ท้องฟ้าวันนั้นเป็นสีน้ำเงินเข้ม เมฆก็เป็นก้อนฟูสีขาว เหมือนปุยนุ่นฟูฟ่องบนอากาศ เป็นฟ้าใสแดดสวย แต่ทว่าแดดร้อนเปรี้ยง และนอกจากอากาศด้านนอกอาคารจะร้อนแล้วด้านในอาคารก็มีบรรยากาศร้อนระอุไม่ต่างจากด้านนอกเลย
วันนั้นเป็นวันที่คิมหันต์เข้ามาอยู่ชมรมวิ่งได้สองอาทิตย์แล้ว อะไรๆที่คิดว่าน่าจะดีขึ้นอย่างที่แก้วกาญจน์เคยปลอบ ก็ไม่เห็นดีขึ้นเลย นักกีฬาชายเคยขี้หลีชีกออย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น เท่าๆกับท่าทีปฏิปักษ์จากนักกีฬาสาวๆที่ยังไม่บรรเทาเบาบางลงแม้แต่น้อย
คิมหันต์เข้าใจดีว่า การที่เธอ คนที่ไม่ได้เป็นนักกีฬา ไม่เคยวิ่ง และไม่คิดจะวิ่งเข้ามาอยู่ในชมรมของคนที่รักการวิ่งนี้ ย่อมทำให้ใครๆเข้าใจจุดประสงค์การมีอยู่ของเธอในที่นี้ผิดๆได้ง่ายๆ ยิ่งเป็นผู้หญิงยังเป็นเฟรชชี งานที่มีในชมรมจึงต้องดูแล หาน้ำท่า เช็คน้ำหนัก รวมถึงนวดให้นักกีฬาสถานเดียว เรื่องจึงอาจจะธรรมดาถ้าจะมีนักกีฬาชายกะลิ้มกะเหลี่ย ขณะที่นักกีฬาหญิงก็ออกอาการรังเกียจ
แก้วกาญจน์บอกว่าประเดี๋ยวคนอื่นๆก็จะมีท่าทีดีขึ้นและคิมหันต์ก็จะสนุกกับการอยู่ในชมรมไปเอง และถึงไม่ดีขึ้น อย่างน้อย เธอก็มีแก้วกาญจน์เป็นเพื่อน และการมีชมรมอยู่ ย่อมดีกว่าการไม่ได้อยู่ชมรมอะไรเลยในมหาวิทยาลัยนี้ คิมหันต์จากบ้านมาไกลมาอยู่ในมหาวิทยาลัยกว้างขวางที่ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขา ที่ที่เพื่อนๆร่วมหอพักจะหายไปขลุกอยู่กับชมรมของตัวเองทิ้งให้คิมหันต์ต้องนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูตะวันลับขอบภูเขาอย่างเหงาๆทุกๆเย็น ทางเลือกที่ดีอีกทางของเธอจึงเป็น การตามแก้วกาญจน์เข้าชมรมวิ่งอย่างที่ทำในตอนนั้น และมันก็ลงเอยด้วยการที่มีเธอคนเดียวที่วิ่งไม่เป็นในชมรม
การวิ่งไม่เป็น แล้วก็ยังเข้าชมรมอีกนี่ เป็นเรื่องน่าดูแคลนในสายตาของนักวิ่งหญิง ยิ่งเป็นคนเดียวที่ที่สวมกระโปรงนักศึกษาหญิงเดินลอยชายไปมา มีเพียงหน้าที่เอาน้ำ น้ำมันมาบริการนักกีฬาที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายนั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้ดูดีเลย
