดีที่คว้าหมวกติดมือมาด้วยไม่อย่างนั้นคงไม่รอด ลูคคิดพลางแหงนมองไปบนท้องฟ้าที่เริ่มมีเมฆครึ้ม ทางเท้าหน้าสถานีเซนต์อเล็กซานเดอร์เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ถัดออกไปเพียงสามบล็อก ผ่านโบสถ์และสวนสาธารณะที่ทุกอย่างทำด้วยโลหะสีเงินยวง ก็จะถึงบ้านของเบ็นจามิน


              ฝนเริ่มลงเม็ดเมื่อทั้งคู่เดินมาถึง ณ บ้านตึกหกชั้น ชั้นแรกเป็นห้องกระจกใสเปิดเป็นคลินิก ส่วนชั้นที่สองไปจนถึงชั้นบนสุดเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวยัง


              คลินิกของคุณยัง ป้ายไฟนีออนสีขาวกะพริบติด ๆ ดับ ๆ


              “พ่อน่าจะซ่อมได้แล้ว” ประโยคติดปากที่เบ็นจามินพูดขึ้นมาทุกครั้งที่มีคนมองไปยังป้ายนั้น


              ประตูกระจกเลื่อนเปิดอัตโนมัติพร้อมกับเสียงต้อนรับของคุณนายยังที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กหลังเคาน์เตอร์ชำระเงิน คุณนายยังเป็นผู้หญิงตัวเล็กมีผมสีน้ำตาลอ่อนที่รวบไว้อย่างเรียบร้อย ไม่เหมือนกับลูกชายของเธอที่ทำเหมือนหวีเป็นสิ่งประดิษฐ์จากนรก เธอกำลังง่วนอยู่กับเอกสารที่กองพะเนินบนโต๊ะ


              “กลับมาแล้วเหรอเบ็น” เธอเงยหน้าขึ้นมายิ้มแย้มเพียงเล็กน้อย “พาลูคมาด้วยเหรอลูก” แต่ก็เปลี่ยนสีหน้าทันทีและรีบลุกมาจับหน้าผากลูค “หรือว่าเธอไม่สบายตรงไหน”


              “ลูครู้สึกไม่ค่อยโอเคเลยอยากมาให้พ่อตรวจดูหน่อยน่ะครับ” เบ็นจามินพูดแทน


              “ได้สิจ๊ะ พ่ออยู่ในห้องตรวจพอดี เข้าไปหาได้เลย” เธอกล่าวพลางรุนหลังลูคให้เดินไปหน้าห้องตรวจ


              คุณยังเป็นชายวัยกลางคนผิวซีดรูปหน้ายาว มีผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มและหนวดเคราบางสีเดียวกัน แม้เขาจะมีสีหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลาแต่คุณยังก็เป็นผู้ชายที่ใจดีมาก ๆ คนหนึ่ง ความจริงแล้วครอบครัวยังเคยอาศัยอยู่ในซอยกลูมมี่เช่นเดียวกับครอบครัวไวท์ แต่พวกเขาเพิ่งจะย้ายเข้าเมืองเมื่อไม่กี่ปีก่อนเพราะคุณยังต้องการทำความฝันในการเปิดคลินิกให้เป็นจริง


              “ไหนเรื่องมันเป็นยังไง เล่าให้ลุงฟังหน่อย” คุณหมอยังพูดเสียงใจดี ลูคจึงทำตามคำบอก คุณหมอนั่งฟังอย่างตั้งใจขณะที่ลูคบอกว่าเขาเป็นแผลบนหัวเข่าและเปิดแผลให้ดู คุณหมอก็เอาอุปกรณ์การแพทย์หน้าตาแปลก ๆ มาส่องพร้อมงึมงำว่ามันเป็นแผลถลอกธรรมดา ๆ


              แต่พอคุณหมอถามต่อว่าได้แผลมาจากไหน ลูคอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่าเขาได้แผลนี้มาระหว่างที่นอนหลับอยู่


