เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Janie Is Not So Welljanieishappy
จิตบำบัด ครั้งที่ 3: ก็แค่อยากเป็นคนสำคัญ
  • เป็นการทำจิตบำบัดเวลา 1 ชั่วโมง แต่ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เหมือนเราไม่ได้พูดอะไรมากเลยคราวนี้ เราใช้เวลาส่วนใหญ่พยายามจะที่คิดให้ได้ว่าเรารู้สึกยังไงกันแน่

    สิ่งที่เรารู้สึกหลักๆ ตอนนี้คือ เราไม่อยากทรยศตัวเอง เราอยากมีความสุข -- คำว่าความสุขอาจจะดูฉาบฉวยเกินไป แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำไหน คือเราแค่อยากรู้สึกดีกับตัวเอง รู้สึกดีกับการมีชีวิตอยู่ แต่การที่เราจะรู้สึกดีกับตัวเอง มันกลับทำให้เรารู้สึกผิดในหลายๆ เรื่อง เราไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเราถึงคิดแบบนั้น เราเอาแต่ถามนักจิตว่าทำไมเราถึงรู้สึกผิดไปกับทุกสิ่งทุกอย่าง เราหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เหมือนเราเดินวนอยู่ในหัวตัวเอง เราต้องการให้เขาชี้ทางออกให้เรา ซึ่งเรารู้ว่ามันมี แต่เรามองไม่เห็น เราหาไม่เจอ เราอยากออกไปจากวังวนนี้ แต่ดูเหมือนว่า สุดท้ายแล้ว มันไม่มีใครรู้จักตัวเราดีเท่ากับตัวเราเอง เราคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถแก้ปัญหาของเราได้ แล้วเราจะทำจิตบำบัดไปทำไมกันล่ะ

    ถามว่านักจิตสามารถช่วยเราได้ไหม เราบอกได้เลยว่าช่วยได้เยอะ การไปนั่งคุยกับเขาครั้งละ 1 ชั่วโมง มันให้อะไรเราได้เยอะ เราได้รู้จักตัวเราเองมากขึ้นๆ ทุกครั้งที่เราคุยกับเขา -- เรารู้ว่าเราเศร้าและเสียใจกับความตายของแม่และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น การห้ามให้ตัวเองไม่รู้สึกอะไร ไม่โศกเศร้าเสียใจ ไม่ร้องไห้ ปฏิเสธว่าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้น หรือว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไรซักเท่าไหร่ มันไม่ได้ทำให้เราลืมมันได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันแย่ สิ่งที่เราต้องพบต้องเห็นในเหตุการณ์มันเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อตัวเรา มันทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้ เราต้องยอมรับมัน เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ยอมรับมันว่าคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา มันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา มันคือสิ่งที่เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้แล้ว การกลับไปย้อนคิดว่า ถ้าวันนั้นเราตาย แทนที่จะเป็นแม่ มันไม่ช่วยให้ชีวิตในวันนี้เราดีขึ้น มันไม่ได้ช่วยให้พ่อเรารู้สึกดีขึ้น เพราะถ้าพ่อเราเลือกได้ เขาคงไม่อยากให้ใครต้องตาย อยากให้ทั้งเราและแม่รอด หรืออาจจะไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็ทำไม่ได้ ไม่มีใครทำได้ และแน่นอน มันไม่มีใครในเหตุการณ์นั้นหรือคนทุกคนที่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์นั้น รู้สึกโอเคหรืออยากให้มันเกิดขึ้น ใครมันจะบ้าอยากให้อะไรแบบนั้นเกิดขึ้นวะ ไม่มีหรอก มันเพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันยังไง ซึ่งวิธีที่ได้ง่ายที่สุดก็คือการพยายามลืมๆ มันไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รื้อฟื้น พยายามจะไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับอีกคนโดยการพูดถึงมัน 

    เรารู้ว่าเราสามารถมีความสุข หรือรู้สึกดีกับการมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการได้ทำอะไรอย่างที่เราอยากทำ ด้วยการใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากใช้ ไม่ต้องสนใจกรอบที่ใครหรือสังคมสร้างเอาไว้ ซึ่งจริงๆ แล้วอีกรอบนั้นมันก็คือเรานี่แหละที่สร้างขึ้นมาครอบตัวเราเอง -- ดูเผินๆ มันเหมือนกับว่าเราถูกคนนั้นคนนี้คาดหวังให้เราต้องเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ เราแบกความคาดหวังต่างๆ นั้นไว้แล้วก็บอกว่านั่นคือสิ่งที่ทุกคนล้วนแต่ต้องการจากเรา เราไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เพราะสิ่งพวกนี้ แต่สุดท้าย สิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่เราแบกไว้มันไม่ใช่อะไรเลยนอกจากความคาดหวังของเราที่มีต่อตัวเราเอง มันไม่ใช่เกี่ยวกับความต้องการของคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวกับความกดดันที่คนอื่นสร้าง มันเกิดจากตัวเราล้วนๆ เลย เราเองนี่แหละที่สร้างความคาดหวังให้ตัวเราเอง เราเองนี่แหละที่กดดันตัวเอง เราอยากจะเป็นเราที่สมบูรณ์แบบในสายตาของคนทุกคน แต่เราก็ต้องมานั่งทุกข์ทรมานจากการที่เราต้องเป็นในสิ่งที่เราไม่เป็น เพียงแค่เพราะเราอยากจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ เพียงแค่เพราะเราต้องการๆ ยอมรับ

