เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Album ReviewEARWAXED
[Album Review #9] Noel Gallagher's High Flying Birds - Who Built the Moon? (2017) "ดวงจันทร์ของลุงโนล"
  • การฉีกแนวดนตรีของศิลปินคนหนึ่งจัดได้ว่าเป็นประเด็นที่สามารถสร้างการถกเถียงที่แสนดุเดือดในกลุ่มนักฟังเพลงตัวยงได้อย่างมาก เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นก็น่าจะเป็นงานเพลงจากวงร็อคสัญชาติอังกฤษอย่าง Arctic Monkeys ที่มีชื่อว่า Tranquility Base Hotel + Casino ซึ่งหัวหอกของวงอย่าง Alex Turner ได้โค่นซาวน์กีต้าร์ที่เป็นเหมือนซิกเนเจอร์ของวงทิ้งไป แล้วปรับแนวทางดนตรีของวงที่แฟนเพลงเดนตายถึงกับร้องจ๊าก

    ลุงโนล Noel Gallagher หนึ่งในสมาชิกของอดีตวงร็อคระดับตำนาน Oasis ก็เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่ต้องเจอกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายกับการปล่อยอัลบั้มชุดที่สามในฐานะ Noel Gallagher's High Flying Birds ที่มีชื่อว่า Who Built the Moon? ที่ออกมาในปีที่แล้ว

    เราได้ตกหลุมงานชิ้นนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่คนที่ติดตามงานเพลงของทั้ง Oasis และงานโซโล่ของสมาชิกทั้งสอง แต่ Who Built the Moon? จัดว่าเป็นงานอัลเทอร์เนทีฟที่สมบูรณ์ทั้งในด้านของดนตรีและเนื้อหา จนทำให้ก่อนที่จะเขียนงานชิ้นนี้ เราได้บ้าคลั่งในตัวลุงโนลในเบอร์ที่ต้องไปหาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวลุงหรือแม้แต่น้าเลียมและ Oasis จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้งเทศและไทย ยิ่งตอนได้ไปอ่านหาข้อมูลของลุงในเพจ All about RKID แล้วยิ่งทำให้รู้จักถึงมุมต่าง ๆ ของชีวิตลุงโนลมากขึ้น และทำให้เราเข้าใจถึงแก่นสารของสิ่งที่ลุงอยากจะสื่อออกมาในงานเพลงของเขา ไม่ว่าจะเป็นมุมดาร์ก ๆ ของชีวิตที่ลุงผ่านมา หรือแม้แต่ความโรแมนติกแบบที่เราก็คาดไม่ถึงว่าชายผู้มีภาพลักษณ์ดุดันจะมีมุมอะไรแบบนี้

    งานนี้จึงเป็นงานเขียนที่เกิดจากคนฟังเพลงคนนึงที่หลงรักในการสร้างสรรค์ของตัวลุงโนลโดยที่ไม่ได้มีความรู้ลึกซึ้งอะไรมาก่อน และด้วยความที่เราบ้างคลั่งอัลบั้มชุดนี้ เราก็เลยอยากให้หลายคนที่อาจไม่มีโอกาสได้กดฟังได้ลองฟังดูหลังจากอ่านรีวิวชิ้นนี้ รวมไปถึงคนที่เคยฟังแล้ว เราก็หวังจะให้พวกคุณได้ยิ่งหลงรักอัลบั้มชุดนี้มากขึ้นไปอีก

    Genre: Psychedelic rock, alternative rock, new wave
    Release Date: November 24, 2017

    Album Overview

    อย่างที่กล่าวไปข้างต้นเกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแนวดนตรีของเหล่าศิลปิน ลุงโนลก็เป็นอีกคนที่หยิบเอาเทรนด์ของการ genre-bending หรือการเปลี่ยนแนวที่ตัวเองไม่ได้คุ้นเคยมาสร้างสรรค์งานในแบบฉบับของตัวเองที่มีส่วนผสมของแนวดนตรีที่หลากหลาย ศิลปินหลายคนก็ถูกสับแหลกกับการเสี่ยงทำอะไรแบบนี้ แต่สำหรับลุงโนลแล้ว จัดว่างานชุดที่สามของเขาถือเป็น masterpiece มาก ๆ 