              “อาจจะเป็นอาการเดินละเมอ อาจจะเกิดจากการอดนอน นอนหลับไม่เพียงพอ หรือความเครียด” คุณหมอยังพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด “น่าแปลกจริง ๆ อาการละเมอพบได้น้อยมากในเด็กโตกับผู้ใหญ่ ไม่สามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพร แต่เอาอย่างงี้แล้วกัน เดี๋ยวลุงจะเขียนวิธีดูแลจัดการกับพฤติกรรมการนอนที่เหมาะสมให้ เธอกับเบ็นจามินขึ้นไปเล่นรอข้างบนก่อนนะ” เขาพูดพร้อมกับโบกมือเหมือนจะปัดทั้งสองคนให้ออกจากห้องตรวจไป


              “อย่าเพิ่งคิดมาก เราแค่หาทางแก้หลาย ๆ ทาง ถึงพ่อฉันจะไม่เชื่อเรื่องความฝันที่นายคิดว่าเกิดขึ้นจริง ๆ แต่ฉันเชื่อนาย” เบ็นจามินพูดปลอบเมื่อเห็นสีหน้าของลูคพลางเดินขึ้นบันไดที่ทำจากกระจกใส ลูครู้ว่าความจริงเบ็นจามินยังไม่ปักใจเชื่อหรอกว่าเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังเมื่อคืนเป็นเรื่องจริง แม้แต่ชินก็ด้วยอีกคน เพราะเขารู้อุปนิสัยของเพื่อนสองคนนี้ดีว่าทั้งคู่เชื่อในหลักเหตุผลเสียยิ่งกว่าอะไรดี จะมีก็แต่ซิดจ์เพียงคนเดียวที่มีลุ้นว่าจะเชื่อในสิ่งที่เขาเล่า


              ทั้งคู่เดินผ่านห้องรับรองแขกชั้นสอง ห้องนั่งเล่นชั้นสาม และห้องครัวชั้นสี่ จนถึงห้องส่วนตัวของสมาชิกตระกูลยังที่ชั้นห้า


              ในห้องนอนสีขาวที่ไม่กว้างหรือแคบจนเกินไป หนังสือและกระดาษกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นและเตียงนอน ลูครู้ว่าเบ็นจามินไม่ชอบการเก็บกวาดห้องนอนมาแต่ไหนแต่ไรแต่ก็ไม่คิดว่าห้องนอนของเพื่อนจะรกขนาดนี้


              “เก็บห้องบ้างก็ดีนะ” ลูคพูดออกมาส่วนเบ็นจามินยิ้มแห้ง เอามือขยี้ผมให้ยุ่งเหยิงเหมือนสภาพห้องนอน


              “ระหว่างรอพ่อ ฉันว่าเรามาลองหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการของนายดูกันไหมเผื่อว่าจะเจออะไรบ้าง อะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ” เบ็นจามินเปลี่ยนเรื่องแล้วนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ เพื่อนหัวยุ่งมุ่งมั่นกับการค้นหาข้อมูลที่น่าจะเกี่ยวข้องอยู่นาน ส่วนลูคก็พยายามอธิบายความฝันอย่างละเอียด เวลาล่วงเลยไปจนฝนหยุดตก


              “ดูสินี่สิ กระทู้แชร์ประสบการณ์ความฝันสุดประหลาด” เบ็นจามินเรียกเพื่อนที่กำลังเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง


    ฉันฝันว่าอยู่ตัวคนเดียวในป่าตอนกลางคืน มันเป็นป่าที่แปลกมาก ต้นไม้ทุกต้นเรืองแสงได้ด้วยตัวของมันเอง ฉันเจอกับสัตว์หน้าตาพิลึกและไม่เป็นมิตร ฉันพยายามข้ามลำธารเพื่อหนีให้พ้นจากสัตว์พวกนั้น แต่ดันก้าวสะดุดจนขาแพลง มันเจ็บมากจนเหมือนกับเป็นความจริง ฉันร้องออกมาดังมากจนพ่อของฉันที่นอนอยู่ห้องข้าง ๆ ตื่น ที่แย่ที่สุดคือถึงตอนนี้ฉันจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการขาแพลง มีใครพอจะรู้อะไรบ้างไหม ช่วยฉันด้วย


