เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Janie Is Not So Welljanieishappy
จิตบำบัด ครั้งที่ 2 / หาหมอจิต / สับสนในชีวิต
  • หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน เจนปวดหัวจังเลยค่ะ

    จริงๆ มันก็ไม่ได้เยอะหรอก เราแค่เยอะเอง ฮ่าๆๆ -- ก็จะแยกเล่าทีละเรื่องแล้วกัน เอาเรื่องไหนก่อนดี ติ๊กต่อกๆๆๆ เอาหาหมอจิตก่อนละกัน เพิ่งไปหามา เล่าง่าย ไม่ต้องนึกนาน แล้วอีกอย่างก็คือ ไม่มีอะไรมากมายให้เล่า 

    หาหมอจิตครั้งล่าสุด

    ไปหาเพื่อเอายา แค่นี้จริงๆ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องอะไรไปบ่นให้หมอฟัง คือบ่นกับนักจิตไปหมดแล้ว (นอกจากนักจิตแบบที่เสียตังแล้วเราก็บ่นกับเพื่อนจากทินเดอร์ที่เป็นนักจิตทางแชตด้วยอีกทาง) ก็บอกหมอว่า 
    "เบื่อค่ะ แต่ไม่รู้เบื่ออะไร ช่วงเวลาที่เว้นว่างจากการเจอกันกับหมอก็ไปค้นฟ้าคว้าดาวหาที่ทำจิตบำบัดมาจนได้ นี่ก็ทำมาสองครั้งแล้ว บอกตามตรง ตอนนี้หนูงงกับตัวเองมาก" 
    แล้วหมอก็ถามว่า "นักจิตเค้าวางแผนจะบำบัดคุณยังไง" ...เอ้า แล้วนี่จะรู้ได้ไงอ้ะ
    "หนูก็ไม่รู้ค่ะ เค้าไม่ได้บอก นัดแรกเค้าก็ให้เล่าเรื่องที่คิดว่าน่าจะเป็นปัญหา หนูก็เล่าไปจนหมดชั่วโมง ไม่รู้เล่าอะไรไปบ้าง ร้องไห้ซะส่วนใหญ่ แล้วเค้าก็บอกว่าอยากให้มาคุยกันอาทิตย์ละครั้ง แต่หนูไม่ไหว มันแพง หนูเลยขอสองอาทิตย์ครั้ง เค้าก็โอเค..."
    "อือ ครั้งแรกมันต้องถามประวัติก่อน" หมอขัดขึ้นมา
    "...พอครั้งที่สอง เค้าก็ไม่ได้บอกอะไรอีกนะ เค้าถามว่าหนูรู้สึกยังไง หนูบอกว่าหนูเบื่อ คุยไปคุยมา มันเข้าเรื่องงาน หนูเบื่องาน แต่พูดไปพูดมาหนูก็เอาเรื่องอดีตมาโยงกันมั่วไปหมด สรุปแทนที่จะคุยว่าทำไมถึงเบื่องาน หนูกลับไปพูดถึงเรื่องอื่นด้วย เค้าต้องคอยลากหนูกลับมาที่เรื่องงาน เค้าก็บอกว่าเค้าอยากแก้ปัจจุบันก่อน ลองดูว่าแก้ได้ไหม แล้วค่อยลงลึกไปเรื่องในอดีต แต่หนูก็รู้สึกว่าหนูแก้ปัจจุบันไม่ได้อะ หนูว่ามันพันกันมั่วไปหมดเป็นก้อนใหญ่ๆ ก้อนเดียว หนูแยกมันออกมาเป็นเรื่องๆ ไม่ได้"
    "อือ จริงๆ มันก็เกี่ยวพันกันไปหมดแหละ" แล้วหมอก็ยิ้ม ยิ้มอะไร ยิ้มทำไม งง