    ลุงโนลได้จำกัดความงานเพลงในชุด Who Built the Moon? ว่าเป็นงานที่มีความป็อปมากขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าช็อคมากสำหรับแฟนเพลง Oasis ในงานโซโล่สองชุดที่แล้ว ภาพรวมจะออกมาเป็นเพลงที่มีความคล้ายคลึงกับเพลงของ Oasis เป็นอย่างมาก แต่ในอัลบั้มชุดนี้ นอกจากป็อปแล้ว ลุงยังหยิบเอาเพลงสาย psychadelic music ซึ่งเป็นเพลงในกลุ่มของ alternative ที่ถูกจำกัดความว่าเป็นเพลงที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกเหมือนกำลังเสพยาเสพติด รวมไปถึงยังมีการทำเพลงในแบบฉบับของ glam rock เพิ่มสีสันและมิติให้กับภาพรวมของงานเพลงชุดนี้มากขึ้นไปอีก


    ไม่ใช่แค่เรื่องของดนตรีที่สร้างความประทับใจได้อย่างมากมาย เนื้อเพลงของอัลบั้มนี้ก็ยังถูกเขียนขึ้นออกมาได้อย่างมีเอกภาพ ธีมหลักของอัลบั้มนี้จะพูดถึงความรักของลุงที่มีให้กับภรรยาของเขา Sara MacDonald (และเธอก็คือผู้หญิงที่อยู่บนปกอัลบั้มอีกด้วย) ที่แสนจะหวานและโรแมนติกได้อย่างมีชั้นเชิงไม่เหมือนเพลงรักทั่วไป อีกทั้งลุงโนลยังมีการโชว์ความอ่อนแอที่ดูขัดกับบุคลิกภาพที่ดูแสนกวนชวนหัวร้อนได้ออกมาให้คนฟังได้สัมผัสกันอีก 

    อีกหนึ่งไฮไลท์คือการที่ลุงโนลได้ออกแบบ tracklist ของอัลบั้มให้เหมือนเป็นการชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีทั้ง intro, interlude และ outtro ที่ยิ่งตอกย้ำภาพรวมของงานให้ดูมีความเล่นใหญ่แบบ cinematic มากขึ้นไปอีก

    Track-by-Track Review

    1. Fort Knox

    เริ่มกันที่ opening track ของอัลบั้มอย่าง "Fort Knox" เพลงนี้มีลักษณะเป็น instrumental ที่มีเสียงในฟิล์มเบา ๆ พูดว่า "Keep on holding out." สำหรับ opener ของอัลบั้มนี้ ลุงโนลได้แรงบัลดาลใจมากจาก Kanye West (ไม่ต้องตกใจ คุณอ่านถูกแล้ว) ลุงโนลได้เล่าว่าเขาได้ฟังเพลง "Power" ของ Kanye แล้วเกิดตกหลุมรักในเพลงแบบนี้ โปรดิวเซอร์คู่บุญของลุงอย่าง David Holmes ก็แล้วผลักดันในลุงทำเพลงแบบนี้ออกมา จนได้เป็นแทรคเปิดอัลบั้มที่เหมือนเป็นอินโทรของหนังเรื่องหนึ่งที่บอกคนฟังให้เตรียมกับสิ่งที่คุณจะได้เจอตลอดสิบเพลงข้างหน้านี้ ในครึ่งแรกเพลงดูมีความลอย สร้างความรู้เหมือนเราจะเหาะไปดวงจันทร์ที่ตอกย้ำความเป็น cosmic pop แบบที่ลุงต้องการ แต่ในครึ่งสอง เสียงนาฬิกาจะช่วยปลุกคุณขึ้นมา เหมือนลุงมาเรียกในเราตื่นจากความฝันแล้วพบกับความเป็นจริง

    2. Holy Mountain

    "Dance dance, if you do that dance
    I'm gonna let you join my one man band"

