เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
มรรคาแห่งธรรมNoi Beleza
ความจริง 10 ประการ

  • บทความ : อาจารย์พศิน อินทรวงศ์ 

    1. แท้จริงแล้วสุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากใครทำ ..
    ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก
    แต่เกิดจากการกระทบกันของ
    "ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ"

    ปัจจัยภายนอกเป็นเพียงตัวแปร
    ปัจจัยภายในได้แก่ สติ คือสาเหตุใหญ่

    ถ้าสติไม่แข็งแรง ก็มีความทุกข์ได้ทั้งนั้น
    เมื่อสติแข็งแรง จะเห็นการทำงานของ
    "ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ" ที่มากระทบเรา
    จิตย่อมไม่เสวยอารมณ์ อันเป็นเหตุของสุข ทุกข์
    สุขทุกข์จึงถูกปรับสมดุลให้อยู่ในภาวะเป็นกลางสิ่งนี้เรียกว่า ความเบิกบาน

    2. ความเป็นเรา เป็นเขา
    คือ กระบวนการปรุงแต่งของจิต
    แท้จริงแล้ว ตัวเราไม่มีอยู่
    คำว่าตัวเราไม่มีอยู่นี้
    เป็นสิ่งที่สามารถตรวจสอบได้จากการฝึกจิต
    ความเป็นตัวเรานั้นเปรียบเหมือนรถยนต์หนึ่งคัน
    เมื่อจับล้อไว้ทางหนึ่ง
    เครื่องยนต์ไว้ทางหนึ่ง
    ประตู ตัวถังไว้ทางหนึ่ง
    เมื่อจับแยกส่วน ความเป็นรถยนต์ก็หมดไป

    เมื่อฝึกสติจนแยกกาย ความคิด และจิต
    ออกจากกันได้
    ความเป็นตัวเราก็หมดไปด้วย
    ผู้ยึดมั่นถือมั่นก็หมดไปด้วย
    ความทุกข์ทั้งปวงก็เป็นอันยุติ

    3. เราทั้งหลาย ล้วนเกิดมานับล้านๆๆๆชาติ
    ลัวนเคยเกิดเป็นคนรวย คนจน ราชา พระ ยาจก
    เป็นคนฉลาด เป็นคนโง่เขลา เป็นคนพิการ
    เป็นคนรูปงาม เป็นชาย/หญิง เป็นกระเทย/ทอม
    เป็นนักบุญ เป็นมหาโจร
    เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก
    เปรต อสูรกาย เทวดา เคยเป็นมาทุกอย่าง
    ดังนั้น ถ้าชาตินี้เกิดมาดี
    ก็ไม่ได้แปลว่าชาติหน้าจะดี
    ชาตินี้อาจเป็นมหาเศรษฐี
    ชาติหน้าอาจเกิดเป็นสัตว์นรก
    ชาตินี้อาจเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ชาติหน้าอาจเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในตระกูลสูง

    ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิด
    จงอย่าลำพองใจว่า เรานั้นดีแล้ว ประเสริฐแล้ว
    เพราะแท้จริง ไม่มีใครเลยที่ดีกว่าใคร
    ทุกคนล้วนอยู่ในความเสี่ยงทั้งสิ้นในวัฏสังสาร

    4. จิตสุดท้ายก่อนตาย
    เป็นสิ่งชี้วัดว่าชาติหน้าเราจะไปเกิดเป็นอะไร

    ขณะที่จิตสุดท้ายเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุด
    ในวินาทีสุดท้ายความเศร้า ความกลัว
    ความสงสัย การยึดติด และความเจ็บปวด
    จะดึงมนุษย์ให้ไปปฏิสนธิจิตในภูมิเบื้องต่ำ
    ได้แก่ นรก เปรต อสูรกาย เดรฉาน

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า..
    ผู้ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหลังจากตายไปแล้ว
    มีเท่าจำนวนเม็ดทรายที่ปลายนิ้ว
    ส่วนทรายที่เหลือบนปฐพี
    เทียบได้กับผู้ที่ตายแล้วไปจุติในอบายภูมิ
    เปรียบดั่งว่าคนทั้งหมดที่เรารู้จัก
    จะไม่มีใครเลยที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
    ไม่เว้นแม้กระทั้งเราเอง!!!

    5. ชีวิตที่เราเห็นอยู่ เป็นชีวิตชั่วคราว
    เมื่อเราตาย สิ่งที่เราหามาด้วยความลำบาก
    ทั้งบัาน ที่ดิน เงินทอง สมบัติต่างๆ
    สามี ภรรยา ลูกหลาน ญาติพี่น้อง มิตรสหาย
    ไม่มีอะไรเลยที่เราสามารถนำติดตัวไปได้

    คำถามสำคัญที่เราควรต้องคิด คือ
    "ทุกวันนี้เราใช้เวลาที่มีเพื่อสิ่งใด"
    เวลาเกือบทั้งหมดของเรามุ่งไปสู่สิ่งที่
    เราไม่สามารถนำติดตัวไปได้

    เป็นข้อเตือนใจ เตือนตนว่า
    เราควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเร่งด่วน

