อ่านเถอะ! มนุษย์ขี้เกียจอาบน้ำทุกวัน นักวิจัยบอกว่าพวกเราทำถูกแล้ว

ตั้งแต่วันอาทิตย์ (24 มกราคม) ที่ลมหนาวบุกประเทศไทยอย่างเฉียบพลันจนไม่ทันได้ตั้งตัว มินิมอร์เชื่อว่าต้องมีมนุษย์หลายชีวิตที่ไม่ยอมอาบน้ำ! (รู้ทันหรอก) ไม่อาบน้ำยังไม่พอ แถมรู้สึกเป็นตราบาป(กับการไม่อาบน้ำ)อย่างมากจนถึงกับต้องโกหกคนอื่นแบบเนียน ๆ (ที่หลายคนก็ไม่เนียนเลยอ่ะ) ไปว่า ฉันเก่ง ฉันอาบน้ำแล้วย่ะ มินิมอร์มีทางออกมาให้คนขี้เกียจอาบน้ำทุกวันเพราะทั้งวิทยาศาสตร์และข้อมูลทางสังคมศาสตร์ออกมาบอกแล้วว่าที่จริงเราไม่ต้องอาบน้ำทุกวันก็ได้ (เย้!)


giphy.com

รู้หรือไม่ว่าก่อนช่วงทศวรรษที่ 1920 มนุษย์เราไม่ได้อาบน้ำบ่อยแสนบ่อยขนาดนี้นะ เพราะตอนนั้นคนเขาอาบน้ำกันอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น! (น้อยไปไหม) (อ้าว แล้วอะไรทำให้คนเราหันมาอาบน้ำบ่อยขึ้นล่ะ ?)

ความเปลี่ยนแปลงมาเกิดขึ้นตอนที่รูปแบบเศรษฐกิจเปลี่ยนไปเป็นเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (แค่อาบน้ำ นี่เชื่อมโยงไปถึงเศรษฐกิจกันเลยหรอเนี่ย) ผู้คนต้องมาทำงานในบริษัทหรือโรงงานที่คนต้องมาใกล้ชิดกันมากขึ้น (ก่อนหน้านั้นก็อาจจะทำไร่ ทำนา ทำการเกษตร ทำอะไรก็ว่าไปที่ไม่ต้องเนื้อแนบเนื้อหรือติดต่อกับคนข้าง ๆ มาก)


 unquantifiedself.wordpress.com

บริษัทสบู่รายใหญ่แห่งหนึ่งก็เลยหัวใสคิดแคมเปญโฆษณาเปลี่ยนชีวิตผู้คนขึ้นมาทันที  เพราะเขาเชื่อว่าพอคนต้องมาใกล้ชิดและอยู่รวมกันมาก ๆ คนจะกังวลว่ากลิ่นตัวแรง ๆ กลิ่นปากเหม็น ๆ ของตัวเองจะไปรบกวนคนอื่นได้ง่ายขึ้น สบู่จึงกลายเป็นสินค้าสำคัญที่ทำให้การอาบน้ำ(และถูสบู่ด้วยนะ)ไม่ได้เป็นแค่การอาบน้ำ แต่กลายเป็นกิจกรรมของคนรักความสะอาด กิจกรรมแห่งความสดชื่นและมีกลิ่นหอมตั้งแต่นั้นมา (หัวใสจริง ๆ ด้วย)


blisstree.com

สมาคมการค้าอเมริกา (ซึ่งก็ก่อตั้งโดยบริษัททำสบู่นั่นแหละ) ถึงกับออกมาบอกเลยว่า พวกเขาจะทำยังไงก็ได้ให้คนรู้สึกว่าต้องล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนกินข้าวและหลังจากเข้าห้องน้ำ (ไม่งั้นจะไม่สะอาด)  การอาบน้ำนี่ยิ่งแล้วใหญ่เพราะเขาวางแผนให้ทุกคนต้องอาบโดยอัตโนมัติ ก่อนนอนก็ต้องอาบ ตื่นเช้าก็ต้องอาบ (เออ และเขาก็ทำสำเร็จซะด้วยแฮะ เพราะเราทุกคนติดการอาบน้ำและฟอกสบู่กันงอมแงมเลย แถมถ้าไม่อาบก็รู้สึกผิดอีกด้วยนะ) จนบริษัทนี้ขยายธุรกิจจนสามารถขายสบู่ได้ 12 ล้านก้อนต่อวัน!

