เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[FICTION] ด้วยรัก จากเราwinter in PARIS
Your Silly Dog
  • Dear Seine 


    Life sucks without you 

    And I can’t get used to it.


    Your Silly Dog 

    ปีหน้าไปปารีสกัน’ 

    เขาว่าอย่างนั้นตอนที่เราสองคนนั่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในห้องพักของฟินน์ที่เกาหลี ท่ามกลางอากาศหนาวจัด สัมผัสอบอุ่นยังมอบผ่านมือใหญ่ๆ ของเขามายังมือน้อยของเธอ อบอุ่นเสียยิ่งกว่าฮีตเตอร์เสียอีก 

    ‘ไปทำไม’ เธอถาม เอนหลังพิงอกเปลือยๆ ของเขาภายใต้ผ้าห่มผืนหนา มือของฟินน์ข้างหนึ่งจัดการยกกาแฟขึ้นมาดื่มจนหมด ก่อนวางแก้วไว้ข้างตัว แล้วจับมือของเธอไว้ทั้งสองข้าง ประสานไว้ตรงหน้าท้องของแซนดังเดิม 

    ‘แซนก็รู้’ เขาว่า ทอดสายตามองมายังใบหน้าของแซน พลางยกมือขึ้นปัดผมที่ปรกหน้าของหญิงสาวให้ออกไป 

    ‘ทำไม’ เธอถาม ‘จะขอแต่งงานกันหรือไง’

    ‘ก็ใช่ไง’ เขายอมรับโต้งๆ เรียกเสียงหัวเราะในลำคอของเธอได้เป็นอย่างดี 

    ‘นี่ฟินน์จะไม่เซอร์ไพรซ์แซนหน่อยหรอ’

    ‘พอขอจริงเดี๋ยวแซนก็ร้องไห้อยู่ดีอะ บอกไว้ก่อนดีกว่า จะได้เตรียมตัวเลือกเสื้อผ้าสวยๆ ไป’

    ‘ไม่ใส่ SOS’ เธอสวนทันควัน ‘เดรสเกาะอกชมพูอะไรนั่นอะ ไม่เอาแล้วนะ’

    ‘ไม่ต้องก็ได้คุณ คุณใส่กางเกงยีนส์ก็ได้ แต่ผมขอเสื้อขาวนะ จะได้ถ่ายออกมาสวยๆ’ 

    ‘ไม่ดัดผมนะ’

    ‘ไม่ต้องดัด คุณมัดหางม้าหรือจะถักเปียก็ได้ ฟินน์ชอบหมดแหละ’

    ‘ปากหวาน’

    ‘จริง’ เขาพยักหน้า ‘ลองอีกมั้ย?’ 

    ‘ลองอะไรอีกล่ะ’

    ‘Morning kiss’

    ‘ทะลึ่ง’

    ‘นะ’

    เธอหรี่ตามอง ก่อนปีนขึ้นตักของคนเจ้าเล่ห์ที่นั่งยิ้มอยู่ จัดการคร่อมตักของเขาไว้ แล้วเป็นฝ่ายมอบจูบให้กับฟินน์ทั้งๆ ที่เพิ่งด่าเขาไปนั่นแหละ 

    จูบของเราเจือไปด้วยรสขมของกาแฟ แต่นั่นไม่ได้ทำให้แซนชอบจูบของฟินน์น้อยลงเลย เธอยังคงจัดการมอบสัมผัสรักให้กับเขาผ่านจูบนั้นไม่หยุด ก่อนจะเริ่มต้นไล้จูบร้อนไปตามนวลแก้มและไรหนวดอ่อนๆ ของเขาบนคาง 

    ‘ดีจัง’ 

    ‘จูบแซนบ้าง’ แซนขอ จัดการถอดยางรัดผมของตัวเองออก แล้วเอียงคอให้ฟินน์ทำตามคำขอของตัวเอง

    เขาเลิกคิ้ว

    ‘ให้จูบคอหรอ’

    ‘อื้อ’

    ‘มาแปลก’ เขาว่า ‘ปกติไม่ชอบนี่’

    ‘ก็จะกลับไทยแล้ว.. ทำให้หน่อย’ 

    ฟินน์ขำ แต่ก็ยอมทำตามที่แซนขอ 

    มารอบนี้แซนขี้อ้อนกว่าเดิม หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันมาหลายเดือน -- แถมฟินน์ยังไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยเพราะตารางงาน ดังนั้นนี่จึงเป็นหนึ่งในไม่กี่ชั่วโมงที่เราได้อยู่ด้วยกัน 

    เขาพรมจูบไปทั่วร่างกายของแซน เริ่มตั้งแต่ลำคอ นวลแก้ม หน้าผาก ไปจนถึงริมฝีปาก.. ณ ตอนนั้นเองที่มือของเธอเริ่มต้นซุกซน และจัดการเอ่ยคำรักอย่างเคยชิน

    ‘แซน’ เขาเรียก ‘เอาจริงหรอ’

    ‘อื้อ..’ เธอพยักหน้า 

    ‘วันนี้บินแล้วนี่’

    ‘อีกตั้งหลายชั่วโมง’ เธอว่า ปรือสายตามองอย่างเว้าวอน ‘นะ เดี่ยวก็ไม่ได้เจอกันอีกตั้งนาน’ 

    เขายิ้ม 

    ‘งอแง’ 

    ‘ก็คิดถึง’ แซนยอมรับอย่างโต้งๆ และนั่นทำให้ฟินน์ตัดสินใจเลิกขัดแม่คุณ ยกสะโพกของแซนขึ้นแล้วจัดการอะไรๆ ให้มันเสร็จสักที 

    เขายังจำใบหน้าของเธอได้ -- วันนั้นหน้าสวยๆ ของแซนระเรื่อสีแดงจัด ปากเล็กๆ พูดให้เขาบอกรักเธอไม่หยุด 

    ‘ชอบมั้ย’ เขาเงยหน้าขึ้นถาม มองเห็นแซนพยักหน้า เอ่ยกระซิบถาม ‘กินยาคุมมามั้ย’ 

    แซนเงียบ ยังคงจับมือของฟินน์ให้เล่นซนกับเธอไม่หยุด ขณะที่มือของเธอเองก็เล่นกับเขาอยู่เช่นเดียวกัน 

    ‘ไม่ได้กิน..’

    ‘..'

    ‘ไม่เป็นไรก็ได้ ไม่ท้องหรอก แซนนับวันแล้ว’

    บางทีฟินน์ก็อาจจะผิดเองที่เชื่อแซน 

    เพราะกลายเป็นว่าวันนั้นเรารักกันซ้ำๆ โดยไม่ได้ป้องกันนอกจากรอบแรกของวัน หรือแม้กระทั่งตอนที่ฟินน์บินกลับไทยมา เราก็ยังรักกันอย่างแนบชิด โดยที่แซนเองก็ไม่ได้ร้องขอให้เขาป้องกันอะไร

    สิ่งเดียวที่แซนเรียกร้องคือขอให้ฟินน์บอกรักเธอซ้ำๆ 

    จำได้ว่าฟินน์พูดในรถตอนที่เราเสร็จรอบสุดท้ายด้วยซ้ำ ว่า ‘จะไปขอแต่งงานที่ปารีสนะ แต่ถ้าท้องก็รอลูกคลอดก่อน แล้วค่อยขอก็ได้’

    ‘เพ้อเจ้อ’ แซนว่า ทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่บนอกของเขา 

    ‘พูดจริง’

    ‘…’

    ‘รักนะครับ’ 


    .

    .

    .

    .

    .