    แล้วหมอก็ถามว่าสรุปแล้วเราเบื่ออะไร เราบอกว่าเราไม่รู้ เหมือนมันจะเบื่อเรื่องงาน แต่พอหมอถามว่าเรื่องงานเกิดอะไรขึ้นหรอ เราก็นั่งนึกสักพักแล้วก็ตอบไปว่าไม่มี คือจริงๆ มันก็มี แต่ที่ตอบหมอไปว่าไม่มีก็คือมันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ไง มันก็ปัญหาเดิมๆ ที่เราต้องเจอจากงานที่เราทำ แต่รวมๆ แล้วมันทำให้เราเบื่อ มันทำให้เรารู้สึกตื่นมาตอนเช้าแล้วไม่อยากลุกไปทำงาน เราตื่นเช้านะ ตีห้าครึ่ง หกโมงเราก็ตื่นแล้ว แต่มันไม่อยากลุกอะ นอนไถโทรศัพท์อยู่บนเตียงจนถึงเวลาที่เราคิดว่าต้องลุกแล้วว้อย ไม่งั้นจะสายนะว้อย เราถึงได้ลุก มาถึงที่ทำงานก็ทำงานที่ด่วนๆ ก่อน พอทำเสร็จก็นั่งเอ้อระเหยไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาเลิกงาน แล้วก็กลับบ้าน เล่นนั่นนี่ โหลดหนังสือมาอ่าน อัพบล็อก ทำทุกอย่างที่ไม่ใช่งานที่เหลืออยู่ -- เราจะทำงานเมื่อมันใกล้เดดไลน์แล้วเท่านั้น คือเราทำเสร็จทันเวลาตลอดไง เลยยังไม่เปลี่ยนนิสัย ฮ่าๆ เลยจะดูเหมือนว่าง เราทำงานเสร็จทันเวลาหมดนะ แต่ก็รู้สึกผิดที่นั่งว่างอะ เข้าใจเราปะ -- เออ แล้วหมอก็พิมพ์ใส่ประวัติไปว่า "รู้สึกเบื่อชีวิต แต่ไม่รู้สาเหตุ" ขำหมอ ตรงไปปะ 

    คราวนี้หมอพูดยาวว่าการทำจิตบำบัดมันมีผลวิจัยมาแล้วว่ามีผลเทียบเท่ากับกินยา คือค่าใช้จ่ายพอๆ กัน ถ้ากินยา มาหาหมอและค่ายาต่อครั้งก็จะไม่แพงเท่ากับจิตบำบัด 1 ครั้ง แต่จิตบำบัด ถึงจะแพงแต่ถ้าคุณมาทำประจำแล้วมันได้ผล คุณก็ไม่ต้องกินยาอีก สรุปแล้วก็ค่าใช้จ่ายพอๆ กัน จิตบำบัดมันก็แค่ดูว่าจ่ายต่อครั้งแพง อย่างที่เมกาก็ 200 เหรียญ ในหัวเรานี่แบบ 200 เหรียญคือเท่าไหร่วะ แต่ก็ไม่อยากขัดหมอ ก็เออออไป ค่อยมากูเกิลทีหลังก็ได้ว่าเท่าไหร่ หมอบอกแพงก็แพงตามหมอไป ฮ่าๆๆ -- เราบอกหมอว่าเรากะจะมาทำที่ศิริราชแหละ แต่ช่วงรอนัดดันหา knowing mind เจอก่อน ราคารับได้ สถานที่โอเค เลยเลือกไปที่นั่นแทน เพราะก่อนหน้านี้เราหาที่อื่นมา ราคาแบบทะลุเพดานไปเล้ยยย เว่อวังสุดอะไรสุด -- หมอก็บอกว่า จริงๆ หมออยากให้เราทำอาทิตย์ละครั้ง มันจะดีกว่า หมอบอกสองอาทิตย์ครั้งมันน้อยไป มันต่อไม่ติด ก็ประมาณว่าถ้าไหวก็จ่ายเถอะ ไรงิชะ อือ เราก็คิดอยู่แหละว่าอาทิตย์ละครั้งน่าจะดีกว่า แต่อาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 1,500 เดือนนึงก็ 6,000 คือแบบ *กลืนน้ำลาย ... ปาดเหงื่อ* ขอเราจ่ายเบี้ยประกันหมดก่อนนะ เราจะคิดอีกที แต่จงรู้ไว้เถิดว่าเราอยากไปทุกอาทิตย์ เราแค่ยังทำใจไม่ได้ที่จะต้องเอาเงินเที่ยวเล่นไปจ่ายค่านักจิตหมด 

    (หมายเหตุ: กูเกิลมาแล้ว 200 เหรียญก็ประมาณ 6,000 บาท)

