เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
about DUNKIRK (fiction):฿lackcatt.
Lost and Unfound (Farrier x Collins)



  • The Battle of Dunkirk
    Date 26 May – 4 June 1940
    Location Dunkirk, France



    Base on Dunkirk movie



    ถ้าหากเพียงได้รู้ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย

    ฉันก็คงทำได้ดีกว่าแค่พูดทักทาย

    แต่เพราะฉันไม่รู้...

    ความรู้สึกที่ควรจะอยู่ในประโยคสุดท้าย

    ‘เธอไม่เคยได้ยิน’




    1. Before Now



    คอลลินส์ชอบสีฟ้า ที่เหมือนดังนัยน์ตาของเขา เฉกเช่นท้องฟ้ากว้างใหญ่ ผืนน้ำทะเล...



    เขาชอบมอง...แต่เขาไม่ได้อยากสัมผัสมัน



    
บางสิ่งบางอย่าง...แค่มองอย่างเดียวก็พอแล้ว



    การทำงานกับกองทัพ เป็นสิ่งสุดท้ายที่คอลลินส์คิดจะทำ หากเลี่ยงได้ เขาก็อยากจะเลี่ยงมัน—แต่ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างนั้น ในเมื่อสงครามยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะยอมแพ้ไปเสียก่อน



    เพราะถ้าหากยอม—นั่นหมายถึงการยอมศิราโรปในทุกด้าน การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ การใช้ชีวิตประชาชนอาจจะโดนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือถูกทำเป็นเชลยทาส กลายเป็นแรงงานให้ฝั่งศัตรู ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น



    คอลลินส์ชอบเรียนหนังสือ พูดให้ถูกคือเขาชอบอ่าน ชอบเรียนรู้ และขี้สงสัย ตั้งคำถามกับทุกอย่างเพื่อให้ได้คำตอบ มันจึงส่งผลให้ผลการเรียนอยู่ในระดับดีเยี่ยมมาเสมอ



    และเพราะผลการเรียนนั่น...ทำให้เขาจับพลัดจับพลูมาอยู่ในกองทัพได้ กลายเป็นนักเรียนทหารอากาศ สุดท้ายก็คือทหารอากาศ รอเวลาได้ออกไปรับใช้ชาติ



    "เฮ้อ"



    คอลลินส์ถอนหายใจกับตัวเอง ขณะกำลังนั่งพักบนปีกของสปิตไฟร์ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการซ้อมบิน เพราะเบื้องบนมีคำสั่งให้ทีมฟอร์ติสเตรียมตัวบินไปคุ้มกันการอพยพทหารที่ดันเคิร์กในวันพรุ่งนี้



    พูดให้ถูกคือหลาย ๆ ทีมก่อนหน้าได้ปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นไปแล้ว คราวนี้ถึงตาพวกเขา—ทีมฟอร์ติสและทีมอื่น ๆ ถูกจัดอันดับขึ้นบินตามตารางเวลา สองนาฬิกา



    แต่เขาไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย—ให้ตายเถอะ



    เก่งทฤษฎีน่ะใช่ แต่การปฏิบัติจริงมันไม่ง่ายอย่างนั้น



    ถึงแม้จะซ้อมมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง หรือจะเคยขึ้นบินจริงมานับไม่ถ้วนก็ตาม



    "คอลลินส์"



    หันไปมองต้นเสียง เป็นรุ่นพี่ที่อยู่ในตำแหน่งฟอร์ติส 1



    "เตรียมตัวได้แล้ว เดี๋ยวเราจะบินกลับกองทัพกัน ไม่อยากไปถึงตอนมืดค่ำ"



    'แฟริเออร์'
    เดินมาบอกรุ่นน้อง แต่คอลลินส์ก็ไม่ได้ขยับไปไหน เอาแต่เหม่อมองทุ่งหญ้ากับท้องฟ้าเบื้องหน้าเช่นเดิม



    "ฟอร์ติสลีดเดอร์วิทยุมาเรียกแล้วนะ"



