เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Short Storyมัชฌิม
ไล่ผี
  • เป็นเพราะดร.ฐากูรโอ้เอ้จะอยู่ดูการไล่ผีนั่นเองที่ทำให้วันนี้ทั้งวันซันนีถูกทีมวิจัยทอดทิ้งเอาไว้บนยอดดอยภูคากับเขาเพียงสองคนตั้งแต่เช้ายันค่ำจนตอนนี้มืดแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้อำลาพ่อหลวงได้เสียที

    เธอต้องแยกขาดและอดเม้ามอยกับเพื่อนๆตั้งแต่สิบโมงเช้าขณะที่ต้องติดอยู่กับพ่อแก่ที่คร่ำเครียดที่สุดในโครงการ ที่ถ้าเป็นวันก่อนหน้านี้ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องสนุกนัก

    แต่ถึงตอนนี้ซันนีกลับโล่งอกอย่างประหลาดที่มีสาระยุ่งๆให้ทำ  แม้แดดจะร้อนเปรี้ยง ขณะที่ต้องวนอยู่ในป่า ฟังเสียงต่ำๆของผู้ชายสองคนเรื่องตำนานนิทานคนภูเขา  แม้ในตอนเช้าอาจจะว้าวุ่นเพราะคิดน้อยใจใครบ้างแต่เมื่อนานเข้าจิตใจก็สงบลงและได้ความรู้สึกอื่นเข้ามาดับอารมณ์วุ่นใจได้อย่างน่าประหลาด

    อันที่จริงตอนแรกดร.ฐากูรเองก็ไม่รู้ว่ามีซันนีติดตังอยู่กับเขาบนดอยนี่  เขาลงไปดูป่าชุมชนกับพ่อหลวงตัวเปล่าเข้าใจว่าลงไปคนเดียวและเมื่อเห็นซันนีตามมาก็เข้าใจว่าคนอื่นๆจะยังอยู่รอ  จึงให้ซันนีกลับขึ้นไปที่หมู่บ้านและบอกทุกคนว่าให้ทิ้งเขาไว้บนดอยนี่ก่อนเพราะเขาอยากจะอยู่รอดูพิธีไล่ผีคืนนี้

    เมื่อเธอขึ้นมาถึง คนในหมู่บ้านก็แจ้งว่าคนอื่นๆจากไปกันหมดแล้วที่เหลือไว้มีเพียงโฟร์วีลสีดำของดร.ฐากูรเพียงคันเดียว  ซันนีก็ชักจะใจเสีย เธอหันรีหันขวางครู่หนึ่งก็ตัดสินใจโทรไปหาศิ

    “พี่วีโดนตัวอะไรก็ไม่รู้กัดมือก็เลยต้องรีบพากันลงดอย ชั้นกับน้ำขิงก็บอกไปแล้วว่าแกยังอยู่กับอาจารย์กูรในป่าให้รอแกก่อนๆ  แต่อาจารย์คีธสุดหล่อของแกนั่นแหละเจ้าซันนีบอกไม่รอแล้วให้รีบลงไปโรงบาลเลย”

    คำบอกเล่าเกี่ยวกับดร.คีธ ‘สุดหล่อของเธอ’ยิ่งทำให้ใจแป้วกว่าเดิมเพราะนอกจากข้อมูลนั้นจะแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยใครคนหนึ่งจนรีบร้อนต้องโรงพยาบาลในเดี๋ยวนั้นแล้ว  ยังแสดงถึงความไม่ห่วงใยใครอีกคนอย่างสิ้นเชิงด้วยเช่นกัน 

    แต่ซันนีก็เริ่มเข้าใจได้หลังจากที่ดร.ฐากูรบอกว่าแมลงบางชนิดที่อยู่ในป่าในภูเขานี่ถ้ากัดหรือต่อยเราทีก็ถึงตายได้ถ้าไม่รีบส่งโรงพยาบาลกรณีพี่วีรินก็อาจจะเป็นกรณีเดียวกันและพวกเราก็ยังไม่รู้ว่ามันแย่มากแค่ไหน   ริ้วรอยความเป็นห่วงของดร.ฐากูรทำให้ซันนีเองก็ชักจะเป็นห่วงพี่วีรินตามไปด้วย

