เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ยามรัก มักมีสุขbburnchat
เป็นยาม ก็ต้องพยายาม
  • บอยเป็น รปภ. ที่กำลังสับสนเเละเบื่อหน่ายกับชีวิต

    ตอนนี้สบายดีมั้ย ก็สบายเเหละ
    เเต่ก็อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูกแฮะ
    อยากลองเป็นหมาดูบ้างจัง
    ทำไมเกิดเป็นคนมันมีเรื่องให้คิดเยอะอย่างนี้นะ
    คิดเรื่องตัวเองไม่พอยังต้องคอยคิดเรื่องคนอื่นอีก
    ไม่รู้จะสนใจทำไมนักหนา ชีวิตตัวเองยังเอาไม่รอดเลย

    “ เมื่อไหร่ผมจะมีความสุข ”

    เเดดอ่อน ๆ สีส้มยามเย็นเริ่มทำหน้าที่ของมัน
    ตรงดิ่งสาดส่องเข้ามาผ่านกระจกใส
    เส้นเเสงวิ่งตรงมาใส่รองเท้าหนังด้าน ๆ
    ที่ดูก็รู้ว่าเจ้าของไม่ได้สนใจที่จะขัดมัน
    ขาสองข้างที่พาดยาวอยู่บนโต๊ะดูแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว
    นาทีที่เงียบสงบ เสียงใบไม้กระทบลมอ่อน ๆ
    นกเล็กใหญ่เริ่มบินกลับเข้ารัง

    “ ก๊อก ก๊อก ก๊อก ”

    เสียงเคาะกระจกดังขึ้น 3 ครั้ง
    ดังพอที่จะทำให้ผมลืมตาตื่นด้วยความตกใจ
    เเละยืนขึ้นทำท่าตะเบ๊ะให้กับอาจารย์ท่านนี้อย่างรวดเร็ว
    อาจารย์หญิงดูมีอายุ จากลักษณะคร่าว ๆ น่าจะสอนภาษาไทย
    ซึ่งมักจะแวะมาปลุกเเละมาคุยมาบ่นกับผมทุกครั้งเวลาแกจะกลับบ้าน
    ถ้าแกโทรฟ้องเจ้านายขึ้นมานี่ผมงานเข้าเเน่
    ผมจึงรีบบ่ายเบี่ยงไปเหมือนทุกครั้งว่าเเค่พักสายตาเฉย ๆ
    ซึ่งแกก็ไม่ได้ตำหนิอะไรเพิ่มเติมนอกเสียจากบ่นเรื่องภาระงานตัวเอง
    เเละเรื่องการเตรียมการสอนสำหรับการเปิดเทอมวันเเรกในวันพรุ่งนี้

    เปิดเทอมวันเเรกเหรอ ก็คงเหมือนกับ 1 เดือนที่ผ่านมานั่นเเหละ
    เเต่รถกับเด็กคงจะมากขึ้นนิดหน่อยมั้ง ผมคิด

    เข็มสั้นของนาฬิกาชี้มาที่เลขห้าบ่งบอกว่าถึงเวลาออกเวรเเล้ว
    ผมรีบจัดการยัดเสื้อที่น่าจะหลุดรุ่ยระหว่างงีบเข้าในกางเกง
    มือเอื้อมหยิบกระเป๋าบนพื้นสะพายคาดไหล่
    พร้อมกับขยำหูฟังเเบบลวก ๆ ยัดใส่กระเป๋ากางเกง
    จากนั้นก็รีบเดินออกมาจากโรงเรียนเพราะผมรอเวลานี้มาทั้งวัน

    อีกเดี๋ยวลุงศักดิ์ที่เฝ้ากะดึกก็คงจะมา
    “เจอกันพรุ่งนี้นะกี้ ฝากหวัดดี้ลุงศักดิ์ด้วย” ผมหันมาบอกลากี้ตามปกติ
    “หงึง” กี้ตอบ จากนั้นกี้ก็ล้มตัวลงนอนบนพื้นข้าง ๆ ป้อมยามอย่างสบายใจ