    คอลลินส์หันมามองแฟริเออร์ที่ตอนนี้เดินมาใกล้ตัวเขาที่นั่งห้อยขาอยู่ตรงปีกเครื่องบิน



    "อือ"



    "เป็นอะไรหรือเปล่า"



    "เปล่า—"



    กล่าวปฏิเสธ แต่ก็รู้ว่าปิดบังไว้ไม่ได้อยู่ดี



    "อันที่จริง..." คอลลินส์เม้มปาก หันไปสบตาแฟริเออร์เพียงแวบเดียวก็เบือนหน้าหนีดังเดิม



    "กอดหน่อย"



    "หือ?"



    "ขอกอด" ไม่รอได้คำตอบ เขาก็ยื่นแขนไปโอบกอดเอวคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เสียแล้ว



    "มีใครเคยบอกไหมว่านายอ้วนเหมือนหมี"



    "ไอ้เด็กนี่"



    แฟริเออร์ผลักหัวเด็กกวนประสาทออกจากตัว แต่ดูเหมือนสองแขนนั้นจะรัดแน่นขึ้นอีก



    "แล้วมีใครเคยบอกว่านายเหมือนหมาน้อยตัวหนึ่งไหมล่ะ"



    "ก็นายไง"



    เป็นอันว่าจบการต่อล้อต่อเถียงเพียงเท่านี้ แฟร์ริเออร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนเขาก็นั่งเงียบปล่อยให้ลมโกรกพัดต้นไม้ใบหญ้าจนเกิดเสียง และอ้อมกอดที่อบอุ่นนั้น...ยังคงอยู่อย่างเดิม



    คอลลินส์ไม่เคยชอบความรู้สึกนี้



    ความรู้สึกที่เบาหวิวในใจ เหมือนจวนจะปลิดปลิวหายไปในอากาศ เหมือนมันเลือนรางเต็มที เขาไม่อยากให้สิ่งสำคัญใดก็ตามในชีวิตต้องสูญหาย ไม่สิ— หากถามใครก็คงตอบเหมือน ๆ กัน ว่าเขาหรือไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลยจริง ๆ



    “คอลลินส์”



    “อือ”



    “ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”




    /




    2. At That Time



    “ทีมฟอร์ติสเตรียมตัว!”



    เสียงพูดคุยของเหล่าเพื่อนนักบินดังจอแจ ทว่าเสียงคำสั่งยิ่งดังกว่าเพราะใช้ไมค์ประกาศ เสียงดังออกมาจากห้องควบคุมการบินที่มีบัญชีรายชื่อทีมต่าง ๆ บนกระดานดำ เราเสียเพื่อนไปทีมแล้วทีมเล่า บางคนอาจอยู่รอดปลอดภัยด้วยความโชคดี...บางคนอาจจะไม่...แต่ถึงอย่างไรก็โดนเรียกปฏิบัติการเรื่อย ๆ ตามลำดับอยู่ดี



    ดูเหมือนว่าทีมฟอร์ติสจะเป็นทีมสุดท้ายของวันนี้



    คำนวนจากเวลาไปกลับ คงไม่สามารถส่งทีมอื่นให้ปฏิบัติการต่อได้อย่างแน่นอน ฟ้ามืด, แสงเหลือน้อย ทำให้ทัศนวิสัยแย่ เสี่ยงอันตรายเปล่า ๆ



    “คอลลินส์” แฟร์ริเออร์เดินมาหาเขาที่กำลังจะใส่ชูชีพ



    “ว่าไง?”



    “นาฬิกานาย— ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”



    คอลลินส์หันไปสนใจเพื่อนในทีม



    “ฟาร์เรียร์ นี่นาฬิกานายหยุดเดินอีกแล้วเหรอ?”