    หมอถามว่ายังรู้สึกอยากตายอยู่ไหม เราบอกไปว่ามันก็รู้สึกไม่อยากอยู่แหละ ตอนที่เบื่อๆ เซ็งๆ พอมันเบื่อมากๆ มันก็เบื่อชีวิต แล้วมันก็ลามไปว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากตายไปให้พ้นๆ แต่ตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่เรางงตัวเองมากกว่า ไม่รู้เพราะทำจิตบำบัดมารึเปล่า มันแบบไม่รู้สิ งงๆ ฟุ้งๆ ยังไงก็ไม่รู้ หมอถามถึงเรื่องที่เราฝันเยอะ เราก็บอกว่ามันก็ฝันแหละ แต่ฝันร้ายๆ ก็ไม่ค่อยมี แต่มันก็มีเวลาที่ไม่ได้กินยา prazosin ก็อธิบายหมอไปว่า
     "บางทีหนูง่วงหนูก็นอนเลย หนูขี้เกียจลุกไปกินยาแล้ว คิดว่าควรพยายามนอนแบบไม่กินยาให้ได้ก็เลยไม่ได้กินทุกวัน" ... "แต่ยาต้านเศร้ายังกินทุกวัน" 
    แล้วหมอก็บอกว่า "งั้นผมให้ยาตัวเดียวนะ"
    "หะ ตัวไหนนน"
    "ตัวตอนเช้าสองเม็ดไง"
    "อ่าว แล้วยากันฝันหนูล่ะ"
    "ลดความดันอะหรอ"
    "ใช่ค่ะ"
    "อ่าว เห็นคุณบอกว่าไม่กินแล้ว"
    ว้อยยย นี่หมอฟังกูพูดปะเนี่ยยยย "กิน หนูยังกินอยู่ แค่ไม่กินบางวัน มีแต่ยานอนหลับที่แทบจะไม่ได้กิน"
    "อะ โอเค งั้นเอาไปสองตัว" ... "ผมนัด อืมมมม ก่อนปีใหม่ละกัน คุณไม่ไปไหนใช่ไหม มาได้ไหม"
    "ไม่ไปค่ะ"
    "หลังปีใหม่ผมว่ามันจะนานเกินไป ไม่ดี"
    "ค่ะ"
    "แล้วนี่คุณไปขอวีซ่าอีกครั้งรึเปล่า"
    "ไม่ได้ไปค่ะ"
    "คุณจะไม่ไปขอแล้วใช่ไหม"
    "ขี้เกียจอะ เบื่อ"
    "ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียตังไปเมกา"
    "แต่หนูว่าอีกสักพักแฟนหนูมันก็ต้องมาเว้าวอนให้หนูไปสมัครอีก อีกไม่นาน"
    "อันนั้นก็ค่อยว่ากัน"
    แล้วหมอก็เมินเราเพื่อไปพิมพ์ลงคอมต๊อกแต๊กๆๆๆ แล้วก็บอกลากัน

    เออ หมอบอกด้วยว่าให้เราหาสิ่งที่เราชอบทำ สิ่งที่เราทำแล้วเรามีความสุข แบบรู้สึกสนุกไปกับมัน เราบอกหมอว่าเราเคยชอบอ่านหนังสือมาก แต่ตอนนี้รู้สึกไม่อยากจับหนังสือเลย อยากอ่านนะ แต่ก็รู้สึกไม่อยากอ่านอะ มันยังไงก็ไม่รู้ เหมือนออกกำลังกายอะ รู้ว่ามันจะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองแต่เราก็ไม่อยากทำ ขี้เกียจ เบื่อ นั่นนี่
    "มันก็ต้องฝืนมั่งแหละผมว่า" ... "แรกๆ มันก็ไม่อยากทำ ก็ต้องฝืนตัวเองให้ทำ"
    สาธุ

    ไม่รู้จะพูดหรือตอบอะไร ก็สาธุไปละกัน
  • จิตบำบัด: ครั้งที่ 2 กับพี่เอกกี้

    ยิ่งเราคุยกับพี่เค้านานขึ้น ชื่อพี่เค้าก็จะยาวขึ้นเรื่อยๆ เราจะต่อสร้อยใส่ชื่อพี่เค้าไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะหมดจินตนาการในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่

    โอเค เรากับพี่เอกห่างกันไปนานพอสมควรเพราะเราขอสองอาทิตย์ แล้วก็ไม่ใช่วันเดิม มันก็เลยรู้สึกว่าเราไม่ได้เจอกันนานจังเลย แล้วก็อย่างที่หมอจิตบอก ลืมจ้ะ เราลืม แต่ไม่เป็นไร พี่เอกไม่ลืมเพราะพี่เอกอัดเสียงไว้ด้วย เพื่อเหตุผลนั่นนี่นู่นของพี่เค้า เราก็เชิญค่าาาา