    แอน ฮันเตอร์, อักษร H เซนต์ฟรานซิส ‘ซูเคร่’


              “เหมือนนายมาก ฉันว่าเราได้เรื่องแล้ว” เบ็นจามินกอดอกแววตาอยากรู้อยากเห็น


              “เซนต์ฟรานซิส” เบ็นจามินอ่านทวนพร้อมหยิบแผนที่ยับยู่ยี่ขึ้นมากางบนโต๊ะ “นี่ไง เจอแล้ว อยู่อีกฟากของเมืองเลย”


              ลูครอใบตรวจจากคุณยังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขอบคุณอำลาครอบครัวยังและเปลี่ยนจุดหมายไปยังเซนต์ฟรานซิสแทน เบ็นจามินคอตกพลางบอกว่าเมื่อสักครู่แม่ของเขาเพิ่งจะสั่งให้เขาอยู่เฝ้าร้าน


              ลูคบอกลาเพื่อนพร้อมสัญญาว่าจะเล่าให้ฟังทีหลัง ท้องฟ้าเหนือใจกลางเมืองกลับมาสดใสอีกครั้ง เมฆครึ้มถูกสายลมพัดพาไปยังอีกฟากของเมืองแทน ลูคได้แต่ภาวนาว่าเขตที่ลมพัดเมฆฝนไปจะไม่ใช่เซนต์ฟรานซิส


              ทันทีที่ประตูคลินิกปิดลงเขาก็เริ่มออกเดินอย่างเร่งรีบไปบนทางเดินที่เจิ่งนองด้วยแอ่งน้ำ หลังจากจับจองที่นั่งริมหน้าต่างบนรถรางคันใหญ่แล้ว หัวจักรสีเงินหม่นก็เริ่มออกตัวไปข้างหน้าพร้อมพ่นควันดำลอยฟุ้งขึ้นสู่ท้องฟ้า อากาศชื้นพร้อมลมเอื่อย ๆ หลังฝนตกกับเสียงรถรางที่เคลื่อนไปบนรางเหล็กอย่างเป็นจังหวะกล่อมให้เด็กหนุ่มหลับไปตลอดการเดินทาง



              นอกสถานีเซ็นเตอร์อาร์คคือลานกลางเมืองขนาดใหญ่ สถานที่ยอดนิยมสำหรับการนัดพบ ร้านรวงสองข้างทางแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ลูคเดินไปเรื่อย ๆ หยุดดูแผนที่เป็นพัก ๆ จนถึงสี่แยกไฟแดง และขณะกำลังรอไฟจราจรที่หน้าร้านไวน์ชื่อเฟร็นซี่บาเรล ซิดจ์เพื่อนซี้ข้างบ้านก็วิ่งออกมาจากฝูงชน


              “ลูค! ทางนี้!” ซิดจ์ตะโกนพลางโบกมือแรงจนตัวสั่นหงอกแหงก


              “นายมาทำอะไรแถวนี้” ลูคถาม


              “อ๋อ ฉันมีธุระต้องไปแถวเฟลอเดลีสนิดหน่อย เพิ่งจะกลับมานี่เมื่อกี้นี้เอง ก็แม่น่ะสิ วานให้เอาของไปส่งบ้านเพื่อนของแม่ที่อยู่แถว ๆ นั้นน่ะ แต่ถือว่าคุ้ม เจอเด็ด ๆ เพียบ ถึงว่าไอ้สองคนนั้นชอบแอบไปบ่อย ๆ -- มารีน่าก็มารีน่าเถอะ เจอน้องออโรร่าคนงามของฉันไปมีหมองบ้างล่ะ --” ซิดจ์หลิ่วหูหลิ่วตาตอบอย่างอารมณ์ดี ซ้ำยังพาดพิงไปถึงเรดกับบลู เขาเดาได้ทันทีว่ามันคงเจอคนรักคนใหม่เข้าให้แล้ว