    “อ๋อ ตกลงโดนต่อต่อยเหรอ”ดร.ฐากูรโทรคุยกับใครสักคนที่นั่น “ไม่เป็นไรมากใช่ไหม ... อืม งั้นก็ดีละ     อ้อซันนีอยู่กับผมนะใช่ อ้าวไม่รู้หรอกเหรอ?  ไม่ๆ ก็พวกคุณไม่รอเขาไง  ไม่เป็นไรเดี๋ยวลงไปกับผม  บอกคีธด้วยก็แล้วกัน ครับๆ หวัดดีครับ”  

    ความน้อยใจแล่นปราดขึ้นมาอีกครั้งหลังได้ยินคำสนทนาไม่ปะติดปะต่อของดร.ฐากูร   เพราะได้ความชัดๆว่าไม่มีใครสนใจเธอขนาดที่ว่าไม่มีคนรู้เลยว่าเธอไม่อยู่ที่นั่นและดร.คีธก็ไม่สนใจแม้แต่จะบอกพวกเขา

    แล้วซันนีก็ได้คิดทบทวนระหว่างที่เดินวนตามชายสองคนเข้าไปในป่าโปร่งนั่น ขณะที่ก้มหน้าดูข้อความที่ศิกับน้ำขิงส่งไลน์มาบอกว่าพี่วีรินไม่ได้เป็นอะไรมากนอกจากมือบวมเท่านั้นแต่ดร.คีธก็ดูจะเฝ้าอยู่ไม่ได้ห่างราวกับว่าพี่วีแกเพิ่งจะโดนงูพิษฉกเข้าอย่างนั้นแหละ ทว่าตั้งแต่ที่ปล่อยเธอเอาไว้นี่ก็ยังไม่เห็นเขาติดต่อถามไถ่เลยแม้แต่กับดร.ฐากูร

    ความไม่แยแสกันโดยสิ้นเชิงอันนี้ ทำเอาซันนีเริ่มตาสว่างอย่างหดหู่  เธอเดินลุยใบไม้ดังกรอบแกรบคิดวนไปวนมาที่ทำให้ดูเหมือนกับว่าเหนื่อยและเซ็งดร.ฐากูรจึงเข้าใจผิดและหันไปบอกพ่อหลวงให้หยุดพัก พร้อมกับยื่นขวดน้ำให้

    “เอาเป้มาให้ผมสะพายละกัน”ดร.ฐากูรดึงเป้ของเธอไป แกเดินมาตัวเปล่าเพราะทิ้งสัมภาระของตัวเองเอาไว้ในรถและแกคงจะนึกว่าที่ซันนีซึมเซานี่เพราะเธอเหนื่อยกับการแบกเป้จึงมาเอาเป้ของเธอไปสะพายเสียงเองที่ทำให้ซันนีประหวัดนึกถึงวันก่อนที่ดร.คีธดึงของพะรุงพะรังของพี่วีรินไปถือแทน  ซึ่งก็น่าจะเป็นสัญญาณบอกให้ซันนีลืมตาตื่นเสียทีแต่ในตอนนั้นเธอก็ยังไม่ยอมตื่น

    ซันนีก็มาตื่นเอาตอนหัวค่ำนี่เองหลังพบว่าวันนี้ทั้งวันไม่มีความห่วงใยส่งมาจากฟากฝั่งนั้นเลย มีเพียงศิที่ส่งไลน์เข้ามารายงานว่าดร.คีธหายออกไปกับพี่วีตั้งแต่บ่ายแล้วยังไม่กลับเข้ามาที่รีสอร์ทเลยและพวกนั้นก็ถามเธอว่าจะเมื่อไหร่จะกลับเสียทีเพราะนี่ก็ค่ำมืดแล้วจะลงดอยลำบาก   

    ซันนีได้แต่ถอนใจแล้วหันมาทางดร.ฐากูรที่ท่าทางจะยังไม่ลากลับง่ายๆ  หนำซ้ำพ่อหลวงยังคะยั้นคะยอให้ชิมเหล้าอุ๊เหล้าต้มของแกด้วยและการตื๊อหนักอันนั้นทำให้เขาหันมาทางซันนี

