เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I<Ethiopia>U : มี<เอธิโอเปีย>ระหว่างเราArmmie Born TobeBrave
บทที่ 11 <ทะเลสาบเกลือและฝูงอูฐ>
  • อีกสักสิบนาทีดิฉันคงแห้งเป็นปลาสลิดบางบ่อ

    เดชะบุญที่คนรถมาเรียกให้เราไปต่อ

    ดิฉันกับทากะซัง(ที่เปลือย)

    ไม่ได้กระตือรือร้นกับกิจกรรมต่อไปเท่าไรนัก

    ด้วยว่า เพิ่งจะปรับตัวกับความร้อนในกระท่อมได้สักพัก ถึงแม้มันจะทรมานแทบขาดใจ

    แต่อะไรที่เราต้องออกไปทำข้างนอกนั่น น่าจะแย่กว่า

     เพราะ ไม่มีหลังคาคุ้มกะลาหัว ปกป้องเราจาก Boss ใหญ่ของความร้อนทั้งหมดบนโลกใบนี้

    “ดวงอาทิตย์”





    ดวงอาทิตย์ ไม่ได้ปราณีเราเท่าไหร่เลย ถึงแม้จะ สี่โมงเย็นแล้ว

    “42 องศา OMG!!!!!!”  เจ้เจน อับเดตอุณหภูมิทันทีเมื่อเราขึ้นรถ 

    ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ บ่นอุบไปอีกแปดตลบ

    (นี่เจ๊ซื้อตั๋วมาเอง หรือถูกบังคับมา เจับสลากตั๋วเครื่องบินจากงานปีใหม่บริษัทได้) 

    ทากะซัง นั่งเบาะหน้า ยังคงเปลือย  เอาเสื้อพาดบ่า ทำหน้าเซ็งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

    Mr.T ปิดประจก

    เร่งแอร์ในรถจนสุดแรง

    และขับบึ่ง ตามรถคันอื่นออกจากเมืองกระท่อมเตาอบ ตรงเข้าไปในทะเลทรายอันเวิ้งว้าง 


    อยู่ๆรถก็จอดข้างๆบ่อโคลนเล็กๆบ่อหนึ่ง

    มันผิดกับที่ดิฉันคาดหวังไปมากโข

    ดิฉันคิดว่าแผนตอนบ่ายนี้ จะเห็นทะเลเกลืออันเวิ้งว้าง

    จากรูปใน internet ที่เคยเห็น ออกจะน่าประทับใจกว่า บ่อโคลนดำๆ ที่ดิฉันเห็นตอนนั้นมาก

    เจ๊เจน จึ๊ ปากนิดนึงตอนที่ Mr.T คนรถบอกว่า

    “นี่หน้าร้อน น้ำเลยระเหยไปหมดแล้ว”

    ฮ๊ะ!!!! 

    แล้วนี่เรานั่งรถออกมาดูอะไร ดิฉันคิด

    แต่ก็ถือกล้องออกไปถ่ายๆบ่อโคลนดำๆนั่น ที่ไม่สวยเลยสักนิด

    อากาศก็ร้อนมากๆ จนมือแสบไปหมด 

    ดิฉันตัดสินใจกลับขึ้นไปนั่งรอในรถกับ เจ๊เจน (ผู้ซึ่งไม่ยอมลงรถมา)

    อเมริกันสี่คน ก็หน้าเจื่อนพอๆกับดิฉัน แต่นางทั้งสี่ดูเริงร่ากับแสงแดด กับสปอร์ตบราน้อยชิ้นนั่น (ผู้ชายเปลือยท่อนบน แต่ขนเยอะไปหน่อย รูปร่างสู้ทากะซังไม่ได้) 