              “-- แล้วนายเหอะมาทำอะไรที่นี่” ซิดจ์ทำหน้าอยากรู้อยากเห็น ลูคเล่าให้เพื่อนซี้ฟังเรื่องที่เขากับเบ็นจามินค้นหาเจอในคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับเด็กคนที่ชื่อแอนระหว่างเดินไปตามถนน


              “เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน” ซิดจ์แววตาเป็นประกาย พลางทำจมูกฟุดฟิดเหมือนได้กลิ่นการผจญภัย


              ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังเวสต์อาร์คซึ่งมีรถรางอีกสาย จากที่นั่นพวกเขาสามารถต่อรถไปยังสถานีเซนต์ฟรานซิสได้ ทั้งคู่เดินคุยเรื่อยเปื่อยไปตลอดทาง ซึ่งส่วนมากแล้วซิดจ์จะเป็นฝ่ายพูดเสียมากกว่า


              “นายรู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้ฉันไปเจอกับเธอเข้า… คือฉันก็ไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องจำพวกศิลปะอะไรแนว ๆ นั้นหรอกนะนายก็รู้ แต่เผอิญว่าฉันเดินหลงเข้าไปในแกลอรี่ของเฟลอเดลีส แล้วมองไปเจอภาพวาดหนึ่งเข้า มันเป็นรูปผีเสื้อกลางคืนเป็น 10 ตัวเลย พวกมันกำลังรุมตอมพระจันทร์ดวงหนึ่ง ทั้งใหญ่และสว่างมากจนเกือบจะเหมือนดวงอาทิตย์เลยเชียวล่ะ… แล้วออโรร่าก็โผล่มาข้างหลังฉัน ให้ตายสิไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอเป็นคนวาดภาพ ๆ นั้นเอง คนอะไรทั้งสวยทั้งเก่ง...” ซิดจ์คุยโวไม่หยุดหลอดทาง


              เซนต์ฟรานซิสเป็นเขตบ้านเรือนที่เก่าแก่เป็นอันดับสองรองลงมาจากลูเซียสตรีทที่อยู่เลยไปอีก ตึกอาคารเหล็กกล้ารอบด้านดูทึบมืดกว่าเขตอื่น ๆ เป็นโซนเมืองที่ไม่น่าย่างเท้าเข้าไปเหยียบสักเท่าใดนัก ซิดจ์บอกว่าอาจจะมีพวกชอบโชว์หลบอยู่ตามซอกหลืบคอยกระโดดออกมาเปิดเสื้อโค้ทโชว์ของแปลกใส่คนเดินถนน ลูคมองไปรอบ ๆ เห็นหญิงชราใส่เสื้อผ้าไหมคนหนึ่งกำลังจ้องพวกเขาเขม็งจากอีกฟากถนน บนบ่าของเธอมีแมวสีดำผอมแห้งตัวหนึ่งเกาะอยู่ มันหันมาแยกเขี้ยวเมื่อลูคสบตามันเข้า เด็กหนุ่มรีบเบือนหน้าหนีไปมองอย่างอื่นทันที


              “บ้านอักษร H ใช่ไหม” ซิดจ์พึมพำ ตาจ้องแผนที่ในมือ


              ที่ปากซอยแปะป้ายเหล็กซูเคร่ ตึกรามบ้านช่องดูใหม่และสดใสแตกต่างจากซอยอื่น ๆ อย่างลิบลับ บ้านอักษร H ตั้งอยู่ที่หัวมุมของซอยพอดิบพอดี หน้าบ้านเป็นกระจกใสจึงมองเห็นว่าในบ้านปิดไฟมืดปราศจากผู้อาศัย ลูคเอามือป้องกระจกมองไปยังข้างในของตัวบ้านที่เต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือนับไม่ถ้วน


              “ดูนี่สิ บนประตูมีกระดาษแปะอยู่” ซิดจ์ตะโกนเรียก


    ไม่อยู่ จะกลับมาในอีกไม่ช้า หากท่านคือสหายโปรดติดต่อร้านลูนคาเฟ่

    ฮันเตอร์


              “ลูนคาเฟ่เหรอ นั่นไง” ซิดจ์ใช้เวลากวาดตามองไม่นานก็ชี้ไปยังตึกตรงข้าม มีป้ายวงกลมสีเหลืองอ่อนประดับด้วยหลอดไฟนีออนกะพริบเป็นจังหวะเป็นคำว่าลูนคาเฟ่