                    “โอ๊ยอาจารย์นี่ก็กลัวเมียเหลือเกิ๊น  จอกสองจอกนิดๆหน่อยๆบ่เป็นหยังดอกคร้าบ”พ่อหลวงพูดเอาจนซันนีสะดุ้ง

                    “ไม่ใช่ค่ะพ่อหลวง”เธอรีบบอกทันที “หนูไม่ได้เป็นเมียแก”

                    “ไม่ใช่เมียแล้วทำไมอาจารย์กลัวหัวหดเลยล่ะฮ่าๆๆๆ” ลุงอาเกอที่นั่งอยู่ที่นั่นด้วยว่าแล้วหัวเราะ

                    “ไม่ใช่จริงๆครับเขาเป็นนักศึกษากลุ่มเดียวกับที่มาด้วยกันเมื่อเช้านี้” ดร.ฐากูรอธิบายเสียงเรียบ

                     “อ้าว ไม่ใช่หรอกเรอะเห็นอยู่ตัวติดกันตั้งแต่เช้ายันเย็น” พ่อหลวงเริ่มงง  แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากหันไปบอกดร.ฐากูรว่าไม่ใช่เมียแถมเป็นแค่ลูกศิษย์ก็จะกลัวไปทำไม ดื่มๆไปเถอะ

                    “แต่เดี๋ยวอาจารย์จะต้องขับรถพาหนูกลับลงดอยนะคะพ่อหลวง”ซันนีรีบโวยขึ้น

                    “จอกสองจอกไม่ถึงกับเมาจนขับรถตกดอยหรอกน่าแม่หนู” พี่แสงภรรยาของพ่อหลวงว่า  “ถ้าเมามากๆก็ค้างคืนอีกสักคืนเลยสิ เดี๋ยวจะมีไล่ผีกันอาจารย์เขาอยากจะดูไม่ใช่รึ”

                    ซันนีชักเห็นใจดร.ฐากูรจึงว่า“เราค้างกันอีกคืนก็ได้นะคะ  แล้วค่อยลงไปพรุ่งนี้กัน”

                    ทว่าดร.ฐากูรกลับทำหน้ากระอักกระอ่วน

                    “อาจารย์ท่านจะลำบากใจเอานะ”ลุงหมอผีอธิบาย “เมื่อคืนพวกหนูมานอนกันหลายคนก็ไม่เป็นไรแต่ตอนนี้เหลือชายหญิงสองคน แถมได้ยินว่าโสดทั้งคู่ ถึงจะนอนกันคนละบ้านแต่พวกกลุ่มคนที่บ้านหนูเค้าจะไม่ว่าเอารึ ตามประเพณีของหมู่บ้านลุงก็ถือว่าผิดผีต้องเสียผีด้วยการผูกข้อมือแต่งงานกัน”

                    คราวนี้ทำเอาซันนีไปไม่เป็นเลยทีเดียวและต้องรีบหาทางอื่นให้

                    “ถ้างั้นเอางี้เดี๋ยวซันขับรถให้ก็แล้วกันค่ะ”

                    “ได้ยังไงกัน”เขาร้องเสียงสูง คงเพราะถือว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบเธอ  ขณะที่ซันนีเองกลับคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเธอเคยขับรถของโครงการไปมีอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆมาแล้วจึงไม่ได้ยืนกรานจะขับรถต่อ  แต่ยืนยันให้เขาลองเหล้าต้มซักจอกเล็กๆ ซึ่งเขาก็ยังคงปฏิเสธทั้งที่เห็นชัดๆว่าก็อยากลองไม่น้อย

                    “ผมมาดื่มวันอื่นก็ได้”

                    “จอกเล็กๆคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ”ซันนีเห็นใจ  แต่ออกจะรู้สึกทะแม่งๆที่ตัวเองจะต้องมาให้การอนุญาตเขาขณะที่ท่าทีเขาก็ดูจะเกรงใจเธอแบบพวกพ่อบ้านกลัวเมียซึ่งทำให้เธอกับเขาอยู่กันอย่างกระอักกระอ่วนกว่าวันอื่นๆที่ผ่านมา 