    เราห้าคนเบียดกันอยู่ในรถฮอนด้าแจ๊สของแซน ทว่าสิ่งที่ทำให้อึดอัดไม่ใช่การที่ผู้ชายตัวโตๆ กับคนท้องต้องอยู่ในรถแคบๆ คันเดียวกัน แต่คือความเงียบระหว่างคนที่นั่งข้างหลังคนขับอย่างฟินน์ กับคนที่นั่งข้างคนขับอย่างแซนต่างหาก 

    จัสตินที่เป็นคนขับรถลอบสบสายตากับเพื่อนอีกสองคนอย่างยูตะกับดีนผ่านกระจกหลัง มองเห็นความกระอักกระอ่วนสะท้อนชัดจากใบหน้าของคนทั้งคู่ โดยเฉพาะจากยูตะที่ไม่เคยเก็บสีหน้าได้เลยสักครั้ง 

    ถ้าแซนหันมามอง มันจะเห็นว่าเพื่อนลูกครึ่งญี่ปุ่นกำลังทำหน้าเหมือนโลกจะถล่ม แต่อีแซนกลับยังนั่งร้องไห้เงียบๆ เป็นนางเอกเอ็มวีอยู่คนเดียวเสียอย่างนั้น 

    จัสตินเห็นว่าบัดนี้ฟินน์ที่นั่งอยู่ข้างดีนกำลังทำหน้าเหมือนจะฆ่าใครสักคนให้ได้ มันกอดอก ก้มหน้าเล็กน้อย และช้อนสายตามองอีแซนที่ยังนั่งร้องไห้อยู่ไม่หยุด -- สายตาแบบนี้จัสจำได้ว่าเป็นสายตาเวลาที่ไอ้ห่านี่โกรธ เคยเห็นครั้งล่าสุดคือตอนมันทะเลาะกับดีนเมื่อหลายปีก่อนนั่นแหละ ไม่คิดว่าวันนึงจะได้เห็นอีกเหมือนกัน 

    จัสแอบถอนหายใจ.. เขาเกลียดความเงียบยิ่งกว่าขี้ ดังนั้นจัสตินจึงตัดสินใจกดเปิดวิทยุ 

    ‘บอกว่ารักรัก รักฉันโกหกทั้งนั้น’ 

    จัสตินหยุดหายใจ แอบมองไปยังดีนกับยูตะผ่านกระจกมองหลังอีกครั้ง พบว่าดีนถลึงตาใส่แทนคำว่าไอ้ควาย จึงกระแอมแล้วจัดการเปลี่ยนคลื่น 

    ‘วันนี้ทุกอย่างฉันรู้ทันเธอ’ 

    ไอ้ชิบหาย

    เปลี่ยนยังไงวะ 

    ดูเหมือนดีนจะรู้ว่าจัสโง่ มันจัดการเอื้อมตัวมากดปุ่มเปลี่ยน โดยมียูตะถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

    ‘แค่น้ำตา ไหลริน แค่เสียใจ ที่ได้ยิน’

    “ไอ้สัส กูชอบพี่วีมาก” ยูตะยิ้มร่า ปรบมือเหมือนเด็กๆ แถมยังส่งเสียงวู้วๆ เพื่ออัพฟีลเพื่อนและรุ่นน้องตามแบบฉบับของประธานเชียร์ โดยมีจัสตินยิ้มแล้วโยกหัวตามจังหวะช้าๆ อย่างน่าเวทนา และเอาจริงๆ นะ ดูจากดาวอังคารใครก็รู้ว่ามันเจื่อน แต่จะให้จัสทำยังไงล่ะวะ นอกจากเฮฮาตามยูตะไปด้วย 

    ส่วนดีนก็นั่งนิ่ง

    ‘ว่าเธอไม่ ต้องการ จะอยู่’

    จัสตินหันไปมองข้างๆ อีแซนยังคงนั่งซึม 

    ส่วนฟินน์ที่นั่งอยู่ข้างหลัง 

    รายนั้นยังมองแซนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน 

    ‘แค่ฉันยัง ไปที่เดิม’

    ‘แค่ฉันยัง ดูรูปเดิม’ 

    ‘แค่ฉันยัง.. หวังให้เธออยู่’ 

    จัสตินหน้าซีด 

    เขามองเห็นฟินน์หลับตา มันกำลังหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันหน้าหนี ทอดสายตามองไปยังบรรยากาศรถติดด้านข้าง 

    จัสเคาะพวงมาลัย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเคาะไปรถก็ไม่หายติด


    ‘แต่ให้ฉุดให้รั้งเท่าไหร่ เธอคงไม่เปลี่ยนใจ’

    ‘จะให้เธอทั้งหัวใจ เธอคงไม่รับไป’ 


    “แซน” ฟินน์สวนขึ้นมาทันทีที่ท่อนสุดท้ายของฮุคแรกจบ จัสเห็นว่ายูตะแสร้งทำเป็นมองไปยังหน้าต่างข้างตัวมันบ้าง ส่วนดีนที่ดูจะนิ่งกว่าพวกเราทุกคน นิ่งอยู่เสมอ และไม่สะทกสะท้านกับเรื่องเหี้ยอะไรทั้งนั้นกำลังยกโทรศัพท์ขึ้นมากด ดูก็รู้ว่ามันกดแก้เจื่อน 

    ส่วนจัสติน 

    จัสจัดการกดปิดวิทยุ ทำเป็นขับรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

    เพราะรู้ดีว่าแทรกไปก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้พ่อกับแม่เขาจะคุยกัน 


    แซนไม่ตอบ 

    และนั่นทำให้ฟินน์หงุดหงิด -- เพราะหลังจากที่เรากอดกันกลางโรงพยาบาลแล้ว ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แซนยังคงไม่ยอมตอบคำถามอะไรเขาสักอย่าง แถมยังทำท่าจะเดินหนีกันไปอีกรอบอีกต่างหาก จนฟินน์ต้องกระชากข้อมือแซนมาคุยอีกรอบด้วยอารมณ์หงุดหงิดมากกว่าเดิม

    ถ้าจัสติน พี่ดีน พี่ยูตะไม่มาเจอก่อน ฟินน์ว่าฟินน์คงได้ตะโกนคุยกับแซนตรงนั้น แต่นับว่าโชคดีที่พี่ดีนมีสติมากพอ เลยจัดการลากทั้งเขาและแซนให้ขึ้นรถไปคุยที่บ้านของแซนแทน

    บ้านของแซน 

    ฟินน์แค่นหัวเราะ 

    เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแซนมีบ้านที่เชียงใหม่.. จริงๆ ก็ไม่รู้เหี้ยอะไรทั้งนั้นแหละ 

    ก็ในเมื่อแซนไม่พูด 

    ดวงตาเรียวของเขายังจับจ้องไปที่ใบหน้าด้านข้างของแซน เธอไม่ได้หันกลับมา แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าแซนกำลังร้องไห้อยู่อีกตามเคย 

    “ทำไมไม่ตอบอะ” เขาถามย้ำ “ไม่คิดจะคุยกันหน่อยหรอ” 

    “จะคุยอะไร” แซนตอบ ยังไม่ยอมหันกลับมาดังเดิม 

    เขาเม้มปาก 

    หัวใจเต้นระรัวด้วยความหงุดหงิด 

    “แซนคิดอะไรอยู่” ฟินน์ถาม “ทำไมถึงไม่ยอมบอกสักคำว่าท้อง” 

    เธอเงียบ 

    “แซน”

    “จะรู้ไปทำไม” 

    เขาได้ยินเสียงพี่จัสตินถอนหายใจ จึงรู้สึกตัวว่ารถคันนี้ไม่ได้มีเพียงเขากับแซน แต่ถึงจะตระหนักได้ ก็ไม่ทำให้ฟินน์หายหงุดหงิดได้เลย เพราะบัดนี้ความโกรธดูจะเอาชนะสติทุกอย่าง สิ่งเดียวที่ฟินน์อยากจะรู้คือแซนคิดอะไรอยู่ถึงทำแบบนี้ 

    เขากระตุกยิ้ม แล้วเลิกคิ้ว 

    “แซนยังจะถามอีกหรอว่าจะรู้ไปทำไม”

    “…”

    “ฟินน์เป็นพ่อเด็กนะเว้ย! แซนยังจะมาถามอีกหรอ” และนั่นคือครั้งแรกที่ฟินน์ตะโกน 

    สัมผัสได้ว่าพี่ยูตะสะดุ้งเฮือก ส่วนพี่ดีนก็หันขวับมาวางมือลงกับไหล่อันสั่นเทาของเขา

      ฟินน์มีมารยาทมากพอที่จะไม่สะบัดสัมผัสนั้นของพี่ดีนออก -- เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโมโหใส่คนที่ไม่ได้ผิดอะไร แต่ตอนนี้สติของฟินน์ไม่ได้มีมากพอที่จะห้ามตัวเองไม่ให้โมโหใส่แซน ดังนั้นสิ่งที่เขาทำตอนนี้จึงมีแต่เพียงปล่อยความโกรธให้ออกมาผ่านน้ำเสียงในประโยคไม่น่าฟังต่อมาเท่านั้น