              เสียงกระดิ่งร้านดังกรุ๊งกริ๊งต้อนรับ ทันทีที่เข้าไปในร้านอากาศอบอุ่นจากเปลวไฟในเตาผิงเข้ามาแทนที่ความหนาวเย็นจากภายนอก กลิ่นหอมของกาแฟและขนมหวานอบอวลไปทั่วทั้งร้าน


              “ลูนคาเฟ่ยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงเป็นมิตรดังมาจากหญิงอายุราวสามสิบกว่าที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ เธอมีผมสีน้ำตาลเกือบดำและนัยน์ตาสีเข้มรอบรู้ ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นเจ้าของร้านคาเฟ่แห่งนี้


              “เรามาหาเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าแอนน่ะครับ” ลูคถาม “พอจะทราบไหมว่าเมื่อไหร่เขาจะกลับมา”


              เจ้าของร้านพูดด้วยสีหน้าขอโทษว่าแอนเพิ่งออกจากเมืองไปเมื่อสองสามวันก่อนกับพวกฮันเตอร์ แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะกลับมา ลูคกับซิดจ์มองหน้ากันอย่างผิดหวัง


              “เรามีเรื่องสำคัญมาก ๆ ที่ต้องคุยกับเธอน่ะครับ” ซิดจ์เอ่ย คอตก


              “ฉันบอกไม่ได้ว่าเขาไปที่ไหน มันเป็นความลับจ้ะ แต่เธอฝากฉันส่งจดหมายได้นะ” เจ้าของร้านเสนอความช่วยเหลือ “ออ ลืมแนะนำตัวไปเลย ฉันชื่อจูเลียนะจ๊ะ” เธอยิ้มอย่างอบอุ่นก่อนจะหันไปหยิบกระดาษกับปากกาให้ลูคเขียนจดหมาย พอยื่นให้เขาเสร็จเธอก็เดินหายเข้าไปในครัวด้านหลังร้าน ซิดจ์นั่งกอดอกฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีในขณะที่ลูคก้มหน้าก้มตาเขียน สักพักจูเลียก็เดินถือถาดเหล็กใส่ถ้วยชาสองใบและเค้กช็อกโกแลตออกมาวางบนโต๊ะ


              “ว่าแต่พวกเธอชื่ออะไรจ๊ะ เมื่อกี้ลืมถามไป”


              “ผมซิดจ์ครับ นี่ลูค พวกเราอยู่อีกฟากของเมืองนู่นแหนะครับคุณน้า” ซิดจ์รีบพูดตัดหน้าเพื่อนพลางแนะนำตัวและตีซี้ให้อย่างเสร็จสรรพ


              “โอเคหนุ่ม ๆ ถ้วยน้ำตาลอยู่บนโต๊ะนะ ตามสบายเลยนะจ๊ะ” เธออมยิ้มแบบขำ ๆ


              พวกเขาทานขนมที่จูเลียให้จนหมดไม่เหลือแม้แต่คราบบนจาน (ซิดจ์แอบเลียจานตอนจูเลียก้มไปหยิบของหลังเคาน์เตอร์) เมื่อขนมหมดเด็ก ๆ ก็ขอตัวกลับเพราะใกล้ค่ำมากแล้ว


              ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงอมส้มไร้ซึ่งเมฆฝน ดวงตะวันลับขอบฟ้า เด็กหนุ่มทั้งสองรีบจ้ำไปให้ถึงสถานีรถรางก่อนมืดเพราะมันคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนักที่จะเดินอยู่บนถนนสุดเปลี่ยวในเซนต์ฟรานซิส เกือบสามทุ่มกว่าทั้งคู่จึงกลับมาถึงซอยกลูมมี่ก่อนจะแยกย้ายเข้าบ้านของตัวเองไป


    ...


