เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Seven rooms : 7 สิ่งเร้นลับในโรงเรียนHacker Dewdie
บทที่ 6 : หัวใจที่ถูกปิดตาย
  • "ผมเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดเป็นอย่างดี แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้"


    (กดที่นี่เพื่อย้อนกลับไปอ่านบทที่ 5)
               

             ลุงบุญส่งปิดประตูห้องพยาบาล และใส่กลอนประตูห้อง สายตาของผมจ้องมองการกระทำของลุงบุญส่งตั้งแต่ต้นจนจบ โดยในระหว่างนั้นก็คิดถึงเรื่องของเด็กผู้หญิงที่มารับกรรมจากการกระทำที่ไร้ความผิดชอบของผู้ชาย


            "ไปอาคาร 2 กันต่อเถอะ"
            ลุงบุญส่งพูดขึ้นมา ผมพยักหน้าตอบรับลุงบุญส่ง ลุงบุญส่งจึงเดินนำหน้าผม



             อาคารเรียน 2 เป็นอาคารเรียนจำนวน 4 ชั้น ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกโรงเรียน ตัวอาคารหันหน้าไปทางทิศตะวันตห เป็นอาคารที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมักจะใช้เรียน  ชั้นล่างของอาคารเรียนเป็นใต้ถุนโล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก เหมาะสำหรับการจัดกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานกิจกรรมของภาควิชา หรือเป็นสถานที่ที่นักเรียนใช้นั่งพักผ่อนหย่อนใจในยามว่าง หรือใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมชุมนุม มีเวทีืไม้ขนาดเล็กชิดกับฝาผนังข้างทางขึ้นบันไดทางด้านทิศใต้ หน้าเวทีมีโต๊ะม้านั่งยาว 8 ตัวรองรับนักเรียนภายในโรงเรียน ถัดมาเป็นลานโล่งๆ เหมาะสำหรับนั่งพื้นจับกลุ่มคุยกัน



             ผมและลุงบุญส่งเดินสำรวจชั้นล่างของอาคารเรียนอย่างคร่าวๆ ไม่พบความผิดปกติ เพราะชั้นล่างเป็นชั้นที่ไม่มีอะไรน่าสนใจมากมาย สามารถส่องไฟฉายตามบริเวณต่างๆ ได้ง่าย เวทีและม้านั่งมีสภาพปกติและเหมือนเดิมทุกอย่าง พื้นอาคารไม่มีร่องรอยที่แปลกประหลาด คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วละ



             ผมเดินขึ้นบันไดทางด้านฝั่งทิศเหนือ สำรวจห้องเรียนห้องมุมของอาคาร สำรวจห้องเรียนในชั้น  ไม่พบความผิดปกติ เมื่อผมสำรวจชั้นสองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมเดินขึ้นบันไดทางฝั่งทิศใต้เพื่อเตรียมสำรวจอาคารเรียนสองชั้นสาม แต่เมื่อเดินถึงบันไดขั้นสุดท้าย ผมได้ยินเสียงโต๊ะเก้าอี้ถูกลากดังจากภายในห้องมุมชั้นสามฝั่งทิศใต้



             ครืด....เอี๊ยด....อ๊าด....
             ผมหยุดชะงัก มือสั่นเหมือนเจ้าเข้า เหงื่อเริ่มไหลออกมา ลุงบุญส่งรีบส่องไฟฉายไปยังห้องมุมชั้นสาม หลังจากนั้นไม่นาน มีเสียงคล้ายกับคนกระแทกประตูดังขึ้นมาจากภายในห้องนั้น ไฟในห้องกระพริบสลับ 2-3 ครั้งและครั้งสุดท้ายแสดงให้เห็นเงาของคนๆ ยืนใกล้กับประตู เป็นภาพใบหน้าของชายที่ผมคุ้นตาเป็นอย่างมาก ดวงตาของเขาจ้องมองมาที่ผมและลุงบุญส่ง ก่อนที่จะหายไปกับแสงไฟ ผมตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยายามหลับตาและส่องไฟฉายไปทางทิศอื่นๆ



             "ห้อง 5-7" ลุงบุญส่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

             "มีอะไรเหรอลุง"