    ทากะซัง(ที่ใส่เสื้อแล้ว) บรรจงหามุมถ่ายบ่อโคลนดำๆ และ ทะเลทรายแห้งๆสีน้ำตาล

    ฉันคิดว่า ช่างภาพอยางเขาคงมีมุมที่จะถ่ายอะไรที่แย่ๆ ให้ดู “มีอะไร” ได้แหละ

    เดี๋ยวดิฉันค่อยขอรูป จากทากะซังแล้วกัน

    แค่ตอนนั้น ดิฉันใช้พลังงานทั้งหมดจัดการกับความผิดหวังอยู่


    นานโขทีเดียวกว่าที่ทากะซังจะขึ้นรถ

    รถกำลังจะออก

    แต่สิ่งหนึ่งที่หยุดพวกเราเอาไว้อีกครั้ง

    ความน้อยใจ ทั้งหมดต่อทริป ดูเหมือนจะหายไปภายในแว๊บเดียว เพราะสิ่งนั้น

    อีตา Mr.T คนขับรถ ก็ไม่ได้บอก ว่าเรามาจอดรถโง่ๆ ข้างบ่อโคลนดำๆทำไมตั้งนานสองนาน

    เพราะพวกเรารอ

    “คาราวานอูฐ”


    กองคาราวานอุฐ 

    อูฐเคลื่อนตัวอย่างเนิบช้า นวยนาดออกมาให้เห็นจากระยะไกล ที่ปลายสุดถนนระยะที่ลานสายตาพอจะเห็นได้

    ทากะซังคว้ากล้อง ขึ้นมาจากกระเป๋า เปลี่ยนเลนส์กึกกัก ก่อนถลาตัวลงจากรถวิ่งไปจับภาพอูฐในมุมที่ดีที่สุด

    ดิฉันเปิดประตูรถตามออกไป

    ถามเจ๊เจน สักนิดตามมารยาทว่าจะลงมาด้วยกันไหม

    เจ๊เจน ตอบกลับมาเบาๆว่า “ก็แค่อูฐ”

    ค่ะ!!!! แล้วแต่เจ๊เลย

    กล้องราคาแพงพร้อมเลนส์ครบชุดของเจ๊คงได้แค่นอนนิ่งในกระเป๋าอยู่อย่างนั้น  ไม่ได้ออกมาเป็นประโยชน์ใดๆแก่โลกใบนี้


    เพราะมันไม่ใช่ “แค่อูฐ”

    แต่มันคือคาราวานอูฐ ที่ยิ่งยง ที่สุดในเอธิโอเปีย

    อูฐเหล่านี้ เดินทางผ่านทะเลทรายอันร้อนนรกแตกนี้ทุกวัน

    ไปบรรทุกเกลือหนักอึ้งเต็มโหนก 

    ออกไปเพื่อจุนเจือความเค็ม ให้กับน้ำแกงทุกหลังคาเรือนในเอธิโอเปีย

    ให้กับเคมีภัณฑ์ และอุตสาหกรรม ที่ใช้เกลือในปฏิกิริยา และส่วนผสมต่างๆ ที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่เคยยากจนที่สุดในโลกแห่งนี้ ให้ได้มีรถไฟฟ้า ให้มีการจ้างงาน ให้มีรายได้ ให้ปลอดจากความอดอยาก

    หน้าที่มันยิ่งใหญ่นะเจ๊ ไม่ใช่ “แค่อูฐ”


    คาราวานอูฐเข้ามาใกล้รถมากขึ้น

    ดิฉันไม่เคยเจออูฐใกล้ๆอย่างนี้มาก่อน

    แต่ดิฉันก็ตกหลุมรักมันทันที

    มันเหมือนเป็นสัตว์ที่ “ยิ้มอ่อนและขนตางอน”อยู่ตลอดเวลา

    ไม่ว่าของบนโหนกมันจะหนักแค่ไหน หน้าตามันก็ดูเป็น “สาวคิดบวก”