              เช้าวันถัดมาลูคนั่งหาวอ้าปากหวออยู่บนโต๊ะอาหาร แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามาในห้องครัวเหล็กซอมซ่อของบ้านไวท์


              “วันนี้ลูกจะออกไปไหนหรือเปล่า” เดซี่ถาม


              “ยังไม่รู้เลยครับ อาจจะไปห้องสมุดเมืองกับซิดจ์มั้ง” เขาตอบพลางเอามือขึ้นป้องปากหาวอีกรอบ


              “งั้นฝากทักทายพ่อแม่ชินด้วยนะจ๊ะ” เดซี่เอ่ย


              ครอบครัวของชินเป็นเจ้าของห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ด้วยความที่โตมาในห้องสมุดชินเลยเป็นคนพูดน้อยตั้งแต่เล็กเพราะต้องช่วยดูแลห้องสมุดอยู่เป็นประจำ ซึ่งความพูดน้อยและพูดเสียงเบานี้ไม่ได้เป็นแค่ชินคนเดียว แต่เป็นกันเรียกได้ว่าทั้งบ้าน ลูคจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งครอบครัวชินจัดงานวันเกิดให้ลูกชายและชวนแก๊งเขาทั้งสามคนไปด้วย แทนที่ทั้งงานจะเต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวสนุกสนาน แต่กลับเงียบกริบจนเขารู้สึกเหมือนกำลังแอบบรรณารักษ์นั่งกินข้าวอยู่ในห้องสมุดอย่างไหนอย่างนั้น ลูครีบบอกลาแม่และเดินออกจากบ้านไปเรียกเพื่อนซี้บ้านข้าง ๆ เพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง


              คุณนายลอว์สันเปิดประตูมาทักทายอย่างเป็นกันเอง ลูคนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขกบนผนังห้องเต็มไปด้วยรูปครอบครัว พรมลายตารางหน้าเตาผิงมีสุนัขแก่หน้าย่นเป็นชั้น ๆ นอนอยู่ มันคือเจ้าตูบแก่ซิลเวอร์ หมาขนสีขาวเกรียนที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองเหมือนเสื้อขาวที่โดนซักจนหง่อม ผ่านไปหลายนาทีเหมือนมันเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีแขก จึงลุกมาตะกุยขาเขาแบบขี้เกียจ ๆ พอเป็นพิธี


              สักพักเสียงคุณนายลอว์สันก็ดังมาจากด้านบนของบ้านเรียกเขาขึ้นไปบนห้องนอนของลูกชายตัวแสบ ฝาผนังห้องนอนเล็ก ๆ ของซิดจ์ประดับด้วยข้าวของเครื่องใช้ลายทหาร ไม่ว่าจะเป็นหมวกทรงทหารที่ดูเหมือนของเก่า ปืนของเล่นสีดำ แผนผังเมืองขนาดใหญ่ หรือแม้แต่เสื้อแจคเก็ตลายพรางที่ห้อยอยู่บนราวเสื้อตรงมุมห้อง รสนิยมของซิดจ์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยจริง ๆ


              “นายจะไปห้องสมุดเหรอ ฉันแน่ใจว่าสองคนนั้นคงอยู่ที่นั่น” ซิดจ์นั่งหาวอยู่บนเตียง วันนี้เพื่อนตัวแสบใส่เสื้อกล้ามลายทหารตัวโปรดที่เบ็นจามินเคยให้เป็นของขวัญเมื่อไม่กี่ปีก่อน


              “แม่ ผมออกไปห้องสมุดก่อนนะ” ซิดจ์ตะโกนบอกคุณนายลอว์สันที่อยู่ในห้องครัวจากหน้าประตูบ้านก่อนวิ่งจู๊ดออกไปจากบ้านนำหน้าลูค ไม่คิดแม้แต่จะเปลี่ยนชุดให้ดูสภาพดีกว่านี้ ท่ามกลางเสียงแม่ของเขาที่ตะโกนตอบมาจากในครัว เตือนลูกชายว่าอย่าไปก่อกวนชาวบ้านจนเกิดเรื่อง