    “มันก็ไม่ได้หยุดขนาดนั้น ยังไงล่ะ—คือมันเดินอยู่กับที่ หยุด ๆ เดินๆ”



    “อะไรของนายวะ” ส่ายหัวแล้วเดินดุ่ม ๆ ไปจับนาฬิกาข้อมือยี่ห้อโอเมก้าที่แฟร์ริเออร์ผูกไว้กับเสื้อชูชีพ




    นาฬิกาเรือนเก่า—เข็มวินาทีเดินอยู่กับที่




    “ถ้าเขย่าไม่ก็ตบ ๆ กับมือสักหน่อย มันก็กลับมาเดินได้เหมือนเดิมนั่นแหละ”



    “ทีมฟอร์ติสเตรียมตัวเสร็จหรือยัง ไปที่ลานบินได้แล้ว อีกสิบนาทีขึ้นบิน”



    เสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้ง คอลลินส์จึงยกแขนขึ้นมาปลดนาฬิกาข้อมือของตนเองออก



    “เอาของฉันไป”



    “จะบ้าหรือไง อีกต้้งสิบนาทีกว่าจะขึ้นบิน ฉันกลับไปเอาอีกเรือนที่ที่พักก็ได้” แฟร์ริเออร์เบี่ยงตัวหนีคอลลินส์ที่พยายามมาแกะเรือนที่ห้อยอยู่



    “แต่งตัวเต็มยศจนอ้วนเป็นหมีขนาดนี้ ให้ตายยังไงก็ไปไม่ทันหรอกฟาร์เรียร์“



    “ไม่เป็นไร—“



    “เถอะน่า! เร็ว ๆ เข้า! อย่าชักช้าได้ไหมล่ะ ก่อนที่จะโดนด่ากันหมด แค่เอาของฉันไปแล้วเอาของนายมา ฉันวิทยุถามนายได้ตลอดอยู่แล้วนี่”



    เขารู้ว่าแฟร์ริเออร์เป็นคนอย่างไร เห็นอย่างนี้เจ้าตัวเป็นคนรักความสมบูรณ์แบบและรอบคอบกว่าใคร ๆ แถมยังชอบดูเวลาอยู่ตลอดด้วย คงไม่ดีแน่หากตนเองต้องเป็นฝ่ายถามเวลาจากตัวเขาหรือฟอร์ติสลีดเดอร์



    “ตอนนี้แลกนาฬิกากันไปก่อน กลับมาแล้วฉันจะซื้อเรือนใหม่ให้ ส่วนนาฬิกาของฉัน...เอากลับมาคืนด้วย เข้าใจไหม?”



    คอลลินส์พูดสั่งขณะผูกนาฬิกาของตนเองไว้กับเสื้อชูชีพของคนตรงหน้า จากนั้นก็เอานาฬิกาที่เข็มเดินอยู่กับที่มาตั้งเวลาให้ตรงกัน แล้วจัดการใส่ที่ข้อมือของตนเอง



    เอามาคืนด้วยนะ” พูดย้ำอีกรอบ พร้อมสบตากับใครอีกคน



    “เข้าใจแล้วครับ” แฟร์ริเออร์พยักหน้า ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อย



    ไม่มีคำอวยพร



    ไม่มีคำบอกลา



    ไม่ต้องมีอะไรเลย



    เพราะที่สุดแล้ว...บนฟ้านั่น...พวกเราจะยังคงอยู่ด้วยกัน



    และแฟร์ริเออร์ก็รับปากกับเขาแล้วด้วย





    /




    อย่างวันนั้น...ฉันไม่รู้จริง ๆ

    ว่ามันเป็นวันสุดท้ายที่ได้เจอกัน

    เธอกับฉัน...จะไม่ได้พบกันต่อไป





    3. After That



    บนท้องฟ้านั่น...เราจะอยู่ด้วยกัน



    'Bandit – eight o'clock.' — Farrier



    'Break.' — Fortis Leader



    'He's on me! — Collins



    'And I'm on him–' — Farrier



    'Clear.' — Farrier



    'Is he down?' — Collins



    'Down for the court – ' — Farrier



    'Fortis 2, what's your fuel?' — Farrier



    'Fifty gallons, over.' — Collins



    'Fifty gallons. Alright, keep letting me know – my gauge took the knock back there, over.' — Farrier