    พี่เอกถามเรื่องความรู้สึกในปัจจุบัน (วันที่คุยกัน) เราบอกว่าเราเบื่อ เบื่ออย่างที่เกริ่นไว้ข้างบน เบื่อชีวิต เบื่อไม่อยากไปทำงาน เบื่อไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากเจอใคร เบื่อสถานที่ เบื่อคน (ตอนนี้เราก็เริ่มจะเบื่ออาหาร) แต่เพราะชีวิตส่วนใหญ่คือการทำงาน เราก็เลยบอกไปว่าเราขี้เกียจลุกไปทำงาน มันน่าเบื่อ เบื่อไปหมดเลย เบื่อความจำเจ แต่ก็เบื่อสิ่งใหม่ๆ เบื่อที่ทำงาน เบื่อเพื่อนร่วมงาน เบื่อหัวหน้า เบื่อลูกความ เบื่อศาล เบื่อเจ้าหน้าที่รัฐ เบื่อลูกความ เบื่อทนายฝ่ายตรงข้าม เบื่อที่จะต้องมาเจอกับเรื่องงี่เง่าซ้ำแล้วซ้ำอีก -- เนี่ย พิมพ์ว่าเบื่อลูกความซ้ำสองครั้ง แสดงว่าเบื่อมากๆ เห็นมะ

    "หรือว่าเพราะเราคิดว่าความยุติธรรมมันไม่มีอยู่จริง" เราพูดกับพี่เอกหลังจากที่เราพยายามนั่งหาเหตุผลว่าเพราะอะไรเราถึงได้เบื่องานมากมายขนาดนี้ เราเงียบไปสักพักแล้วเราก็พูดต่อไปว่า "ชีวิตมันไม่มีอะไรยุติธรรม มันไม่มีอะไรแฟร์ เรื่องที่เกิดขึ้นกับเรา เรื่องแม่เรา มันไม่แฟร์ พอมาทำงานในด้านนี้ เราก็มารับรู้อีกว่า เออ มันก็ไม่แฟร์อะ แล้วแบบ...ทำไปทำไมอะ ไม่เข้าใจตัวเอง"
    พี่เอกก็เหมือนเคย นั่งฟังเราโยงเรื่องปัจจุบันและอดีตเข้าด้วยกันอย่างเงียบๆ
    "คือเรารู้สึกว่าเราไม่มีความสุขกับชีิวิตทุกวันนี้ ตอนแรกเราคิดว่าเรามีแฟนแล้วเราจะรู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้น คือมันก็ดีขึ้นแหละ แต่มันก็ยังติดอยู่ที่อะไรไม่รู้ มันรู้สึกว่าชีวิตมันไม่ควรเป็นแบบนี้อะ เราเกิดมาเพื่อที่จะทำงานที่เราไม่อยากทำ ไม่มีความสุข ฝืนตัวเองไปวันๆ เพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายไปเพื่อหาความสุขที่มันไม่ถาวรแล้วก็ตายไปหรอ เราว่ามันไม่ใช่"
    พี่เอกเงียบ เสียงแอร์ดังมาก เราควรทำไรดี เราไม่รู้ว่าเราควรจะทำตัวยังไง ไม่รู้จะพูดไรต่อ นี่เราพูดมากไปไหม หรือยังไง เราแย่งเค้าพูดรึเปล่า ทำไมเหมือนเราพูดอยู่คนเดียว ทำไมเค้าเงียบ หรือเค้าไม่รู้ว่าจะช่วยเรายังไง เราควรหยุดพูด *แคะขี้เล็บ ... ก้มมองนิ้วมือตัวเอง ... แล้วก็เลี่ยงไปมองโคมไฟตรงมุมห้องแทนที่จะมองหน้าพี่เอก* ทำแบบนี้วนๆ ไป 

    พี่เอกพยายามจะถามถึงสถานการณ์ปัจจุบัน เราก็พยายามจะเล่าถึงสถานการณ์ปัจจุบัน แต่เล่าไปเล่ามา มันก็ไหลไปเรื่องในอดีตอีก พี่เอกต้องตบเรากลับมา แบบ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้คุณเจนพูดว่า... งี้ๆๆๆ คือบอกตามตรงนะ สำหรับเรา ทุกอย่างมันคือก้อนๆ เดียว เราแยกมันออกจากกันไม่ได้ -- ก่อนจากกันวันนั้น พี่เอกพูดว่า อยากจะลองแก้ปัญหาที่ดูแก้ง่ายมากที่สุดก่อน เรื่องปัจจุบัน เรื่องงาน มาลองหาทางแก้กันดู ก่อนที่จะลงลึกไปในอดีตซึ่งมันยากที่จะไปแก้มัน -- เราก็ อือ โอเค ก็ได้ แล้วแต่เลย 

