เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I<Ethiopia>U : มี<เอธิโอเปีย>ระหว่างเราArmmie Born TobeBrave
บทที่ 9 <เพื่อนร่วมทางไปนรก>
  • ดิฉันว่า การเสริมพลังต่อจิตวิญญาณการท่องเที่ยวที่ดีที่สุด คงจะเป็นการได้พบเจอกับคนที่มีความหลงใหลมันในระดับที่มากกว่าเรา ระหว่างทาง

    ดิฉันตื่นเต้นเสมอที่ได้เจอเพื่อนนักท่องเที่ยวใหม่ๆ จากทั่วทุกมุมโลก และนั่งฟังเรื่องที่เค้าเล่า 

    นั่นย้ำเตือนความจริงข้อนึงว่า การเดินทางแต่ครั้งนั้น แม้ในสถานที่เหมือนกัน แต่ประสบการณ์มันไม่มีทางเหมือนกันแน่นอน

    เรื่องราวของคนเหล่านั้น จุดไฟฝันให้ดิฉันเสมอมา



    ทริปนี้ก็เหมือนกันค่ะ  ดิฉันต้องเข้ารวมกลุ่มกับนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้จักกันมาก่อน อีก 6 คน  

    ใช้เวลาอยู่กิน นอน เดินทาง ด้วยกันหลายวัน 

    นี่สิคะ ตอบโจทย์การพบเพื่อนใหม่ แบบสุดๆ 

    แต่ ถ้าถามว่าตื่นเต้นไหม 

    โอ๊ย มากกว่าจูบแรกอีกค่ะ 

    มันเกิดขึ้นทุกครั้งทีเดียวในการร่วมทริปอะไรแบบนี้ 

    เป็นความรู้สึกเดียวกับการถูกให้ไปทำงานกลุ่มกีฬาสีกับเพื่อนต่างห้อง 

    หรือเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ต้องบากหน้าไปขอเล่นโดดยางกับ กลุ่มโดดยางซอยข้างๆ


    เราไม่มีทางรู้เลยว่า คนที่เราจะร่วมใช้ชีวิตด้วยในหลายวันนี้เป็นคนยังไง

    หัวนอนปลายเท้าเป็นแบบไหน โตมาด้วยทัศนคติอะไร

    อาจจะเป็นไปได้ทั้งเทพบุตรซุปเปอร์สตาร์ฮอลลิวูด ไปจนถึง ฆาตกรฆ่าหั่นศพต่อเนื่องที่ตำรวจนานาชาติกำลังตามจับตัวอยู่ (ในแง่ของความเป็นไปได้นะคะ )

    แต่ทั้งความตื่นเต้น และความสนุกมันก็เริ่มจากตรงนั้นแหละค่ะ

    เราไม่มีวันได้ออกไปเรียนรู้โลกทั้งใบได้หมดแน่

    ถ้าไม่เปิดใจเรียนรู้โลกจากคนที่แตกต่างจากเราบ้าง



    วันเดินทาง เริ่มเวลา 9:00 ที่  Makele อากาศในวันนั้น เย็นๆ 19 องศา ลมแรงและ ฝุ่นเยอะ

    ดิฉันเข้าไปนั่งรอ อย่างเก้ๆกังๆใน office ของบริษัททัวร์ที่จองทริปไว้(บริษัทที่ทิ้งดิฉันที่สนามบินใบบทก่อน)

    ฉันเห็นเหล่าคนขับรถ   ขนน้ำและอาหาร เครื่องครัว และที่นอน แบกขึ้นรถกันยกใหญ่  

    ดิฉันอยากมีส่วนร่วม แต่ดูเหมือนจะเป็นส่วนเกินของกิจกรรมไปซะหมด 


    ผิดที่ผิดทาง ไม่รู้จะทำอะไร เลยหาเก้าอี้ตัวที่อยู่ในมุมห้องที่สุด นั่งทำตัวเล็กๆเงียบๆ รอเวลาให้เค้าเรียกขึ้นรถ