              

              ห้องสมุดเมืองเป็นอาคารสีเข้มมีรูปปั้นเทพีขนาดใหญ่สร้างจากแผ่นเหล็กสีดำส่องประกายต้องกับแสงแดดยามเช้าอยู่ข้างหน้าตึก ภายในห้องสมุดสว่างด้วยแสงจากโคมไฟระย้า อัดแน่นไปด้วยชั้นวางหนังสือหลายร้อยชั้นที่มีหนังสือจัดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ มีโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่จำนวนมาก ทั้งหมดทำจากเหล็กเย็นเจี๊ยบเวลานั่งแล้วรู้สึกเหมือนโดนแม่มานั่งจี้ให้อ่านหนังสืออยู่เสมอ บรรยากาศภายในห้องสมุดเงียบสงบเหมือนตอนที่ลูคกำลังนั่งกินข้าวอยู่กับครอบครัวลีไม่มีผิด


              ลูคเห็นคุณนายลีกำลังนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้าประตู เธอมีผมสีน้ำตาลอมแดงเหมือนลูกชาย ใส่แว่นทรงเหลี่ยม หน้าตาเคร่งขรึม ทั้งคุณนายลีและคุณลีเป็นเพื่อนสมัยเรียนของพ่อแม่ลูค เมื่อเธอเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองก็ส่งยิ้มบางมาให้พร้อมกับทำปากขมุบขมิบไม่มีเสียง จับใจความแบบมั่ว ๆ ได้ว่าชินกับเบ็นจามินอยู่ตรงสวนดอกไม้


              สวนดอกไม้ที่ว่าเป็นโซนที่ถูกแยกออกไปบริเวณด้านนอกตัวอาคาร คุณนายลีบอกว่าเธอต้องการให้การอ่านหนังสือมีบรรยากาศใกล้ชิดกับธรรมชาติ สวนแห่งนี้จึงเป็นจุดอ่านหนังสือที่คนส่วนมากนิยมมาใช้บริการ


              ลูคเห็นเบ็นจามินและชินกำลังนอนบนพื้นหญ้าริมบ่อน้ำขนาดย่อม ทันทีที่ทุกคนพร้อมหน้า ลูคก็รีบกระซิบเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขากับซิดจ์เจอมาทั้งหมดในระหว่างการเดินทางไปยังบ้านฮันเตอร์ให้กับเพื่อนซี้อีกสองคนฟัง


              “ว้าว เซนต์ฟรานซิสดูเป็นที่ ๆ ไม่น่าเหยียบเขาไปเลยเนอะ” เบ็นจามินกระซิบ สีหน้าของเขาดูกระตือรือร้นเหมือนอยากจะขึ้นรถรางไปเซนต์ฟรานซิสเดี๋ยวนี้เลย “ตอนนี้นายก็ได้แต่รอเธอเขียนตอบกลับมา” เขาเผลอพูดออกมาด้วยเสียงดังปกติจนคนรอบข้างหันมามองอย่างตำหนิ


              “จะว่าไปแล้ว นายต้องไม่เชื่อหูแน่ว่าเมื่อคืนวานชินค้นเจออะไรเข้าในหนังสือหมวดความเชื่อประจำเมือง” เบ็นจามินมองไปรอบ ๆ อย่างขอโทษขอโพยก่อนกลับมากระซิบเสียงค่อยดังเดิม


              “พวกนายเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับนักท่องฝันไหม” ชินเอ่ย


              “เรื่องมีอยู่ว่าเป็นเพราะสภาพภูมิศาสตร์ของผังเมืองฟอร์ทอีสต์ตั้งอยู่บนจุดบอดของโลก ทำให้เกิดความเชื่อว่าเมืองของเราซ้อนทับกับมิติแห่งความฝัน ความเชื่อในโลกความฝันนี้ได้ก่อให้เกิดการบูชาลัทธิราตรีขึ้นมาในอดีตกว่า 300 ปีที่แล้ว กลุ่มคนบุกเบิกลัทธินี้เรียกตัวเองว่ากลุ่มชาวมากอส ผู้ครอบครองอำนาจแห่งการท่องห้วงแห่งนิทรา พวกเขาทำหน้าที่เป็นตัวกลางเพื่อติดต่อสื่อสารกับมิติแห่งความฝัน ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้มักจะได้รับการเคารพว่าเป็นผู้ส่งสารของเทพีแห่งราตรี” ชินหยุดหายใจก่อนจะเริ่มเล่าต่อ


