เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Movie ReviewJaturaphat Wannapoporn
Sing Street รักใครให้ร้องเพลง

  • รายละเอียด

    ผู้กำกับ : John Carney

    ค่ายหนัง : FilmNation Entertainment

    หมวดหมู่ : Comedy, Drama, Music

    เรท : ทั่วไป

    ความยาว : 106 นาที

    ฉายในระบบ : 2D (Digital)

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

              เรื่องนี้โดน Hype มาหนักมากกกก ตอนที่ดูเทรลเลอร์ก็เฉยๆ นะ ชอบเพลงนิดหน่อย แต่พอใกล้ๆ ฉายกระแสก็มาดีเกิ๊นนน เพจนู้นเพจนี้ลงรีวิวให้คะแนนกัน 8 กัน 9 บ้างก็ 10 พอเวลาเหมาะเจาะลงตัวก็เลยขอตัวไปไหลตามกระแสสักนิด 

              Sing Street เป็นหนังเพลงรอมคอมที่ได้ผู้กำกับ John Carney ผู้เคยวาดลวดลายวาทยากรในหนังเพลงอย่าง Begin Again (รุ่ง) และ Once (ริ่ง) มากำกับ กลับมาคราวนี้แกคงอยากจะแก้มือจากเรื่อง Once ที่แกหนักมือไปหน่อย หนังเลยค่อนข้างลึก เมื่อลดความลึกแล้วมาผสมผสานกับกลิ่นอายฟีลกู้ดโลกสวยจ๋า Begin Again ก็ออกมาเป็นผลงานที่ลงตัวอย่าง Sing Street ซึ่งเป็นเรื่องราวช่วงยุค 80's ในประเทศไอร์แลนด์ของเด็กหนุ่มวัยสิบห้า Conor ในช่วงนั้น Ireland ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ผู้คนตกงานกันเป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่าเสาหลักของบ้านอย่างพ่อกับแม่ของ Conor ก็โดนเลิกจ้างเช่นกัน

              ความซวยจึงไปตกอยู่ที่บักหนุ่ม Conor ที่ต้องย้ายโรงเรียนไปยังโรงเรียนคาทอลิกของรัฐอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไอ่โรงเรียนนี้ก็พีคจัด สภาพสังคมนี่อย่างเถื่อน 555 แถมระเบียบเข้มด้วยนะ (กับบางคน) ดีที่ Conor ไม่สติแตกไปซะก่อนเพราะได้ความช่วยเหลือจาก Darren เด็กหนุ่มร่วมรุ่น หลังเลิกเรียนวันนั้น Conor ดันไปป๊ะกับสาวงามที่ยืนคาบบุหรี่เท่ๆ อยู่ตรงข้ามโรงเรียน Conor ไม่รอช้าโชว์มาดคาสโนว่าหนุ่มเข้าไปทักทาย แม้ Darren จะห้ามไว้แล้วว่าเจ้าหล่อนไม่คุยกับผู้บ่าวที่ไหนหรอก Conor ชวนเธอไปถ่ายมิวสิควิดีโอให้กับวงของเขา ซึ่งแม่งยังไม่ได้ตั้งขึ้นมาเลย แล้วสาวเจ้า Raphina ก็ดันตบปากรับคำไปซะด้วย (ไหนบอกไม่คุยกับใครฟ่ะ) หลังจากนี้เลยเป็นเรื่องราวของวงดนตรี "Sing Street" ที่ตั้งขึ้นมาเพราะ Conor อยากจีบสาว

              พอดูจบแล้วก็แบบ..... โอ้โหววววว!!! โคตรมีแรงฮึด แรงบันดาลใจมาเต็ม อยากเป็น Rockstar ขึ้นมาทันที หนังแม่งโคตรทรงพลังแถมยังส่งมาถึงคนดูแบบดีสุด ขนลุกพรึ่บๆ ว่ากันตามตรงตอนดูไม่รู้สึกว่ามันเป็นหนังเท่าไหร่ เหมือนเป็น Music Video ขนาดยาวเท่ากับหนังซะมากกว่า 55 เป็นหนังที่รู้สึกว่าแทบไม่มีการปูพื้นตัวละครเลย ยกเว้นก็แต่พระเอกของเราที่มีการปูเยอะหน่อย หนังเดินเรื่องแบบตะลุยไปข้างหน้าสุดๆ ช่วงแรกนี่แบบโคตรไวจนคาดไม่ถึง ว่าพี่จะรีบอะไรขนาดนั้น ไม่ค่อยจะมีการย้อนกลับมาพร่ำเพ้อเรื่องราวในอดีต แต่จะเป็นการหยุดพักเบรคเป็นช่วงๆ ให้เราได้ทำความรู้จักกับตัวละครมากขึ้น