    เนื่องจาก wi-fi พังทั้งเมืองจากพายุเมื่อคืน(อีกละ)

     มือถือดิฉันก็ไร้ประโยชน์พอๆกับผ้าอนามัยที่ซื้อให้ผู้ชายใช้

    กิจกรรมฆ่าเวลาของคนมุมห้องเลยไม่มี

    อาศัยดูรูปดูแผนที่ ประหนึ่งสนใจภูมิประเทศ และชื่อเมืองชื่อแม่น้ำแถวนี้เอามากๆ ประหนึ่งว่าจะไปสอบภูมิศาสตร์โอลิมปิก


    มีฝรั่งชายหญิงตัวใหญ่เดินเข้ามาในริษัททัวร์สองคน

    ถามพนักงานเรื่องรถที่จะพานางไป "นรก"เช้าวันนี้

    ดิฉันก็รู้ทันทีว่า นั่นคือเพื่อนร่วมทริป

    สักพักหญิงชาวเอเชียวัยกลางคนก็แบกเป้แบกแพคเข้ามา ทักทายกับคู่ชายหญิงก่อนหน้าอย่างออกรส

    พูดคุยกันไฟแล่บ

    ด้วยภาษาอังกฤษที่ฉันมีในหัว ไม่มีทางพูดได้เร็วขนาดนั้นแน่ๆ(แต่ฟังรู้เรื่องนะจ๊ะ)


    โอ้ “ภาษา” อีกเรื่องที่บล็อคตัวฉันไว้จากคนทั้งโลก ฉันไม่เคยมั่นใจในลิ้นของตัวเองเลย

    ตั้งแต่สมัยโดนซิสเตอร์ โรงเรียนประถมให้ออกไปอ่านกลอนภาษาอังกฤษหน้าชั้น ซึ่งมันหายนะมาก 

    สมัยนั้นอีเพื่อนในห้องก็ไม่รู้จะล้อทำไม กลายเป็นเด็กมีปมกลัวภาษาไปเลย 

    แต่เอาน่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา พอผ่านการเดินทางไปที่นั่นที่นี่มาบ้าง

    ก็รู้ว่าภาษามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยที่จะทำความรู้จักใครสักคน

    แต่ก็นั่นอีกแหละเ จ๊สองคนพูดใส่กันไฟแล่บขนาดนี้ 

    จะเจาะช่องไฟตรงไหน แทรกเข้าไป say hello

    ยังค่ะ ตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจ เด็กภูมิศาสตร์โอลิมปิกที่มุมห้อง


    ผู้ชายรูปร่างดี ผมยาวยุ่งๆ แบกเป้ใบใหญ่ เข้ามา ดูก็รู้ว่าเป็นญี่ปุ่น

    (ดูหนังญี่ปุ่นบ่อยค่ะ ปกติดูสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง พระเอกก็หน้าตาประมาณนี้)

    พ่อหนุ่มคนนี้ ดูเป็นนักเดินทางตัวจริงเสียงจริง 

    กับเป้ backpack ใบเขื่องนั่น

    กับอีกกระเป๋ากล้องใบยักษ์ด้านหน้า 

    กับผมเผ้าหนวดเคราที่แสดงว่า ดกาว่า คงคลาดกับห้องน้ำที่มีกระจกดีๆมาหลายสัปดาห์ 

    กับผิวสีแทนละมุนเนียนๆ ที่เกิดจากการไหม้แดดนานๆ

    กับคราบที่มุมปากดูเหมือนอมน้ำลายมานาน ยังไม่ได้บ้วนน้ำ แปรงฟัน

    กับอาการรีบลนและคึกคัก ที่ดูเหมือนเพิ่งถูกดีดออกมาจากเครื่องบิน และเดินทางมาทันเวลาพอดี