หลังจากอยู่อย่างอึดอัดได้สักพักคิมหันต์ก็เริ่มไปหาชุดวอร์มมาสวมอย่างคนอื่นบ้าง คอยวิ่งซ้อมร่วมกับคนอื่นๆบ้างและยินยอม เป็นเบ๊ให้กับทุกคนโดยไม่เกี่ยงงอน สถานการณ์อย่างนี้แทนที่จะได้รับความเห็นใจจากนักกีฬาสาวๆบ้าง กลับกลายเป็นว่าคิมหันต์โดนหมั่นไส้หนักกว่าเดิมเสียอีก ก็การเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ต้องแบกยกถังน้ำแข็งหนักๆวิ่งตามนักกีฬา สร้างความเห็นอกเห็นใจจากหนุ่มนักกีฬาไม่น้อย แทนที่จะวิ่งกันอย่างปกติหนุ่มๆก็ต้องพากันวิ่งมารุมช่วยคิมหันต์ยกกระติกน้ำแข็งกันยกใหญ่ หันไปมองรอบตัว ก็พบว่าสาวๆนักกีฬายืนเท้าสะเอวมองด้วยสายตารำคาญ
อาจจะเพราะอย่างนี้บ่ายวันนั้นเธอจึงถูกทิ้งให้เฝ้าชมรมอยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว ขณะที่คนอื่นๆไปที่สนามกีฬาประจำจังหวัดที่ตั้งอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยมาก คิมหันต์อยากตามไปด้วยเพราะรู้สึกว่างเปล่าที่ต้องอยู่ตามลำพัง แต่เมื่อร้องถามพี่ก้อย เธอกลับตอบว่า
“คิมอยู่เฝ้าชมรมดีกว่านะ เดี๋ยวเผื่อมีใครมา แล้วคิมก็ไม่ได้วิ่งอยู่แล้วไม่ใช่หรือจะไปทำไม?” ว่าแล้วพี่ก้อยก็รีบขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์พี่อ้นซึ่งหันมามองคิมหันต์ด้วยท่าทีลังเล และเมื่อเขาถามถึงเธออย่างเป็นห่วง พี่ก้อยก็ใช้มือตีหลังเขาบอกให้รีบไปสนามไวๆ ไม่อย่างนั้นจะโดนโค้ชว่า
เสียงมอเตอร์ไซค์จากไปนานแล้ว เวิ้งฟ้าตอนนั้นเป็นสีเข้ม แดดบ่ายลามไล่เข้ามาถึงด้านใน เกือบจะถึงโต๊ะที่คิมหันต์นั่งเหม่ออยู่อย่างเดียวดาย จากตรงที่นั้น ซึ่งอยู่ตรงกับปากประตู ด้านนอกเป็นลู่วิ่งว่างเปล่ากลางแดดจ้า เวิ้งฟ้าแสนไกล เธอเหม่อมองออกไปไกลๆ นานครั้งจึงจะก้มลงจดรายการฝึกซ้อมของนักกีฬาแต่ละคนอย่างเหงาๆ
ขณะหนึ่งเธอหลุบตามองกับพื้น เงาคนทอดยาวยืดพาดมาที่ประตูทางเข้า ตามด้วยเสียงฝีเท้าเบาๆ เจ้าของเงาที่เดินเข้ามาในบ่ายเงียบเป็นนักศึกษาชายร่างสูง ดวงตาสบกันเพียงแว่บเดียวแล้วสายตาของเขาก็แลเลยไปที่บอร์ดซึ่งอยู่ด้านหลังที่เธอนั่งอยู่ เขาไม่พูดสักคำ แต่เดินมาที่เธอ แล้วยกมือใช้นิ้วไล่เรียงรายการที่ติดบนกระดานด้านหลังเธอ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่ง เขาก็ยกมือยันกับบอร์ดเพื่อที่ตัวเขาจะโน้มเข้ามาอ่านรายการบนบอร์ดได้ใกล้ๆ คิมหันต์นั่งตัวแข็งทื่อข้างๆเขาแต่ไม่พบอันตรายใดๆ แม้แต่อาการกะลิ้มกะเหลี่ยที่เคยเจอ