    ที่พักของผมเป็นห้องเช่าเล็ก ๆ อยู่บนชั้น 2 ของบ้านเก่า ๆ หลังหนึ่งซึ่งทางบริษัทได้จัดหาไว้ให้
    ด้วยราคาที่ไม่สูงกับระยะทางที่ไม่ไกลไปจากโรงเรียนมากผมจึงไม่ได้ติดขัดอะไร
    ขอแค่มีเตียงกับห้องน้ำผมก็อยู่ได้สบายมาก

    ระหว่างเดินกลับผมแวะเซเว่นเพื่อซื้อมาม่า 2 ห่อ สำหรับมื้อเย็น
    เเละหยุดยืนพิจารณาหน้าตู้เเช่เบียร์อยู่ครู่หนึ่ง
    “ไว้ก่อนละกัน รอเงินเดือนออกจะจัดซักลังนึง”
    รีบ ๆ จ่ายเงินจะได้กลับไปกินข้าวอาบน้ำนอนสักที
    ผมตั้งสมาธิไม่ให้สมองต้องการขนมหรืออะไรเพิ่มเเล้วเพราะจะเกินงบของวันนี้
    ผมวางมาม่าลงบนเคาน์เตอร์ มือล้วงกระเป๋าหาเศษเหรียญเพื่อจะจ่ายค่าอาหารเย็น

    “บอยเหรอ”

    ยังไม่ทันจะสแกนของต่าง ๆ พนักงานเซเว่นมองมาที่ผม
    น้ำเสียงเธอดูไม่ค่อยมั่นใจว่าผมใช่ บอย คนนั้นที่เธอเคยรู้จักหรือเปล่า
    “น....น้ำ”
    ผมอ้ำอึ้ง ทำตัวไม่ถูก แฟนเก่าที่เลิกรากันไปกว่าครึ่งปีแล้วทำไมจู่ ๆ ถึงมาเจอกันตอนนี้
    ชีพจรเริ่มเต้นแรงจนรู้สึกได้ เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากรูขุมขน
    ทะลุเครื่องแบบสีฟ้าออกมาตรงกลางเเผ่นหลังและใต้วงเเขน
    โชคดีเเค่ไหนแล้วที่มีเคาน์เตอร์เเละสินค้าต่าง ๆ กั้นเราสองคนเอาไว้

    “ดูโทรม ๆ หรือเปล่า เลิกกันเเล้วไปเป็นยามเนี่ยนะ”
    น้ำถาม พลางก้มหน้าสแกนมาม่าที่วางอยู่อย่างชำนาญและหยิบใส่ถุงพลาสติกให้อย่างรวดเร็ว

    “เอ่อ..... ใช่ ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรดี”
    ผมยิ้มแห้งๆ และตอบไปอย่างติดขัด ขณะปาดเหงื่อบนหน้าผากไป 2 ที
    พลางคิดในใจว่าขนาดนอนก็เยอะ วัน ๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรแล้วโทรมขนาดนี้ได้ไงเนี่ย

    “มาเข้าเวรที่โรงเรียนข้าง ๆ นี้เหรอ” 
    น้ำยิ้มให้ผมเเละถามด้วยน้ำเสียงที่สดใสผิดกับอารมณ์ของผม

    “ใช่ ๆ” 
    ผมรีบตอบ

    “แล้วเป็นไงบ้าง” 
    น้ำถามต่อ

    “ก็ดี เอ่อไม่ดีขนาดนั้น ก็เฉย ๆ แต่ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ เพิ่งมาอยู่ได้เดือนกว่าเอง
    แต่พรุ่งนี้เห็นว่าเด็กจะเปิดเทอมแล้ว ไม่รู้จะเป็นไงบ้าง”
    ผมตอบอย่างลนลานและรีบวางเหรียญ 10 กับเหรียญบาทอีก 2 เหรียญ
    เพื่อทำการนำมาม่า 2 ห่อนั้นมาเป็นของผมอย่างสมบูรณ์และรีบออกไปจากที่นี่ 

