เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I<Ethiopia>U : มี<เอธิโอเปีย>ระหว่างเราArmmie Born TobeBrave
บทที่ 10 <Danakil Depression>
  • ถ้าดิฉันไม่สติเลอะเลือนไปก่อน

    ดิฉันว่าดิฉันเห็น พื้นดินมีควันขึ้นเพราะโดนแดดเผาค่ะ

    ไม่มีสัญญาณของพืชพันธุ์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ข้างนอกนั่น




    มันร้อนระอุเบอร์นั้นจริงๆ

    แม้แต่แสงแดดที่ส่องผ่านกระจกมาในรถที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ

    ก็ร้อนพอที่จะทำให้ผิวแสบได้


    บ่ายแก่วันนั้น รถของเรามุ่งออกมาจาก เมืองที่เราทานอาหารเที่ยง

    ภูมิประเทศจากที่มันสีน้ำตาลอยู่แล้ว 

    เปลี่ยนเป็นน้ำตาลเฉด ที่ดิฉันไม่เคยเห็นในโลกมนุษย์มาก่อน

    อาจคล้ายว่าจะเคยเห็นแบบนี้ในหนังบางเรื่อง

    ในฉากที่ตัวเอกกำลังเดินทางไปดินแดนแห่งความตาย





    รถมาจอดที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ชื่อ Hamedela

    เมืองนี้ถือว่า เข้าเขต Danakil Depression แล้ว 

    ดานาคิล เนื่ย เป็นพื้นที่ที่ลาดลงต่ำ ส่วนใหญ่ต่ำว่าระดับน้ำทะเลมากๆ จุดหนึ่ง ในทวีปแอฟริกา

    ด้วยว่าแผ่นเปลือกโลกสามแผ่น มาบรรจบกันบริเวณนี้

    ได้แก่แผ่นแอฟริกาแผ่นหลักทางตะวันตกและใต้ แผ่นโซลาเลีย(เป็นแผ่นย่อยของแผ่นแอฟริกาอีกที)ทางตะวันออก แผ่นอาระเบียทางตอนเหนือ

    แง่งแหลมๆของแผ่นอาระเบียซึ่งเบากว่า ออกแรงผลัก มาตรงเหลี่ยมรอยต่อระหว่างแผ่นแอฟริกาและแผ่นโซมาเลีย ซึ่งหนาและหนักกว่า

     ผลที่ได้ เหมือนรถมอเตอร์ไซค์ มุดใต้ท้องรถพ่วง ทำให้รอยต่อระหว่างรถพ่วง ยกตัวขึ้น เป็นเทือกเขาสูงและที่ราบสูง ทางทิศตะวันตกและทิศใต้ เรียกบริเวณนั้นว่า Hi-Land ที่ตั้งของเมืองอากาศเย็นสบายอย่าง Makele และ Addis Ababa

    แต่เผอิญอยู่นิดนึง ที่แถวรอยต่อระหว่างทั้งสามแผ่น มีช่องสามเหลี่ยมเล็กๆอยู่ 

    เหมือนเปลือกโลกมันใหญ่เกินไป จะขยับ จะยก จะมุด อะไร ก็ไม่โดนช่องสามเหลี่ยมเล็กๆที่ว่านี่

    ผลก็คือ ในขณะที่ส่วนอื่นถูกยกตัวขึ้นเป็นที่ราบสูงรอบ อีตรงสามเหลี่ยมนั้นก็ยังเตี้ยอยู่เท่าเดิม

    เป็นที่มาของ Danakil depression


    และเนื่องจากมันบางกว่าที่อื่นที่หนายกตัวไปหมดแล้ว เวลาเปลือกโลกที่มีความเครียดมากๆจากการชนกัน

    มันก็จะปล่อยพลังงานออกมาเป็นภูเขาไฟในแถบสามเหลี่ยมนี้

    ทำให้มีกิจกรรมทางธรณีวิทยา ที่เกี่ยวข้องกับภูเขาไฟ น้ำผุร้อน อยู่ทั่วทั้งบริเวณ 

     

    ความต่ำกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ ทำให้ความหนาแน่นของอากาศมีสูงกว่าพื้นที่ระดับปกติ 

    อากาศหนักๆแน่นๆ นี้ 

    บวกกับความแห้งแล้ง และแสงแดดที่ละติจูดใกล้เส้นศูนย์สูตรพอๆกับประเทศไทย 

    ทำให้ อากาศตรงนี้ร้อนถึงร้อนจัด ร้อนนรกแตก ร้อน closeพ่อcloseแม่ ร้อนมันทั้งปีดีดัก 

    จนแถวนี้ถูกขนานนามว่าเป็น  "The most inhospitalable region of the world" 