มันกินเวลาไม่นานก่อนที่เขาจะเดินจากไป ทิ้งความงุนงงสงสัยไว้ให้กับเธอตลอดบ่ายจนถึงค่ำของวันและนับแต่นั้น บรรยากาศในชมรมวิ่งในความรู้สึกของคิมหันต์ก็เปลี่ยนไป
คิมหันต์เฝ้ารอให้วันที่ฟ้าใสแดดจ้าแบบนั้นกลับมาอีก เฝ้ารอแบบเงียบๆ แต่เชื่อมั่นว่าคนๆนั้นจะต้องกลับมาที่ชมรมอีกอย่างแน่นอน แต่เมื่อสัปดาห์แรกผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใจก็ชักกระวนกระวายและเริ่มออกปากถามแก้วกาญจน์เรื่องนักวิ่งในชมรม คนที่ ผมเกรียนๆ ตัวสูงๆ บ้าง และเมื่อแก้วกาญจน์มีท่าทีว่าไม่รู้เรื่อง คิมหันต์ก็เลยมองไปเมียงมาในห้องเล็คเชอร์ใหญ่ๆ ที่ต้องเรียนคละกับนักศึกษาคณะอื่นๆ แต่ไม่พบอะไรนอกจากว่ามหาวิทยาลัยนั้นกว้าง นานเข้า ให้อดคิดไม่ได้ว่า คนที่เธอพบวันนั้น อาจจะเป็นเพียงภาพลวงที่เธอสร้างขึ้นในวันที่อากาศร้อนสุดขีดและเหงามากมายก็ได้
คิมหันต์เห็นท้องฟ้าสีเข้มและแสงแดดทอประกายอีกครั้งเมื่อเธอแหงนหน้ามองเวิ้งฟ้าขณะที่ย่ำเท้าหนักล้า ตามติดเพื่อนๆนักศึกษาทั้งคณะที่กำลังเดินขึ้นดอยกันอย่างไม่ลดละ เธอรู้สึกว่าขาแข็ง เส้นเอ็นตามแข้งขาแข็งตึงราวกับถูกขึงเอาไว้แน่น จนรู้สึกว่าการขยับขาเดินนั้นเป็นเพียงการขยับอย่างอัตโนมัติเท่านั้น เงยหน้าอีกครั้ง ก็เห็นธงสีขาวของคณะโบกสะบัดที่ลานด้านหน้า
มีเชิงบันไดร้อยขั้นที่จะนำพาไปสู่ยอดเขาที่ที่พระธาตุสถิตอยู่พญานาคสองตัวเลื้อยยาวเหยียดแผ่หัวยิ่งใหญ่ออกมาดูน่าเกรงขาม เกล็ดที่ทำจากกระจกและกระเบื้องสะท้อนแสงแดดวิบวับ คิมหันต์ต้องยกมือขึ้นป้องหน้าหันเหสายตาจากแสง ไปยังกลุ่มฝูงชน ... กลุ่มหน้าสุดมีธงสีเขียวสะบัดไกว สีเขียว เป็นสีธง...คณะแพทย์ ซึ่งมีที่ตั้งของตึกอยู่อีกฟากฝั่งอันห่างไกลจากคณะอื่นๆ คณะที่รวมกลุ่มนักเรียนหัวกะทิที่เรียบร้อยและจืดชืด เด็กผู้หญิงผูกผมเรียบร้อยแบบสมัยมัธยม ยังไม่มีใครย้อมผมเป็นสีชมพูแปร๋แปร๋นเหมือนคนที่คณะเธอ ส่วนพวกผู้ชายก็ตัวซีดผมเกรียน....ที่...
ผมเกรียน คิมหันต์ใจเต้นระทึก เมื่อเห็นร่างสูงผมเกรียนรวมอยู่ในกลุ่มนักศึกษาสีเขียวนั้น เธอจำได้ทันทีและตื่นเต้นมากมายราวกับตัวเองกำลังพบขุมทรัพย์ นักศึกษาคนนั้นไม่ได้เป็นเพียงภาพลวงตา...