             "เปล่าๆ ไม่มีอะไร" ลุงหันหน้ามามองผม

             หลังจากจึงเตรียมตัวสำรวจห้องถัดไป



             ....ปัง!!....
              ผมได้ยินเสียงประตูของห้องมุมกระแทกกับผนังด้านข้าง ผมสะดุ้งจนไฟฉายหลุดจากมือ ไฟฉายกลิ้งไปตามพื้นจนหยุด ลำแสงของกระบอกไฟฉายชี้ไปยังห้องดังกล่าว ผมมองไปตามลำแสงพบว่าห้องนี้ถูกเปิดออก
     


             "ต้องเข้าไปในห้องนี้แล้วละ" ลุงบุญส่งหยิบไฟฉายที่ตกบนพื้นและยื่นให้กับผม "ลุงคิดว่า เจ้าของห้องต้องการให้เราเข้าไปนะ บางทีเราจะอาจจะได้เจอความจริงบางอย่าง"
        

             ผมสงสัยในประโยคของลุงบุญส่งตั้งแต่ประโยคก่อนหน้านั้นแล้ว ทำไมแกต้องพูดให้เป็นปริศนาอยู่เรื่อย แต่ก็ช่างเถอะ สำรวจก็สำรวจ


             เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องตามหลังลุงบุญส่ง ผมได้กลิ่นอับ สภาพภายในห้องมืดมิด มองอะไรไม่ค่อยเห็น มีเพียงแสงจากไฟฉายที่ส่องตามมุมตามซอกต่างๆ ของห้องเรียน ห้องเรียนห้องนี้หันหน้าไปทางทิศเหนือ ผนังด้านทิศเหนือมีกระดานติดกับผนังและมีโต๊ะครูผู้สอนอยู่ด้านหน้า ตรงกลางห้องมีโต๊ะและเก้าอี้เรียนจำนวนมาก ผนังด้านหลังห้องเป็นผนังคอนกรีตสีขาว มีสภาพเก่า ฝุ่นเกรอะ และมีบอร์ดจัดนิทรรศการในสภาพที่แย่ ฟิวเจอร์บอร์ดถูกแมลงเล็กๆ กัดขาด ดูไม่ค่อยงาม ส่วนด้านข้างของห้องมีพวกใยแมงมุมเกาะตามหน้าต่าง ดูแล้วเหมือนกับไม่มีใครมาทำความสะอาดห้องนี้เลย



              ลุงบุญส่งเดินสำรวจภายในห้องอย่างช้าๆ เอาไฟฉายส่องกระดานดำ ส่องมุมห้อง ส่องหน้าต่าง ส่องทั่วห้องเรียน ส่วนผมก็แยกกับลุงบุญส่งสำรวจตามโต๊ะนักเรียน ส่วนใหญ่มักจะมีเศษฝุ่นเกรอะกรัง ราวกับว่าโต๊ะนักเรียนเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้เป็นเวลามานานมากแล้ว



  •            "เหวออออ" ผมร้องตะโกนขึ้นมา หลังจากที่เอาไฟฉายไปส่องที่โต๊ะเก้าอี้ที่ตัวหนึ่ง สิ่งที่พบเจอคือมีคนนั่งบนเก้าอี้ คนๆ นั้นมีลักษณะเหมือนชายวัยรุ่น ก้มมองดูโต๊ะของตัวเอง


               "เกิดอะไรขึ้นหรือหลาน" ลุงบุญส่งหันหน้าส่องไฟฉายมาทางผม


               "ที่โต๊ะตัวนั้นมีอะไรแปลกๆ" ผมเอาไฟฉายส่องไปที่โต๊ะดังกล่าวอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบเจอชายคนนั้นอีกแล้ว



               ลุงบุญส่งรีบเดินไปที่โต๊ะนั้นด้วยความกล้าหาญ ผมเดินตามลุงบุญส่งไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อถึงโต๊ะตัวดังกล่าว ลุงบุญส่งส่องไฟฉายไปรอบๆ ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ลุงบุญส่งหันหน้ามามองผม ก่อนที่แกจะเดินสำรวจห้องเรียนต่อไป
     


               ผมกลับมามองที่โต๊ะตัวที่ชายคนนั้นนั่ง ผมสังเกตเห็นสมุดเล่มหนึ่งสอดไว้ใต้ช่องด้านล่างของโต๊ะ สมุดเล่มนั้นมีปกสีดำ คงมีใครบางคนลืมไว้ที่โต๊ะนี้ 