    หรือบริเวณที่ไม่มีใครอยากมาอยู่ ขอตายซะดีกว่า

    เพราะที่นรกอาจจะเย็นกว่าดินแดนบริเวณนี้ 



               แต่น่าประหลาดใจที่ยังมีเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง สงสัยว่าคนแถวนี้เค้าอยู่ด้วยอะไร 

               เนื่องจากแถวนี้มีทะเลสาบเกลือขนาดใหญ่ จึงเป็นแหล่งของเกลือและแร่ธาตุต่างๆมากมาย

      เลยมีโรงงานเกลือตั้งอยู่แถวนี้หนึ่ง

    คนแถวนี้จึงมีอาชีพ ขุดเอาเกลือมาขายให้กับโรงงาน แลกความทรมานทางกายกับเงินจำนวนหนึ่ง พวกเค้าเลยต้องอาศัยในบริเวณที่ไม่น่าอาศัยที่สุดในโลกแห่งนี้ 



    บ้านเรือนใน Hamedela  มีลักษณะเป็นกระท่อมเล็กๆ ที่ทำจากกิ่งไม้ แล้วมีผ้าคลุมด้านบน

    ให้อารมณ์เหมือนฉาก ดาวทาทูอิน ในสตาร์ วอร์ 

    ในเมืองนี้มีคนอยู่จำนวนราวๆ ห้าสิบคน แต่ตอนกลางวันเค้าไม่ออกมา ข้างนอกกันหรอกนะคะ 

    เพราะความร้อนตอนกลางวัน มันไม่สามารถทำกิจกรรมอะไรกันได้จริงๆ

    แม้ในกระท่อมเอง ก็ไม่มีอะไรเลย กระท่อมแต่ละหลัง นั้นมีแค่เตียงสาน และพื้นดิน เท่านั้น 


    เมือง Hamedela   เมืองในทะเลทรายร้อนระอุ


    พวกเราถูกปล่อยๆให้เข้าไปพักในกระท่อมตอนสักบ่ายสามกว่าๆ

    ซึ่งแค่เพียงออกจากรถ

    ดิฉันก็คิดว่าตัวเองจะสุกพร้อมรับประทานได้ทันที

    รีบวิ่งหลบแดดเข้าไปในกระท่อมสักหลัง

     แรกๆทากะซังและชาวอเมริกัน ออกไปถ่ายรูปเมืองกันอย่างสนุกสนาน

    แต่ไม่เกินสิบนาที ทุกคนก็หนีเข้าอาเอาชีวิตรอดในกระท่อม จากแดดมหาประลัยข้างนอก


    เค้าว่า อยากเข้าไปพักที่ไหน เลือกเอาเลย  

    ข้างนอกร้อนมากค่ะ เอาจริงๆ ข้างในก็ร้อน

    ทากะซัง ถอดเสื้อแล้วนอนแผ่บนเดียงหลังหนึ่ง ดิฉัน ก็เข้าไปในกระท่อมเดียวกัน(ก็เค้าบอกให้เลือกกระท่อมไหนก็ได้นี่)

    เลือกนอนบนเตียงอีกหลัง ทางไกด์เค้าบอกให้รอ จนกว่าจะเย็น ถึงจะเดินทางต่อ เพราะแดดบ่ายมันร้อนเกินไป

    บนเตียงไม้ไผ่สานนั้น ดิฉันพยายามจะงีบ ไม่ใช่เพราะง่วงหรืออะไร

     แค่พยายามจะลัดเวลาแห่งความทรมานนี้ไปให้เร็วที่สุด 

     แต่ก็ได้แต่นอนหลับตา (และแอบเผยอเปลือกตา มองเรือนร่างทากะซังบ้าง)


    ในกระท่อมตอนนั้น ไม่ต่างอะไรกับเตาอบชัดๆ 

    ดิฉันและทากะซัง เหมือนเป็นไก่เอเชียเหี่ยวๆ กำลังจะสุก กำลังจะหอมกรุ่นพร้อมเสริฟ 


     ว่าแต่ เจ๊เจนนิเฟ่อร์กับฝรั่งอเมริกันไปไหนกันนะ เขาอาจจะมีที่ดีกว่านี้ แล้วไม่ยอมบอกดิฉัน

     ว่าแล้วดิฉันก็ ออกไปตามหาดีกว่า ยังไงซะ ข้างนอกกับในนี้ก็ทรมานไม่ต่างกัน

     ตายท่าเดินยังดูขยันกว่า นอนแห้งเฉยๆตาย


    ดิฉันสงสัยว่าคนทั้งหมดในเมืองอยู่ที่ไหน

    จึงเดินไปเรื่อยๆ ผ่านกระท่อมว่าเปล่าแล้วกระท่อมเล่า ก็ไม่เจอเจ๊เจน และฝรั่ง ไม่มีมนุษย์คนไหนเลย