    พี่เอกให้การบ้านมา 1 อัน คือ ให้เราลองฝืนตัวเองเป็นหรือทำในที่สิ่งคนอื่น (เน้นที่หัวหน้า) อยากจะให้เราเป็นหรือทำ โดยที่เราไม่อยากทำเพราะเราไม่อยากเปลี่ยนตัวเอง แล้วมาบอกพี่เอกว่าเรารู้สึกยังไงในนัดหน้า -- นี่ก็ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว ยังนึกไม่ออกเลยว่าเราควรจะทำยังไงกับการบ้านอันนี้ 

    เราอยากจะถ่ายทอดภาพในหัวของเราให้ทุกคนได้เห็น ตอนนี้ในหัวเรามันวุ่นวายมาก มันเหมือนมีตลาดสดเป็นสิบๆ ตลาดซ้อนกัน แล้วเป็นตลาดสดแบบที่เห็นในละครอะ แบบที่แม่ค้าตีกัน ด่ากัน เขวี้ยงของใส่กัน บางทีแม่ค้าเขียงหมูก็ปามีด แม่ค้าขายแกงก็เอาแกงร้อนๆ เผ็ดๆ ไปราดแม่ค้าอีกคนที่ทะเลาะกัน ลูกค้าก็วุ่นวายเรื่องมาก แม่ค้าก็ด่าลูกค้าอีก แล้วก็มีหนูท่อตัวอ้วนๆ วิ่งๆๆๆๆๆๆ น้ำสกปรกเจิ่งนองตามพื้น เดินไปก็กระเด็นใส่ขาไป กลิ่นก็เหม็นๆ คาวๆ เน่าๆ ขยะๆ ชื้นๆ เปียกๆ ด้านนอกตลาดก็มีมอไซค์และรถขนผักบีบแตรปี๊นๆๆๆ ตะโกนด่ากัน คนวิ่งข้ามถนนวุ่นวาย ไหนจะคนเมาที่อาละวาดอยู่ใกล้ๆ มีเซเว่นที่ประตูเปิดปิดอยู่ตลอดเวลา ปิ๊งป่องๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ วันละแปดแสนห้าหมื่นเก้าพันแปดร้อยแปดสิบแปดล้านรอบ ปิ๊งป่องๆๆๆๆๆๆๆ พร้อมกับพนักงานที่ตะโกนต้อนรับทุกครั้งที่ได้ยินเสียงปิ๊งป่อง -- โอเค โดยพื้นฐานแล้วมันก็จะประมาณนี้ 

    ตอนที่เราไปกระบี่ ตลาดทั้งสิบตลาดปิด เซเว่นก็ด้วย เงียบฉี่เลย แต่พอเรากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ตลาดทั้งสิบตลาดก็กลับมาเปิดเหมือนเดิม บางวันก็เสียงดังวุ่นวายมากกว่าวันอื่นๆ ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมไป

    จากเดิมที่เราไม่รู้ว่าปัญหาในชีิวิตของเราคืออะไร การทำจิตบำบัดไปสองครั้งของเราก็ทำให้เรายิ่งไม่รู้ขึ้นไปอีกว่า เห้ย เรามาทำมันทำไมอะ มันจะได้ผลหรอ เราควรจะรู้สึกดิ่งแบบนี้หลังทำทุกครั้งหรอ มันดีกับเราแน่หรอที่จะรู้สึกแบบนี้ เราจะเสียตังและเวลาไปเปล่าประโยชน์ไหม มันคิดห่าอะไรก็ไม่รู้มากมายกว่าเดิมอีก

    มีสิ่งเดียวที่เราเลิกคิดสงสัยคือ กับเหตุการณ์วันนั้น ที่แม่เราตาย ที่บ้านเราไฟไหม้ เรารู้สึกเศร้าและเสียใจกับมัน เรารู้สึกเศร้ามาก มากจนขนาดที่ว่าเราสามารถร้องไห้ได้ตลอดเพียงแค่คิดถึงมัน เราไม่รู้จะหยุดเศร้าได้ยังไง เราไม่รู้ว่าเราจะเลิกร้องไห้เมื่อคิดถึงมันได้ตอนไหน มันเศร้าเหลือเกิน มันทำให้เราอยากนั่งเข้ามุมห้องแล้วร้องไห้คนเดียวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายเศร้า เราไม่อยากทำอะไรนอกจากร้องไห้ สิ่งต่างๆ ในชีวิตมันล้วนแต่จะมารบกวนการร้องไห้ของเรา มันทำให้เราหงุดหงิด

    เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ...
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in