    เมื่อเสียงนาฬิกาหยุดลง ภาพแรกที่เราตื่นมาเห็นก็เป็นภูเขาลูกใหญ่บวกกับเมโลดี้ชวนเต้นเรียกสติคนฟังจากแทรคที่สองและซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม "Holy Mountain" แทรคนี้เป็นเหมือน opener ตัวจริงที่สร้างธีมให้คนฟังได้ลิ้มลองกับความสร้างสรรค์งานดนตรีแบบใหม่ของลุงโนลด้วยการเล่นกับดนตรี funk rock ที่ผสมผสานความเป็น psychadelic และเสียงผิวปากที่สุดจะเข้ากัน ลุงโนลหยิบเอาความรู้สึกของการตกหลุมรักครั้งแรกมาถ่ายทอดเป็นเพลง uptempo ที่ฟังสนุกในระดับที่คนไม่เคยมีความรักก็สามารถรู้สึกถึงความสุขและสนุกได้จริง ๆ และตัวเพลงก็ยังมีความยียวนกวนประสาทตามแบบฉบับของลุงโนลที่เหมือนจะชมคนรักของลุงเหมือนกับนางฟ้าจากสรวงสวรรค์แต่ก็มีการแซวพูดหยอกกับเขาอยู่ในเพลงให้คนฟังได้ยิ้มพร้อมโยกไปตลอดเพลง

    3. Keep on Reaching

    "Keep on running down that long black road
    You'll find sunshine and showers made with love to behold"

    หลังจากดึงคนรักลงมาจากสรวงสวรรค์ ลุงโนลก็ชวนนางฟ้าคนนี้ออกวิ่งล่าตามความฝันและพยายามไขว่คว้าความสุขมาไว้ให้ได้ ใน "Keep on Reaching" ในแทรคที่สามนี้ เพลงเดินด้วยจังหวะแบบ thumping ชวนให้กระทืบเท้าไปตามจังหวะกลอง บวกกับมีเสียงประสานร้องคลอไปกับดนตรีหนัก ๆ ตลอดเพลง ฟังดูแล้วจะเห็นภาพเหมือนหนังที่ตัวเอกสองคนหนีตามกันออกล่าความฝันอะไรอย่างนั้นเลย

    4. It's a Beautiful World

    "It’s a beautiful world
    And all that is mine is right"

    หลังจากที่คู่รักได้วิ่งไล่ตามความฝันกันไป เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่ต้องรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและหยุดพัก "It's a Beautiful World" คือเพลงที่ใช้บอกเรื่องราวนี้ ภายใต้ที่เพลงและจังหวะดนตรีที่มีความเร็ว หลายคนอาจคิดว่านี่เป็นเพลงที่ให้กำลังใจคนฟัง เป็นเพลงโลกสวยให้เรารู้สึกดีกับชีวิต แต่เปล่าเลย ลุงโนลได้ให้สัมภาษณ์ว่าแทรคที่สี่นี้เป็นเพลงที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันแสนมืดหม่นของความเป็นจริงที่โลกของเรานั้นช่างโหดร้ายและสกปรก แต่สำหรับลุงโนลแล้ว ถึงแม้ว่าโลกภายนอกจะดูแสนมืดมัว โลกที่อยู่ภายในจิตใจของเรานั่นแหละคือโลกที่สวยงาม ขอแปะแถมเนื้อเพลงภาษาฝรั่งเศษในเพลงมาให้อ่านกันเพื่อตอกย้ำความดาร์กของเพลงให้ดู

                  Attention, attention!                                                ประกาศ, ประกาศ!
                  Mesdames, messieurs                                              คุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย
                  Accrochez-vous bien et faites vos adieux                      เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ และกล่าวคำบอกลาได้แล้ว
                  L’humanité est en train de fondre aux deux pôles            มวลมนุษยชาติกำลังจะล่มสลาย

                  Attention, attention!                                                ประกาศ, ประกาศ!
                  Mesdames, messieurs                                              คุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย
                  Les frontières se referment                                       พรมแดนกำลังจะปิดแล้ว
                  Inspirez, expirez monoxyde de carbone                         หายใจเข้าและออกกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้ซะ
                    