    นักจิตบอกว่าการที่เรารู้สึกผิดในหลายๆ เรื่อง อาจจะเป็นเพราะว่า เราคิดว่าเราเป็นคนสำคัญ เหมือนแบบ ถ้าขาดเราไป หรือถ้าเราไม่ทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้คนอื่น พวกเค้าก็จะทุกข์ร้อนกันเพราะเหมือนมีเราเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาได้ แต่ความจริงคือไม่ พวกเขาอยู่กันได้โดยที่ไม่มีเรา เราไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ เราไม่ได้กำลังเป็นคนสำคัญ แต่เราอยากที่จะเป็นคนสำคัญ เรามองว่าคนสองสามคนในชีวิตเราคือคนสำคัญในชีวิตเรา เราก็เลยอยากที่จะเป็นคนสำคัญในชีวิตพวกเขาด้วย แต่แล้วเราก็ต้องมาผิดหวังที่เราไม่ได้สำคัญต่อเขาอย่างที่เราคิด

    เรายกให้พ่อเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา เรารักพ่อมากที่สุด แต่แล้ววันนึงพ่อก็บอกเราว่า พ่อรักและห่วงเรากับแม่เลี้ยงเท่าๆ กัน เราคิดว่าเราคือที่หนึ่งมาตลอด แต่ไม่ใช่ - เราเคยรักหัวหน้าเพราะเห็นว่าเขาดูจะเข้าใจเรามากกว่าพ่อเราในบางเรื่อง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เข้าใจเราแม้แต่นิดเดียว เราแคร์เขา แต่เขาก็ไม่ได้แคร์อะไรเราเท่าไหร่ เรามองว่าเขาเป็นพ่อ แต่เขาก็ไม่ได้รักเราเหมือนว่าเราเป็นลูกของเขา

    กับแฟน เราไม่รู้ว่าเราจะคาดหวังอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ใหม่สำหรับเรา ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแฟนมันคือสิ่งที่เราไม่เคยเจอ เราไม่เคยคบใครจริงจังแบบนี้มาก่อน ก่อนหน้าที่จะคบกับแฟนเราก็อยู่แต่กับพ่อและกับหัวหน้า ชีวิตก็มีแค่ที่ทำงานกับบ้าน ไม่มีอะไรมากกว่านี้ แต่พอเราคบกับแฟน ก็เหมือนเราเจอโลกใบใหม่ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกความรู้สึก มันใหม่ไปหมด จนเราไม่รู้ว่าเราควรจะรู้สึกต่อมันยังไง

    คำว่า 'ควรจะ' -- ดูเหมือนว่าเราจะมีปัญหากับคำนี้ เหมือนเราต้องให้ให้คนมาคอยบอกเราตลอดว่า กับเรื่องนี้ เราควรจะรู้สึกยังไง ความรู้สึกแบบไหนคือความรู้สึกที่ถูกต้อง ความรู้สึกแบบไหนที่เราไม่ควรรู้สึกผิด เราถามนักจิตออกไปหลายครั้งว่า "เราไม่รู้ว่าเราควรจะรู้สึกยังไง" นักจิตก็จะทักเราตลอดว่าทำไมต้องควรไม่ควรด้วย - เราก็แค่รู้สึกว่ามันน่าจะมีความรู้สึกที่ถูกต้องอยู่ ว่าเออ เรื่องแบบนี้ เราควรจะรู้สึกแบบนี้ อะไรอย่างงี้ ทั้งที่ความรู้สึกคนของแม่งสามารถเป็นอะไรก็ได้ตามแต่ใจคนจะรู้สึกไหมอะ แต่เราก็ยังรู้สึกสงสัยว่า เราควรจะต้องรู้สึกยังไง เราไม่รู้อะ เรางงไปหมด

    "ดูเหมือนว่าคุณกำลังสับสนมากๆ เลยนะ" นักจิตบอก -- เรารู้สึกแปลกใจนะที่ทำไมเขาเพิ่งมาพูดเอาตอนนี้ เขาเพิ่งรู้หรอ หรือเขารู้มานานแล้วแต่เลือกจะไม่พูดแค่แรก เราว่าเราสับสนมานานมากแล้ว สับสนตั้งแต่ก่อนเจอเขา แล้วก็สับสนมากขึ้นทุกครั้งที่ทำจิตบำบัด เหมือนยิ่งทำเรายิ่งเกิดความสับสนในตัวเองอะ คือบางเรื่องเราก็หาคำตอบได้นะ แต่แม่งกลับงงหนักกว่าเก่าในหลายๆ เรื่อง

    นี่เกิดความรู้สึกว่าไม่อยากทำจิตบำบัดต่อแล้ว รู้สึกทรมานเหลือเกิน กินยาไปอย่างเดียวมันน่าจะง่ายต่อชีวิตมากกว่าไหมอะ เหนื่อยอะ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Un Nutta (@berrylava)
กำลังจะไปทำจิตบำบัด อยากคุยด้วยจังเลยค่ะ
janieishappy (@janieishappy)
@berrylava ขอโทษทีค่ะ เราไม่ได้ล็อคอินเข้ามาดูเลย