    “หายไปครึ่งปี ไม่ติดต่อมาสักคำ ฟินน์นึกว่าแซนตายไปแล้วด้วยซ้ำ”

    “…”

    “ไม่เคยบอกว่าหายไปทำไม ไม่มีการพูดเหี้ยอะไรเลย ทิ้งให้ฟินน์เป็นเหี้ยอยู่คนเดียวครึึ่งปี”

    “…”

    “ตอนนั้นฟินน์น่าจะตายๆ ไปให้จบๆ เนอะ อยากรู้ว่าแซนจะมางานศพกันมั้ย” เธอหันมามอง 

    ใบหน้าสวยที่คุ้นตาบัดนี้ระเรื่อสีแดงและประกายแห่งความโกรธจัดในดวงตา เธอมุ่นคิ้วเข้าหากันและเม้มปากแน่น 

    “โกรธหรอ?” เขาถาม สบสายตาเข้ากับดวงตากลมอันแข็งกร้าว ที่บัดนี้เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “โกรธก็ด่าฟินน์ดิ”

    “ฟินน์พูดจบรึยัง”

    “ก็รอแซนพูดอยู่ไงครับ พูดสิ” เสียงของฟินน์ดังขึ้นเรื่อยๆ และมันก็ดังมากพอที่จะเรียกให้น้ำตาของแซนไหลออกมาโดยที่เจ้าตัวยังคงจ้องมาที่เขาเขม็ง 

    “มึงๆ ไม่อยากขัดนะ แต่ถึงแล้ว” จัสตินแทรก “มึงคุยกันไปเลย จะคุยกันไหน ในนี้หรือในบ้าน แต่กูขออย่างเดียวนะ อย่าฆ่ากัน” 

    พี่ยูตะเป็นคนแรกที่เปิดประตู ตามด้วยพี่ดีนที่ก่อนลงไม่ลืมตบไหล่ของเขาเบาๆ 

    จัสตินลงเป็นคนสุดท้าย โดยยังไม่ยอมดับเครื่องรถ และไม่ลืมที่จะเปิดกระจกไว้ด้วย 

    มันมองเขาด้วยความลังเลสักพัก แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้ทั้งฟินน์และแซนอยู่ด้วยกันตามลำพังในรถคันเล็ก 

    ความเงียบเกิดขึ้นอย่างน่าอึดอัด ก่อนที่เขาจะเป็นคนโพล่งออกมาก่อนอีกครั้ง 

    “แซนพูดสิวะ”

    “เลิกตะโกนได้มั้ย” 

    “แล้วทำไมแซนไม่พูด”

    “…”

    “แซนหายไปครึ่งปีนะเว้ย ครึ่งปี ฟินน์เป็นบ้าอยู่ครึ่งปี พอมาเจอกันอีกทีแซนก็ท้อง แซนคิดว่าฟินน์ควรจะทำยังไง ให้นั่งเฉยๆ หรอ แซนบ้าปะวะ!”

    “…”

    “หายไปไม่พูด ไม่เคยพูดเหี้ยอะไรเลย ท้องแล้วมันยังไงหรอ นั่นไม่ใช่ลูกฟินน์หรือยังไง คิดว่าฟินน์ไม่รู้สึกเหี้ยอะไรเลยหรอ แซนคิดอะไรของแซนอยู่วะ”

    “แล้วฟินน์จะตะโกนใส่แซนทำไม!” แซนแผดเสียงกลับบ้าง 

    คราวนี้เธอสะอึกสะอื้นจนตัวสั่น 

    “ฟินน์คิดว่าแซนไม่รู้สึกแย่หรอ”

    “แล้วแซนทำแบบนี้ทำไมอะ”

    “แล้วฟินน์จะให้แซนทำยังไง”

    “ทำไมแซนไม่ถามฟินน์ล่ะ ทำไมไม่ถาม” 

    “ก็แซนถามอยู่นี่ไงว่าฟินน์จะให้แซนทำยังไง” 

    “ทำไมไม่ถามตั้งแต่ตอนนั้น แซนจะมาถามตอนนี้ทำไม” 

    แซนไม่ตอบ เธอนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น 

    สุดท้ายฟินน์ก็เลือกที่จะเงียบ

    เขานั่งสูดลมหายใจเพื่อข่มอารมณ์สักพัก ก่อนจัดการเปิดประตูลงจากรถและดับเครื่องยนต์ จากนั้นจึงเดินมาเปิดประตูให้แซน 

    เขามองเห็นเธอนั่งเอามือปิดหน้า 

    แซนสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร เขาถอนหายใจ สุดท้ายถึงจะโกรธขนาดไหน แต่พอเห็นแซนร้องไห้ ฟินน์ก็เลือกที่จะก้มลงไปจับมือของแซนให้พ้นหน้า แล้วเป็นคนหยิบทิชชู่หน้ารถขึ้นมาเช็ดหน้าให้ผู้หญิงคนนี้เองอยู่ดี 

    เธอไม่ยอมสบตาเขา แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ สงบลงเอง 

    “ไปคุยกันในบ้าน” ฟินน์สั่ง และดูเหมือนว่าเจ้าของบ้านจะไม่ให้ความร่วมมือ เพราะเธอยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเขาต้องจับข้อมือให้เธอลุกขึ้นอีกครั้ง 

    ฟินน์เดินจับข้อมือของแซนไปจนถึงห้องรับแขกของบ้าน -- มองไม่เห็นยูตะ ดีน หรือจัสติน เดาไว้ว่าทั้งสามคนคงอยากให้พื้นที่ส่วนตัวกับพวกเขา ดังนั้นฟินน์จึงจัดการปล่อยให้แซนนั่งลงบนโซฟา 

    เขามองเห้นข้อมือของเธอระเรื่อสีแดงเป็นจ้ำทั้งสองข้าง พอเดาได้ว่าแซนคงเจ็บน่าดู และนั่นคงเป็นฝีมือของเขาเอง 

    ฟินน์ถอนหายใจ 

    เราต่างไม่มีใครพูดอะไร สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ ด้วยการเอ่ยขึ้นมาก่อน 

    “ตู้เย็นอยู่ไหน”

    แซนเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เชื่อสายตา 

    เขาเลิกคิ้วเป็นการย้ำเอาคำตอบ 

    “ตรงนั้น เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปเลย ประตูกระจก” เธอชี้มือไปตามที่ว่า ฟินน์พยักหน้าแล้วก้มลงไปหยิบของในกระเป๋าเป้ของมัน ก่อนจะเดินไปยังครัวอย่างที่พูด 



    แซนถอนหายใจ 

    เธอยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาอีกครั้ง 

    ไม่ชอบแบบนี้เลย 

    พอคิดแล้วมันก็จะร้องไห้อีกรอบ พูดตรงๆ ว่าไม่เคยคิดเหมือนกัน ว่าวันนึงตัวเองจะน้ำตาสั่งได้จนน่ารำคาญแบบนี้ 

    แล้วยิ่งพอเห็นหน้าฟินน์..

    มันก็ยิ่งทำใจไม่ได้

    เธอถอนหายใจอีกครั้ง แล้วยกมือขึ้นลูบหน้าท้องของตัวเอง -- เพราะตลอดเวลาที่ทะเลาะกับฟินน์ ตัวเล็กของเธอเตะไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ สงสัยจะไม่ชอบเสียงดังจริงๆ 

    “ขอโทษนะคะ” เธอกระซิบ “ตกใจหรอลูก?” 

    เอาจริงๆ นะ 

    ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าวันนึงจะสามารถพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานแบบนี้ได้ โดยเฉพาะการพูดกับสิ่งมีชีวิตที่เธอไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ แซนยิ่งคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ 

    แต่มันก็เป็นไปแล้ว 

    ตุบ..