    'Should you turn back?' — Collins



    'No, No, I'm confident it's just the gauge.' — Farrier



    'Forty gallons, Fortis I, over.' — Collins



    'Forty gallons, understood.' — Farrier



    'I'm going down.' — Collins



    'I'm on him – bail out.' — Farrier



    'The swell looks good, I'm ditching.' — Collins



    'He's turned tail, I'm after him –' —Farrier



    'Good luck. Watch your fuel...Fifteen gallons.' — Collins



    'Fifteen gallons, understood...' — Farrier



    'Best of luck, Collins.' — Farrier



    'Collins, Do you read?' — Farrier






    ติ๊ก...ต่อก...ติ๊ก...ต่อก...
    ติ๊ก...ต่อก...ติ๊ก
    หยุด.

    ติ๊ก...ต่อก...ติ๊ก...ต่อก...
    ติ๊ก...ต่อก...ติ๊ก

    หยุด.




    /





    ความรู้สึกที่ควรจะอยู่ในประโยคสุดท้าย

    จึงอยู่กับฉันมาถึงวันนี้...จนถึงตอนนี้

    ตอนที่ฉันพูดกับเธอไม่ได้

    และไม่ว่าฉันพยายามมากแค่ไหน

    ทุกครั้งก็จบด้วยการร้องไห้





    4. End



    เข็มนาฬิกาหยุดเดินโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว



    ผมสังเกตเห็นมัน...เมื่อยกแขนขึ้นมาดู ตอนที่เอาตัวเองมานั่งบนรถไฟแล้ว



    เข็มวินาทีอาจจะเดิน ๆ หยุด ๆ จนกระทั่งสปิตไฟร์กระแทกกับน้ำกระมัง



    หน้าปัดแตกร้าว— ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าตนเองเผลอเอาแขนไปฟาดอะไรตอนไหน



    วันแล้ววันเล่า...ผมเฝ้ารอ...



    รอฟังข่าวคร่าว, รอให้ใครบางคนกลับมา



    รอคอย—อย่างมีความหวัง ปล่อยให้เวลาหมุนผ่านไป



    นาฬิกาเรือนเก่ายังคงรอเจ้าของของมันกลับมาใช้งาน



    ผมเองก็เฝ้ารอนาฬิกาเรือนนั้นของตนเอง



    "ฉันบอกให้นายเอานาฬิกามาคืนไง"



    "ไหนบอกว่าเข้าใจ แล้วทำไมไม่กลับมา"



    "กลับมาสิ"



    “กลับมาเดี๋ยวนี้แฟร์ริเออร์”



    เมื่อพวกเราออกเดินทางไปดันเคิร์ก ผมก็สวดภาวนา ขอให้พระเจ้าคอยคุ้มครองผู้ชายคนนั้น



    ผมบอกพระองค์ว่าเขาเป็นคนพิเศษ แต่พระองค์ก็ยังปล่อยให้เขาตาย



    เมื่อได้ทราบข่าว—ผมจึงตัดขาดจากพระเจ้า ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกโบสถ์ และกลายเป็นคนไม่เชื่อพระเจ้า



    ผมตัดสินใจว่าจะไม่เชื่อในพระเจ้าที่ปล่อยให้สิ่งเลวร้ายขนาดนั้นเกิดขึ้นกับแฟร์ริเออร์



    ถ้าหากมีใครสักคนต้องตาย...



    คนคนนั้นสมควรเป็นผม—ไม่ใช่เขา



    'Should you turn back?' — Collins



    ถ้าแฟร์ริเออร์บินกลับตั้งแต่ตอนนั้น



    'Good luck. Watch your fuel...Fifteen gallons.' — Collins



    ถ้าผมได้เอ่ยคำลา



    'Best of luck, Collins.' — Farrier



    ถ้าผมรู้—ว่านั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่จะได้ยินแล้วนะ



    'Collins, Do you read?' — Farrier



    ผมคงตอบกลับไป



    "ได้ยิน...ฉันได้ยินเสียงของนายแจ่มชัดเสมอ"