     
    " John Carney แกสร้างหนังที่บิ๊วอารมณ์ได้โคตรเก่ง "
    " ตัวละครทุกตัวจะทำให้คุณหลงรัก "

     

              ผมว่าผู้กำกับ John Carney แกสร้างหนังที่บิ๊วอารมณ์ได้โคตรเก่ง ส่งผ่านฟีลลิ่งความรู้สึก ความฮึดสู้ฝันของตัวละครได้โคตรดี แกรู้จุด รู้จังหวะเร่งพลังให้กับหนัง โดยท่าไม้ตายของแกก็คือ เพลง คือมันถูกจังหวะมาก อารมณ์กำลังมาเพลงก็มา กำลังจะจุดพีคความดังก็เพิ่ม และผมก็ชอบเพลงในเรื่องนี้มากๆ มันหลากฟีลลิ่ง หลากแนว เพลงช้าก็เพราะ ซึ้ง เศร้า บิ๊วกำลังใจดี เพลงเร็วก็มันส์ สนุก ฮา จนอยากลุกขึ้นมาแด๊นซ์กลางโรง ที่สำคัญเนื้อเพลงมันดีมากๆ แถมพี่เจไดยุทธแกแปลได้ดีอีกต่างหาก และสิ่งหนึ่งที่ทำให้เพลงในหนังเรื่องนี้มันมีความหมายมากกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ก็เพราะพระเอกของเรา Conor แกแต่งขึ้นมาให้กับ Raphina แล้วมันจี้ถูกจุดของเนื้อเรื่องตอนนั้นพอดี (จี้ถูกจุดคนดูด้วย)

              อยากที่บอกไปว่าผู้กำกับแกไม่ค่อยปูพื้นตัวละคร แต่ผมก็ชอบนะ คิดว่าเป็นข้อดีอยู่เหมือนกัน อย่างหนึ่งคือไม่ต้องไปเสียเวลาโยงไปนู่นนั่นนี่มากมาย เนื้อๆ เน้นๆ ไปเลย แล้วก็อีกอย่างคือตัวละครที่แกสร้างขึ้นมาคาแรกเตอร์มันก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปปูพื้นให้ตัวละครซับซ้อนนุ่มลึกอะไร เอาแค่ที่เห็นอยู่ให้คนดูหลงรักแค่นี้พอ Conor เป็นตัวละครนึงที่ผมชอบมาก ดูเป็นตัวละครที่บริสุทธิ์แบบเด็กๆ แบบที่คิดอะไรก็ถ่ายทอดไปตรงๆ ชอบสาวก็จีบสาว รู้สึกยังไงก็แต่งเป็นเพลงแม่งเลย มีศิลปินในดวงใจก็แต่งตัวเลียนแบบไปเล้ย และอีกอย่างหนึ่งคือ Conor เหมือนเป็นตัวละครที่พยายามดึงเราเข้าไปเป็นเค้า ให้เรารับรู้เรื่องราวแบบเดียวกับเค้าอยู่ตลอดเวลา ผมว่ามันโคตรเจ๋งเลย

               ตัวละครต่อมาก็คือ Raphina นางเอกของเรื่อง ดูทีแรกๆ ก็เชิ่ดๆ หยิ่งๆ ไม่น่าคบหา แต่เป็นตัวละครที่มีมิติมากตัวนึง อายุน้อยแต่มีความเป็นผู้ใหญ่ กร้านโลกเบาๆ และเป็นตัวละครที่เป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ในหนังขึ้น จุดเด่นสุดของนางเลยคือ สวย สวยจริงไม่มีโม้ ตอนแต่งหน้าเบาๆ นี่น่ารักมาก และอีกตัวละครนึงที่รักมากก็คือ Brendan พี่ชายของ Conor เป็นตัวละครที่มีของเยอะสุดแล้ว เป็นเหมือนคนปลุกปั้นน้อง คอยประคับประคอง แนะนำชี้ทางให้น้องได้ดีตลอด แต่ตัวเองกลับไม่ประสบความสำเร็จ ถือว่าดาร์คสุดในเหล่าตัวละครทั้งหมดแล้วคนนี้ ท้ายสุดก็คือ Eamon โคตรตัวแย่งซีน ซึ่งเป็นเพื่อนรักนักดนตรีผู้เล่นได้ทุกอย่าง ด้วยความที่มีหน้าตาเป็นอาวุธและลุคการแต่งตัวสุดคูล การจะผูกใจสาวๆ ที่มาดูหนังนั้นไม่ยากเลย ผมเองดูแล้วยังคิดเลยว่า ทำไมกุเกิดมาไม่หน้าดีแบบนี้บ้าง?