                  Détendez-vous et reposez en paix                              พักผ่อนและทำใจให้สงบซะ
                  C’est juste la fin du monde                                       นี่มันก็แค่จุดจบของโลก
    5. She Taught Me How to Fly

    "The one I love
    She is divine
    She’s out to blow my mind"

    หลังจากเพลงโลกมืดที่คนฟังถูกลุงโนลโหมใส่ เรื่องราวของ Who Built the Moon? ได้เดินทางมาต่อด้วยเพลงเนื้อหาดี ๆ กับแทรคที่ห้า "She Taught Me to Fly" เรื่องราวของเพลงนี้เป็นเหมือนภาคต่อจาก "Holy Mountain" ด้วยการนำเอาประเด็นของการเปรียบเปรยคนรักของลุงเหมือนกับนางฟ้ามาใช้ต่อไปในเพลงนี้ แทรคนี้มีความเป็น upbeat เช่นเดียวกับหลาย ๆ เพลงในอัลบั้ม แต่มีจุดเด่นในเรื่องของการริฟกีต้าร์และรัวกลองที่นักฟังเพลงสายกีตาร์น่าจะชื่นชอบไม่มากก็น้อย อีกสิ่งที่น่าชื่นชมในเพลงนี้ก็คือการที่ลุงโนลสามารถแต่งเนื้อให้เพลงต่าง ๆ ในอัลบั้มโยงกันไปมาจนสร้างเอกภาพของอัลบั้มได้อย่างลงตัว ซึ่งนอกเหนือจาก "Holy Mountain" แล้ว "She Taught Me to Fly" ยังสามารถโยงกลับไปที่เพลง "It's a Beautiful World" ในแง่ของความสัมพันธ์ของคนรักทั้งสองท่ามกลางโลกอันแสนโหดร้ายที่ทำให้ศรัทธาในสิ่งต่าง ๆ หายหมดไป

    แทรคนี้เป็นซิงเกิ้ลที่สามของอัลบั้มที่ได้สร้างกระแสให้กับโลกดนตรีมากมายด้วยการที่ลุงโนลไปแสดงสดเพลงนี้แล้วให้หนึ่งในสมาชิกใช้ "กรรไกร" ในการสร้างเสียงดนตรีเพิ่มมิติให้กับเพลงนี้ จนทำให้คนออกมาแตกตื่นกับความสร้างสรรค์แบบที่คาดไม่ถึงของลุง (คลิป: https://www.youtube.com/watch?v=iwV1lKNA0wU)

    6. Be Careful What You Wish For

    "And if you’re waiting for the rapture
    The day will never come"

    จากที่เขียนเปรียบเปรยไปข้างต้นว่าโครงสร้างของอัลบั้มนี้เหมือนกับภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง และ "Be Careful What You Wish For" ก็น่าจะเป็นแทรคที่เราได้ฟังในฉากที่ตัวละครกำลังขับรถแล้วมี flashback ต่าง ๆ ตัดไปมาพร้อมกับการถ่ายทอดภาพที่ตัวละครกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดในชีวิต ลุงโนลได้ให้สัมภาษณ์ว่าเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นด้วยความที่เขาต้องการเตือนลูก ๆ (และวัยรุ่นทุกคน) ให้ระมัดระวังกับการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของการหลงแสงสีและสิ่งมึนเมาต่าง ๆ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเหมือน interlude ชิ้นใหญ่ที่ช่วยตัดอารมณ์ออกจากความฟุ้งเฟ้อพร่ำเพร้อถึงความสุขในชีวิตจากเพลงที่แล้วได้อย่างดี ความเจ๋งของเพลงนี้อีกอย่างนึงคือการแต่งเพลงที่ปราศจากท่อนฮุค และสร้างตัวเพลงให้ประกอบไปด้วยท่อน verse จำนวนห้าท่อนที่อัดแน่นไปด้วยความใช้อุปมาอุปมัยสั่งสอนให้คนใช้ชีวิตอย่างมีสติ บวกกับดนตรีจังหวะ middle tempo ที่สุดจะเท่และก็ชวนให้รู้สึกเกรงกลัวไปพร้อม ๆ กัน 