เธอรอจนแน่ใจว่าแก้วกาญจน์จะอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้อย่างไม่กระโตกกระตากแล้วก็ค่อยถาม ตอนที่เริ่มมีการจัดแถวแนว เรียงลำดับการเดินขึ้นไปบนพระธาตุ
“อยู่คณะแพทย์เสียด้วยใครหน่า?”แก้วกาญจน์สงสัย และแก้วกาญจน์ก็มานึกออกเมื่อเดินไปถึงในวัดแล้ว เหงื่อซึมหน้าผากคิมหันต์มือถือดอกบัวธูปเทียน ขณะที่กำลังเดินวนรอบพระธาตุ แม้แดดบ่ายราแสงแล้ว
“จำได้แล้ว เขาเป็นนักกีฬาเขต มาจากลำปาง เคยเจอตอนอยู่ม.๖ซ้อมกับโค้ชของเราตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เอ แต่ ตอนนี้ไม่ได้เป็นนักกีฬาในชมรมนะเค้าแค่มาขอตารางลงเวธ[1]กับโค้ชของเราเฉยๆ ชื่ออะไร เราก็จำไม่ได้แล้วด้วยสิ”
รู้แค่นั้นก็เพียงพอจะตื่นเต้นแล้วตอนที่กราบพระธาตุนั้น นอกจากอธิษฐานเรื่องเรียนแล้ว ก็ยังอุตส่าห์อธิษฐานขอให้ นักศึกษาคณะแพทย์คนนั้นมาที่ชมรมวิ่งอีกครั้ง
คิมหันต์ต้องรีบกลับไปที่พระธาตุอีกครั้งเพื่อกราบขอบคุณ เพราะหลังจากวันขึ้นดอยได้เพียงสองวันเขาก็มาปรากฎตัวที่ชมรมวิ่ง ร่วมซ้อมวิ่งด้วย และมาทุกวันไม่มีขาด เขาไม่ได้สุงสิงกับคนในชมรมวิ่งมาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาสุงสิงกับเธอซึ่งไม่ได้ร่วมวิ่งกับใครเขา ขณะที่หนุ่มคนอื่นจะผลัดกันวนเวียนมาขอน้ำ ขอน้ำมัน ผ้าขนหนู เขาจะไปสะบัดมือสะบัดเท้าคนเดียวในมุมไกลๆอีกฟากนั้น ถึงอย่างนั้น ในกลุ่มคนหลายคนที่รวมกันซ้อมวิ่งไปมา เธอกลับมองหาเขาพบได้ทันทีไม่ว่าตัวเขาจะเคลื่อนไปทางใดก็ตาม
งานเฝ้ากระติกน้ำแข็ง ไม่ใช่งานหนักที่น่าเบื่ออีกต่อไป เรียนเสร็จเมื่อไหร่คิมหันต์เป็นต้องกระโจนตามแก้วกาญจน์ไปที่สนามกีฬาด้วยใจระทึก
“น้องคิมจ๋า พี่ขอฝากมือถือหน่อยนะจ๊ะ” พี่อ้นส่งเสียงหวานที่ทำเอาเธอสะดุ้งจากภวังค์เพราะคนที่ยืนด้านหลังพี่อ้นก็คือเขา “รักษาไว้ดีๆเลยนะจ๊ะ พี่หวงให้น้องคิมเก็บคนเดียว”
เมื่อพี่อ้นจากไปคิมหันต์ก็แหงนหน้ามองเขาเต็มตา ใจเต้นแทบจะกระโดดออกมานอกอก ขณะรอคอยว่าเขาจะพูดอะไร ทว่าเขาก็ไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแต่วางกระเป๋าเป้สีดำใบเขื่องเอาไว้ข้างๆของคนอื่นๆแล้วเดินจากไป คิมหันต์มองเจ้ากระเป๋าใบนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า อยากจะแอบเปิดดูว่ามีอะไร แต่ก็ไม่กล้าสักที