การอาบน้ำจนติดเป็นนิสัยทุกวันของมนุษย์ในปัจจุบันจึงมีจุดเริ่มต้นส่วนหนึ่งมาจากการตลาดของบริษัทสบู่นี่แหละ (แนบเนียนมาก) ถ้าใครอยากลองกลับไปใช้ชีวิตเหมือนก่อนโฆษณาสบู่จะเข้ามามีบทบาทก็ลองอาบน้ำอาทิตย์ละครั้งดูได้ (ช่วงอากาศหนาวนี่โอกาสดีนะ)


giphy.com

มาที่ด้านวิทยาศาสตร์กันบ้าง (เดี๋ยวจะหาว่าโทษการโฆษณาจากบริษัทสบู่อย่างเดียว) ดร. Casey Carlos ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านโรคผิวหนัง จากมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ ซานดิเอโก แคลิฟอร์เนียบอกเราว่าการอาบน้ำทุกวันและอาบครั้งละนาน ๆ ไม่ได้ดีกับร่างกายเลย แถมการฟอกสบู่ทั่วทั้งตัวก็ไม่ดีกับผิวหนังด้วย (อ้าว ทำไมล่ะ)

Carlos บอกว่าปกติผิวหนังของเราสามารถทำความสะอาดตัวเองได้อยู่แล้ว (อะไรจะมหัศจรรย์ขนาดนั้น) ส่วนสบู่ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันเพราะเชื่อว่ามันช่วยให้ร่างกายสะอาดขึ้น ที่จริงมันเป็นตัวทำลายน้ำมันในชั้นผิวหนังของเรา

ยังไม่จบเพียงเท่านั้นเพราะ ดร. Joshua Zeichner แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังในนิวยอร์คยืนยันว่ามนุษย์อาบน้ำเพราะสังคมและวัฒนธรรมบอกให้อาบมากกว่า เพราะการอาบน้ำทุกวันไม่ได้ทำให้ร่างกายสะอาดขนาดนั้น (รู้สึกเหมือนโดนคุณหมอตบหน้ากลางสี่แยก)


gifsec.com

แต่การอาบน้ำทุกวันจะทำให้ผิวหนังระคายเคือง แถมสบู่ยังทำลายแบคทีเรียดี ๆ ที่มีไว้ปกป้องผิวของเราโดยธรรมชาติไปอีกด้วย (คุณหมอถึงกับยื่นคำขาดว่าห้ามอาบน้ำให้เด็กแรกเกิดทุกวันเด็ดขาด) อ้อ ยิ่งถ้าเราอาบน้ำนานและบ่อยก็จะยิ่งเป็นสาเหตุทำให้ผิวแห้งแตก ซึ่งนั่นแหละยิ่งทำให้ผิวหนังเราเปิดทางให้เชื้อโรคเข้าไปสู่ร่างกายและเกิดการติดเชื้อได้มากกว่าเดิม (คุณพระ!)


 theatlantic.com

ด้านบนนี้คือผลสำรวจว่าในหนึ่งอาทิตย์คุณอาบน้ำบ่อยแค่ไหน โดยนิตยสาร The Atlantic ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 562 คน (ในสหรัฐอเมริกา) พบว่าผู้ชายส่วนใหญ่อาบน้ำอาทิตย์ละ 7 ครั้ง ในขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่อาบน้ำอาทิตย์ละ 3 ครั้ง (นี่มินิมอร์หลงคิดว่าผู้หญิงอาบน้ำบ่อยกว่าผู้ชายมาโดยตลอดเลยนะเนี่ย!) แต่ถ้าเป็นคนไทยอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง ก็เท่ากับว่าทุกคนจะอาบน้ำอาทิตย์ละ 14 ครั้ง ชนะขาดคนในสหรัฐฯแน่นอน (แต่ถ้า 2-3 วันนี้เราก็อาจจะแพ้ขาดก็เป็นได้) เพราะฉะนั้นมนุษย์ผู้ขี้เกียจอาบน้ำก็อย่าเขินอายไปเลย จากผลสำรวจก็เห็นแล้วใช่มั้ยว่าเขาไม่ได้อาบน้ำทุกวัน วันละ 2-3 รอบขนาดนั้น