    เจ้าตัวเล็กเตะเธออีกแล้ว และนั่นคือสิ่งยืนยันว่าเธอกลายเป็นแม่แล้วจริงๆ 

    เธอยิ้มบาง 

    พลันเสียงฝีเท้ากลับดังเข้ามาในโสตประสาท พร้อมกับกลิ่นของใครบางคนที่ลอยเข้ามาเตะจมูกอีกครั้ง ปรากฏร่างเจ้าของกลิ่นนั้นกำลังนั่งขัดสมาธิบนพื้นตรงหน้าเธอ เรียกให้แซนหลุดออกจากห้วงภวังค์ แล้วทอดสายตามองคนตรงหน้า

      เธอมุ่นคิ้ว ส่วนเขาก็ไม่พูดไม่จาอะไร แต่กลับจับข้อมือข้างหนึ่งของเธอไว้เบาๆ 

    ..แล้วจัดการเอาผ้าเช็ดหน้าที่ห่อน้ำแข็งไว้ ประคบข้อมือให้แซน 

    เธอเม้มปาก 

    ใบหน้าของเขาบัดนี้เรียบเฉย -- ฟินน์ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอ แต่จดจ่อสายตาลงบนข้อมือที่ระเรื่อสีแดงของแซน เรียกให้ดวงตาของแซนร้อนผะผ่าวอีกครั้ง ส่วนหัวใจก็เจ็บไปหมดเพราะก้อนสะอื้นเริ่มต้นแล่นริ้วเข้ามาในห้วงความรู้สึกกับความอบอุ่นที่ได้รับ พลันเรียวปากอิ่มได้รูปของอีกฝ่ายก็เอ่ยถาม

    “เจ็บรึเปล่า” 

    น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้น้ำตาของแซนหยดลงกระทบกับหลังมือของเขา 

    ฟินน์ชะงักชั่วครู่ เธอเห็นว่าเขาทำท่าจะเงยหน้าขึ้นมา แต่สุดท้ายฟินน์ก็ยังก้มหน้าลงไปบรรจงประคบข้อมือให้แซนตามเดิม 

    “ขอโทษที่จับแรง ไม่คิดว่ามันจะแดงขนาดนี้” 

    แซนยังคงเม้มปากแน่น รับรู้ได้ว่าทั้งตัวกำลังสั่นเทาด้วยแรงอารมณ์ 

    อยากกอด

    ห้วงความรู้สึกกระซิบแบบนั้น แต่แซนกลับยังนั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เขาประคบมืออยู่อย่างนั้น 

    เขาจัดการจับมืออีกข้างของแซนมาประคบด้วย เพราะผิวขาวๆ ของเธอแดงช้ำทั้งสองข้างจริงๆ ทว่าแซนกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด เพราะที่เจ็บยิ่งกว่าคือหัวใจที่บีบรัดไปด้วยความรู้สึกผิดเต็มไปหมด โดยที่แซนเองก็ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมถึงต้องเจ็บปวดมากขนาดนี้ 

    ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกมาตลอด 

    แต่ทำไมถึงต้องรู้สึกผิดมากขนาดนี้ก็ไม่รู้

    เธอมองหน้าฟินน์ แม้เขาจะยังก้มหน้าอยู่ก็ตาม 

    ใบหน้าหล่อยังคงโดดเด่นเหมือนเคย -- ทุกอย่างเหมือนดังเช่นความทรงจำของเธอไม่ผิดเพี้ยน มีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไป นั่นคือแววตาของฟินน์ที่ไม่ฉายแววซุกซนเหมือนแต่ก่อนแล้ว 

    คิดถึง 

    ความคิดถึงที่มอบให้ฟินน์เงียบๆ มาตลอดหกเดือน บัดนี้กำลังวิ่งวุ่นในหัวใจของแซนจนเจ็บไปหมด.. 

    “ยังเจ็บอยู่ไหม” เขาถามเสียงเบา

    ฟินน์ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองกันง่ายๆ 

    ไม่เลยสักนิด.. 

    ฟินน์ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองดวงตาของแซนที่กำลังเว้าวอนให้เขาให้อภัย 

    นั่นทำให้ห้วงความอดทนของเธอทั้งหมดพังทลาย แซนร้องไห้ออกมาตรงหน้าฟินน์ตรงนั้น 

    “อย่าพูดเหมือนเกลียดกันได้มั้ย” เธอพูด 

    มองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว -- ใบหน้าของฟินน์ถูกบดบังไปด้วยหยาดน้ำตาของแซน บัดนี้เธอไม่เหลือความอดทน ศักดิ์ศรี หรืออะไรก็ตามอีกแล้ว 

    แซนทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นข้างๆ ฟินน์ มือน้อยคว้าเอาตัวเขาเข้ามากอดแนบกาย ซุกใบหน้าลงกับไหล่ของเขาอย่างที่เธอคิดถึง แล้วปล่อยโฮลงกับเขาอย่างไม่กลัวอะไรอีกแล้ว 

    ไม่ไหวแล้ว 

    ที่พยายามมาตลอดหกเดือน 

    ที่พยายามบอกตัวเองว่าอยู่ได้โดยที่ไม่มีเขา 

    มันสูญเปล่าไปหมดเลย 

    แซนไม่เคยอยู่ได้โดยไม่มีฟินน์เลย

    “ขอโทษ..” เธอสะอื้น 

    “…”

    “แซนขอโทษ..” 

    สัมผัสอบอุ่นถูกวาดขึ้นรอบกาย 

    เขายกแขนขึ้นกอดเธอกลับ

    แซนสะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม และยิ่งร้องหนักกว่าเคยเมื่อมือใหญ่เริ่มต้นลูบเรือนผมของเธออย่างเบามือ 

    “ขอโทษ.. ฟินน์.. แซนขอโทษ” 

    “พอ ไม่ต้องแล้ว” 

    “แซนขอโทษ”

    “ไม่เป็นไร”

    เธอไม่ได้พูดอะไร.. เขาเองก็เช่นกัน 

    เรากอดกันอยู่อย่างนั้น และบัดนั้นเองที่แซนได้เรียนรู้ว่า

    คิดถึงจนจะตาย.. มันรู้สึกแบบนี้จริงๆ 




    เราสองคนนั่งอยู่บนพื้นที่เดิม แม้จะผละจากอ้อมกอดของกันและกันมาสักพักแล้วก็ตาม 

    ทั้งแซนและฟินน์พิงหลังตัวเองเข้ากับโซฟา -- เธอหันหน้้าไปมองเขา พบว่าบัดนี้ฟินน์ที่นั่งกอดเข่าตัวเองกำลังทอดสายตามองไปยังต้นคริสต์มาสเล็กๆ เบื้องหน้า ดวงตาที่เธอคิดถึงบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด จนกระทั่งเธอค่อยๆ ขยับตัวอย่างยากลำบากไปใกล้เขาให้มากขึ้น แล้วซบใบหน้าลงกับไหล่ของฟินน์ ก่อนหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน

    มือข้างหนึ่งของแซนยังคงลูบหน้าท้องของตัวเองไว้ด้วยความเคยชิน ทว่าความสัมผัสหนึ่งกลับอุ่นวาบไปทั่วท้อง เมื่อมือใหญ่ของเขาจัดการวางลงมาทักทายเจ้าตัวเล็กของเธอบ้าง 

    แซนลืมตา

    มองเห็นเขาทอดสายตามองกันอย่างอ่อนโยน แต่ประกายในนั้นยังเจือความเจ็บปวดไม่เปลี่ยนแปลง

      “แซน..” เธอเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน ฟินน์หันมาสบตา และนั่นทำให้ความคิดของเธอขาวโพลน 

    จริงๆ ก็เคยคิดภาพนี้มาตลอด ภาพที่ฟินน์จะรู้ความจริงว่าเธอกำลังท้องลูกของเขา แต่พอมันเกิดขึ้นจริงๆ แซนก็นึกไม่ออกเลยว่าควรจะพูดอะไรบ้าง 

    ขอโทษที่ทำแบบนี้

      ที่แซนทำไป ก็เพราะอยากให้ฟินน์มีอนาคตที่ดี 

    ฟินน์ควรจะมีชีวิตในวงการที่ดี -- โด่งดังไปทั่วโลกอย่างที่ฟินน์ฝัน 

    แต่สุดท้ายแซนก็พูดอะไรไม่ออก นอกจากคำว่า “แซนขอโทษนะ” 

    “กี่เดือนแล้ว” เขาถามเรียบๆ 

    ก้อนความรู้สึกแล่นขึ้นมาจุกที่คออีกครั้ง แต่สุดท้ายแซนก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มบาง 

    “..เจ็ด”

    ฟินน์ชะงัก

    “จะคลอดแล้วสิ” 

    เธอพยักหน้า 

    มองเห็นรอยยิ้มวาดขึ้นบนใบหน้าของเขา ก่อนที่ฟินน์จะเอ่ยถามอีกครั้ง “ผู้หญิงหรือผู้ชาย?”