รูมเมทในหอพักไม่ได้หาว่าเธอบ้า เพราะในช่วงเวลาอย่างนั้น ทุกคนต่างก็มีอาการอย่างนั้นกันไม่มากก็น้อย อย่างแก้วกาญจน์ก็ไปปิ๊งสุดหล่อของคณะรัฐศาสตร์แม้ไม่ค่อยได้พบกัน แต่ก็ชอบลากคิมหันต์ไปแอบดูเขาบ่อยๆ
คิมหันต์ไม่ได้ออกอาการเฉพาะกับรูมเมทเพราะเธอเอาไปเล่าให้นุ่นเพื่อนที่คณะรู้ด้วย เมื่อนุ่นรู้ เพื่อนซี้อีกคนอย่างนายเจ๋งก็พลอยรับรู้ไปด้วย “รู้สึกจะชื่อสนนะ” คิมหันต์บอก “ยังไม่แน่ใจ แต่เห็นโค้ชเคยเรียกเขายังงั้น”
“แกเจอเค้าทุกวันแต่ไม่รู้จักชื่อเค้าเนี่ยนะ?” นุ่นร้องอย่างไม่อยากเชื่อ ขณะที่นายเจ๋งก็เสนอว่าจะให้เพื่อนที่เรียนคณะแพทย์ช่วยสืบให้
“เจ๋ง!” คิมหันต์ทำเสียงสูง “รักเจ๋งจังเลย แต่ว่าเจ๋งอย่าบอกเพื่อนเจ๋งนะว่าสืบให้คิมน่ะคิมอาย เกิดรู้ถึงหูเค้าเข้า”
นายเจ๋งทำหน้ารำคาญอย่างเป็นต่อขณะที่พยักหน้าว่าเออๆ ไม่บอกหรอกน่า
นุ่นและเจ๋งต้องฟังคิมหันต์พรรณนาถึงคนที่พวกเขาไม่เคยเห็นหน้าอยู่นาน จนกระทั่งกีฬามหาวิทยาลัยมาถึง
“คณะแพทย์นี่มีหมอนี่เป็นนักกีฬาคนเดียวหรือไงนะ ส่งหมอนี่ลงแข่งทุกประเภทเลย” เจ๋งกระเซ้าถามคิมหันต์เล่นๆหลังจากที่ลงจากสแตนด์เชียร์ในช่วงเที่ยง
คิมหันต์ไม่ตอบเจ๋งเพราะมัวแต่ปลาบปลื้มกับความเก่งของเขาที่ได้ที่หนึ่งแทบทุกรายการ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปของตัวเองมากดดูภาพที่แอบถ่ายเขาเอาไว้ แม้อากาศจะร้อนไปหน่อย แดดก็จ้าแต่ก็เป็นวันที่สดใส เธอรู้ชื่อเขาแล้ว
ต้นสน ......... ชื่อแปลกดูพิเศษ เขาเรียนเก่ง เล่นกีฬาดี หน้าตาก็หล่อ และอีกหน่อยเขาก็จะเป็นนายแพทย์ต้นสนที่ได้รักษาใครๆให้หายจากโรคร้าย คิมหันต์บอกตัวเอง
หลังกีฬามหาวิทยาลัย ต้นสนไม่มาซ้อมที่ชมรมอีก และคิมหันต์ก็เลิกไปเฝ้าของให้นักกีฬาที่นั่นแล้วเหมือนกัน เมื่อถึงช่วงนี้ไปเรียนฟิสิกส์พื้นฐานน่าสนใจกว่า แม้จะไม่ได้เจอนักศึกษาแพทย์ที่คาดว่าน่าจะเรียนฟิสิกส์พื้นฐานบ้างแต่คิมหันต์เห็นหนุ่มนักวิ่งคนนี้ที่แคนทีนคณะวิทยาศาสตร์ทุกครั้งที่เธอไปเรียนฟิสิกส์ที่นั่น