    7. Black & White Sunshine

    "You give me love
    I give you thanks and praise"

    สำหรับแฟนเพลงของ Oasis ที่โหยหาบรรยากาศเก่า ๆ จากลุงโนลน่าจะได้ชื่นอกชื่นใจกับแทรคที่เจ็ด "Black & White Sunshine" ลุงโนลให้สัมภาษณ์ว่าในบรรดาเพลงต่าง ๆ ใน Who Built the Moon? แทรคนี้คือเพลงที่จำกัดความเป็น original pop rock ได้ดีที่สุด และเราก็รู้สึกเช่นนั้น เพราะแค่เมโลดี้ขึ้นมาก็ทำให้เรานึกถึงเพลงของ Oasis ได้ทันที ได้ด้านของเนื้อหา "Black & White Sunshine" ก็ยังคงตอกย้ำธีม "finding love in a hopeless place" เหมือนเดิม แต่ความน่ารักของเพลงนี้คือการแสดงความขอบคุณต่อคนรักที่ช่วยพาให้เราได้เห็นแสงสว่างจากพระอาทิตย์ที่ถึงแม้จะเป็นแค่สีขาวดำก็ตาม หลาย ๆ เพลงในอัลบั้มชุดนี้ให้ความรู้สึกของความย้อนแย้งในตัวมันเองที่จะพาคนฟังให้สุขแต่ก็ดันตลบพวกเขาด้วยความทุกข์ แต่ผลดีก็คือการที่เราได้สัมผัสถึงความแท้จริงของชีวิตที่จะต้องมีทั้งสุขและเศร้าปนกันไปดั่งพระอาทิตย์ที่เป็นตัวแทนของความสุขและสีขาวดำที่เป็นตัวแทนของความเศร้า

    8. Interlude (Wednesday, Pt. 1)

    และการเดินทางของมหากาพย์การตามหาปริศนาว่าใครสร้างดวงจันทร์ของลุงโนลก็มาถึงช่วงเบรคแรกกับ interlude ที่หนึ่งที่มีชื่อว่า Wednesday ซึ่งแฟน ๆ Oasis น่าจะคุ้นเคยดีกับการตั้งชื่อเพลงสไตล์ของลุงโนล ที่มาของชื่อแทรคนี้มาจากการที่ลุงได้อัด interlude นี้ในวันพุธ ก็เลยเอามาตั้งชื่อซะเลย ง่ายดี ตัวเมโลดี้ก็มีความลอยให้บรรยากาศยามเย็นแสงส้ม ๆ ชวนให้พร่ำเพ้อถึงเวลาเก่า ๆ ได้ดีมากเลย

    9. If Love Is the Law

    "I sail out on stormy seas
    But I cannot find the shore
    Can’t hear you anymore
    And there’s nothing left for me"

    แทรคที่เก้าของอัลบั้ม "If Love Is the Law" เป็นเหมือนกับจุดแตกหักหรือ downfall ของความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครใน Who Built the Moon? การันตีได้เลยว่าใครก็ตามที่ฟังเพลงนี้ผ่าน ๆ อาจจะเข้าใจว่าเป็นเพลง folk และ soft rock สนุก ๆ ฟังสบาย ๆ แต่เปล่าเลย ลุงหลอกเราอีกแล้วกับการทำเพลง uptempo แต่เนื้อหาฆ่าคนตาย ลุงหยิบเอาประเด็นความทุกข์ระดับสากลมาใช้บรรยายเนื้อหาของ "If Love Is the Law" ซึ่งนั่นก็ "การอกหัก" นั่นเอง แทรคนี้ถ่ายทอดความเจ็บปวดจากการโดนหักอกให้อย่างมีความเจ้าบทเจ้ากลอนด้วยการเปรียบเทียบกับตัวเอกให้เหมือนกับเรือที่ต้องฝ่าฟันกับพายุโหมกระหน่ำ หากเพลงอื่นที่ผสมปนเประหว่างความสุขและเศร้า เพลงนี้เหมือนจะเป็นแค่เพลงเดียวในอัลบั้มนี้ที่จะขยี้จิตใจคนฟังให้ดำดิ่งลงสู่ความเศร้าเหมือนซากเรือที่ถูกพายุพัดจนแตกกระจาย