    แซนส่ายหน้า เขาเลิกคิ้ว 

    “ลูกไม่ให้ดู” 

    ฟินน์พยักหน้า ยังคงไล้มือไปทั่วหน้าท้องของแซน แล้วยิ้มกว้างเมื่อเด็กตัวน้อยเริ่มเตะเข้าที่ฝ่ามือของเขาเอง 

    ฟินน์หัวเราะเบา

    “ทำไมไม่ให้ดู? แซนดุเขาหรอ”

    เธอยิ้ม เอื้อมมือไปจับมือใหญ่ของเขาอย่างคิดถึง จับเอาไว้นิ่งๆ อยู่อย่างนั้น จึงเอ่ยตอบ 

    “สงสัยเขารอพ่อมั้ง” 

    มือของฟินน์เอื้อมขึ้นมาปัดเรือนผมออกจากหน้าแซนอย่างเบามือ ก่อนคนตัวใหญ่จะหันมานั่งมองหน้าของแซนอย่างเต็มตา แล้วเริ่มพูดประโยคด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่อ่อนโยนลงกว่าเมื่อหลายชั่วโมงก่อน “มาคุยกันดีๆ ได้มั้ยแซน”

    เธอเงียบ 

    “บอกฟินน์ได้มั้ยว่าทำไมทำแบบนี้” 

    เธอหลบตา บีบมือของฟินน์ให้แน่นกว่าเคย 

    หัวใจเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่แซนไม่เข้าใจ คราวนี้ฟินน์ไม่ได้เค้นเอาคำตอบอีกแล้ว แต่แซนก็ยังกลัวอยู่ดี 

    กลัวอะไร 

    นั่นสินะ..

    แซนจะกลัวอะไร 


    The day that the dance is over

    Darren Criss 



    ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนนับพัน ภายในห้างสรรพสินค้าที่เราสองคนมักจับมือกันมาเดินเล่นหลังเลิกเรียน 

    ‘ตื่นเต้น’ เขาบอกเธออย่างนั้น สามนาทีก่อนจะเดินขึ้นเวทีแถลงข่าวซีรีส์เรื่องแรก -- ในตอนนั้นเขาอยู่ปีสาม ส่วนเธออยู่ปีสี่ และนั่นถือเป็นก้าวอันยิ่งใหญ่ของเด็กอายุยี่สิบปีที่ชื่อพชร กฤติสวัสดิ์มากเหลือเกิน 

    ‘หายใจลึกๆ’ แซนว่า สองมือประสานอยู่กับมือใหญ่ของฟินน์ สบสายตาเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่าย ก่อนจัดการเขย่งเท้าขึ้นไปหอมแก้มนุ่มๆ ที่บัดนี้โดนฤทธิ์เมโสแฟต ไฮฟู่ และโบท็อกซ์รีดซะเรียบ แล้วจัดการโอบรอบคอของเขาไว้ ท่ามกลางกลุ่มทีมงานและนักแสดงรอบกาย ที่ดูจะไม่มีใครสนใจเราสองคนเลยสักคน 

    แซนผละออกมามองหน้าฟินน์อีกครั้ง แนบมือลงกับหน้าของเขา ยิ้มกว้างๆ แล้วบอกให้เขาสู้ๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพักนักแสดง 

    ‘แซน’ ฟินน์เอ่ยรั้ง เธอหันมามองผู้ชายคนนั้นที่อีกไม่กี่วินาทีต่อมา เธอรู้ดีว่าชีวิตของเขาจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

    แซนเลิกคิ้ว 

    ‘ดูฟินน์ด้วยนะ’ เขาว่าเสียงสั่น 

    เธอยิ้มกว้างแล้วพยักหน้า ‘จะตั้งใจดูเลย’ 

    ผู้หญิงในเสื้อสายเดี่ยวสีแดงเดินออกไปแล้ว ทิ้งให้ฟินน์นั่งทำสมาธิอยู่ท่ามกลางทีมงาน 

    แซนยังคงตามมาให้กำลังใจฟินน์แทบทุกงานแถลงข่าว จนกระทั่งงานสุดท้ายที่เป็นซีรีส์เกาหลี ตอนนั้นแซนมาส่งแค่ที่โรงแรมที่จัดแถลงเท่านั้น เธอไม่ได้เข้ามาในห้องแต่งตัว แต่สุดท้ายเธอก็เป็นคนรับเขากลับห้องพักอยู่ดี 

    ‘ทำไมไม่มาส่ง’ เขาถามเรียบๆ อย่างไม่จริงจังนัก ตอนท่ี่นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ แล้วปล่อยให้เธอเป็นคนสระผมให้ 

    ‘ก็ส่งแล้วไง’

    ‘ไม่ หมายถึงทำไมไม่เข้าไปในห้อง เธอชอบจูจีฮุนไม่ใช่หรอ’

    แซนหัวเราะ 

    ‘คนเยอะ ไม่อยากเข้าไป’ 

    ‘ไม่ได้คิดมากอะไรใช่ไหม’

    ‘จะคิดอะไรล่ะ’

    ‘ไม่รู้สิ’

    ‘…’

    ‘แซนชอบคิดมากแล้วไม่ยอมบอก’ 

    เธอยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับจัดการถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปนั่งในอ่างอาบน้ำกับเขาแทนคำตอบ 

    แซนซบใบหน้าลงกับไหล่ของเขานิ่งๆ กอดจนทุกความอบอุ่นเข้ามาแนบชิดในร่างกาย แล้วปล่อยให้เขาลืมคำตัดพ้อนั้นไปเอง 

    แซนไม่ได้บอกว่าตอนนั้นแซนคิดว่าชีวิตของเขากำลังไปได้ไกล และบางที เขาก็คงจะเหมาะกับคนที่ดีกว่าเธออย่างที่ใครหลายคนแอบพูดถึงจริงๆ นั่นแหละ 

    ‘อยากให้พี่ฟินน์เป็นแฟนกับพี่เอมี่จิงๆ จังเลยค่ะ’ คอมเม้นหนึ่งในอินเตอร์เน็ตว่าอย่างนั้น

    ‘พี่ฟินน์น่าจะคบกับพี่ดาด้าต่อ T^T’

    ‘โอ๊ยหล่อมากกกกกกกก เหมือนเจ้าชาย เจนนี่คิมก็เหมือนเจ้าหยิง คบกันเรยได้มั้ยยยยยยย’

    เอาจริงๆ 

    แซนเห็นอะไรแบบนี้บ่อยมาก 

    ตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ยังมีความมั่นหน้าสูงอยู่ ก็คิดตลอดแหละว่าหล่อนก็พูดไปเถอะ สุดท้ายเขาก็เป็นของฉันอยู่ดี แต่พอเริ่มทำงานแรกก็รู้สึกชัดเลยว่าชีวิตเราสองคนต่างกันราวฟ้ากับเหว เธอทำงานเป็นเออีของบริษัทโฆษณา ส่วนเขารับบทบาทเป็นพรีเซนเตอร์ เราเจอกันในกองถ่ายหนึ่ง และนั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าเราโคตรแตกต่างกันเลยจริงๆ 

    ตอนนั้นแซนรู้สึกว่าแค่รักอย่างเดียวมันไม่พอจริงๆ 

    เธอรักเขามาก มากจนอยากให้เขามีชิวิตที่ดี 

    จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธออาจเป็นคนทำลายชีวิตเขาด้วยมือของเธอเอง 


    “แซน” ฟินน์เรียกชื่อเธอ เรียกให้แซนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อที่บัดนี้เคลื่อนมาเข้าใกล้มากกว่าเดิม 