    คอยาวระหง นั่นช่วยทำให้พวกมัน เป็นมิตรพอๆ กับ 

    เพื่อนสวยๆสักคนในห้องสมัยเรียน  ที่ nice nice นิสัยดี แต่ไม่มีผู้ชายสักคนกล้าจีบ

    พวกมันดูมีความสุขกับงานหนักๆที่ทำ

    ก้าวขาอย่างเนิบช้า เยื้องย่างเหยียบทรายร้อนๆอย่างสบายอารมณ์

    ไม่เร่งรีบ ไม่รีบร้อน เหมือนความร้อนทำอะไรพวกมันไม่ได้เลยสักนิด 

    ดิฉันและทากะซัง ขอคนคุมคาราวาน ให้หยุดถ่ายรูปกับอูฐสักพักนึง 

    ซึ่งดีใจ ที่เจ้าของอูฐ ก็เป็นมิตรพอๆกับอูฐนั่นแหละ

    เราทั้งคู่จึงได้รูป “ คาราวานสาวคิดบวก” มาหลายรูปเอาขึ้นไปอวดเจ๊เจน ผู้ไล่ดูรูปของเรา เนิ่นนาน

    และไม่กล้าพูดคำว่า “ ก็แค่อูฐ” เป็นครั้งที่สอง 

    ดูนางยิ้มสะบัดขนตาซะก่อน เอาจริงๆอูฐถือว่าเป็นสัตว์ที่น่ารัก ดิฉันมีความคิดว่าจะทำตุ๊กตาอูฐขายแข่งกับตุ๊กตาหมีทั้งหลาย




  • แน่นอนเลยว่า 

    รถพาเราเข้าไปถ่ายรูปกับ “คาราวานสาวคิดบวก” อีกหลายคาราวาน 

    พวกมันมีมากกว่าที่ดิฉันคิด 

    เราจอดตามจุดต่างๆ เพื่อพบกับคาราวาน ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

    แต่ละคาราวานก็มีเสน่ห์แตกต่างกันออกไป จากถุงบรรทุก และเครื่องตกแต่งอูฐที่ เจ้าของอูฐเลือกใช้

    ดิฉันได้ยินมาว่า บางคาราวานสิ้นสุดแค่หมู่บ้านที่พวกเราเพิ่งออกมา แต่บางคาราวานต้องเดินทางไกลถึง Mekale ที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปเจ็ดวัน 

    เจ้าของและอูฐเหล่านี้ต้องเดินเท้าหลายร้อยกิโลเมตร 

    นอนกลางดินกินกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ ตลอดสัปดาห์

    เพื่อเอาเกลือไปขายในเมือง แลกกับเงินจำนวนหนึ่ง

    คิดแค่นั้น ความลำบากที่สุดในการทำงานของดิฉันดูสบายไปเลย

    เมื่อเทียบกับพวกพี่ๆจูงอูฐเหล่านี้

    ดีที่อูฐ กินน้ำน้อยใช้สอยอาหารอย่างประหยัด 

    พี่จูงอูฐเลยไม่ต้องจ่ายค่าอาหารพวกมันมากเหมือนสัตว์อื่น

    ( สัตว์อื่นน่าจะตายคาทะเลทรายตั้งแต่สองวันแรก)


    ดิฉันเริ่มสังเกตุว่า 

    พอเราเข้าไปในทะเลทรายลึกขึ้นเรื่อย

    เท้าที่ดิฉันเหยียบทรายอยู่

    จะมีเสียงกรอบแกรบ และบางจุดถ้าเหยียบแรงๆก็จะแตกปุ๊ลงไปนิดนึง

    เมื่อมองใกล้ๆจะเห็นผลึกวาวๆ ของเกลือที่ตกตะกอนเป็นแผ่นบ้าง เป็นก้อนบ้าง เป็นเม็ดบ้าง จับอยู่เต็มผืนทราย

    พื้นที่ดูเหมือนจะเป็นทราย แต่ความจริงๆมันคือผลึกของเกลือ

    มองไปรอบๆ ทรายที่เป็นแค่ทราย มันเปลี่ยนเป็นทรายเกลือ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

    พอทันทีรับรู้ได้ดังนั้น ก็มโนว่า อากาศรอบๆ มีกลิ่นเค็มขึ้นมา ลมโชยที่ปะทะผิวนำพาความเหนียวเนื้อเหนียวตัวมาให้