    จะว่าไปแล้วชั้นถูกดึงดูดให้มองผู้ชายบุคลิกลักษณะแบบนี้เสมอๆ

    แทนๆ ลุยๆ ง่ายๆ

    ชั้นชอบผู้ชายถ่ายรูป ไม่ใช่ทุกคนที่จะอยู่กับกล้องใหญ่ๆแล้วจะดูลงตัว 

    ไม่รู้สิ มันไม่มีเหตุผล มันเป็นเคมี


    เค้าแนะนำตัวกับฝรั่งคู่รัก และป้าเอเชีย 

    ว่าเพิ่งออกมาจากสนามบิน แล้วรีบมาที่นี่ทันทีให้ทันรถออก

    ทุกคนคุยกันออกรสด้วยภาษาอังกฤษไฟแล่บ

    พ่อหนุ่มญี่ปุ่น พูดรัว ยิ่งกว่าป้าคนเอเชีย(ไหนใครบอกว่า คนญี่ปุ่นพูดอังกฤษไม่คล่อง) 

    ดิฉันก็ได้แต่ศึกษาแผนที่ในมุมมืดต่อไป (ยังไม่มีใครสนใจ)


    เมื่อถึงเวลาขึ้นรถ

    ดิฉันออกไปยืนคอยที่หน้ารถ 

    ทำให้คนอื่นๆเริ่มรู้ว่าดิฉัน มีกายมนุษย์ ปรากฏตัวเป็นเพื่อนร่วมทริป

    มีผู้หญิงอเมริกัน เข้ามาทักทายกันตามประสา แนะนำชื่อ แต่ดิฉันจำไม่ได้

    และแน่นอน คำถามยอดฮิต “Where are you from?”

    ดิฉัน ก็ไม่พลาดโอกาส ที่จะยิ้มสวยๆ และขึ้นเสียงสูง  แบบเวลาแนะนำตัว มิสยูนิเวิร์ส เวลาพูด “Thailand!!”

    นี่อยากจะผายมือโบก สะบัดชายกระโปรงด้วย แต่มันคงจะดูเยอะเกินไป


    แล้วพ่อหนุ่มญี่ปุ่นกับ ป้าเอเชียก็เข้ามาทักทาย

    หนุ่มญี่ปุ่น หล่อเข้มดีมาก 

    ขอจับมือฉันตามมารยาท

    แขนแน่นๆสีแทนของเขา และมือสากๆ แสดงว่าผ่านโลกมามาก 


    รถมีสองคันค่ะ

    ฝรั่ง 4 คนรวมกลุ่มโดยยังไม่ถามอะไรเลยสักคำ ยึดรถไปคันนึง

    เหลือเอเชียสามคน 

    มีดิฉัน ป้าเอเชีย และพ่อพระเอกหนังญี่ปุ่นของดิฉันรวมกลุ่มกันในรถอีกคันหนึ่ง 

    พวกเราขึ้นรถไปด้วยความปั้นปึงใส่กัน อยู่หลายนาที

    ไม่รู้จะคุยอะไรกัน 

    ภาวะตึงเครียดนั้น ถูกสลายด้วยพ่อพระเอกของฉัน

    จับมือทักทายทุกคนในรถอีกครั้ง ทักทายคนรถชาวเอธิโอเปียของเรา 


    เริ่มด้วยตำถามว่า"คุณชื่ออะไร "

    ต่อด้วย “คุณมาจากไหน”

    จากนั้น “คุณทำงานอะไร”

    และปิดท้ายด้วย “ทริปนี้คุณมากี่วัน”


    4 คำถามพื้นฐานง่ายๆ สำหรับการเปิดบทสนธนา ที่เราทุกคนต้องเจอหากต้องไปร่วมกับ แชร์ทริปแบบนี้