               ผมละสายตาจากโต๊ะ แต่ทันใดนั้นเอง ผมได้ยินเสียงสมุดตกลงบนพื้นห้อง ผมหันกลับไปที่โต๊ะอีกครั้ง ผมมั่นใจแน่นอนแล้วว่า...ในสมุดเล่มนั้นจะต้องมีอะไรสักอย่าง ผมดึงเก้าอี้ออกมา ก้มตัวเอื้อมมือหยิบสมุดที่ตกลงบนพื้น สภาพห้องที่มืดมิด ผมพยายามคลำ คว้านหาต่อไปเรื่อยๆ แต่แล้วแขนของผมสัมผัสกับสิ่งแปลกประหลาด เมื่อมองที่แขนของตัวเอง มันมีมือที่แปลกประหลาดที่จับแขนของผมเอาไว้



               ผมสะบัดมือด้วยความตกใจกลัว ผลักตัวเองออกจากพื้น ร่างกายกระแทกกับโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง เกิดเสียงดังลั่นห้อง ลุงบุญส่งรีบเดินมาหาผมอย่างรวดเร็ว 


               "เป็นอะไรไหมหลาน เจ็บมากไหม" ลุงบุญส่งถามด้วยความเป็นห่วง


               "ไม่มีอะไรครับลุง" ผมดึงสติกลับมา หยิบไฟฉายที่อยู่ข้างๆ ตัว "ผมเจอสมุดที่แปลกประหลาดเล่มนี้ มันตกหล่นอยู่บนพื้นนะครับ"

                "คงเป็นสมุดของนักเรียนสินะ" 



                ผมใช้มือจับเก้าอี้ที่อยู่ข้าง มืออีกข้างหยิบสมุด พยายามพยุงตัว ลุกขึ้นยืน สะบัดสมุดเล็กน้อยเพื่อให้ฝุ่นที่เกาะหลุดออกบ้าง เมื่อผมจ้องมองหน้าปก มันเขียนไว้ว่า "สมุดเฟรนด์ชิฟ"  ผมเปิดดูสมุดอย่างคร่าวๆ ทุกๆ หน้าจะมีชื่อของนักเรียนกำกับไว้บนหัวกระดาษ และมีเนื้อหาที่เขียนเกี่ยวกับประวัตินักเรียนและรูปถ่าย แต่มีอยู่หน้าหนึ่ง ที่มีชื่อนักเรียนหญิงบนหัวของกระดาษ แต่ไม่มีไม่เนื้อหาอะไรเลย มีพื้นที่เว้นว่างไว้
                เมื่อผมปิดสมุด ผมกลับพบเจอสิ่งที่แปลกๆ ข้างหน้า



                นักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายคนหนึ่งนั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าของผม เขานั่งหันหลังมา จ้องหน้าผมในขณะที่ผมกำลังอ่านสมุดเฟรนด์ชิฟ นักเรียนชายคนนี้แต่งชุดพละที่เป็นเครื่องแบบของโรงเรียนของผม  เป็นชายคนเดียวกับที่ผมเห็นตอนแรกก่อนเข้าห้องมา และเป็นคนเดียวกับคนที่ผมเห็นเขานั่งบนเก้าอี้ตัวที่ผมนั่ง


               "เธอคือใคร เธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่" ผมถามด้วยความแปลกใจ


               "ผมคือนักเรียนที่เคยเรียนในห้องนี้ และอยู่ที่นี่มานานแล้ว" เขาพูดอย่างช้าๆ ก้มหน้าไม่สบตากับผม


               "บ้านของเธออยู่ไหน ดึกดื่นป่านนี้ทำไมเธอยังไม่กลับบ้าน พ่อแม่เธอเป็นห่วงรู้ไหม"



               "ผะ ผะ ผมไม่มีบ้าน ที่นี่คือสถานที่แห่งเดียวที่อยู่ในความทรงจำของผม โรงเรียนแห่งนี้คือสถานที่ผมเห็นเป็นสิ่งอันดับแรก ห้องเรียนห้องนี้เป็นห้องเรียนที่ผมจำความได้มากที่สุด"



               "....." ผมนิ่งเงียบ "เธอหมายความว่ายังไง"



               นักเรียนคนนี้ไม่ได้ตอบคำถามผม แต่กลับเงยหน้าขึ้นมาแสดงให้เห็นรอยช้ำและรอยเลือดบนใบหน้า น่ากลัวเหลือเกิน นี่คงเป็นคำตอบได้อย่างแน่ชัดแล้วว่า นักเรียนคนนี้เสียชีวิตไปแล้ว   