    มือใหญ่ของเขาจับแก้มของเธอไว้นิ่งๆ 

    “บอกฟินน์ได้มั้ยครับ” ฟินน์ถามย้ำ

    ก็คงต้องพูดสักที 

    “แซนไม่อยากพังอนาคตของฟินน์” เธอว่าเรียบๆ หลบสายตาของเขาด้วยความประหม่า “ฟินน์กำลังไปได้ดีมากๆ และแซนไม่อยากให้ความพยายามทั้งหมดของฟินน์มันพังเพราะแซน”

    “มันจะพังได้ยังไง” เขาถามเสียงเบา “มันไม่พังหรอกแซน”

    “ทำไมมันจะไม่พัง” เธอสวน “แซนท้องนะฟินน์ ถ้าแซนไม่หนี ยังไงมันก็ต้องเป็นข่าว” 

    “ถ้ามันเป็นแล้วมันจะทำไม แซนคิดว่าฟินน์จะไม่จัดการอะไรหรอ”

    “แซนรู้ว่าฟินน์จะจัดการ” แซนว่า เงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง “แซนเชื่อว่าฟินน์จะช่วยแซน ฟินน์จะทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกอย่างมันออกมาดี แต่สุดท้ายยังไงมันก็คงไม่ได้ออกมาดีหรอก เพราะฟินน์ก็คงโดนโจมตีเยอะ”

    “แซนคิดว่าฟินน์จะรับมือไม่ได้หรอ” ฟินน์มุ่นคิ้ว เขาไม่ได้ขึ้นเสียงอีก​ “แซนฟังนะ ฟินน์รู้ว่ายังไงถ้าแถลงข่าวไป ยังไงเราก็คงโดนจับตามอง แล้วฟินน์ก็คงเสียฐานแฟนไปส่วนนึงจริงๆ แต่ยังไงบ้านฟินน์ก็ไม่ทิ้งแซน แม่ฟินน์รักแซนจะตายแซนรู้มั้ย แล้วยิ่งถ้าแซนกำลังจะมีหลานให้แม่ฟินน์อะ ยังไงเขาก็ช่วย..

    “เราไม่ต้องผ่านเรื่องพวกนี้ไปคนเดียวสักหน่อยแซน ทุกคนพร้อมจะช่วยเรา พี่ติน เจมี่ ยังไงมันก็ออกมาให้กำลังใจเราสองคนอยู่แล้ว ไหนจะใครในวงการอีก เขาพร้อมซัพพอร์ตฟินน์อยู่แล้วนะแซน เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวสักหน่อย”

    “แต่แซนไม่อยากให้ฟินน์ต้องเป็นข่าว” 

    “ยังไงมันก็ต้องเป็น แต่ถึงมันจะเป็นข่าวจริงๆ ยังไงฟินน์ก็จะผ่านไปได้ -- ไม่สิ ยังไงเราก็จะผ่านไปได้”

    น้ำตาของแซนกระทบมือของฟินน์อีกครั้ง เรียกเสียงหัวเราะเบาจากเขาได้เป็นอย่างดี “จะร้องทำไมอีก วันนี้ร้องไห้กี่รอบแล้วแซน” ว่าพลางใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาให้ออกไปจากใบหน้าสวย 

    “มันหยุดไม่ได้”

    “ตาช้ำหมดแล้ว”

    “ก็มันหยุดไม่ได้ อย่ามายุ่งได้มั้ย” ฟินน์หัวเราะ 

    “นี่ไง.. แม่แซนคนเดิมกลับมาแล้ว” พชรว่าพลางขยับตัวให้ใกล้แซนมากขึ้นกว่าเดิม แล้วจัดการปาดน้ำตาให้กับเธอเรื่อยๆ “ทำไมยิ่งเช็ดยิ่งไหลวะ” 

    “โอ๊ย.. พอได้มั้ย อย่าบิ๊ว” เธอวีนเสียงสูง “มันหยุดไม่ได้.. หายใจไม่ออกแล้ว”

    “ฟินน์ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” 

    “มัน.. ฟินน์” ไม่ทันพูดจบประโยคเธอก็ปล่อยโฮ คราวนี้สะอึกสะอื้นแล้วกระโจนเข้าไปกอดเขาอีกแล้ว ฟินน์หัวเราะอีกครั้ง แต่ก็ลูบผมปลอบเธออย่างเบามือตามเดิม 

    “หายโกรธฟินน์แล้วใช่มั้ย?” 

    “แซนไม่ได้โกรธ..”

    “แล้วจะหนีไปทำไม”

    “แซนขอโทษ” 

    “ไม่ร้องแล้ว.. ​ไม่เป็นไรแล้วนะ” 

    เธอพยักหน้า เขาลูบผมของแซนสักพัก ก่อนเอ่ยถาม

    “แพ้ท้องบ้างมั้ย?” 

    “ตอนแรกๆ ก็แพ้” 

    ฟินน์นิ่ง สุดท้ายก็เอ่ยเสียงสั่นบ้าง 

    “ขอโทษ..” 

    เขาซบใบหน้าลงกับไหล่แซนนิ่งๆ แล้วเริ่มต้นพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาบ้าง “แซนรู้มั้ยว่าฟินน์อยากดูแลแซนตอนแพ้ท้องมาตลอด” 

    หัวใจของเธอหล่นวูบ 

    “มันอาจจะเป็นเรื่องที่โคตรโง่เลยนะ แต่ฟินน์อยากเป็นคนลูบหลังแซน กอดแซน ดูแลแซน คือแม่งโคตรโง่อะ แต่ฟินน์อยากทำแบบนั้นมาตลอดเลย” 

    ไหล่ของเธอเปียกชื้น 

    “ฟินน์คิดมาตลอดว่าอยากสร้างครอบครัวกับแซน อยากถ่ายรูปกับแซนตอนท้องแซนค่อยๆ โต เคยเซฟ ref มาจาก pinterest ด้วย ทำไมไม่ให้ฟินน์ทำหน่อยวะ”

      สุดท้ายแล้ว แซนก็อาจจะเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างที่เธอกลัวมาตลอด

    การเห็นแก่ตัวของเธออาจไม่ใช่การพยายามทุกทางเพื่อให้มีเขาไว้ในชีวิต อาจไม่ใช่การรั้งเขาไว้ทั้งๆ ที่เขาควรจะมีชีวิตที่ดีกว่าอย่างที่เธอพูด แต่ความเห็นแก่ตัวของแซนคือการผลักไสเขาออกไปจากโอกาสที่เขาควรจะได้รับ และทำให้เขาไม่ได้ดูแลเธออย่างที่เขาอยากจะทำ 

    “ฟินน์รักแซน..”

    “…”

    “แล้วก็อยากดูแลแซนมากจริงๆ อยากอยู่กับแซนตลอดไปเลย”

    “…”

    “ฟินน์ไม่เคยอยากทิ้งแซนให้อยู่คนเดียว ฟินน์รู้ว่าแซนคงเหนื่อยอะที่ต้องท้องแบบนี้ ฟินน์ขอโทษนะ”

    “ไม่ต้องขอโทษแล้ว”

    “ไม่ทิ้งไปไหนแล้วได้มั้ย” 

    เธอกอดเขาแน่นกว่าเคย ขณะพยักหน้า แล้วเอ่ยคำสัญญา 

    “ไม่ไปไหนแล้ว” 

    เราสองคนผละออกจากอ้อมกอดของกันและกัน ผลัดกันเช็ดน้ำตาให้กันด้วยรอยยิ้ม 

    ก่อนที่คำสัญญาจะถูกมอบอีกครั้งผ่านรอยจูบที่ฟินน์มอบให้แซน 


    จะไม่ทิ้งกันไปไหนแล้ว..