    10. The Man Who Built the Moon

    "You and I
    The spider and the fly
    Will meet where the shadows fall"

    และเรื่องของ Who Built the Moon? ก็มาถึงบทสรุปกับ title track "The Man Who Built the Moon" ตามขนบของการออกแบบ tracklist ของศิลปินส่วน closing track หรือแทรคปิดอัลบั้มมักจะมีความมืดหม่นมากที่สุด (เว้นแต่ว่าธีมของอัลบั้มนั้น ๆ เป็นในแนวตรงกันข้าม) ซึ่งแทรคนี้ก็หยิบเอาธรรมเนียมดังกล่าวมาใช้ เพลงเดินด้วยเมโลดี้มีสุดจะดาร์กและชวนให้คนฟังนึกถึงภาพยนตร์ชุด James Bond ซึ่งลุงโนลได้กล่าวไว้เช่นนั้น แต่แทนที่จะจบสวยเหมือนหนังสายฮีโร่ทั่วไป เพลงกลับมาคนฟังดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความมืดกับการที่ตัวเอกต้องพบจุดจบ "The Man Who Built the Moon" ถูกเขียนด้วยสไตล์การเขียนเพลงแบบเล่าเรื่อง (narrative) ที่มีการอ้างอิงถึงทั้งศาสนาและบทกลอนที่มีชื่อเสียงอย่าง "The Spider and the Fly" ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแมลงวันตัวน้อยที่ตกกับของแมงมุมแสนร้ายกาจ แทรคนี้จึงเป็นการปิดอัลบั้มที่หลอกคนฟังให้สนุกในช่วงแรก ๆ ให้เหมือนกับสัจธรรมของชีวิตที่มีสุขก็ต้องมีทุกข์กันไป

    11. End Credits (Wednesday, Pt. 2)

    เฉกเช่นเดียวกับการชมภาพยนตร์ เมื่อหนังจบ end credits ก็ต้องขึ้นมา และลุงโนลก็ใช้วิธีการดังกล่าวมาเล่นกับอัลบั้มของเขา ลุงบอกว่าดั้งเดิมแล้ว "Wednesday" เป็นเพลง interlude ที่มีความยาวสี่นาที แต่ด้วยความที่ลุงคิดว่ามันน่าจะยาวไป ลุงเลยหั่น interlude นี้ออกเป็นสองส่วนแล้วแปะไว้ตามที่เราเห็นใน tracklist ซึ่งลุงมองว่าแทรคสุดท้ายนี้เป็นเหมือนช่วงที่ end credits ขึ้นแล้วคนดูก็ลุกออกจากโรง และมันทำให้อัลบั้มของเขาออกมาเพอร์เฟกต์ที่สุด

    12. Dead in the Water (Live at RTÉ 2FM Studios, Dublin)

    "Let the storm rage, I’d die on the waves
    But I will not rest while love lies dead in the water"

    ขอจบรีวิวนี้ด้วยการแถม bonus track ของอัลบั้มนี้ไว้ ในขณะที่ "Dead in the Water" เป็น bonus track ของ Who Built the Moon? เพลงนี้กลับถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางและถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในแทรคที่ดีที่สุดของอัลบั้มนี้ไปแบบงง ๆ เบื้องหลังของเพลงนี้คือการที่ลุงโนลได้ไปออกรายการวิทยุที่เมือง Dublin และเหล่าสต๊าฟในสถานีวิทยุก็ขอให้ลุงโนลเล่นอีกเพลงหนึ่ง ลุงจึงเลือก "Dead in the Water" มาเล่นโชว์ซะเลย โดยที่ลุงไม่รู้ว่าสถานีวิทยุได้แอบอัดเพลงเอาไว้ และเมื่อเวลาผ่านไปหลายปีจนถึงช่วงที่ Who Built the Moon? จะถูกปล่อยมา ทางค่ายเพลงจึงขอให้ลุงโนลหา bonus track มาเติมซักแทรค และทางค่ายก็เสนอให้มาเป็นเพลงนี้ แต่ลุงก็ค้านไว้เพราะไม่อยากอัดเพลงนี้ใหม่อีกรอบ แต่หารู้ไม่ว่าทางค่ายได้เตรียมงานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยให้ไปเอาบันทึกสดที่สถานีวิทยุนั้นมาใส่เป็นแทรคเต็ม ๆ ให้พวกเราได้ฟังกันเลย เราทุกคนจึงได้ฟังแทรคไลฟ์สดที่เรียกได้ว่าเกือบจะกลายเป็นเพลงที่เกือบหายสาปสูญไปซะแล้ว