    รศ.ดร.ฐากูรเป็นอาจารย์ของดร.คีธนักวิจัยและเป็นหัวหน้าโครงการ   อายุอานามจะมากที่สุดในกลุ่มอาจารย์ทั้งสี่คนและห่างจากกลุ่มนักศึกษาที่เป็นกลุ่มของซันนีอีกเป็นรอบบวกกับนิสัยคร่ำเคร่ง เจ้าระเบียบและค่อนข้างดุที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะเข้าหน้าทำให้ถึงแม้แกจะยังโสดแต่ก็ไม่ได้มีใครในกลุ่มสาวๆคิดอะไรเกินเลยกับแกในเชิงชู้สาวสักครั้ง  เห็นจะมีก็วันนี้นี่แหละที่ซันนีเริ่มตระหนักขึ้นมาบ้างว่าแกก็เป็นผู้ชายพอๆกับดร.คีธเหมือนกัน

    ขณะที่ เธอก็รู้สึกว่าวันนี้ดร.ฐากูรก็แบกความรับผิดชอบเธอในฐานะที่เป็นผู้หญิงมากขึ้นตั้งแต่คอยถามว่าเดินไหวไหม แบกเป้ให้เธอ หาน้ำให้ดื่มคอยขอพ่อหลวงให้หยุดนั่งพักเป็นระยะ คอยกันท่าหนุ่มๆในหมู่บ้านที่เห็นว่าเหลือซันนีเป็นผู้หญิงคนเดียวแล้วจะเข้ามากะลิ้มกะเหลี่ยไม่ยอมค้างคืนเก็บข้อมูลต่อ และยังไม่ยอมดื่มเหล้าอุ๊เพราะต้องพาเธอกลับ

    อย่างไรก็ตามในฐานะแขก การจะปฏิเสธเหล้าที่เจ้าบ้านอุตส่าห์เอามาเลี้ยงจะเป็นเรื่องเสียมารยาทซันนีจึงถือเอาว่าเป็นตัวแทนยกจอกเหล้าอุ๊ดื่มแทนเขาเสียเลย ซึ่งก็น่าจะถือว่าเป็นการช่วยที่พิเศษอยู่เหมือนกันเพราะโดยปกติซันนีไม่ใช่เด็กวัยรุ่นประเภทชอบน้ำเมา  ถ้าจะว่าไปเธอเข้าข่ายคุณหนูผู้เรียบร้อยอะไรทำนองนั้นถึงจะไม่ขนาดในละครทีวีก็เถอะ

    ygmm-ifM9u����“เอาอีกแก้วๆ แหมคอแข็งดีแฮะแม่หนูนี่” พ่อหลวงว่าพลางหัวเราะขณะที่ดร.ฐากูรร้องบอกให้พอแล้วๆ

    “อันนี้ไม่ใช่เหล้าขาวครับอาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง  เป็นน้ำต๋าวน้ำจากต้นต๋าวหรือต้นลูกชิดน่ะครับ” พี่กล้าที่เป็นลูกชายของพ่อหลวงอธิบาย“มันก็อาจจะมีแอลกอฮอล์เหมือนเหล้าแต่ไม่เป็นอันตรายและไม่แรงเท่าเหล้าอุ๊ครับแต่อันที่จริงเหล้าอุ๊นี่ก็เป็นข้าวหมักนะครับ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ  เพราะงั้นน้องซันนีกินได้เรื่อยๆไม่ต้องเป็นห่วง”

    “ไม่ต้องเป็นห่วงซัน....” ซันนีบอกด้วยเสียงยานคาง“ซันดูแลตัวเองได้ อาจารย์เฉยๆไปเลย  ทีอาจารย์คีธยังไม่เห็นสนใจซันเลย”

    ประโยคสุดท้ายที่เกิดจากอาการน้อยใจที่เก็บกดตั้งแต่เช้าหลุดออกมาทำเอาซันนีชักตกใจตัวเอง เมื่อเห็นดร.ฐากูรจ้องเธอเขม็งที่ได้ยินชื่อดร.คีธ และทำเอาทั้งสองคนต่างก็จ้องกันอย่างตกใจอยู่เป็นนาทีด้วยเหตุผลที่ต่างก็รู้ๆกันอยู่แต่ไม่กล้าพูดออกมากันเท่านั้น