              “จากความเชื่อนี้ที่ชาวมากอสเกี่ยวข้องกับเรื่องมิติความฝัน ฉันก็พยายามหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชาวมากอสดู เจอเล่มนี้เข้า” เด็กหนุ่มผมแดงเผยให้เห็นหนังสือเล่มหนาเก่าเกรอะกรังที่อยู่บนมือก่อนจะเริ่มพลิกหน้ากระดาษ


              “ว่ากันว่าชาวมากอสจะเดินทางเข้าสู่น็อกเทิร์นซึ่งเป็นมิติความฝันทุกครั้งที่นอนหลับในช่วงที่ดวงจันทร์ฉายรัศมีสว่างกว่าดวงอาทิตย์ ก็คงหมายถึงตอนกลางคืนนั่นแหล่ะ ยิ่งไปกว่านี้คือชาวมากอสแต่ละคนจะครอบครองพรที่ไม่เหมือนกัน น่าเสียดายที่มันมีเขียนบอกไว้แค่นี้ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าพรที่ว่านี้คืออะไร หนังสือเรื่องชาวมากอสมีเพียงเล่มเดียวในห้องสมุดของบ้านฉัน” เมื่อชินเล่าจบทุกคนต่างก็ใช้ความคิดอยู่เงียบ ๆ ลูคได้แต่คิดว่าที่ผ่านมาเขาเพียงเป็นคนขี้เกียจ ขี้เซา และชอบมีปัญหาในการหลับนอนเท่านั้น กว่าห้านาทีที่ทั้งสี่ตกอยู่ในความเงียบงันแบบผิดวิสัย บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาแบบห้ามไม่ได้


              ตอนนี้ในหัวของลูคเต็มไปด้วยคำถามมากมายผุดขึ้นราวดอกเห็ด เขาเป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดา ๆ คนหนึ่งไม่ใช่หรือ ทำไมชีวิตเขาถึงต้องมาพันพัวกับเรื่องแปลกประหลาดแล้วกลายมาเป็นหนึ่งในชาวมากอสเสียได้ นั่นทำให้ข้อสงสัยอื่น ๆ เริ่มเกิดขึ้นตามมา


              “แล้วที่มาที่ไปของชาวมากอสล่ะ นายพอจะมีข้อมูลเรื่องนี้บ้างไหม” ลูคโพล่งขึ้นถามทำลายความเงียบ


              “เสียใจด้วยนะ แต่มันไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนในเรื่องนี้หรอกลูค ยังไงเสียฉันก็คิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับพวกกลุ่มคนในลัทธิบูชาราตรีล่ะมั้ง พวกนั้นคงเกี่ยวข้องโดยตรงกับชาวมากอส” ชินตอบด้วยข้อสันนิษฐานส่วนตัว


              “อย่าลืมสิว่าเรายังคงรอคอยการตอบกลับจากแอน ฮันเตอร์ ฉันมั่นใจว่าในไม่ช้าต้องมีคำอธิบายแน่” เบ็นจามินทำลายความเงียบที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครา


              “เอาเป็นว่าตอนนี้นายพยายามอย่านอนตอนกลางคืนก็แล้วกัน มันดูเป็นวิธีเดียวที่ใช้แก้ขัดไปก่อนได้” ชินเสริม


              ทั้งสี่ได้แต่หวังว่าจะได้รับการตอบกลับจากแอนอย่างเร็วที่สุด โดยไม่คิดเลยว่ากว่าจดหมายของแอนจะส่งกลับมา เรื่องอันตรายอาจจะเกิดขึ้นแล้ว

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in