    “ดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะ แล้วดีขึ้นบ้างไหม ชีวิต”
    น้ำหันมามองหน้า สายตานี้ผมรู้จักดี มันคือสายตาที่เปี่ยมไปด้วยคำถามอันหนักแน่น
    ไม่ต่างอะไรกับวันนั้นเลย ช่วยด้วยผมไม่ไหวแล้ว

    “ไม่รู้ดิ” ผมรีบตอบ ซึ่งผมก็ไม่รู้จริง ๆ
    “โอเค สู้ ๆ นะ”
    แถวเริ่มยาวน้ำจึงรีบตัดบทสนทนา
    เเละดูเหมือนว่าน้ำจะดูออกว่าผมกำลังสำลักกับคำถามเดิม
    ที่เธอเคยถามเมื่อนานมาเเล้ว ใช่สิ เธอดูออกเสมอ

    “แล้วเจอกัน”
    ผมบอกลาแบบเท่ห์ ๆ ให้เธอสบายใจ
    ไม่ทันจะได้สบตา ผมรีบพาตัวเองหนีออกมานอกเซเว่นอย่างรวดเร็ว
    จนนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบมาม่า 2 ห่อออกมาด้วย

    ยังไม่ทันจะกลับหลังกัน น้ำก็วิ่งตามผมออกมาจนทัน
    มือหนึ่งคอยจับผมที่ยาวประบ่าไว้ไม่ให้ปลิวมาบังใบหน้า
    มืออีกข้างยื่นถุงพลาสติกที่ข้างในมีมาม่าสองห่อของผม
    พร้อมกับพูดประโยคที่จะฝังอยู่ในหัวของ รปภ. อย่างผมไปอีกนานว่า 

    “นี่น่ะเหรอ รปภ. ที่ดูแลโรงเรียน เเค่มาม่ายังดูแลไม่ได้เลย”
    น้ำแซวผมอย่างขบขัน
    แก้ม 2 ข้างยิ้มปริจนทำให้ตาเธอเเทบจะปิด
    ราวกับว่าเรื่องเเย่ ๆ ในอดีตที่ผมเคยทำไว้กับเธอไม่เคยเกิดขึ้น
    ให้ตายสิ ทำเหมือนผมเป็นเด็กอีกเเล้ว
    สีหน้าเเบบนั้นชวนให้คิดถึงจริง ๆ
    แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้จะเอ่ยปากชมเธอเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกเเล้ว
    จริง ๆ ผมอยากตอบกลับไปว่า

    “ถ้ายังคบกันอยู่ เราคงอยากดูเเลเธอให้ดีกว่าโรงเรียนเเล้วก็มาม่าพวกนั้นอีก”
    ว่าไปนั่น ไร้สาระเเถมทำไม่ได้จริงหรอก
    ก็เลยต้องตอบไปว่า
    “มาม่าเเค่ 2 ห่อไม่ต้องใส่ถุงพลาสติกก็ได้นะ เป็นพนักงานเซเว่นก็หัดดูเเลโลกซะบ้าง”
    ผมเปลี่ยนเรื่องเเละรู้สึกว่าคำตอบนี้ทำให้ผมดูดีที่ได้ใส่ใจเเละคิดถึงโลกที่เราอาศัยอยู่

    “จ่ะ " น้ำตอบสั้น ๆ เเละหัวเราะ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในเซเว่น

    ผมยิ้ม ก่อนเเผ่นหลังที่คุ้นเคยนั้นจะค่อย ๆ เดินกลับเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ



    เช้าอีกวันที่ผมตื่นขึ้นมาด้วยความไม่เต็มใจ
    เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์สร้างความหงุดหงิดให้ผมเเต่เช้า
    เวลาตี 4 มองออกไปนอกหน้าต่างท้องฟ้ายังคงมืดสนิท
    ถ้าได้นอนต่อบอกเลยว่าฝันดีเเน่นอน
    ผมตะเกียกตะกายลุกออกจากที่นอนอย่างเกียจคร้าน
    ฝืนตัวเองไปอาบน้ำเเละเเต่งตัวให้เรียบร้อย
    ไม่มีเวลาเหลือให้คิดหรือทำอะไรมากเพราะอีกไม่ถึงชั่วโมงก็ได้เวลาเปลี่ยนกะกับลุงศักดิ์เเล้ว

    แวะซื้อข้าวเหนียว 2 ห่อ ไก่ทอดหาดใหญ่ 2 น่อง น้ำเต้าหู้อีก 1 ถุง
    ไม่มีอะไรดีไปกว่าการนั่งกินมื้อเช้าในตอนเช้าอีกเเล้ว
    อย่างน้อยคนอย่างผมก็คงห่างไกลจากโรคกระเพาะล่ะนะ

    ขณะที่สายตาล่องลอยทะลุผ่านกระจกของป้อมยาม
    ผมมองไปบนท้องฟ้าที่เริ่มจะสว่างขึ้นทุกที
    กลิ่นน้ำเต้าหู้ร้อน ๆ ผสมกับไอชื้นบนหญ้ายามเช้าชวนให้จมดิ่งลงสู่ห้วงความคิดลงเรื่อย ๆ
    ทำไมชีวิตช่างว่างเปล่าอย่างนี้
    ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป
    เรี่ยวเเรงเริ่มหมดลงไปทุกวัน
    ไม่ใช่เเรงกาย เเต่คงจะเป็นเเรงใจ

    เช้านี้ผมมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการยกไม้กั้นรถขึ้นเมื่อมีรถเข้ามาในโรงเรียนอย่างไม่ขาดสาย
    ทำท่าตะเบ๊ะให้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง อาจารย์
    ไม่เว้นเเม้เเต่เด็กนักเรียนที่ทยอยเดินเข้ามากันเรื่อย ๆ ในวันเปิดเทอมวันเเรก

    สำหรับผมเเล้วนี่ช่างเป็นเช้าที่งานเยอะผิดปกติแตกต่างไปจากวันก่อน ๆ เหลือเกิน
    ไม่มีเวลาให้คิดเรื่องไร้สาระเท่าไหร่เลย
    การได้ทำหน้าที่ต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างเต็มที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็น รปภ. มากขึ้น
    อาจเพราะต้องทำนู่นทำนี่อยู่ตลอดเวลาไม่ได้มัวนอนฟังเพลง ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่าน
    หรือเผลองีบเเละตื่นมาดูนาฬิกาเป็นพัก ๆ จนรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายเเละใจเหมือนเมื่อก่อน 

    ซึ่งก็ดีเเล้วเพราะการได้ทำอะไรสักอย่างบ้างเกือบทั้งวันทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย
    อย่างน้อยก็มากกว่าก่อนหน้านั้นล่ะนะ 

    เป็นเวลาบ่ายสาม รถผู้ปกครองเริ่มขับเข้ามารอรับเด็ก ๆ กันอีกเเล้ว
    จากโรงเรียนที่เเทบจะไร้ชีวิตเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้ตรงหน้าผมเต็มไปด้วยสีสัน
    เด็ก ๆ มากมายที่ส่งเสียง เคลื่อนไหว เดิน วิ่ง หัวเราะ ดูจากป้อมยามเก่า ๆ ตรงนี้มองไปก็รู้ชัดเลยว่า
    เวลาเลิกเรียนไม่ว่าจะเป็นเด็กคนไหน ๆ ก็ดูสดใสเต็มที่ 
      