    เอาล่ะ มาทำความรู้จักคนบนรถของดิฉันดีกว่า 


    คนรถบอกชื่อเรา แต่ชื่อนั้นออกเสียงยาก จนเค้าให้เราเรียกเค้าว่า 

    Mr. T

    Mr. T เคยเรียนบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัย Makale (เมืองใหญ่อันดับสองของเอธิโอเปียแห่งนี้มีมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่อยู่)

    มีความฝันว่าอยากจะมีธุรกิจของตัวเอง แต่ตอนนี้ขอมาทำงานขับรถรับส่งนักท่องเที่ยวก่อน

    เพราะเงินดี จะได้เก็บเงิน และเก็บประสบการณ์จากนักท่องเที่ยว 

    ไว้ต่อยอดธุรกิจของเค้าเอง ซึ่งอาจจะเป็นธุรกิจนำเที่ยวในอนาคต

    Mr.T  ไม่ได้บอกอายุ แต่ดูแล้วน่าจะ 26 

    เป็นคนตัวผอมสูง ขายาว ตามสไตล์หุ่นนักวิ่งมาราธอนของชาวเอธิโอเปีย

    เขาเป็นมุสลิม หน้าตาดุ เอาเรื่อง 

    ชอบนุ่งผัาถุงใหญ่ๆ บางๆ โปร่งๆ แบบที่ ผู้ชายแถวนี้นุ่งกัน 

    แต่ชอบนุ่งไม่เรียบร้อย ปล่อยชายให้ปลิวไปตามลม เห็นอะไรวับๆแวม ต้องคอยจับขอบผ้านุ่งอยู่บ่อยๆ

     Mr.T ชอบเพลงฮิบฮอปของอเมริกันผิวสีเป็นพิเศษ 

    ฉะนั้น playlist ในรถ จะมีแต่ Kanye, 50 cent ,Nicki Minaj อะไรแบบนี้วนไปเรื่อยๆ (ซึ่งดิฉัน OK เพราะชอบ nicki minaj อยู่ประมาณนึง)


    สำหรับเจ๊เอเชีย คนนั่งเบาะหลังกับดิฉันนั้น

    นางชื่อ เจ๊ Jenifer

    ความจริงเจ๊มีชื่อจีน แต่เจ๊ไม่ยอมบอก

    เจ๊เคยอยู่จีน แล้วย้ายไปเรียนอเมริกา และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนได้ US Citizen แล้ว

    ปัจจุบันเจ๊อายุ 50 ปี แต่ผิวยังเด้ง เหมือนคน 30

    เจ๊ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านโครงสร้าง ในบริษัทยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley 

    พอฟังอย่างนั้นดิฉันก็ถามเจ๊ว่า มันต้องรายได้เยอะแน่ๆ เลย

    เจ๊ทำท่ายิ้มเขิล อุบอิบไม่บอกรายได้ แต่บอกว่ามีบ้านหรูอยู่ชายหาดอะไรสักอย่าง ที่เคยได้ยินชื่อในข่าวแทปลอยด์ฮอลิวูด(ที่ปาปารัซซี่ ชอบถ่ายติดดารามานัวกัน)

    เจ๊จับลูกเข้าค่ายซัมเมอร์ เพื่อจะได้บินมาท่อง แอฟริกาคนเดียว สามสัปดาห์ 

    และเอธิโอเปียนี่ก็เป็นที่แรกของเธอ เธออยากจะเห็นปากปล่องภูเขาไฟที่เค้าเรียกว่าเป็นประตูนรกมากๆ

    เธอยอมที่จะเสียไมล์สะสมของเธอทั้งหมด นั่งเครื่องเฟิร์สคลาส 18  ชั่วโมงมาที่นี่

    (เออะเจ๊ ในบริบทนี้คำว่า “เฟิร์สคลาส” ไม่จำเป็นก็ได้ รูปประโยคอื่นมันสื่อความหมายครบถ้วนอยู่แล้วเนอะ) 