             
  •               ผมคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผมเพิ่งย้ายเข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ ผมรู้ว่าโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพในด้านการศึกษาและผลงานทางกิจกรรมมากมาย เป็นโรงเรียนที่อยู่ในชนบทที่ห่างไกลจากตัวเมือง และโรงเรียนก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากบ้านของผม นี่คงเป็นสถานที่เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง


                  "นี่นาย...เป็นนักเรียนย้ายมาข้างนอกหรอกเหรอ ทำไมดูหน้าตาไม่ค่อยคุ้นเลย" เสียงใสๆ ของนักเรียนคนหนึ่งทักผม ในขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสือบนเก้าอี้ของตัวเอง

                   "ค คะ คือ..ใช่ครับ...ผมมาจากที่โรงเรียนวัดนะ ที่นั้นไม่มีการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็เลยย้ายมาเรียนต่อที่โรงเรียนแห่งนี้" 

                   "ยินดีที่ได้รู้จักนะ"



                   ผมเงยขึ้นมามอง ก็พบกับภาพใบหน้าผู้หญิงคนนี้
                   น่ารักจังเลย!!! นั่นคือสิ่งที่ผมพูดในใจ
                   เธอน่ารักเหมือนกับเจ้าหญิง เจ้าหญิงที่อยู่ในสวนดอกไม้ มีผีเสื้อบินอยู่รอบๆ มีสัตว์น้อยใหญ่อยู่ข้างๆ เธอ เส้นผมของเธอลื่นสลวยราวกับไหมสีดำ คิ้วของเธอเรียวบางเหมือนกับคันธนู ใบหน้าเรียบเนียนเหมือนผิวเด็ก ปากแดงชมพูเรียวสวยได้รูปราวกับนางงาม ดวงตาของเธอคู่นั้นเหมือนมีเวทย์มนตร์วิเศษที่ทำให้ผมจ้องมองอย่างไม่กะพริบสายตา รอยยิ้มนั้นที่ทำให้โลกของผมหยุดหมุน โอว..แม่เจ้า ช่างน่ารักเหลือเกิน


                   "ครับๆ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน" ผมตอบรับ


                   และแล้วคุณครูสอนวิชาคณิตศาสตร์เดินเข้ามาในห้องเรียน เธอคนนี้เป็นคนอาสาสั่งนักเรียนทั้งห้องเรียนลุกขึ้นยืนและทำความเคารพครู ผมทึ่งในความกล้าแสดงออกของเธอเป็นอย่างยิ่ง ไม่นึกว่าคนสวยราวกับนางฟ้าคนนี้นอกจากจะมีความสวยทางร่างกายแล้ว เธอก็ยังเป็นคนที่กล้าแสดงออกอีกด้วย


                    "นายยังไม่มีกลุ่มเหรอ...มากินข้าวกับพวกเราสิ"
                    เธอทักทายกับผมอีกครั้งหลังจากที่เรียนวิชาภาคเช้าจบ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เธอชวนผมกินข้าวกับกลุ่มเธอด้วยกัน 



                    เธอเริ่มแนะนำเพื่อนภายในกลุ่มของเธอเอง เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ผู้หญิงอีกสามคน และอีกคนเป็นกึ่งชายกึ่งหญิง เธอบอกกับผมว่าที่กลุ่มพวกเธอรู้จักกันเร็ว นั่นก็เป็นเพราะว่าทุกคนภายในกลุ่มเป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียน ครููผู้ใหญ่เล็งเห็นว่าควรจะจัดให้เด็กกิจกรรมอยู่ห้องเรียนเดียวกันเผื่อมีเวลากิจกรรมในระหว่างเรียน จะได้ลาเรียนไปเป็นกลุ่มๆ


                    "มาอยู่ชมรมนาฏศิลป์กับพวกเราด้วยกันไหม"
                     เธอเป็นฝ่ายชักชวนผมอีกครั้งหลังจากหมดคาบเรียนของวันนี้ ผมเองเล่นดนตรีไทยไม่ได้เลย


                     "ได้สิ"  ใบหน้าใสๆ ของเธอคือตัวช่วยที่ทำให้ผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เธอยิ้มตอบรับกลับมา แล้วพวกเราทั้งกลุ่มเดินไปยังห้องนาฏศิลป์ที่อยู่อาคารเรียน 1