    เหมือนตอนที่เรารับรู้ เวลาอยู่ใกล้ทะเล

    ในตอนแรก ดิฉันก็ดูถูกสัมผัสมโนของตัวเองว่า จะเป็นไปได้ยังไง ทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตาขนาดนี้จะมีทะเลได้ยังไง

    แต่ทว่า ดิฉันมารู้ทีหลังว่า ที่ที่ดิฉันยืนอยู่ คือชายหาดอันกว้างใหญ่ของทะเลจริงๆ




    ทะเลสาบ Karum 


    ทะเลสาบน้ำเค็มขนาดใหญ่

    ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลแดงมาในสมัยดึกดำบรรพ์

    เกิดการเปลี่ยนเปลงมันไม่สมประกอบของแผ่นเปลือกโลก 

    ส่วนนี้ที่ควรจะออกทะเลไปพร้อมกับเพื่อนๆ กลับยกตัวแยกขึ้นกลายเป็นแผ่นดินในพื้นทวีป

    เพราะแผ่นเปลือกโลกตรงนี้บางและต่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

    พอรอบๆยกตัวจากการชนกับแผ่นเปลือกโลกอาระเบีย 

    ตรงนี้กลับไม่ยอมยกตัวขึ้นตามเพื่อน และเป็นพื้นที่ต้ำกว่าระดับน้ำทะเลเหมือนเดิม

    น้ำทะเลที่หลงเหลืออยู่ ก็ไหลลงมารวมกัน ที่จุดต่ำสุด ของแผ่นเปลือกโลก ตามบริเวณต่างๆ

    กลายเป็นทะเลสาบ Karum และทะเลสาบเพื่อนบ้าน ในเขตแค้วน Afar ของเอธิโอเปีย บางบริเวณของ ประเทศ จิบูติ และ เอริทเทรีย 

    ซึ่งรวมเป็นทะเลสาปน้ำเกลือเข้มข้น ของน้ำทะเลเหงาๆ กลุ่มสุดท้าย ที่ถูกเพื่อนทิ้งไว้กลางทาง 

    ความร้อนคุกรุ่นจากพลังทางธรณีวิทยาเบื้องล่าง (เพราะแผ่นเปลือกโลกบาง)

    บวกความร้อนจาก Boss ใหญ่ “ดวงอาทิตย์”

     แผดเผาน้ำทะเลสิ้นหวังเหล่านี้ ให้ระเหย ไปเกิดใหม่ เป็นไอน้ำในอากาศแล้วลอยหายไป

    ทิ้งเกลือไว้เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่ง ตกตะกอน เป็นผลึกแห้งกรัง เป็นแผ่นเกลือบนทราย ที่ดิฉันเหยียบกรอบแกรบเมื่อสักครู่

    ส่วนที่เหลือละลายต่อไปในน้ำทะเลที่ยังคงยืดหยัด

    น้ำทะเลที่เค็มขึ้น นั้นเปลี่ยนสภาพจากน้ำทะเลเหงาๆ กลายเป็นน้ำทะเลนักสู้

    เพราะความเค็ม ทำให้น้ำทนต่อความร้อนได้มากขึ้น ระเหยเป็นไอน้อยลง (หลักการเดียวกันกับคนขายไอติมถัง ที่โรยเกลือรอบๆถัง เพื่อให้น้ำแข็งในถังไอติมทนความร้อน)


    จึงไม่น่าแปลกใจ ที่จะมีทะเลสาป หลงเหลืออยู่ในดินแดนร้อนนรกแตกอย่างนี้ได้

    น้ำที่เหลืออยู่ได้มันต้องเค็มมากจริงๆ

    เค็มพอกับที่ ดึงดูดเหล่า “คาราวานสาวคิดบวก”

     และคนจำนวนมาก ให้มาขุดเอา 

    “ทองคำขาว” ออกไปแลกกับเงิน

    ซึ่งเป็นสิ่งทรงมีอำนาจที่สุดบนโลกใบนี้อย่างแท้จริง (มากกว่าอำนาจความของ Boss ดวงอาทิตย์)