    ขอเวิ่นถึงเนื้อหาอีกนิดนึง "Dead in the Water" เป็นเหมือนภาคแยกของ "If Love Is the Law" ที่หยิบเอาประเด็นความอกหักและเรือร่มมาใช้ขยายต่อในเพลง แทนที่ลุงจะยอมจำนนให้กับชะตากรรมของเขาถูกพายุโจมตีไปเหมือนกับในเพลงที่แล้ว ในแทรคนี้เราจะเห็นการต่อสู้ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาและความเจ็บปวดต่อความรักที่พังทลายไปของผู้ชายคนหนึ่ง "Dead in the Water" จึงเป็นแทรคอะคูสติกเพราะ ๆ ที่เนื้อหาบาดใจตามสไตล์ของลุงโนลที่ต้องฟังอีกเพลงหนึ่ง

    Conclusion

    หนึ่งสิ่งที่เหล่านักวิจารณ์หลายสำนักมักจะทำเมื่อรีวิวเพลงของลุงโนลคือการนำเอาเพลงของลุงไปเทียบกับน้าเลียม และความพีคอีกอย่างคือ Who Built the Moon?ได้ถูกปล่อยออกมาในช่วงที่งานโซโล่ของน้าเลียม As You Were ได้ปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน และเราก็จะเป็นอีกคนที่ขอเปรียบเทียบเล็ก ๆ ไว้ตรงนี้ ในขณะที่ As You Were ของน้าดูประสบความสำเร็จมากกว่าทั้งได้ด้านกระแสและยอดขาย แต่ด้วยความ play safe ของงานเพลงใน As You Were ที่ฟังดูเป็นงานดั้งเดิมแบบฉบับ Oasis ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแย่แต่อย่างใด แต่ด้วยความที่ Who Built the Moon? ของลุงโนลมีความกล้าที่จะฉีกความเดิม ๆ ในการทำเพลงออกไปมากกว่า บวกกับการออกแบบโครงสร้างอัลบั้มและเนื้อเพลงที่ดูมีรายละเอียดเยอะมากกว่าจริง ๆ จึงทำให้ Who Built the Moon? ดูเป็นอัลบั้มที่โดดเด่นกว่า


    ท้ายสุดจึงอยากฝากให้นักฟังเพลงในไทยที่อาจจะเป็นแฟนคลับของ Oasis หรือไม่ก็ตามได้ลองฟัง Who Built the Moon? ดู เพราะอัลบั้มชุดนี้ถือเป็นการพิสูจน์ความเป็นศิลปินที่สามารถก้าวข้ามขอบเขตของตัวเองและสร้างสรรค์งานที่เรียกได้ว่าเสี่ยงและคุ้มค่ามากที่สุด ชื่อของ Noel Gallagher ได้ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในยุคนี้ และ Who Built the Moon? ก็จัดได้ว่าเป็นอัลบั้มที่ตอกย้ำชื่อเสียงเหล่านั้นได้ดีจริง ๆ

    ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านกับรีวิวชิ้นที่เก้าอันนี้นะครับ ผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้อีกครั้ง คอมเมนท์พูดคุยกันได้เหมือนเดิมนะ แฟนคลับลุงโนลมือใหม่คนนี้ขอขอบคุณจากใจอีกทีครับ :)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in