    6. บุญบาปเป็นของมีจริง
    ทุกการกระทำของเรา ย่อมส่งผลสะท้อนกลับ
    ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า

    เราคิด พูด ทำสิ่งใดลงไป จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
    มิได้จารึกไว้เพียงโลกนี้
    มันจะจารึกไว้ในสังสารวัฏ ในจิตของเรา

    เราจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งการกระทำของตนเองตลอดการเวียนว่ายตายเกิด
    ดังนั้น พึงระวังคำพูด การกระทำของเรา
    ไว้ให้มากกว่าที่เป็นอยู่

    7. ทุกคนที่เราเห็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ
    มิตรสหาย ผู้คนทั้งคนที่รู้จัก และไม่รู้จัก
    ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด
    ไม่มีใครเลยที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
    ไม่มีใครเลยที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
    และตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิด
    เราและเขา จะได้พบกันอีก
    ไม่ฐานะใดฐานะหนึ่ง
    ทำดีกับเขาวันนี้ จะพบกันในเส้นทางที่ดี
    ทำร้ายเขาในวันนี้ ก็จะต้องตามจองเวรกันต่อไป

    ดังนั้น คำว่า "เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย"
    เป็นคำที่มีนัยยะสำคัญกว่าที่เราคิดไว้หลายเท่า
    จงมองผู้อื่นให้เหมือนครอบครัวของท่าน
    นั่นคือ หนทางที่ดีที่สุด

    8. เมื่อการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง
    การบริหารจัดการชีวิตของเรา
    ก็สมควรเป็นการบริหารจัดการชีวิต
    ที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่เน้นหนักชาติใดชาติหนึ่ง

    ชาตินี้ก็ต้องกินต้องใช้
    แต่ชาติหน้าก็ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด
    กิจกรรมบางอย่าง อาจส่งผลดีสูงสุดในชาตินี้
    แต่ชาติหน้าอาจทำให้ท่านไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่อัตภาพความเป็นมนุษย์

    ดังนั้นเราควรถามตนเองว่า
    วันนี้เราได้เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
    ในชาติหน้าบ้างแล้วหรือยัง

    9. เวลาที่เราเห็นตรงหน้า
    มีเพียงปัจจุบัน วินาทีต่อวินาที
    เมื่อเวลาเคลื่อนเลยไป
    ไม่มีใครสามารถนำช่วงเวลานั้นกลับมาใช้ซ้ำได้

    อดีต ไม่มีจริง
    อดีต..คือภาพจำที่เรานำมาคิดซ้ำๆในเวลาปัจจุบัน

    อนาคตก็ไม่มีจริง
    อนาคต.. คือการปรุงแต่งในปัจจุบันของเรา

    จงจำไว้เสมอ ชีวิต คือเรื่องสดใหม่
    ตัวท่านมีอยู่เพียงปัจจุบัน
    การอยู่กับปัจจุบันจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง
    ในชีวิตของท่านได้

    และนี่คือกุญแจเพียงดอกเดียว
    ที่จะไขความลับของชีวิต
    "จงอยู่กับปัจจุบันจนถึงที่สุด"
    (มีสติและสัมปชัญญะ)
    แล้วชีวิตจะเป็นของท่านอย่างแท้จริง

    10. เป้าหมายของการเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร
    บ้างบอกว่า ..
    ฉันเกิดมาเพื่อมีความสุข
    ฉันเกิดมาเพื่อสร้างสิ่งดีงามไว้ให้โลก
    ฉันเกิดมาเพื่อคนที่ฉันรัก

    นั่นก็เป็นสิ่งที่จะคิดกันไปตามภูมิปัญญา
    แต่ละคนก็มีเป้าหมายชีวิตที่แตกต่างกันไป

    สำหรับพระพุทธเจ้า ท่านได้ฝากเป้าหมายไว้ให้มนุษยชาติอย่างชัดเจน

    เป้าหมายของการเกิดเป็นมนุษย์
    ในทัศนะของพระพุทธเจ้า ก็คือ
    "การดับกิเลส และทำที่สุดแห่งทุกข์ให้แจ้ง"
    คือการดับความไม่รู้ หรืออวิชา
    อันเป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
    ตลอดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ

    ขอให้เชื่อเถอะว่า..
    เราเคยตั้งเป้าหมายชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน
    ทุกเป้าหมาย ทุกความปราถนา ทุกความสำเร็จ
    ทุกความอยากมี อยากดี อยากได้ อยากเป็น
    เราล้วนเคยบรรลุมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น

    คงเหลือเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น
    ที่เรายังไม่เคยบรรลุ
    นั่นคือเป้าหมายแห่งการไม่เกิด ไม่ตาย

    จงหยุดคิด พินิจ ใคร่ครวญ
    ด้วยสัมปชัญญะของท่าน
    อัตภาพความเป็นมนุษย์
    คือ สิ่งล้ำค่าอันหาที่สุดมิได้
    ทุกวันนี้ท่านกำลังใช้สิ่งล้ำค่าที่ว่า
    เพื่อแสวงหาสิ่งใดอยู่หรือ!!!

    ???




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in