giphy.com

หลังจากพาทัวร์ไกล ๆ มาแล้ว มินิมอร์ขอย้อนกลับมาในสยามเมืองยิ้มบ้านเกิดเมืองนอนของเรากันบ้าง ถึงเราจะเป็นเมืองที่ตั้งชุมชนอยู่ใกล้น้ำมานานนม แต่สบู่ก้อนรายแรก ๆ ก็เพิ่งเข้ามาขายในประเทศของเราเมื่อ 62 ปีนี้เอง (หมายความว่าถ้าใครที่มีคุณปู่ย่าตายายที่อายุมากกว่า 62 ปีขึ้นไป เขาก็ไม่ได้ใช้สบู่ที่เห็นขาย ๆ กันอยู่นี้หรอกนะ)


 thairath.co.th

สบู่ก้อนเจ้าแรก ๆ ที่เข้ามาขายในประเทศไทย (ก็เป็นเจ้าเดียวกับที่เข้าไปขายแล้วได้รับความนิยมมาก ๆ ในสหรัฐอเมริกานั่นแหละ) มักจะมีแคมเปญการตลาดที่เอาภาพดาราที่กำลังดังมาก ๆ ในขณะนั้นเป็นจุดขายและเน้นความหรูหราความสบายของการอาบน้ำ เพื่อให้เรารู้สึกว่าถ้าเราอาบน้ำแล้ว เราจะหอม เราจะสวย เราจะสบายและสะอาดเหมือนดาราคนนั้นเลย (ซึ่งก็เป็นแคมเปญที่ได้ผลอีกเช่นเกิน)(โห สื่อโฆษณานี่มีผลมากจริง ๆ) ถ้าไม่เชื่อลองสังเกตสโลแกนของสบู่ดัง ๆ ในโฆษณาทั้งหลายดูสิว่าเกี่ยวกับความสะอาดล้วน ๆ หรือความงาม ความหอมและความสดชื่นมากกว่ากัน 

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่านี่จะเป็นชัยชนะของมนุษย์ผู้ขี้เกียจอาบน้ำล่ะ เพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแนะนำว่าถ้าเราไปออกกำลังกายทุกวัน หรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีเราก็ควรอาบน้ำทุกวัน แต่สำหรับคนธรรมดาอาบวันเว้นวันหรือสามวันหนึ่งครั้งก็พอแล้ว (เข้าทางหลายคนเลยสินะ)


gifsec.com

ถ้าใจมันรักในการอาบน้ำ ประกอบกับอากาศบ้านเรามันร้อนมาก และกลิ่นตัวเราก็แรงจริง ๆ (เพื่อนพากันยืนยันว่าไม่ใช่แค่เพราะเชื่อเหตุผลทางการตลาด) คุณหมอบอกว่าอาบน้ำชำระล้างเหงื่อได้ แต่อย่าฟอกสบู่ทั่วตัวทุกครั้ง ให้ใช้สบู่กับเฉพาะหน้า ใต้วงแขน ระหว่างขา และก้นก็พอ พื้นที่อื่น ๆ นอกจากนี้มันบอบบางมากเกินกว่าจะโดนฟอกด้วยสบู่บ่อย ๆ ที่สำคัญที่สุดห้ามอาบน้ำนานเกินไปอาบไม่เกิน 10 นาทีได้จะดีมาก(มินิมอร์เชื่อว่าหลายคนมีคติในการอาบน้ำให้เหมือนวิ่งผ่านน้ำอยู่แล้วไม่น่าลำบากอะไร)


explicitgists.com

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าการอาบน้ำไม่ได้มีแค่เหตุผลเรื่องความสะอาดเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นเรื่องอิทธิพลของสื่อ สังคม และวัฒนธรรมไปได้อย่างงง ๆ แต่จะว่าไปแล้วถ้าเราถามตัวเองดูดี ๆ ว่าถ้าไม่ต้องอาบน้ำเลยแต่ตัวเราสดชื่น มีกลิ่นหอม จนใคร ๆ ก็อยากเข้าใกล้ตลอดเวลา เราจะยังอยากอาบน้ำกันอยู่ไหมนะ ? หรือทุกวันนี้เราเลือกซื้อสบู่ ยาสระผมที่เหตุผลด้านความสะอาด หรือเลือกที่กลิ่นหอม บำรุงความงามกันแน่ ?

แต่ที่แน่ ๆ วันสองวันนี้คงมีคนไม่อาบน้ำโดยไม่รู้สึกผิดเพิ่มขึ้นแน่ ๆ อ้อ อย่าลืมแชร์ไปให้เพื่อนที่ขี้เกียจอาบน้ำเหมือนกันอ่านด้วยล่ะ 


ที่มา : buzzfeed.comhuffingtonpost.comtheatlantic.comthairath.co.th,today.com