    เริ่มเอะใจว่า มันเหมือนฉากในหนังสยองขวัญ ที่มีพลอตเรื่องได้สองแบบ

    แบบแรกคือคนทั้งหมู่บ้านถูกมนุษย์ต่างดาวลึกลับมาจับไปพร้อมกันหมดไม่เหลือใครหลงเหลืออยู่ที่นี่

    แบบที่สองคือ คนที่นี่เป็นผีดิบที่ฝังตัวอยู่ใต้ดินเวลากลางวัน เมื่อสิ้นแสง พวกเข้าจะผุดขึ้นมากดินมาหักคอกินพวกเราทีละคน และคนเอเชียในเรื่องมักจะตายก่อน(ในกรณีนี้ อาจจะเป็นเจ๊เจน)

    นั่นน่าจะอธิบายว่าทำไมกระท่อมนั้นว่างเปล่าทั้งเมือง


    ดิฉันเดินต่อไปเรื่อยๆกลางแสงแดดจ้า จนพบว่า คนทั้งหมู่บ้าน ไปรวมกันที่กระท่อมใหญ่ที่สุด

    กระท่อมนั้นเป็น ร้านขายของ พื้นดินทั้งร้านแฉะ เพราะมีน้ำราดให้เปียกเพื่อลดความร้อน

    ในร้านไม่มีอะไรน่าสนใจเลย นอกจากตู้แช่เย็นสองตู้ ที่ต่อไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟเครื่องเดียวของเมือง

    และทุกคนก็ไม่ได้จะซื้ออะไร  ทุกคนมานั่งร้อนรวมกันเฉยๆ ไม่มีกิจกรรม ไม่มีเสียงพูดคุย 

    ผู้คนทั้งเมือง มาเหมือนแค่นั่งรอให้ผ่านช่วงบ่ายที่ร้าวรานจิตใจไปให้เร็วที่สุด

    ในสถานที่ที่พวกเค้าคิดว่าเย็นที่สุดของเมือง เพราะมีไฟฟ้า และตู้แช่

     ออกไปข้างนอกก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว 


    จุดที่คนทั้งหมู่บ้านมารวมตัวกันในตอนกลางวัน


    คุณพระคุณเจ้า แน่นอนว่าถ้ามีตู้แช่ มันต้องมีอะไรเย็นๆขาย

    เสียงเปิดฝาดังปุ๊ ตามด้วยเสียงซ่าๆของน้ำอัดลม ดังขึ้น ในที่ๆไม่คิดว่าจะมี

    ดิฉันรีบเปิดตู้ แล้วดึงเอาขวดโคล่าเย็นๆมาไล้ตามแก้ม ตามคอ ร่องอก ประหนึ่งsexy star ในโฆษณาน้ำอัดลมในหน้าร้อน(ก็มันร้อนนี่)

    มันเรียกสายตาของคนทั้งกระท่อม ได้ดีเลยค่ะ

    ไม่ใช่สายตาที่น่ามองนัก ตาถลึงนั่นด่าดิฉันว่า “ฉันอยากจะถีบแกนัก แกทำให้ฉัน Sex เสื่อม” 

    แต่ก็ ไม่มีใครคุยกันเหมือนเดิม ไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาทางสังคม ไม่ใครหืออือ ไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ

    มีอย่างเดียวที่เคลื่อนไหวคือ เม็ดเหงื่อบน ใบหน้าและตามลำตัวของพวกเขา

    ทุกคนในกระท่อมเหมือนกำลังใช้สมาธิอย่างสูง ในการนั่งทนความร้อน 

    และทุกหน้าเหมือนโกรธที่ฉันมาทำลายความสงบ ในการบำเพ็ญทุกขกิริยาทางความร้อนของพวกเขา


    ดิฉันเห็นท่าไม่ดี รีบกระดกโคล่าจนหมดขวดแก้อาย

    โคล่าในดินแดนนรกนี่มันเหมือนน้ำทิพย์จริงๆ

    เสพย์ความงดงามของความสดชื่นชั่วครู่ แล้วจึงรีบออกจาก กระท่อมตู้แช่



     รีบวิ่งกลับไปนอนมองทากะซังแก้ผ้าในกระท่อมเตาอบ
    โถ่ ฉันลืมซื้อโคล่าไปฝากเขา
    โง่จริง  


    ............


    อ่านบทก่อนหน้า บทที่ 9  <เพื่อนร่วมทางไปนรก>


    อ่านบทต่อไป บทที่ 11 < ทะเลสาบ เกลือ และฝูงอูฐ>


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in