    เว้นเสียเเต่เด็กคนหนึ่งที่ผมเห็นนั่งตรงนั้นมาซักพักเเล้ว
    เด็กผู้ชายใส่หมวกแก๊ปสีเเดงคนนี้ท่าทางดูไม่ร่าเริงเเละมีพลังเหมือนสีหมวกเอาซะเลย


    ผมยกไม้กั้นรถขึ้นค้างไว้เเละเดินตรงไปที่เด็กคนนั้นหวังว่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง
    “ยังไม่กลับบ้านเหรอ” 
    ผมเอ่ยถามขณะที่กำลังจะนั่งยอง ๆ ข้าง ๆเด็กน้อย
    “อือ” 
    เด็กน้อยตอบสั้น ๆ จากนั้นก็เอนหลังลงไปบนผืนหญ้าขณะที่สายตามองไปบนท้องฟ้า
    “รอใครอยู่ล่ะ” 
    ผมถามเพื่อหาเรื่องคุย
    “รอพ่อน่ะสิ รอนานเเล้วด้วยผมรอตั้งเเต่ 3 โมง นี่ 4 โมงกว่าเเล้วยังไม่เห็นจะมา”
    เด็กน้อยตอบด้วยเสียงห้วนๆ
    “รอจนเหนื่อยเเล้วเนี่ย รอเฉยๆ เเบบนี้ผมเบื่อจะเเย่เเล้ว” 
    เด็กน้อยพูดต่อ
    “หาอะไรเล่นกับพี่ไหม ระหว่างรอคุณพ่อ” 
    ผมพยายามชวน

    ทั้งสองเงียบไปสักพัก

    “อยากลองเป็นหมาจัง นอนได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ อยู่เฉย ๆ ก็มีคนรัก เดี๋ยวอีกสักพักก็ได้กินอาหาร
    หมามันยังดูมีความสุขกว่าผมอีก”
    เด็กน้อยตัดพ้อ สายตามองไปทางเจ้ากี้ที่ตอนนี้มีกลุ่มนักเรียนหญิง 2 คนนั่งลูบหัวมันอยู่

    ผมคิดได้อย่างเดียวเลยว่า ถึงเด็กคนนี้จะไม่เหมือนผมเเต่ความรู้สึกนี้ผมเข้าใจดีอย่างสุดหัวใจ

    “ไม่หรอก คุณพ่ออาจจะติดธุระอยู่ก็ได้ ในป้อมยามพี่มีลูกบอลแฟบ ๆ อยู่ลูกหนึ่ง
    มาช่วยพี่สูบลมมันหน่อยสิ” 
    ผมเปลี่ยนเรื่องทันทีและรีบวิ่งไปหยิบลูกบอลเก่า ๆ ในป้อมยามกับที่เติมลม
    ซึ่งน่าจะเป็นของยามศักดิ์ที่เเกเอาไว้เติมลมจักรยานมาใช้

    “จับไว้นะ” 
    ผมบอกให้เด็กน้อยจับลูกบอลไว้
    ผมใส่เเรงไปกับเครื่องสูบเก่า ๆ นี่ประมาณ 10 กว่าครั้ง 
    จนลูกบอลมีลมมากพอที่จะกระเด้งกับพื้นได้

    ผมยิ้มให้เด็กน้อย
    เด็กน้อยยังคงหน้าบึ้งตึงขณะกระเด้งลูกบอลใส่พื้น

    “เตะเลย” 
    ผมยื่นให้เด็กน้อยพร้อมกับรีบถอยหลังห่างไปนิดหน่อย
    “เตะใส่พี่เหรอฮะ” 
    เด็กน้อยตะโกนถาม
    “ใช่ รู้สึกแย่ไม่ใช่เหรอ เตะมันมาเลยเดี๋ยวพี่รับไว้ให้”
    ผมตะโกนตอบพร้อมกับทำท่าเหมือนผู้รักษาประตูมืออาชีพ

    ตูม !! 