                    เมื่อผมเดินเข้าไปภายในห้อง ทุกคนที่ยืนซ้อมรำ และนั่งซ้อมดนตรีไทยมองผมด้วยความสงสัย เธอเริ่มทักทายกับเพื่อนกลุ่มอื่นๆ และนั่งจับกลุ่มคุยกัน ส่วนผมที่ไม่รู้จักใครสักคนเลย ก็เดินตามเธอและนั่งด้านหลังเธอ เธอคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน ส่วนผมนั่งนิ่งเงียบไม่พูดจาอะไร จนเธอเริ่มสังเกตผม และหันหน้ามาทางผม


                    "นายเล่นอะไรเป็นบ้าง"


                    "ไม่เป็นเลย"


                    "ให้ตายสิ เราก็นึกว่าเธอเล่นดนตรีเป็นซะอีก.....งั้นเอางี้ ลองเล่นฆ้องวงดูไหม ตำแหน่งนี้ขาดอยู่พอดีเลย มาๆ เดี๋ยวจะสอนวิธีเล่นขั้นพื้นฐานให้" เธอส่งสายตาและใบหน้าที่ิยิ้มแย้มให้กับผม ผมตอบตกลงอย่างไม่รอช้า ผมเดินไปประจำที่นั่งฆ้องวง เธอนั่งข้างหน้าผม โดยมีฆ้องวงกั้นกลางระหว่างเรา เธอสอนให้ผมรู้จักการทำความเคารพครูก่อนเล่นดนตรีไทย เธอสอนวิธีการจับไม้ และวิธีตีฆ้องวง 


                     "พยายามเข้านะ เดี๋ยวเราจะไปซ้อมรำต่อ" นั่นคือเสียงที่ทำให้ผมมีกำลังใจในการฝึกเล่นฆ้องวงที่สุดเลย


                     ภายในเทอมเดียว ผมสามารถเล่นฆ้องวงได้อย่างชำนาญมากขึ้น เมื่อเข้าเทอมที่สอง ครูที่เป็นผู้กำกับวงบอกกับผมว่า ผมมีความสามารถมากพอกับการเล่นในงานต่างๆ ของโรงเรียน  งานครั้งแรกของผมเป็นงานวันไหว้ครู ผมตื่นเวทีเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้เห็นเธอคนนั้นกำลังร่ายรำบนเวที ทำให้ผมมีสมาธิกับการเล่นฆ้องวง
                     คุณรู้ไหมว่าขณะที่ผมตีฆ้องวงอยู่ข้างๆ เวที สายตาของผมที่พยายามมองเธอตอนร่ายรำนั้น ทำให้ผมคิดไปว่าผมกำลังเล่นบทเพลงให้กับนางฟ้ายังไงยังงั้นแหละ



  •                   หลังจากผ่านพิธีวันไหว้ครูของโรงเรียน ผมมีความรู้สึกเหมือนกับตัวเองเพ้อฝันจนตัวลอย      แต่แล้ว ก็มีเรื่องที่ทำให้ผมต้องตื่นขึ้นมาเพื่อรับสู่ความจริง



                     ช่วงเย็นของวันหนึ่ง ในขณะที่ผมกำลังนั่งซ้อมฆ้องวงในห้องนาฏศิลป์ เธอเดินมาพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่ง ครั้งแรกที่ผมมองหน้าผู้ชายคนนี้ ผมรู้สึกถึงลางร้ายกำลังมาเยือน ผู้ชายคนนั้นนั่งหลังพิงผนังด้านหนึ่งของห้อง โดยที่มีเธอก็นั่งข้างๆ ทั้งเขาทั้งเธอพูดคุยราวกับว่ารู้จักกันมานาน



                     ช่วงแรกๆ ผมคิดว่าเธอกับเขาเป็นเพื่อนกัน คุยกัน แต่พอนานวันมันก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล เธอพูดคุยกับผมน้อยลง ราวกับว่าผมเป็นคนอื่น ผิดกับผู้ชายคนนั้นที่สนิทสนมกันถึงขั้นหยอกล้อ ลูบหัว จับมือ ถือแขน นั่งหลังติดกัน นอนหนุนตักกัน ทำให้ผมรู้สึกเกลียดขี้หน้าผู้ชายคนนี้มากขึ้น ทำไมเขาจึงมายุ่ง มาเกาะแกะกับเธอ มันน่ารำคาญลูกหูลูกตาเหลือเกิน อยากจะไปผลักทั้งเขาและเธอให้แยกออกจากกัน อยากจะเป็นตัวร้ายที่ไปทำลายความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองลงซะ แต่ผมจะทำเพื่ออะไร ผมหึงเธอเหรอ ผมเองก็ควรรู้อยู่แก่ใจนะ ว่าผมอยู่ในฐานะอะไร ก็เธอกับผมไม่ใช่คู่รักกันสักหน่อย มันไม่ควรเพ้อฝันไปไกลมากมายขนาดนั้น ที่ทำได้ก็แค่พูดภายในใจเท่านั้นเอง