    “ยังไงก็เถอะ ดื่มมากๆก็ดูเหมือนคุณจะเริ่มเมาแล้วนะซันนี”ดร.ฐากูรบอกอย่างกระอักกระอ่วน หลังจากที่เรียกสติคืนมาได้“เดี๋ยวเราต้องขับรถเข้าเมืองอีกนะ”

    “ซัน...จะไม่กลับหรอกค่ะ   ซันจะค้างที่นี่”ฤทธิ์แอลกอฮอล์ในน้ำต๋าวทำให้ซันนีประกาศกร้าวออกมาอีก“อาจารย์จะอยู่ดูพิธีไล่ผีไม่ใช่หรอกหรือคะ เรานอนกันที่นี่เลยละกันค่ะ ถึงยังไงก็ไม่มีใครมาสนใจอยู่แล้วว่าเราจะไปอยู่ไหนทำอะไร” 

    ทุกคนพากันหัวเราะ แต่ดร.ฐากูรดูจะหนักใจ เมื่อซันนีทำท่ายกจอกเหล้าจะมาดื่มอีกเขาก็รีบมาดึงเอาจอกเหล้าออกจากมือเธออย่างนุ่มนวลขณะที่พูดหน้าเคร่ง

    “พอแค่นี้เถอะซันนี คุณกำลังจะเมาแล้วนะ  ถ้าขืนทำตัวอย่างนี้ ผมคงไม่ได้อยู่ดูเขาไล่ผีกันแล้วล่ะคงต้องลาพ่อหลวงลงดอยกันตอนนี้เลยละกัน” ทำเอาซันนีเริ่มกลับมาได้สติ และรู้สึกผิด

    “ไม่เอาค่ะ อย่าทำให้ซันรู้สึกผิดที่ทำให้อาจารย์ไม่ได้ดูการไล่ผีเลยนะคะ”

                    ดร.ฐากูรมองเธอตอบแววตาฉายแววแอบขำในทีก่อนจะว่า

     “ถ้างั้นคุณก็หยุดดื่มแล้วก็เลิกพูดเรื่องเหลวไหลได้แล้ว  ถ้าเราค้างกันที่นี่ เราคงได้เสียผีด้วยการแต่งงานกันแน่  คุณอยากจะแต่งงานกับผมรึไง?”

    ซันนีเสตาไปมองทางอื่นเสีย ชักเริ่มเขินกับประเด็นการเสียผีอันนี้ขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

    พิธีไล่ผีวันนี้ เป็นพิธีที่ไม่ค่อยจะมีใครทำกันแล้วเนื่องจากการทำอุปกรณ์ไล่ผีออกจะเป็นอะไรที่ยุ่งยาก  ทั้งจากการตัดกระบอกไม้ไผ่ การหาผ้าซิ่นแม่ม่ายหาหินขาว และขี้เหล็กมาประกอบกันและยังต้องให้หมอผีร่ายคาถาให้ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน จากนั้นก็ต้องนำข้าวของเหล่านั้นไปวางตามจุดต่างๆที่คาดว่าจะมีผีร้ายมาวนเวียนโดยกำหนดให้เป็นในคืนวันแรม 15ค่ำหรือวันคืนเดือนมืดอย่างคืนนี้ที่จะทำให้การไล่ผีได้ผลชะงัดกว่าคืนอื่นๆ

                    และเพราะจะต้องไปวางตามจุดต่างแถวชายขอบหมู่บ้านที่ต้องเข้าไปในชายป่ามืดๆทำให้ดร.ฐากูรไม่ยอมให้ซันนีตามเขากับหมอผีไปด้วยและให้อยู่กับบรรดากลุ่มแม่บ้านในหมู่บ้านนี่แหละ 