    ไม่ไปไหนแล้วจริงๆ 


    “กูว่าแล้วว่าต้องดีกัน!” ห้วงภวังค์ทั้งหมดถูกทำลายโดยยูตะที่ส่งเสียงอย่างไม่มีกาลเทศะ โดยมีดีนกับจัสตินผลัดกันด่าว่ามึงจะเสียงดังทำเหี้ยอะไร เรียกให้สองคนที่นั่งกอดกันบนพื้นส่งเสียงหัวเราะกับภาพคนตัวโตสามคนที่แอบอยู่หลังบันได 

    “มึงอยู่ตรงนี้กันนานเท่าไหร่แล้ว” แซนถามเสียงสูง มือรับเอากระดาษทิชชู่มาจากฟินน์ 

    “ทันช็อตประคบน้ำแข็งอะ” จัสตินตอบเรียบๆ “มึงกูไม่ได้ขี้เสือกนะเว้ย แต่กูกลัวพวกมึงฆ่ากัน กูเลยมาสแตนบาย” 

    ฟินน์หัวเราะ จัดการลุกขึ้นยืน แล้วยื่นมือให้แซนจับ เพื่อที่จะลุกขึ้นมาด้วยกันบ้าง 

    แต่ดูเหมือนว่าแซนจะลุกไม่ขึ้น สุดท้ายเขาก็ก้มลงไปค่อยๆ ประคองให้เธอขึ้นมายืนข้างกัน 

    “หิวข้าวมั้ย?” เขาหันไปถามแซน เธอพยักหน้าระรัว 

    “มึงกูหิวด้วย” ยูตะร้อง “อยากกินต๋องอะ ต๋อง เข้าใจมั้ย บ่ายสามแล้วกูยังไม่ได้กินต๋องเลยไม่ได้ ไอ้ห่า กูบินกลับคืนนี้นะ ให้กูกิน--”

    “เออเดี๋ยวกูพาไป เดินออกไปนิดเดียวเอง” แซนว่า ส่วนยูตะยิ้มกว้าง 

    “แล้วมึงนี่ยังไง จะเป็นคุณนายเมืองลับแลอยู่ไหม หรือจะกลับกรุงเทพด้วยกัน” จัสตินถาม ขณะเดินมาวางมือลงบนผมของแซนนิ่งๆ 

    แซนหันหน้าไปมองฟินน์ กระชับมือที่จับอยู่ด้วยกันให้แน่นกว่าเดิม

    “ไม่รู้สิ.. คงให้ฟินน์ตัดสินใจ” 

    ฟินน์ยิ้ม 

    “แต่บินกลับไม่น่าได้แล้วอะจัส กลัวไปคลอดบนเครื่อง” แซนยิ้มแหย

    “ได้” ดีนตอบเรียบๆ เงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ของตัวเอง “กูเช็คแล้ว” 

    ยูตะกับจัสตินกะพริบตาปริบ ก่อนที่ดีนจะมุ่นคิ้วแล้วเริ่มด่า 

    “มองทำเหี้ยไร อินเตอร์เน็ตมีทำไมไม่ใช้ มึงจะบินกลับวันไหนแซน ไปเอาใบรับรองแพทย์ก่อนนะ แล้วรีบบินเลย ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ได้” 

    แซนหัวเราะ แล้วเดินไปจับมือกับเพื่อนหน้าดุที่เจอเธอก่อนใคร 

    “ขอบคุณนะ” เธอว่าพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ไม่มีมึงคงแย่เลย” 

    แววตาประหลาดใจฉายขึ้นชั่วขณะในดวงตาของดีน ก่อนที่มันจะหัวเราะหึ แล้ววางมือลงบนผมของเธอบ้าง 

    “ไม่เป็นไร จากนี้ไปใช้ชีวิตให้มีความสุขก็แล้วกัน” 

    เราทุกคนยิ้มให้กัน แซนรู้สึกมีความสุขมากที่สุดในรอบหลายเดือน

    .

    .

    .

    .

    .


    สุดท้ายวันนั้นฟินน์ก็ไม่ได้บินกลับ 

    ตอนไปส่งพวกพี่จัสที่สนามบิน พี่จัสบอกว่า ‘ต่อจากนี้ไปมีอะไรมึงต้องคุยกันดีๆ นะ เข้าใจไหม’ อวยพรเหมือนผู้ใหญ่แก่ๆ แต่ฟินน์ก็รู้สึกขอบคุณ 

    เราสองคนไม่ได้กลับบ้านของแซนในทันที แต่กลับเลี้ยวไปที่โรงพยาบาลเพื่อคุยกับป๊าและแม่แซน ว่าฟินน์ตัดสินใจว่าต่อจากนี้จะดูแลแซนให้ดีที่สุดอย่างที่เคยสัญญาไว้ และจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับเรื่องนี้ 

    ระหว่างที่ปล่อยให้แซนใช้เวลากับที่บ้าน เขาก็ตัดสินใจโทรคุยกับพี่นานาว่ามีธุระที่เชียงใหม่ แล้วจึงโทรไปหาที่บ้าน พร้อมเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ได้ฟัง 

    ‘เจ็ดเดือนเลยหรอ’ แม่ถามเรียบๆ ฟินน์ก็ทำได้แค่ตอบรับ 

    ฟังจากเสียงเขาก็พอจะรู้ว่าแม่ยังเคืองแซนอยู่นิดหน่อยที่หายไปไม่บอก แต่พอฟินน์เริ่มต้นอธิบายให้แม่ฟัง ก็ดูเหมือนว่าเธอจะเริ่มเข้าใจ 

    ‘จะบอกพี่ตินเองมั้ย หรือให้แม่บอก’

    ‘โทรไปแล้วพี่ตินไม่รับอะแม่’ 

    ‘สงสัยซ้อมอยู่ งั้นแม่บอกให้แล้วกัน’ 

    ‘โอเคครับ’

    ‘แล้วน้องฟินน์จะกลับเมื่อไหร่’

    ‘น่าจะพรุ่งนี้’ 


    ตลอดคืนนั้นเราสองคนนอนคุยกันตลอดคืนว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องราวต่อจากนี้ แต่สุดท้ายทางออกก็คืนการตัดสินใจบอกความจริงกับต้นสังกัด


    ฟินน์เป็นฝ่ายบินกลับมาก่อน เขาเดินเข้าไปคุยกับพี่นานาก่อนเป็นคนแรก แล้วจึงขอนัดคิวผู้บริหารสังกัดที่ไทย แล้วเล่าความจริงทั้งหมดให้ได้ฟัง 

    แน่นอนว่าเขาโดนด่า แต่อย่างน้อยฟินน์ก็โล่งใจที่ได้พูดออกไป และถึงจะโดนด่ามากขนาดไหน สุดท้ายผู้บริหารที่มีศักดิ์เป็นทั้งพี่คณะรุ่น 20 ต้นๆ และเอ็นดูฟินน์เหมือนครอบครัว ก็ยินดีที่จะให้ฟินน์จัดงานแถลงข่าวเรื่องนี้ โดยต้องคุยกับทางเกาหลีก่อน 

    ‘ชีวิตคู่มันไม่ได้ง่ายนะฟินน์’ บอสใหญ่ที่เขาเรียกติดปากว่าอาจิ๊บสอน ฟินน์พยักหน้า ‘ยิ่งอะไรที่มันได้มาแบบไม่ได้ตั้งใจ มันยิ่งยาก’

    ‘ครับอา’

    ‘เรื่องแถลงข่าวกูคุยกับพีอาร์แล้ว กำลังประสานงาน ส่วนเรื่องเกาหลีเดี๋ยวถ้าได้คำตอบกูจะรีบโทรไป’

    ‘ครับ’

    ‘ใช้ชีวิตให้ดีนะ ทุกคนเป็นกำลังใจให้มึงเสมอ’

    ‘ขอบคุณนะครับอา’

    เคลียร์กับทางไทยเสร็จ ฟินน์ก็ต้องเฟซไทม์คุยกับทางเกาหลี โดนทางนั้นด่ามาหูชา แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามการตัดสินใจของฟินน์ หลังจากข่าวลือเรื่องแฟนนอกวงการของฟินน์พชรตั้งท้องเริ่มต้นแพร่กระจายไปทั่วทุกช่องทาง ซ้ำยังมีภาพในโรงพยาบาลที่เชียงใหม่ออกมาย้ำเตือนเป็นหลักฐาน 

    เรียกได้ว่าเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในช่วงปีใหม่ โด่งดังกว่าข่าว Muse เพิ่งแสดงคอนสุดท้ายในเอเชียทัวร์จบอีกต่างหาก 

    ‘แถลงข่าวพรุ่งนี้นะแซน’ ฟินน์ว่าแบบนั้นผ่านโทรศัพท์ จำได้ดีว่าออกมาพูดที่ระเบียงบ้าน หลังแจ้งที่บ้านว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว 

    ตอนแรกพี่ตินก็โกรธแซนแหละ แต่พอรู้เหตุผลก็คลายความโกรธลงไปบ้าง แล้วยิ่งเห็นน้องชายคนเดียวแสดงความตั้งใจที่จะจัดการปัญหาด้วยตัวเอง พี่ตินก็เลยอารมณ์เย็นลง สุดท้ายทั้งบ้านก็เลยเปลี่ยนจากความตึงเครียดในสถานการณ์ มาเป็นการวางแผนแต่งห้องรับขวัญหลานแทน 

    ‘กี่โมง’ แซนถามเรียบๆ 

    ‘น่าจะสี่โมงเย็น’

    ‘แซนคงถึงกรุงเทพ 8 โมง’

    ฟินน์เลิกคิ้ว

    ‘แซนจะมาหรอ?’