“เรียนเลขไม่ได้เรื่องแล้วยังจะมาลงเรียนฟิสิกส์อีก” เจ๋งบ่นกะปอดกะแปดเมื่อโดนคิมหันต์ขอให้ช่วยติวให้เป็นกรณีพิเศษเพราะเรียนไม่รู้เรื่องเลย หนำซ้ำสถานที่ให้ติวก็ยังเป็นแคนทีนคณะวิทยาศาสตร์ที่คิมหันต์นั่งรอดูต้นสนที่จะมากินข้าวกับเพื่อนเป็นประจำ
“มาแล้วๆ” นุ่นร้องลนลาน “วันนี้เค้ากินนมชมพูเหมือนแกด้วยคิม ตายแล้วคิม เค้ามองมาทางเราด้วยๆ ตายแล้วๆ”
คิมหันต์ใจเต้นรัวเป็นตีกลอง ก้มหน้าก้มตาดูดนมอย่างรีบด่วนจนเสียงดังปื๊ด ในแคนทีนตอนนั้นมีคนน้อยเพราะเป็นช่วงบ่ายแล้วเสียงจึงดังพอจะไปถึงหูสองหนุ่มที่นั่งอีกฟากหนึ่ง เมื่อพวกเขาหันมามอง คิมหันต์ยิ่งทำตัวไม่ถูกดูดน้ำอีกครั้งแก้เขิน ครั้งนี้ถึงกับสำลักน้ำแค่กๆ
“คิม!” นุ่นร้องอีก “เค้าหัวเราะแกน่ะ เค้าหันมายิ้มด้วยๆๆ”
คิมหันต์ตื่นเต้นจนถึงกับหันไปทางนั้นและเห็นเขายังหัวเราะอยู่เลย ทว่าเมื่อสบตากันหน้าเขาก็เจื่อนลง และเสตาไปมองทางอื่นทันที และเมื่อเธอยังไม่มองไปทางอื่นเขาก็เริ่มยกแก้วน้ำของตัวเองมาดูดเขินๆแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ ภาพนั้นน่ารักจนคิมหันต์จำจนวันนี้แม้แต่ตอนนั้นที่เขากับเพื่อนจากไปแล้ว คิมหันต์ก็ยังนั่งมองโต๊ะว่างเปล่าที่เขาเคยนั่งนิ่งงัน
ไม่มีปฏิกิริยาอย่างนั้นอีกแต่คิมหันต์ก็เห็นเขาที่แคนทีนตลอดเทอมนั้น เธอจบการเรียนฟิสิกส์ที่ยากเย็นแสนเข็ญด้วยเกรดเอ ซึ่งได้จากการติวของเจ๋ง จบเทอมหนึ่ง ปีที่สองคิมหันต์ก็ไม่ได้พบกับเขาอีก เมื่อขึ้นปีที่สาม นักศึกษาแพทย์ทั้งหลาย ต้องใช้ชีวิตทั้งหมด ที่ฟากฝั่งที่อยู่ติดกับโรงพยาบาล ผู้คนป่วยไข้ สถานที่จอแจ รถรา ถนนหนทางนอกมหาวิทยาลัย ขณะที่คิมหันต์ก็ยังคงอยู่ที่ฝั่ง ภูเขา อ่างเก็บน้ำ สวนรุกขชาติและยังคงขี่มอเตอร์ไซค์วนเวียนเพียงถนนในมหาวิทยาลัยนี่เท่านั้น
ต้นสนไม่น่าจะชื่อต้นสน แต่น่าจะชื่อคิมหันต์เสียมากกว่าเธอ เพราะเขามักจะปรากฏตัวให้เห็นวันที่ฟ้าเป็นสีน้ำเงินอากาศร้อนจัด แดดใสแสบตา เมื่อไม่เห็นเขา ดูเหมือนโลกทั้งโลกถูกอมไปด้วยน้ำฝนชุ่มฉ่ำ และอากาศแบบนี้ ทำเอาคิมหันต์ไม่สดใสสมชื่อหน้าร้อนไปด้วย เจ๋งคงเห็น เขาก็เลยหวังดีนำพาเพื่อนที่อยู่คณะแพทย์มาพูดคุยด้วย และนั่นทำให้วันฝนตกดูดีขึ้นมานิดหนึ่ง