                    ระหว่างที่นั่งเอามะม่วงฝานจิ้มกับน้ำจิ้มน้ำอ้อยกวนกับพริกดอยอย่างเอร็ดอร่อยกลุ่มสาวๆในหมู่บ้านก็พากันซักไซ้ประวัติดร.ฐากูรกันใหญ่ ประเภทว่าแกมีแฟนหรือยังอายุเท่าไหร่ เป็นคนที่ไหน ซันนีก็เลยเพิ่งรู้ว่าแกก็ฮอตไม่เบาเหมือนกัน 

                    “แล้วตกลงยัยหนูไม่ได้เป็นแฟนพี่เค้าจริงๆใช่ไหม?”ใครคนหนึ่งถามอย่างสงสัยหนัก

                    “ไม่ใช่ค่ะหนูมากับกลุ่มที่มาพักเมื่อคืนแต่ หนูตกรถน่ะค่ะ” ซันนี่อธิบาย “วันนี้ก็เลยต้องอยู่กับแกสองคนเพราะต้องกลับกับแก”

                    “อ้องี้เองนี่ถ้าไม่บอกว่าตกรถพวกพี่ก็นึกว่าหนูเป็นแฟนพี่เขาจริงๆนะเนี่ย ดูพี่เค้าฮ้วงห่วงถามหาหนูตลอด”

                    “ก็คงกลัวว่าหนูจะตกรถอีกละมังคะ”ซันนีตอบไปอย่างนั้นแต่ก็แอบรู้สึกดีอย่างประหลาดๆที่ได้ยินว่าเธอก็มีคนเป็นห่วงและถามหาตลอดทั้งวันอยู่นะ

                    แต่แล้วซันนีก็เกิดคิดได้ว่าจริงๆแล้วไม่ได้มีอะไรพิเศษอยู่ในนั้นหรอกและจู่ๆก็รู้สึกเหี่ยวแห้งขึ้นมาเสียเฉยๆ

                    พอสาวๆรู้ว่าซันนีไม่ใช่แฟนอย่างแน่แท้และรู้ว่าแกโสดแน่ๆก็ตื่นเต้นกันพอควรแบบที่ทำเอาซันนีชักจะรู้สึกแปลกๆเมื่อเห็นสาวๆพากันเช็คว่าเขาจะกลับมาที่หมู่บ้านอีกในวันที่เท่าไหร่  และพอรู้วันเวลาที่จะกลับกลุ่มสาวๆก็หารือว่าจะทำขนมมาจัดเลี้ยงเขากันใหญ่

                    ซันนีที่ไม่เคยสนใจตารางงานของเขาเลยก็พลอยอยากรู้ว่าเขาจะกลับหมู่บ้านนี้อีกเมื่อไหร่เธอจะได้มาด้วยไหม

                    “วันที่26สิงหาคม” ซันนีคราง ฤดูฝนอย่างนี้เธอกับเพื่อนๆคงไม่ได้มาด้วยแน่ๆและดร.ฐากูรอาจจะได้กลับมาที่หมู่บ้านนี้เพียงคนเดียวที่จะยิ่งทำให้เขาเนื้อหอมสาวๆตอมกันหึ่ง และอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้เธอเกิดประหวั่นใจไม่อยากให้เขากลับมาเสียอย่างนั้น

                    หลังจากล่ำลาพ่อหลวงและต้องมานั่งอยู่ในรถคู่กันสองคนกลางป่ามืดๆซันนีก็รู้สึกทะแม่งๆขึ้นมาอีกอาจจะเพราะความคิดของเธอที่ไม่บริสุทธิ์ใจเหมือนอย่างเมื่อวานกับเมื่อเช้านี้ก็เป็นได้

    เพื่อจะกำจัดความเงียบดร.ฐากูรก็เลยชี้ชวนเธอดูไฟลุกตามแนวเขาที่พวกเขากำลังขับรถผ่านเห็นเป็นแสงสีส้มแดงท่ามกลางความมืด ซึ่งก็ช่วยแก้อาการขัดเขินได้ทันที

                    “นี่มันไฟป่านี่คะตายแล้ว” ซันนีร้องอย่างตกใจ

                    “ไม่ร้ายแรงขนาดนั้นไม่ต้องตกใจ ไหม้แค่ตรงแนวกันไฟเฉยๆ เห็นไหมว่ามันไหม้เป็นเส้นสายไม่ได้ลุกลามไหม้ทั้งแถบทั้งดอย”