    ‘อื้อ ขอใบรับรองแพทย์มาแล้ว’ 

    ‘บินได้จริงๆ ใช่ไหม’

    ‘ได้สิ’

    ‘โอเค งั้นเดี๋ยวฟินน์ขับรถไปรับนะ ลงดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ?’

    ‘สุวรรณภูมิ แซนนั่งโลว์คอสต์ไม่ไหวแล้ว’

    และนั่นคือเหตุผลที่ฟินน์ขับรถมานั่งจ๋องอยู่สุวรรณภูมิตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่งแบบตอนนี้ พร้อมใส่มาส์กและหมวกเหมือนโจร เพื่อรอกอดผู้หญิงคนหนึ่งให้เต็มมือ 

    เขารับรู้ได้ว่ามีคนแอบถ่ายภาพ พอเดาได้ว่าอีกไม่นานแท็ก #ฟินน์พชร ต้องแตก แต่ก็ช่างมันเถอะ.. ในเมื่อวันนี้เขาตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่สำคัญกว่าชื่อเสียงของตัวเอง 

    เขากำลังจะพาแซนออกมาสู่แสงไฟ เพื่อที่เราสองคนจะได้รักกันโดยไม่ต้องสนใจใครอีกแล้ว 

    เสียงโทรศัพท์ของฟินน์ดังขึ้น -- ชื่อที่เมมอยู่คือชื่อ S ตามด้วยหัวใจ บ่งบอกว่าแซนกลับมาใช้เบอร์เดิมแล้ว เขารีบรับด้วยรอยยิ้ม

    “ว่าไงครับ”

    ‘แซนกลัว’ 

    ฟินน์เลิกคิ้ว จัดการคว้าเอากระเป๋าสะพายอกบนโต๊ะขึ้นมาสะพาย แล้วก้มหน้าก้มตาเดินไปยังจุดที่คิดว่าแซนจะเดินออกมา 

    “แซนกลัวอะไรครับ”

    ‘มีคนถ่ายรูป เมื่อกี้แซนเห็น’

    “แซนอยู่ไหน”

    ‘เพิ่งเอากระเป๋าเสร็จ เหมือนท้องจะแข็งๆ ด้วย’ 

    “นี่มาคนเดียวปะเนี่ย” 

    ‘อื้อ แซนให้แม่อยู่กับป๊าอะ’ 

    “ออกมายัง ฟินน์รออยู่ข้างหน้าเลยนะ ออกมาปุ๊บแซนเห็นเลย”

    ‘โอเค’ 

    แซนวางสาย ส่วนเขาก็ยืนเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงนั้นนิ่งๆ 

    หน้า feed instagram ใน private account ของเขา บัดนี้ปรากฏยูสเซอร์เนม guseine และ sseine_ ตามเดิมแล้ว บ่งบอกว่าแซนกลับมาในชีวิตของเขาแล้วจริงๆ 

    ฟินน์จัดการกดปุ่มโพสต์คอมเม้นต์ ไม่นานก็ปรากฏร่างของแซนขึ้นตรงหน้า 

    เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ มือลากกระเป๋าเดินทางออกมาด้วยความทุกลักทุเล เขาจึงรีบเดินไปคว้าเอากระเป๋าของเธอมาถือ แล้วใช้มืออีกข้างจับมือของเธอไว้แน่น 

    ฟินน์หันหน้าไปมองแซน คนตัวเล็กที่บัดนี้กำลังจะเป็นคุณแม่มองมายังเขาด้วยสายตาประหม่า

    “มันจะโอเคใช่มั้ย” 

    ฟินน์เลิกคิ้ว “หมายความว่ายังไง”

    “ฟินน์จับมือแซนแบบนี้มันจะโอเคใช่มั้ย” 

    เขายิ้ม 

    ไวกว่าที่แซนจะทำอะไร -- ฟินน์จัดการถอดทั้งมาส์กปิดหน้าของตัวเองออก จัดการยัดมันกลับเข้าไปในกระเป๋า แล้วหันมามองแซนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม 

    แซนเบิกตากว้าง ทำท่าจะปล่อยมือ แต่สุดท้ายฟินน์ก็จัดการคว้ามือของเธอเข้ามาจับไว้อีกครั้ง พร้อมก้มลงไปกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเธอ 

    “ไม่ต้องกลัวแล้ว เดี๋ยวบ่ายนี้ก็แถลงข่าวแล้ว” 

    “…”

    “จะไม่มีใครว่าอะไรแซน เข้าใจไหม?” 

    เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มือข้างหนึ่งยังประคองท้องของตัวเองไว้ แล้วกระชับมือกับเขาแน่น 

    ตลอดทางเดินไปสู่รถของเราสองคนเต็มไปด้วยแสงแฟลชและเสียงชัตเตอร์ 

    ได้ยินเสียงผู้คนพูดกันเซ็งแซ่ “นั่นฟินน์พชรใช่มั้ย”

    แซนก้มหน้าเดินตามฟินน์ พยายามหลบทุกชัตเตอร์ของกล้อง แต่พบว่าฟินน์กลับเงยหน้าขึ้นรับกล้องด้วยรอยยิ้มแทน 

    “ขอทางหน่อยนะครับ เจอกันแถลงข่าวนะครับ” ฟินน์พูดแบบนั้นไปตลอดทาง โดยมีแซนเงยหน้ามองอย่างไม่เชื่อสายตา 

    หมาบ้าของเธอโตแล้ว 

    วันนี้มันโตกว่าที่แซนคิดเสียอีก 

    เราจับมือกันแน่นกว่าเคย 

    แซนยิ้ม

    มองตามแผ่นหลังของเขาไม่วางตา จนกระทั่งถึงลานจอดรถ 

    เธอกระโจนเข้ากอดเขาแน่น ซุกใบหน้าลงกับไหล่ด้วยความคิดถึง 

    “เป็นอะไรคุณ ขึ้นรถมั้ย?” เขาถาม แต่มือก็ยังคงลูบหลังกันไม่ปล่อยไปไหน 

    “แซนรักฟินน์นะ” เธอว่า “ขอบคุณ”

    “รักแซนเหมือนกัน” เขากระซิบตอบ 

    เราทั้งสองคนขึ้นไปนั่งบนรถที่ฟินน์เป็นคนขับ มือยังคงจับกันไว้แน่นตลอดทาง 


    เสียงเพลง  The Day When The Dance Is Over ดังขึ้น โดยที่แซนยังมองหน้าฟินน์ไม่วางตา มองเห็นความสดใสส่องประกายไปทั่วใบหน้าหล่อที่เธอคิดถึง 

    และวินาทีนั้นเองที่แซนรู้ตัวว่าคิดถึงฟินน์มากแค่ไหน 

    เธอหันไปมองถนนกรุงเทพที่ข้างหน้าต่าง -- รถยังคงติดเหมือนเคย อากาศก็ร้อนจนจะบ้า แต่มันคือสิ่งที่ย้ำเตือนว่า ณ ขณะนี้เธอกลับมาอยู่กับฟินน์แล้ว และได้ชีวิตเดิมกลับมาแล้วจริงๆ 


    I promise you
    I won't be gone
    On the day that the dance is over
    I will be your song

    เสียงเพลงยังคงดังต่อไป โดยที่มือของเธอยังจับมือของเขาไปตลอดทาง 

    …และตลอดไป



    Keep holding onOn the day that the dance is overI will be your song

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in