                     พอขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้ชายคนๆ นั้นเขาเริ่มตีตัวออกห่างจากเธอ แทนที่ผมจะดีใจกับความรักทั้งคู่ที่จบลง ผมรู้สึกได้ว่าเธอมีอาการเศร้า ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอไม่แจ่มใสเหมือนอย่างที่เคย  ดวงตาที่เปล่งประกายดวงนั้นตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่ค่อยกินข้าวเที่ยง และมักจะอ้างต่างๆ นาๆ  พวกเพื่อนในกลุ่มพยายามฉุดและดึงมือเธอขึ้นจากความมืดมน เธอก็ยิ้มรับ แต่เมื่อเผลอตัว เธอก็ทำหน้าตาเศร้าอย่างเช่นเคย ราวกับขังตัวเองในท้องทะเลมืดมิดที่กว้างใหญ่ ที่ไม่มีใครหาเจอ


                   "เกิดอะไรขึ้นกับเหรอ"  ผมถามเธอในช่วงบ่ายของวันหนึ่งที่ผมและเธอนั่งอยู่สองคน ส่วนพวกเพื่อนๆ ออกไปซื้อของกินที่ร้านสหกรณ์

                   "ไม่มีอะไรหรอก" เธอตอบด้วยสีหน้าที่เบื่อหน่าย

                   "......."

                   "นายว่าไหม การที่ผู้หญิงจะรักใครสักคน เขาทุ่มเทให้คนนั้นหมดทั้งใจ ใช้ใจทั้งใจแลกอะไรก็ยอมให้ได้ แต่ทำไมผู้ชายจะไม่เห็นค่าของความรักนั้นเลย มันเจ็บรู้ไหมที่เขาทำอย่างนี้กับเรา" เธอพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย "มันน่าสมเพศใช่ไหมล่ะ ที่ตัวเองทำเพื่อเขาขนาดนั้น แต่สุดท้ายเราก็เป็นฝ่ายเสียใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาหมดใจไปแล้ว แต่ทำไมเรายังไม่หยุดรักเขา ทำไมยังเพ้อถึงเขาไปเรื่อยๆ" 


                   "นา นา...อย่าโทษตัวเองเลย เธอยังมีค่ามากพอ"


                   "เรายังมีค่าแค่ไหนล่ะ ในเมื่อเขาไม่สนใจแล้ว จะไปมีค่าอะไร"


                   "การใส่ใจให้ใครบางคนที่มากเกินไปมันก็ไม่มีความหมายหรอก ชีวิตของเธอนะ..ไม่ได้มีแค่คนอย่างเขาเท่านั้นที่ผ่านเข้ามา ยังมีอีกหลายๆ คนที่ยังรอเธออยู่ คนที่รอเธอ เขาก็ยังมองเห็นว่าเธอยังมีค่าอยู่นะ"


                   ผมมองใบหน้าของเธอ ในขณะที่เธอมีอารมณ์เศร้า เธอไม่สบตาผมเลย เธอนิ่งเงียบไม่ตอบกับผม มันทำให้ผมไม่สามารถพูดต่อไปได้ ผมก็เป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เอาหัวของเธอมาพิงที่ไหล่ของผม ผมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ผมทำอะไรไม่ถูกเลย มันเป็นความดีใจเล็กๆ นะที่หัวของเธอพิงที่ไหล่ผม แต่ความเศร้าที่เธอปล่อยมามันกลบอารมณ์เหล่านั้น


                  "ฟังเพลงด้วยกันไหม" ผมหยิบเครื่องเล่นเพลงและยื่นหูฟังอีกข้างหนึ่งให้กับเธอ "บางทีมันอาจจะช่วยเธอได้"





                 หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เธอมีอาการดีมากขึ้น หน้าตาผิวพรรณของเธอสวยงาม อารมณ์แจ่มใสมากขึ้น เธอกลับมาเป็นคนเดิม เหมือนคนที่เธอเคยเป็น เธอพูดคุยกับผมมากขึ้น เธอหยอกล้อ ล้อเล่นกับผมมากขึ้น บางครั้งเวลาที่ผมทำกิจกรรมอะไรต่างๆ เธอมักจะคอยผม และทุกๆ เย็นกลับบ้านด้วยกัน