                    จริงอย่างที่เขาว่าเพราะไฟที่ลุกไหม้นั้นไหม้เป็นเส้นสายเล็กๆ เหมือนมีสายไฟแขวนเอาไว้แล้วจุดไฟตามสายนั้น ไม่ได้ลุกไหม้เผาทั้งดอยแต่เนื่องจากรถที่ขับผ่านอยู่ใกล้ๆจึงเห็นไฟที่ลุกบางเส้น ลุกเป็นเพลิงใหญ่อยู่ใกล้ๆ เห็นเป็นกองเพลิงใหญ่กองหนึ่งที่ไม่มีท่าทีว่าจะลามออกด้านข้างเลย  แนวกันไฟนี่เยี่ยมอยู่เหมือนกันแฮะ ซันนีนึก

                    ภาพเพลิงไฟที่ลุกไหม้สว่างจ้ากลางความมืดช่างน่าตื่นตาตื่นใจทำเอาซันนียกสองมือไปเกาะกระจกและเบิกตาจ้องออกไปข้างนอกเหมือนเด็กๆ  ดร.ฐากูรก็เลยหัวเราะออกมาคล้ายจะเอ็นดู และนั่นก็ทำเอาบรรยากาศรอบตัวอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด

                    “เดี๋ยวไปแวะกินไอติมก่อนเข้ารีสอร์ทไหม?”จู่ๆเขาก็ถามขึ้นหน้าตาเฉย เมื่อเห็นซันนีเบิกตากว้างอย่างฉงน ก็กระแอมก่อนบอก“เห็นว่าต้องมาติดอยู่บนดอยกับผมทั้งวันเลยอยากพาแวะเข้าเมืองบ้างเท่านั้น  ก็แล้วแต่นะ ถ้าอยากรีบกลับไปเจอเพื่อนเราก็จะไม่แวะ”

                    อะไรก็ไม่รู้ในน้ำเสียงของเขาที่ทำให้รู้สึกว่า‘เพื่อน’ ที่เขาพูดถึงนั้นไม่ได้หมายถึงศิ หรือ น้ำขิง แต่เหมือนจะเป็น ดร.คีธ ....

                    ใช่แล้วดร.คีธ….     ซันนีแทบจะลืมชื่อนี้ไปเสียสนิท ทั้งที่เมื่อวานหรือวันก่อน รวมทั้งเมื่อเช้านี้ ชื่อกับหน้าของดร.คีธยังคอยตามหลอกหลอนเธออยู่เลย

                    น่าแปลก...มาตอนนี้ชื่อของดร.คีธดูเหมือนเป็นเพียงชื่อๆหนึ่งเท่านั้น  และไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ในเวลานี้ซันนีไม่ค่อยจะรู้สึกอยากกลับรีสอร์ทเพียงเพื่อจะได้ไปเห็นหน้าเขาเท่าเก่าแล้ว    สิ่งที่มากวนจิตกวนใจในตอนนี้มีแค่เรื่องการตัดสินใจว่าจะไปกินไอติมกับดร.ฐากูรดีไหมเท่านั้น  และเรื่องแค่นี้ก็ทำให้เธอต้องคิดวนไปมาว่าควรตอบไปอย่างไรดี

                    ทว่าเมื่อถึงทางแยกระหว่างเข้าเมืองกับเข้ารีสอร์ทซันนีก็รีบพูด 

                    “เราไปกินไอติมกันเถอะค่ะกินแต่ผักไม้มาทั้งวันแล้ว”

                    ดร.ฐากูรยิ้มแล้วหักพวงมาลัยตามคำบอก  ขณะที่ซันนีหันไปที่ทางเข้ารีสอร์ทซึ่งพวกเขาแยกจากมานึกในใจว่า

                    ขอบคุณนะคะที่ทำให้ซันได้อยู่ในพิธีไล่ผีวันนี้

      ลาก่อนค่ะ ดร.คีธ 

    ************************************

    Credit ภาพปก วาดโดย Tanikawa Fumiko

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in