     

    ปัญหาคือเธอไม่มีความสุขที่จะเศร้า นี่แหละมันคือความรัก Happy sad "
    ทำเอาผมทึ่งไปเลยนึกว่าหนังจะจบแล้ว 55 "
     

              อีกความสุขหนึ่งคือ การที่ได้เห็นประวัติศาสตร์วงดนตรีในยุค 80's (ซึ่งแม้ผมจะไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย) ดูแปลกใหม่ดีสำหรับผม แล้วเฮีย John แกใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้ได้แจ่มเลย นำมาสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวละคร หรือนำมาเปรียบเทียบ จิกกัดเป็นครั้งเป็นคราวบ้าง ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของพี่ชายตัวแสบ Brendan นั่นแหละ และชอบสุดคือแกเอามาทำให้คนดูฮาก๊าก ขำลั่นโรงกันสนั่นตอนที่เจ้าหนุ่ม Conor แกกำลังอินกับวงนั้นๆ แล้วแต่งตัวตามแบบสมาชิกวง ผมไม่ได้ขำที่แต่งตัวแบบนั้นนะครับ 55 ขำที่นึกถึงตัวเองเวลาอินกับอะไรก็ชอบทำแบบ Conor เหมือนกัน (บอกแล้วตัวละครนี้เจ๋ง)

              สำหรับประเด็นในหนังเรื่องนี้ถือว่ามีเยอะอยู่ ส่วนหนึ่งก็เพราะผู้กำกับเลือกใช้ช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ให้เป็นประโยชน์ ประเด็นมันก็เลยมีทั้งความรัก ชีวิตคู่ ความฝัน มิตรภาพ เผด็จการทางการศึกษา มุมมองต่ออาชีพ และอื่นๆ เยอะอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นงานยากเลย แต่แกก็ยังคุมอยู่ ผลัดกันเข้าผลัดกันออกได้ดี เยอะบ้างน้อยบ้างว่ากันไป ใช้คำพูดดีๆ คำคมก็เยอะ แถมดึงความพีคของประเด็นหลักๆ ออกมาได้สุดติ่งกระดิ่งแมว ขยี้เขย่าอารมณ์ซะเหลือเกิน และนี่เป็นหนังที่มีจุดพีคหลายรอบมาก แต่ชอบพีคแรกมากที่สุดซึ่งพูดถึงเรื่องความรัก "ปัญหาคือเธอไม่มีความสุขที่จะเศร้า นี่แหละมันคือความรัก Happy sad" คือโคตรคม แล้วแกเอาคำนี้ไปขยี้ต่อในพีคแรกของหนัง ทำเอาผมทึ่งไปเลยนึกว่าหนังจะจบแล้ว 55

              และท้ายสุดที่ต้องชมก็คืองานภาพอีกแล้ว เรื่องนี้มุมกล้องดีนะผมชอบ แถมถ่ายลองเทคบ่อยอยู่ สำหรับผมเสน่ห์ของลองเทคมันตราตรึงใจมากๆ การตัดต่อก็ยอดเยี่ยมอยู่ ทำเอาคนดูไม่อยากละสายตาไปจากหนังเลย ที่ชอบสุดเลยก็โลเคชั่นในไอร์แลนด์ ที่สวยก็สวยไปเลย แบบบ้านเรือน เมือง ธรรมชาติ ท้องทะเล ที่แบบดิบๆ เถื่อนๆ ก็เยี่ยม อย่างโรงเรียน ตามตรอกซอย แบบเปลี่ยว รก ดูดิบสุดๆ ในเรื่องนี้มี CG เบาๆ ตอนท้ายด้วย แต่ไม่แจ่ม 55 ส่วนงานคอสตูมก็แจ่มแจ๋วอยู่น้าา ถึงไม่ระดับมาสเตอร์พีช แต่เอาคนดูให้ร้องอู้หู้อยู่ในใจได้เหมือนกัน

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    คะแนน

    คะแนนจาก Koma : 8.8/10

    คะแนนจาก IMDb : 8.3/10 จากผู้โหวต 3,700 คน

    Metascore จาก IMDb : 79/100

    คะแนนจาก Rotten Tomatoes : 97% => Fresh!!!

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    You can never do anything by half
    do you understand that?


    ตอนนี้ให้เรื่องนี้เป็นที่สุดของหนังที่ผมชอบในปีนี้เลย

    บทอาจไม่ลึกลับซับซ้อน แต่มันง่ายๆ คมๆ และสร้างแรงผลักให้เรากล้าที่จะก้าวออกไปได้อย่างรุนแรง

     

    สุดท้ายนี้ถ้าผิดพลาดประการใดก็กราบขออภัยนะครับ -/\-

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in