    และพ่อหนุ่มพระเอกของดิฉัน

    นั่งเบาะหน้าข้างคนขับ 

    ถอดเสื้อตัวนอกออกเพราะอากาศเริ่มร้อนขึ้น

    เผยให้เห็นกล้ามเนื้อ ลีนๆ ไม่มีไขมัน ที่อัดแน่นอยู่ภายใต้ T-shirt มอมแมม บางๆตัวนั้น

    แขนสีแทนแน่นๆ โดนแดดเผา หนวดเคราและผมรุงรัง(แต่ก็ไม่มากจนดก) ที่น่าจะไม่ได้โกนมาหลายสัปดาห์

    อุ้มกระเป๋ากล้องใบเขื่อง 

    และส่งยิ้มฟันขาวๆให้กับทุกคน

    เขาชื่อ ทากะโยชิ เค้าให้เรียกว่า ทากะ ดิฉันเรียก ทากะซัง

    อายุ 31 ปี 

    มีอาชีพเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น

    เขาถ่อมตัวที่จะบอกชื่อบริษัท เพราะถ้าบอก เค้าว่าทุกคนจะต้องรู้จักแน่ๆ

    เค้าขอลามาตามฝันด้วยการท่องโลก หนึ่งปี

    ได้ยินดังนั้น ในใจดิฉันคิดว่า บริษัทนี้ต้องบ้าแน่ๆ หรือไม่ทากะซังคนนี้คงทำอะไรที่เริ่ดพอดูให้กับบริษัท

    เขาถึงกล้ายอมขอแลกกับวันลาเยอะขนาดนี้ 

    เค้าบอกว่า ท่องไปเรื่อยๆ จากประเทศนั้นไปประเทศนี้ 

    และเดือนนี้ คือเดือนสุดท้ายของทริปหนึงปีของเขาแล้ว 




  • เราลัดเลาะไต่ขึ้นภูเขาออกจากเมือง  Makale เนื่องจาก 

    ตัวเมืองถือเป็นเขต Hi-Land( ที่ราบสูงที่ยกตัวขึ้นทางตะวันตกของเอธิโอเปีย) และ Danakil depression หรือนรกที่เราจะไป เป็นพื้นที่ต่ำสุดในแผ่นทวีป

    การเดินทางเลยค่อยๆเทลง ต่ำลง ต่ำลง เรื่อยๆ  

    ระหว่างทางมีแพะ  ปีนภูเขาคอยเล็มใบไม้ เหมือนในสารคดี National Geographic 

    หากที่อินเดียมีวัวอยู่ทุกที่ฉันใด เอธิโอเปียก็มีแพะอยู่ทุกที่ฉันนั้น 

    ( อ้อ ตรงแห้งแล้งหน่อยอาจจะขอเปลี่ยนเป็นอูฐ)


    Mr.T จอดรถพักให้เราถ่ายรูปที่จุดชมวิวแห่งหนึ่ง

    ที่มองเห็นช่องว่างระหว่าซอกเขา และหน้าผา ที่แสดงถึงสีสันทางธรณีวิทยาของชั้นหิน เป็นแถบปื้นสีน้ำตาลเข้ม สลับกับสีน้ำตาลอ่อนเป็นชั้นๆ

    ดิฉันไม่ค่อยมีความรู้เรื่องธรณีวิทยามากนัก แต่ทว่าชั้นสีที่สลับกันนั้น อาจจะแสดงถึงชั้นของหินปูนที่สะสมทับถมกัน แสดงว่าตรงนี้อาจจะเป็นแผ่นเปลือกโลกเก่า และเคยเป็นทะเลมาก่อน  


    ทางค่อนข้างร้างผู้คน แต่ต้องยอมรับว่า ถนนที่เอธิโอเปีย จัดอยู่ในระดับที่ดีมาก แม้มุ่งหน้าไปในเขตทุรกันดาร

    ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาหิน ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ


    พวกเราทั้งสามคน รวมทั้งฝรั่งอีกสี่คน ก็ออกมาถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน

    สิ่งที่น่าสนใจอย่างก็คือ

    เท่าที่รู้ก็คือว่า ทากะซังนั้นเป็นช่างภาพมืออาชีพอยู่แล้ว 

    เขาจึงควักกล้อรุ่นโปร พร้อมเลนส์ใหญ่เล็กยุ่บยั่บ  ออกมา

    ได้ทีเจ๊เจนนิเฟอร์ ทักทากะซังว่านี่เลนส์รุ่นอะไร ใหญ่มั่กๆ 

     

    ยังไม่ทันที่ทากะซังจะตอบว่าใช้กล้องรุ่นอะไร

    เจ๊เจนนิเฟอร์ก็พูดประโยคเด็ดที่ว่า “ฉันก็มีแบบนี้อันนึงเหมือนกัน”

    ฉันอยากจะแคปภาพหน้าเหวอของทากะ มาประกอบหนังสือเสียจริงๆ 

    เดี๋ยวหนึ่ง เจ๊เจนนิเฟอร์ก็เดินไปเปิดกระเป๋าหลังรถดังแคว๊ก 

    ก่อนที่จะงัดอาวุธยุธโธปกรณ์ของเจ๊ออกมา

    กล้องรุ่นเดียวกัน เลนส์แบบเดียวกัน ใหม่สด ใสกิ๊ก  แวววาว 

    หมุนขึ้นลำกล้องกึกกัก กระหน่ำรัวชัตเตอร์  แชะๆๆๆ ราวกับยิงปืนกล

    เร็วจนทากะซังยังต้องอึ้ง 


    เจ๊เจนให้ทากะซังถ่ายรูปเดี่ยวให้หลายรูป คอยเชคและลบรูปในมุมเดิมๆเฟรมๆ ที่เจ๊ไม่ชอบ อยู่นานสองนาน

    กว่าเจ๊จะพอใจ  ฉันสังเกตทากะซังว่าออกอาการเอือมเจ๊เจนเล็กๆ เพราะอยากจะถ่ายรูปของตัวเองบ้าง 

    แต่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน เลยไม่แสดงอาการอะไรมาก 


    หันไปที่ฝรั่งอีกสี่คน 

    สองคู่ชายหญิงที่ ทั้งกลุ่มมีกล้องแค่ตัวเดียว เป็นกล้องเล็กๆรุ่นเก่าๆ(ที่เคยนิยมเมื่อราวสิบปีที่แล้ว ตอนนี้คล้ายๆเป็นกล้องสำหรับเอาไว้ให้อาม่าที่บ้านใช้)  ที่มีหน้าจอเล็กๆ ซูมภาพแล้วรูปแตก

    ต้องกดชัตเตอร์แรงๆเพื่อให้ แน่ใจว่ามันจะถ่ายให้จริงๆแล้ว  

    ทั้งสี่คนมีกล้องตัวเดียว และเรียกดิฉันให้ไปถ่ายรูปให้  เค้าบอกให้ดิฉันกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆเลย

    เพราะเค้าจะแอคท่าไม่หยุด

    แถมบางรูปที่ดิฉันถ่ายบอกว่าไม่สวย ขอถ่ายให้อีกรอบ เพราะดิฉันมือสั่น

    เค้าก็ว่า ไม่เป็นไร เพราะทุกรูปคือความทรงจำ

    ทั้งสี่คน เอากล้องไปดูและหัวเราะกับทุกรูป หน้าตานางจะพังแค่ไหน นางก็บอกว่ามันตลกดี


    เอาจริงๆทั้งเจ๊เจน กับฝรั่งทั้งสี่คนก็ไม่มีใครผิด

    เพียงแต่อาจจะมีเหตุผลในการถ่ายรูปแตกต่างกัน

    ทั้งสองกล้องใช้เป็นเครื่องบันทึกความทรงจำทั้งคู่

    บางคนอาจจะต้องการความทรงจำที่ชัดเจนที่สุด ท่าทางตัวเองในความทรงจำนั้นงดงามที่สุด

    เวลาที่มาดูย้อนหลัง ความงดงาม ความสง่างามในรูปก็ยังคงอยู่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน

    นี่คือการ “ถ่ายไว้ดู”


    บางคนอาจจะต้องการเพียงแค่ความทรงจำที่ไม่ต้องสวยมาก เพราะหน้าที่ของมันเป็นเพียงแค่เครื่องช่วยเตือนว่าในขณะที่ถ่ายนั้นเรารู้สึกยังไง ทำอะไรกับใครอยู่ 

    เพราะท้ายที่สุด รูปถ่ายมันก็จะกลายเป็นอดีต

    นี่คือการ “ถ่ายไว้จำ” 


    ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ว่า เราถ่ายเพื่อมีความสุขกับปัจจุบันตอนถ่าย 

    หรือจะมีความสุขกับอนาคตตอนที่เห็น อะไรที่สำคัญกว่า 

  • รถค่อยๆ ลดระดับต่ำลงไปเรื่อยๆ 

    เจ๊เจนนิเฟอร์คอยเชคอุณหภูมิ ทุกๆห้านาที

    เจ๊บอกว่ายิ่งเราลงต่ำ อากาศยิ่งจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ

    และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อุณหภูมิที่ Makale  เมื่อเช้า 19 องศา 

    มาตอนนี้ค่อยๆเพิ่มเป็น 22 ,24 ,26 ,29, 32  เรื่อยๆ 

    ความเยอะของเจ๊ไม่เพียงแค่ คอยอัพเดตอุณหภูมิเท่านั้น เจ๊แกเริ่มให้ทากะซัง เปิดจีพีเอสกล้อง

    อัพเดตความสูงต่ำ 

    ว่าตอนนี้กี่เมตรเมื่อเทียบกับระดับน้ำทะเล

    เพื่อพิสูจน์ทฤษฏี สิ่งที่เจ๊แกพูดว่าเป็นความจริง 


    จากที่ราบสูงที่ Mekele เริ่มดิ่งลงต่ำเรื่อยๆ สวนทางกับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นสูง ต้นไม้เลยเหลือหรอมแหรม

     หมู่บ้านเล็กๆที่เราแวะระหว่างทาง


    ที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งระหว่างทาง คนรถหยุดพัก เพื่อให้เราจิบกาแฟยามสาย

    คนที่นี่นิยมดื่มกาแฟจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต 

    มีร้านกาแฟ มีอยู่ทุกหมู่บ้าน


    พวกเราทั้งเจ็ดคน  ลงไปพักล้อมวงจิบกาแฟหมู่บ้านกับเค้าด้วย

    ได้นั่งคุยกันอย่างจริงๆจังๆสักที

    เอาล่ะค่ะ เริ่มต้นการเปิดแพ็คเกจ " Meeting new friends for Starters "

    วนไปที่ 4 คำถามเบื้องต้น "คุณชื่ออะไร" "มาจากไหน" "ทำงานอะไร" และ " มาทริปนี้กี่วัน"

     ที่เอาไว้ถามเพื่อนใหม่ทุกคน เหมือนกำลังเข้ากรุปบำบัดอะไรสักอย่าง


    เพื่อนใหม่ฝรั่ง 4 คนเป็นคู่รักชาวอเมริกัน 2 คู่ ชายหญิง

    ผู้ชายสองคนเป็นแพทย์ ผู้หญิงสองคนเป็นนักศึกษาแพทย์

    พวกเขามาทำงานวิจัย เรื่องเชื้อดื้อยา ในเอธิโอเปีย เป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว

    มีเวลาว่างแปปนึง 

    เลยอยากจะใช้เวลาว่าง มาดู Danakil Depression อันเลื่องชื่อ

    คู่แรก ผู้ชายดูแววตาใจดีมีเมตตา เป็นมิตรกับทุกคน  อายุราว 30ต้นๆ ใส่เสื้อลายสกอตตัวโคร่งๆเผยให้เห็นขนหน้าอกพรอมแพรม  

    ควงคู่มากับ สาวรุ่นวัย 24 ได้มั้ง  สาวเจ้าดูเอาจริงเอาจัง ร่างท้วมนิดหน่อย พอให้สัดส่วนของผู้หญิงเต็มพอดี ใส่เสื้อสายเดี่ยว มีพุงเล็กน้อย ผมเป็นลอนสีน้ำตาลยาวเหมือนชากีร่า ใจดีกับเด็กๆ เห็นเด็กที่ไหน เข้าไปคุยด้วยตลอด


    คู่ที่สอง ผู้ชายสูงล่ำสัน หุ่นใหญ่ และกล้ามเนื้อชัดเจน สูง 180  ได้มั้ง แววตาดูไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่ ไม่ค่อยคุยกับใคร ถามคำตอบคำ คุยแต่กับเมียตัวเอง มีรอยสักแบบยากูซ่าขนาดใหญ่ที่ขาซ้าย 

    ถ้ามีคนบอกว่าเขาเป็นนักฆ่าหนีคดีมา ดิฉันก็ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ (นี่ดิฉันกำลังตัดสินคนที่ภายนอกอีกแล้ว)

    ควงคู่กับ ผู้หญิงผมดำ หน้าตาเหมือน Katy Perry แต่สวยน้อยกว่า ดูเหมือนจะเป็นมิตร และร่าเริงเวลาไม่อยู่กับแฟน แต่พอแฟนมา นางไม่คุยกับคนอื่นเลย ชอบใส่เสื้อเปิดให้เห็นสปอร์ตบรา แม่นางไม่ค่อยให้มาเยอะเท่าไหร่ แต่ก็พอสวยใช้ได้อยู่ ไม่ชอบคุยกับเด็ก ชอบสุงสิงอยู่กับแฟนแค่นั้น


    เอาจริงๆ ดิฉันลืมชื่อพวกเขาไปแล้ว


    ส่วนใหญ่ทุกคนจะตื่นเต้นกับเรื่องของทากะซัง

    และเจ๊เจนนิเฟอร์ก็เมาท์ถี่ซะจนไม่มีช่องไฟให้คนอื่น

    ทำให้ดิฉันรู้เรื่องเกี่ยวกับฝรั่ง 4 คน  เท่าที่บรรยายมา

    เอาจริงๆ ทุกคนก็รู้เรื่องของดิฉันน้อยเหมือนกัน 

    ส่วนนึงก็เพราะพูดไม่ทันเจ๊เจนนิเฟอร์ 

    ส่วนที่สองเมื่อชีวิตของดิฉันเมื่อเทียบกับทากะซัง 

    เรื่องราวของดิฉันกลายเป็น ป้ายฉลากแชมพูไปเลย(เอาไว้นั่งอ่านเวลาถ่ายท้องในสมัยที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟน)


    ในวงกาแฟนั้น 

    กลางหมู่บ้านที่ห่างไกลแห้งแล้งนั้น

    ดิฉันเผลอจมตัวเองให้เล็กลง

    และทำความสนใจกับเล็บมือทั้งสิบนิ้วเป็นพิเศษ

    ทำราวกับว่าอยากจะดูชั้นตอนการงอกของมันตั้งแต่ต้นจนจบ

    แม้มันจะงอกช้าซะเหลือเกิน 

    แต่มันก็ช่วยทำให้ดิฉันมีอะไรทำ 

    ฆ่าเวลาที่ไม่มีใครสนใจการมีอยู่ของดิฉันไปสักครู่


    ......



    อ่านบทก่อนหน้า บทที่ 8 <Mekele >


    อ่านบทต่อไป บทที่ 10 <Danakil Depression>

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in