    "มันไม่เคยหายไปเลย"



    "เสียงของนายตอนนั้น"



    "ฉันจำได้ดี"



    เพียงแต่ว่า...ผมไม่เคยรู้อะไรเลยนี่สิ



    ถ้าหากรู้...ก็คงได้บอกลา



    ถ้าหากรู้...คงได้เฝ้ามองใครคนนั้นที่บินเคียงคู่



    ยังคงเหม่อมองฟ้าสีเทา, ผืนน้ำทะเลกว้างใหญ่ด้วยใจหวังว่าจะมีใครกลับมา



    แม้จะไร้เงาและตัวตนของเขาก็ตาม.





    END.





    Note: 1. ถ้าฟังเพลงก่อน อาจจะอินมากขึ้นค่ะ

    2. เพิ่งเคยแต่งฟิคที่ไม่ใช่ฟิคเกาหลี หากข้อมูลไม่แน่น หรือภาษาแปลก ๆ ต้องขออภัยนะคะ เพราะฟิคน้อยเหลือเกิน ไม่ไหวเลยต้องผลิตเอง ;-;

    3. พาร์ท 1-3 จะบรรยายโดยสรรพนามบุคคลที่ 3 ส่วนพาร์ทสุดท้าย จะบรรยายด้วยสรรพนามบุคคลที่ 1 คือตัวคอลลินส์เอง เนื่องจากต้องการแสดงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครค่ะ

    4. เนื้อเรื่องทั้งหมดเน้นความคิดความรู้สึกของคอลลินส์ค่ะ เศร้าจัง ._.

    5. บทสนทนาจากในหนังที่ยกมา เราขออนุญาตไม่แปลนะคะ คิดว่าส่วนใหญ่น่าจะรู้กันอยู่แล้ว ถ้าไม่แปลมันจะได้อรรถรสกว่า

    Research: นาฬิกาโอเมก้า (http://timetransformed.com/2017/08/04/dunkirk-omegas-pilots-watches/)
    (อันนี้รูปพี่แฟร์ค่ะ นาฬิกาห้อยที่เสื้อชูชีพเด้อ https://orig08.deviantart.net/3622/f/2017/153/b/0/dunkirk_total_film_cover_custom_textless_by_sachso74-dbban9m.jpg)

    Ref: การกล่าวถึงพระเจ้า (ไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่ความเชื่อของผู้อ่านบางท่านนะคะ แค่ได้ไอเดียจากเนื้อเพลง หมุน — Greasy Cafe' ที่ว่า 'ความเชื่อไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริง' เฉย ๆ ค่ะ)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
kulpatrauma (@kulpatrauma)
พออ่านถึง "...ส่วนนาฬิกาของฉัน...เอากลับมาคืนด้วย เข้าใจไหม?” แล้วเราหยุดกึกเลยค่ะ อาจจะเพราะรู้ตอนจบอยู่แล้วด้วยล่ะมั้ง แถมจบด้วยการที่เจ้าหมาน้อยไม่มีโอกาสได้บอกลาพี่หมีอีก /ทรุด
ingkychaw (@ingkychaw)
อยากจะโอ๋คอลลินส์ ดูโทษตัวเองแต่มันไม่ใช่ความผิดเราเลยนะ ;__;

เราเองก็เพิ่งผันมาเป็นสายผลิตเพราะคู่นี้ฟิคน้อยจริงๆ มาช่วยกันผลิตเพิ่มนะ555
liliesmusee (@liliesmusee)
อ่านวนกลับไปกลับมา แล้วรู้สึกอิ่มๆกับความ bitter sweet ของสองคนนี้ แล้วพอเห็นบทหนัง กับความคิดไปด้วยก็ยิ่งหน่วงๆ T_T / แต่ถึงจะหน่วงๆก็ชอบอยู่ดี ฮือ ขอบคุณค่ะ

ปล . นี่ก็ฟังเพลง ครั้งสุดท้าย แล้วไปต่อด้วย เรื่องจริง (- sin ) ปวดใจไปอีกก 5555