    ขบวนรถของเราเลิกสนใจอูฐ

    ขับตรงดิ่ง ไปสู่เส้นขาวๆ ที่ปลายขอบฟ้า

    ก่อนที่มันจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นผืนน้ำขนาดใหญ่ ไกลสุดลูกหูลูกตา

    มันคือทะเลจริงๆ ทะเลที่ไม่มีคลื่น ทะเลที่น้ำตื้น แต่ความรู้สึกมันคือทะเล

    มันตอบโจทย์ความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ และมีคุณสมบัติเยียวยาจิตใจที่เจ็บปวดกับอะไรสักเรื่องในโลก

    เรื่องเล็กๆอย่างความรำคาญเจ๊เจน หรือเรื่องใหญ่ๆอย่างความคิดถึงเขาคนนั้น

    มลายหายสิ้นเมื่อเห็นทะเลสาบ Karum อยู่เบื้องหน้า




    ความร้อนตอนนั้นคือ 49 องศา แต่ดิฉันไม่สนใจแล้ว (แต่เจ๊เจนสนใจ)

    รีบเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะ 

    และวิ่งจ้ำอ้าว ผ่าผืนน้ำตื้นๆนั่น ไปให้ไกลที่สุด เท่าที่จะไกลได้


    ความมหัศจรรย์ของทะเลสาบ Karum คงเป็นน้ำที่อุ่นกว่าน้ำทะเลปกติ ทันทีที่สัมผัสเท้า

    รู้สึกเหมือนกำลังแช่เท้าในร้านสปาสักแห่ง

    พื้นทะเลเป็นเกลือขาวๆ  ที่พอรับน้ำหนักเท้าของเราแล้ว มันจะแตก เป็นแผ่น เผยให้เห็นแผ่นดินสีน้ำตาลข้างล่าง

    เป็นรอยเท้าทิ้งไว้ เป็นรอย ในทุกย่างก้าวของเรา 

    สักพัก เกลือในน้ำจะตกตะกอนกลับลงไป ถึงแม้ว่ารอยเท้าจะไม่หายไป แต่ มันจะค่อยๆจางลงเบาๆ


    รสชาติของน้ำทะเลสาป Karum น่ะรึ

    (ใช่ค่ะ ไปถึงขนาดนั้นแล้วดิฉันต้องลองให้ครบทุกสัมผัส)

     หลังจากที่วักเอาน้ำมาอุ้งมือหนึ่งมาอมดู

    พบว่า มันเค็มมากๆ เค็มกว่าน้ำทะเลที่เราคิดว่าเค็มอีก

    ความเค็มมันอยู่ทุกอณูน้ำ เค็มจนขม เค็มจนขอบันทึกไว้ว่าเป็นเป็นความเค็มอันดับสองในชีวิตของดิฉันในตอนนั้น

    (อันดับหนึ่งคือ ขอเงินแม่ซื้อโน๊ตบุคตอน ม.5 แล้วแม่ไม่ให้)

    ดิฉันอมสักพัก พบว่ามันมีรสของธาตุอื่นที่ไม่ใช่แค่ NaCl ( โซเดียมคลอไรด์)

    มันมีรสหวาน เขียว เฝื่อน โลหะ ประหลาดๆ แทรกอยู่ ในความเค็มนั้น 

    ทำให้พอจะเดาได้ว่า มันน่าจะมีแร่ธาตุอื่น ที่หลุดออกมาจากรอยแยกทางธรณีวิทยา และกิจกรรมทางภูเขาไฟ

    มาละลายรวมอยู่ในทะเลสาปนี้ด้วย แต่คงไม่มากนัก จนน่าตกใจ หรือเป็นอันตราย

    ให้อารมณ์เหมือนน้ำแร่บางยี่ห้อ ที่มีรสหวานเจือเบาๆ และกลิ่นเหมือนน้ำมะพร้าวจางๆ


    ทุกคนร่าเริงกับทะเลสาปค่ะ 

    อเมริกันที่ใส่น้อยชิ้นอยู่แล้ว พอเห็นทะเลก็เริงร่า ใหญ่ 

    ทากะซัง ไม่เล่นน้ำ แต่ถ่ายรูปรัวๆที่มุมต่างๆ อยู่คนเดียว

    พี่ๆคนรถ และไกด์ เอาเก้าอี้สนามออกมากางข้างรถ ด้านที่เงารถทิ้งตัวจากแสงอาทิตย์ยามเย็น

    โกยเอาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกมา ก๊งกัน เฮฮากันอย่างสนุกสนาน 

    ดิฉันเองเพลิดเพลินไปกับการเหยียบพื้นทรายให้แตกเป็นแผ่น และคอยดูว่าเมื่อไหร่ เกลือมันจะตกตะกอนกลับ 

    แต่จะมีอยู่คนนึงที่ไม่ยอมลงจากรถ แม้คนรถดับเครื่องและดึงกุญแจออกจากรถไปแล้ว (5555  ดิฉันพูดถึงนางบ่อยไปไหม)




    นอกจากกรุปของเรา ยังมีกรุปอื่นที่มาเที่ยวที่นี่เหมือนกัน

    ในกรุปนั้นมี หนุ่มญี่ปุ่นสองคน คนนึงเป็นเด็กหนุ่มเหมือนเด็ก ม ปลาย

    อีกคนอายุราว 30 กว่าๆ น่าจะพอๆกับทากะซัง แต่พี่คนนี้แกชอบถอดเสื้อ และหุ่นของพี่แกดีกว่าทากะซัง

    หุ่นดีพอๆพระเอกหนังโป๊ญี่ปุ่นเริ่ดๆสักคน (ยอมรับค่ะว่าดูบ้าง เอาไว้คุยกับเพื่อนเฉยๆ ไม่บ่อย ไม่หมกมุ่น ไม่เสียการเรียน)

    มันดึงดูดสายตาดิฉันได้หลายครั้งทีเดียว

    ทากะซังได้ทีมีเพื่อนคุย 

    สามคนนั้นพูดภาษาญี่ปุ่นใส่กันไฟแล่บ

    ส่วนคนที่เหลือในกรุป เป็นชายฝรั่งท้วมอีกคน ที่หลบไปถ่ายรูปไกลๆอยู่คนเดียว

    และผู้หญิงชาวจีนอีกสองคนที่ใส่หมวกปีกสวยๆนั่งอยู่ในรถ (ไม่ใช่แค่กรุปเรากรุปเดียวนะจ๊ะ)


    แฟชั่นของที่นี่คือ ถ่ายรูป กับขวด

    โดยเอาขวดวางใกล้ๆกล้อง เราไปยืนไกลๆ 

    ให้เหมือนเราตัวเล็กๆ ยืนบนปากขวด ที่มีฉากหลังเป็นทะเลสาปขาวๆ เวิ้งว้างกว้างใหญ่

    เราจะเห็นหลายคนทีเดียวที่ทำท่าประหลาดๆ โดยมีขวดตั้งอยู่ข้างหน้าเป็นที่ สนุกสนาน


    ช่วงเวลาที่เหลือ เมื่อเราเบื่อทะเลแล้ว

    เราก็ไปร่วมวงเฮฮา กับพี่ๆคนรถ

    ตอนนั้นดิฉันคอแห้งมากจากอากาศที่ร้อนต้องการน้ำสักขวด

    แต่พี่ๆเขากลับยื่น ของเหลวสีเหลืองอำพันมาให้ พร้อมบอกว่า

     “เพื่อสุขภาพ”

    พี่คนรถบางคนหน้าแดงหูแดงไปแล้ว

    ดูร่าเริงเกินเบอร์ กอดคอสนิทสนม กับลูกทริป ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