“โธ่นึกว่าใคร” นายภู นักศึกษาแพทย์คนนั้นว่าเมื่อได้ยินชื่อ “ ที่แท้ก็ไอ้ส้น....นี่เอง”
“เค้าชื่อต้นสน” คิมหันต์โวยทันที “ ภูก็เรียกเค้าซะเสียเชียว”
ภูหัวเราะขัน “โฮ้ย ไม่มีใครเรียกมันว่าต้นสนร้อก เค้าเรียกมันไอ้ส้นตีนกันทั้งนั้นแหละ อย่าถือสานะพวกเราๆในคณะชอบว่ามันว่าหลงตัวเอง นี่ถ้ามันรู้ว่ามีสาวน่ารักมาหลงผิดมาชอบมัน คงยิ่งกว่านี้อีก”
คิมหันต์อ้าปากค้าง นึกไม่พอใจนายภูขึ้นมาที่ไปว่าต้นสนอย่างนั้น แต่นายภูก็เล่าเรื่องต้นสนเรื่อยๆอย่างไม่สนใจท่าทีของเธอ เขาว่า สมัยมัธยมเพื่อนร่วมห้องก็ไม่เคยแล แม้จะสูงขาว เพื่อนๆว่าเขาชอบเสนอหน้าทำกิจกรรมทำตัวเป็นผู้จัดการ ชี้นำเพื่อนๆให้ทำนู่นทำนี่เสมอ และเสร่อออกหน้าไม่เข้าเรื่อง เขามีแฟนสาวในมหาวิทยาลัยหนึ่งคน แต่คบๆเลิกๆ เพื่อนๆก็ว่าแฟนสาวไม่ชอบความเจ้ากี้เจ้าการที่เสร่อของเขา
เวลาติวกันก็มักจะไม่ติวกับกลุ่มหลบไปซุ่มอ่านหนังสือคนเดียว และขี้เหนียวคะแนน ข้อดีของเขาก็มี คือแม้จะขี้เหนียวไม่ค่อยซื้อของใหม่ให้ตัวเอง แต่เมื่อเพื่อนเดือดร้อนเรื่องเงินเขาก็มักจะให้เงินยืมช่วยเหลือโดยไม่ห่วงตัวเอง
คิมหันต์จำข้อดีของเขาได้มากกว่าข้อเสียก็จริง แต่เมื่อได้รู้จักตัวตนของเขาว่าก็เป็นเพียงคนธรรมดาๆ มีดีมีเสีย เหมือนพี่อ้นที่ขี้หลี เหมือนเจ๋งที่ปากเสีย เหมือนภูที่ขี้เม้าท์แล้ว ความตื่นเต้น คิดถึงเทพบุตรเดินดินที่น่าจะมีฟอร์มก็ชักจะหายๆไป กอปรกับเรื่องที่เขายังตัดไม่ตายขายไม่ขาดกับแฟนสาวคณะเดียวกันก็เป็นประเด็นใหญ่ที่ทำเอาความหวังนั้นเหือดไป
สองปีสุดท้ายยุ่งและเพลินกับงานละครที่ต้องทำไม่มีเวลาว่างขี่มอเตอร์ไซค์ไปวนเวียนดูตึกโรงพยาบาลอีก ไหนจะมีเรื่องดีใจที่เกรดดีขึ้นจากเทอมก่อนๆเพราะทำวิชาการละครได้ดี ไหนจะยุ่งเรื่องช่วยเพื่อนๆ จัดกิจกรรมรับน้อง ขึ้นดอย แก้วกาญจน์เองก็ไม่ได้ไปชมรมวิ่งแล้ว เลิกสนใจหนุ่มรัฐศาสตร์คนนั้นแล้วด้วย เพราะเธอมีแฟนแล้วคณะเดียวกัน คิมหันต์เริ่มชอบฤดูหนาวมากกว่าฤดูร้อน แคมป์โต้ลมหนาวกับเพื่อนๆสนุกกว่า ชื่อของต้นสนจึงกลายเป็นเพียงความทรงจำบทหนึ่งของคิมหันต์ในชีวิตมหาวิทยาลัย