               ดูเหมือนว่าผมจะใกล้ชิดกับหัวใจเธอมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่เลย หลังจากวันนั้นไม่นานเธอก็กลับไปหาผู้ชายคนเดิมอีกเช่นเคย เขายังทำดีกับเธอเหมือนว่าไม่เคยมีการเลิกลากันมาก่อน เดินกลับบ้านด้วยกันเช่นเคย ส่วนผมยังเดินกลับบ้านคนเดียวเหมือนกับวันปกติ  ที่ผ่านมาผมคิดไปเอง คิดว่าจะมีใจให้กับผมจริงๆ 


                ต่อมา เธอไม่มาโรงเรียน 2 วัน ผมรู้สึกไม่ดีจึงโทรไปหาเธอ แม่ของเธอรับสายได้ความว่าเธอไม่สบายมา 2 วันแล้ว จนวันต่อมา เธอมาโรงเรียนด้วยอาการเศร้าซึม ถามอะไรไม่ค่อยตอบ บ่ายเบี่ยงเลี่ยงคำถามของผมเสมอ ตอนพักเที่ยง เพื่อนๆ ในกลุ่มจับจองโต๊ะม้านั่งหินอ่อนหน้าอาคารเรียน 2 เธอนอนฟุบหน้ากับพื้นโต๊ะ โดยเอาแขนรองเอาไว้ เพื่อนๆ ในกลุ่มของผมเดินไปเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้ผมและเธออยู่กันสองคน


                 "อาการดีขึ้นหรือยัง" ผมขยับหน้าไปใกล้ๆ เธอแล้วถามด้วยความเป็นห่วง


                 "รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย"


                 "ทำไมไม่พักผ่อนต่อละ"


                 "แม่บอกว่าไข้ก็ไม่มี หวัดก็ไม่ได้กิน ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนี่นา ก็เลยบังคับให้ฉันมาโรงเรียนเนี่ยแหละ"


                 "ลองไปหาหมอแล้วหรือยัง เผื่อหมออาจจะช่วยรักษาอาการได้"


                 "เราไม่อยากไปนะ เรากลัว"


                 "กลัวอะไรละ เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนี้ อาการไม่ดีขึ้นเดี๋ยวจะแย่เอานะ ไปหาหมอเถอะนะ จะได้รู้ว่าเธอเป็นอะไร" ผมเซ้าซี้ไปเรื่อย แต่เธอยืนกรานว่าจะไม่ไป ผมเริ่มกระตุ้นเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เขย่าไหล่ของเธอเพื่อให้เธอรู้สึกรักตัวเอง ห่วงตัวเอง



                 "เราไม่ไปหาหมอ เราไม่ไปหาใครทั้งนั้นแหละ"  เธอสะบัดมือผมออกจากไหล่ หันมามองหน้าผม เธอส่งเสียงดัง และพยายามใช้มือทุบตีผม ผมจับแขนเธอไว้ได้ เธอสะบัดจนหลุด เธอมองผมด้วยความโกรธเกรี้ยว 


                 "กูจะไม่ไป กูไม่ไปไหนทั้งนั้น เพราะกูท้องไงเล่า ไอ้ซื่อบื่อเอ๊ย!!!"




                  เธอพูดคำหยาบกับผมทั้งที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ประโยคนั้นชัดเจนเต็มสองรูหูของผม ผม
    ช๊อคอย่างสุดขีด ไม่นานชักสีหน้าหลบไป  "ถ้าผลตรวจออกมา แล้วพ่อแม่รู้ว่าเราท้อง เราต้องโดนด่าแน่ๆ"



                 "คือ..คือ ใจเย็นๆ นะ เธอท้องกับใครงั้นเหรอ" 



                 "ไอ้นั้น" เธอก้มหน้าลงและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง "ไอ้ผู้ชายเฮงซวยคนนั้นคนเดียวนั้นแหละ" แล้วเธอก็ร้องไห้ออกมา



                 "ไม่นะ ไม่นะ..." ความรู้สึกของผมเหมือนกับถูกมีดเล่มใหญ่ปักบนหลัง  ผมไม่รู้ว่าจะช่วยเธอยังไง เธอเจ็บปวดแค่ไหนผมรู้ดี ต่อให้มีมีดอีกพันเล่มมาปักบนตัวเธอ ผมจะดึงมันออกและปักที่ตัวผมเอง  "ชีวิตมันต้องมีทางแก้นา"