    เด็กน้อยเตะเข้าไปเต็ม ๆ กลางลูกบอล 
    ราวกับว่าความรู้สึกทั้งหมดนั้นอัดเเน่นอยู่ภายในลูกบอล

    ส่งผลให้ลูกบอลพุ่งมาเร็วพอจนทำให้ผมต้องสปริงตัวไปรับทางด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว
    “ดีมาก เอาอีกสักทีมั้ย” 
    ผมถาม
    “ได้เลย รับให้ได้นะ” 
    เด็กน้อยตะโกนตอบพร้อมกับสีหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

    ตูม !!! 

    โดนเข้ากลางบอลอีกครั้ง คราวนี้ลูกบอลพุ่งไปทางขวา ผมรับได้อีกครั้ง
    “เก่งจัง ทำไมพี่รับได้ทุกลูกเลยล่ะฮะ” 
    เด็กน้อยตะโกนถาม
    “ถ้ารับไม่ได้เดี๋ยวลูกบอลก็กระเด็นไปโดนอย่างอื่นน่ะสิ พี่เป็น รปภ. นะ” 
    ผมตอบไปอย่างเท่ห์

    ผมโยนกลับไป แล้วลูกบอลก็ถูกเตะมา
    วนไปวนมาอยู่อย่างนี้หลายต่อหลายรอบ
    รู้สึกตัวอีกทีพวกเราก็เตะบอลเเละหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
    นึกไม่ออกเลยว่าผมหัวเราะเเละยิ้มกว้างขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

    ผมรู้สึกชอบตัวเองตอนนี้นะ

    อีก 10 นาที 5 โมงผมพาเด็กน้อยมานั่งตากพัดลมที่ป้อมยาม
    พลางนั่งคุยกันไปและลูบหัวกี้ไปด้วยอย่างเอ็นดู
    “ขอบคุณนะฮะ พี่ยาม” 
    เด็กน้อยพูดไปลูบหัวกี้ไป

    “ขอบคุณอะไร เเค่เตะบอลฆ่าเวลาเอง” 
    ผมตอบ

    “แต่สำหรับผมมันมีความหมายมาก ๆ เลยนะฮะ ผมสนุกสุด ๆ ไปเลย”
    เด็กน้อยพยามพูดให้ผมเชื่อ

    “จริงเหรอ ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น”
    ผมดีใจมาก 
    ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกนี้ทำให้น้ำตาผมไหลออกมา

    “อ๊ะ พ่อมายืนรออยู่นู่นเเล้ว ผมไปก่อนนะฮะ” 
    เด็กน้อยรีบวิ่งออกไปเเละหันมาโบกมือให้ผม

    “พรุ่งนี้มาเล่นกันใหม่นะฮะ !! ” 
    เด็กน้อยตะโกน

    ผมทำท่าตะเบ๊ะกลับไปเเบบเท่ห์ ๆ
    ดูนาฬิกา 5 โมงพอดี ได้ออกเวรเเล้ว

    คงเป็นอะไรสักอย่างในตัวผมตอนนี้ที่ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนไป
    รู้สึกว่ามันจะสดใสเเละสวยงามกว่าวันก่อน ๆ มาก
    ผมมีความสุขจริง ๆ
    ช่างหัวเงินเดือนเเล้ว 
    วันนี้ขอซื้อเบียร์ไปซดบนห้องสักกระป๋องดีกว่า

    “บอย” 
    เสียงใส ๆ อันเเสนคุ้นเคยแว่วดังมาจากข้างหลัง
    “น้ำ” 
    ผมหันไปตอบเเละโบกมือทักทาย
    “ออกเวรเเล้วเหรอ” 
    น้ำถาม
    “ใช่” 
    ผมตอบ
    “วันนี้ดูแปลกไปนะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ” 
    น้ำถาม

    ผมยิ้ม เเละตอบว่า 

    “ ก็วันนี้เป็นวันที่มีความสุขมาก ๆ เลยน่ะสิ ” 

    น้ำยิ้ม

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in