วันนี้แดดจ้าท้องฟ้าสวยใสเหมือนวันนั้น คิมหันต์หรี่ตาสู้แดด คลื่นทะเลแรง น้ำทะเลเป็นสีฟ้าเทอควอยซ์ ตอนนี้เป็นตอนเช้า ที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวไปมามากนัก คิมหันต์กอบทรายขาวโปรยเล่นเหงาๆ เพื่อนอาจารย์ที่มาสัมมนาที่โอกินาวาด้วยกันหายไปช้อปปิ้งกันหมด
คนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเดียวกับน้องตาลที่เคยแอบชอบเจ๋งอยู่คิมหันต์พอรู้ว่า เขาคงไม่ค่อยอยากให้เธอไปด้วยเท่าไหร่ เธอจึงเลี่ยงมาเดินเล่นคนเดียว
ครบปีแล้วที่เจ๋งบอกเลิกก่อนจะบินไปอเมริกา เจ๋งว่าความฝันของเขาอยู่ที่บรอดเวย์ขณะที่คิมหันต์พอใจแล้วกับการเป็นอาจารย์สอนการละครที่มหาวิทยาลัยนี่ ตอนนั้นคิมหันต์เอาแต่ใจ คิดว่าถ้าเจ๋งดึงดันก็ถือว่าความฝันสวนทางกัน แต่เวลานี้ คิมหันต์กลับเสียดายว่า ถ้ารักเจ๋งจริงก็น่าจะทิ้งความสุขตัวเอง แล้วตามเจ๋งไปด้วย แต่เธอก็ทำไม่ได้ อะไรๆก็เปลี่ยนไปตามเวลา
“ขอโทษครับคุณ?” มีเสียงภาษาอังกฤษดังจากด้านหลัง “กระเป๋าสตางค์ของคุณตกจากกระเป๋ากางเกงของคุณรึเปล่าครับ”
เงาของคนพูดพาดยาวคลุมค้ำศีรษะเธอ คิมหันต์รีบลุกขึ้น ปัดทรายออกจากกางเกงแล้วหันไปมองผู้ที่มาด้านหลัง
แล้วคิมหันต์ก็ใจเต้นอีกครั้ง นักศึกษาแพทย์คนที่คิมหันต์เฝ้าวนเวียนอยากพบเมื่อสิบปีก่อนปรากฎตัว ผมเขาไม่เกรียนอีกต่อไปแต่เค้าหน้ายังเหมือนเดิมทุกประการเปลี่ยนตรงที่ว่าตอนนี้ เขาคงเป็นคุณหมอต้นสนแล้ว
“คนไทยใช่ไหมครับ?” เขาถามเป็นภาษาไทย ขณะที่ยื่นกระเป๋าสตางค์ให้ มีแววตาบางอย่างบอกว่าเขาจำเธอได้ด้วย
อะไรๆก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาโลกจะหมุนไปเรื่อยๆ แต่ท้ายที่สุดมันก็เป็นเพียงโลกกลมๆใบหนึ่งซึ่งอะไรที่เคยมีมาจะกลับมาบรรจบพบกันอีกครั้งเสมอ
[1]ลงเวท เป็นการฝึกซ้อม ออกกำลังกายตามสัดส่วนน้ำหนักตัว
** แฟนเพจค่ะ https://www.facebook.com/มัชฌิม-1737483039864231/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in