    ดิฉัน รู้มาว่าการดื่มแอลกอฮอล์ ยิ่งจะทำให้ร่างกายขาดน้ำมากขึ้น

    แต่มิติทางสังคมก็ควรที่จะต้องคำนึงถึงเหมือนกัน 

    ดิฉันเลยยื่นข้อแม้ว่า ถ้าจะให้ดื่มขอน้ำเพิ่มอีกขวด

    และดิฉันรับเอาน้ำอำพันนั้นมาหนึ่งจอก

    มันเป็นเหล้าพื้นเมืองเอธิโอเปีย ที่คนรถอยากนำเสนอ

    รสชาติมันอร่อยใช้ได้ทีเดียว

    แต่ดิฉันไม่ขอเพิ่มดีกว่าในอากาศร้อนขนาดนั้น 


    เนื่องจากทากะซังไปนั่งข้างพี่พระเอกหนังโป๊

    ดิฉันเลยต้องมานั่งข้างๆน้องวัยรุ่น

    มันเป็นเหมือนวัฒนธรรมของนักท่องโลกไปแล้ว

    ที่จะแนะนำตัวและสร้างมิตรภาพทันทีเมื่อมีโอกาส

    ดิฉันจับมือ บอกชื่อ  เค้าก็บอกชื่อ แค่ดิฉันจำไม่ได้

    ขอเรียกว่า ทามะซัง 

    น้องเค้าเล่าให้ฟังว่า

    น้องเค้าเพิ่งจบ ม.ปลาย มีความฝันที่อยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียว

    แต่รู้ว่ามันค่อนข้างยาก 

    และยังไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ 

    เคยได้ยินเรื่อง take a year gap ของพวกฝรั่ง เลยลองอยากทำดูบ้าง

    เลยขอออกมาเดินทางดูก่อน  จะได้มีเวลาคิดทบทวน  

    ทามะซังบอกว่า บางทีการออกมาเห็นโลกมากขึ้น เราจะเกิดความคิดใหม่ๆ ต่อตัวเรา และโลกใบนี้ที่เปลี่ยนไป

    อะไรที่เคยตัดสินใจก่อนหน้านี้ บางทีตอนนี้เราอาจจะไม่ต้องการมันอีกแล้วก็ได้

    ซึ่งตอนนี้น้องเค้ายังไม่ตัดสินใจ ว่าจะเลือกเรียนอะไรดี 


    ดิฉันไม่พลาดโอกาสที่จะแนะนำตัวแบบมิสยูนิเวิร์ส

    ตอนเค้าถามว่า  “คุณมาจากไหน”

     ทามะซังบอกว่า

    เค้าเคยไปที่ไทยครั้งนึง

    สิ่งที่เค้าจำได้และมันทึ่งเค้ามากๆ คือ ตอนที่เค้าไปพัทยา

    เค้าไปดูโชว์ที่อัลคาซ่า

    ทามะซังบอกว่า “ พวกเค้าสวยมาก สวยกว่าผู้หญิงญี่ปุ่นหลายคนอีก มันเหมือนมาก เหมือนสุดๆ โดยเฉพาะ...”

    เด็กหนุ่มทำหน้าเคลิ้มเล็กๆ แล้วยกฝ่ามือขึ้นมาขึ้นมาที่อก ทำท่าเหมือนบีบอะไรสักอย่าง อย่างฟิน

    ดิฉันตลกกับท่าทางของน้องเค้า จนหัวเราะออกมาเสียงดัง

    ทามะซังก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

    ไม่นานพี่พระเอกหนังโป๊ และทากะซังก็เข้ามาร่วมวงเรา คุยกันเป็นภาษาอังกฤษให้ดิฉันได้เข้าใจด้วย

    หลายต่อหลายครั้งที่ดิฉันแอบสนใจมองแผงอกของพี่พระเอกหนังโป๊ มากกว่าเรื่องที่สนทนา

    แต่พวกเราก็คุยกันออกรสหลายต่อหลายเรื่อง 

    ดิฉันได้เพื่อนเพิ่มอีกสองคน


    เย็นวันนั้น

    ดอกไม้แห่งมิตรภาพก็ผลิบาน

    ริมทะเลสาปเกลือร้อนระอุ ในดินแดนที่ไร้ชีวิตที่สุด 



    ...................



    อ่านบทก่อนหน้า บทที่ 10 <Danakil Depression>


    อ่านบทต่อไป บทที่ 12 <เรื่องเล่ารอบกองไฟ>


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in