                 ผมพูดประโยคนั้นออกมาด้วยความอ่อนโยน มองตาเธอด้วยความอบอุ่น หวังว่าจะทำเธออุ่นใจได้บ้าง แต่เธอไม่ตอบกลับผมมาเลย เอาแต่จะก้มหน้าก้มตาร้องไห้อย่างหนัก ผมก็ทำได้แค่นั่งเงียบไม่พูดจาอะไร 



                 ผมชวนเธอขึ้นห้องเรียน เธอยังคงสะอื้น ผมอาสาแบกกระเป๋าเธอ เธอใช้มือซ้ายจับแขนของผมแน่นจนผมทำอะไรไม่ถูก เธอเดินแนบชิดกับผมเป็นพิเศษ ผมมองสีหน้าและแววตาของเธอ เธอยังไม่ตอบรับ ยังก้มหน้าต่ำลง ไม่อยากเผยสภาพใบหน้าที่แท้จริง



                 ในขณะที่ผมกำลังเดินขึ้นอาคารเรียน ผมเห็นผู้ชายคนที่เธอเคยรักกำลังเดินขึ้นอาคารเรียน มันเหมือนกับมีอะไรดลบันดาลให้ผมพบเจอกับมันและกลุ่มเพื่อนของมัน และที่ยิ่งไปกว่านั้นมันเดินกับผู้หญิงคนหนึ่ง หยอกล้อเล่นกัน และสุดท้ายมันก็หอมแก้มผู้หญิงคนนั้น ทำให้ผมรู้ชัดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ผมทนดูสภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ไหว กำหมัดอย่างแน่น ปลดกระเป๋าจากตัวเอง ทิ้งลงบนพื้น รีบวิ่งไปหามัน ง้างหมัดและอัดใส่หน้าไอ้ผู้ชายคนนั้นอย่างเต็มแรง แรงของหมัดที่กระแทกกับใบหน้าทำให้มันเซถอยหลังสองถึงสามเก้า



                 "มึงเป็นใคร มึงมาทำอย่างนี้กับเพื่อนกูได้ยังไง" ผมชี้หน้าไปยังเธอคนนั้น "มึงรู้ไหม มึงทำอะไรกับเพื่อนกูไว้บ้าง"



                 ผู้ชายคนนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้กำปั้นชกเข้าที่ใบหน้าของผมอย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน แล้วใช้ขาเตะให้ผมล้มลงกับพื้น นั่งคร่อมทับผม ต่อยเข้าที่ใบหน้าผมหลายครั้งๆ จนสาแก่ใจ หลังจากนั้นลุกขึ้นยืนมองผมด้วยความเลือดเย็น



                 "ผู้หญิงคนนั้นนะเหรอ อ่อ.... มึงไปบอกไอ้ผู้หญิงคนนั้นนะว่า ผู้หญิงคนนี้คือเกียรติยศของกู กูสามารถพูดกับใครต่อใครได้เต็มปากว่า กูได้กับดาวของโรงเรียนมาแล้ว" ทันทีที่มันพูดจบ ผมลุกขึ้นยืนและจะต่อยกับมันอีกครั้ง ผมจะเอาเรื่องมันจนให้ถึงที่สุด จะต้องมีคนเข้าห้องพยาบาลคนใดคนหนึ่งนั่นแหละ


                 ไม่ทันไรครูฝ่ายปกครองก็วิ่งเข้ามา พรรคพวกของมัน และรวมถึงมันสลายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ผมโดนครูฝ่ายปกครองจับได้ จนต้องเชิญเข้าสู่ห้องปกครอง และตั้งข้อหาในคดีทะเลาะวิวาทกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน จนต้องเชิญผู้ปกครองมาคุย
                     






  •              "ต่อมา ภารโรงก็พบเธอเสียชีวิตภายในห้องน้ำหลังอาคารเรียน 1 สืบทราบข่าวได้ความว่าเธอเสียชีวิตเนื่องจากการแท้งเด็ก ผมทำได้แค่ยืนมุงดูเหตุการณ์เหล่านั้นแทบจะสิ้นลมหายใจ เธอไม่ได้อยู่กับผมแล้ว เธอจากผมไปแล้ว"  นักเรียนคนนี้อธิบายเรื่องราวกับผม "นั่นคือความเจ็บ เจ็บยิ่งกว่าการอกหัก คือการที่ไม่ได้เห็นเธอมีชีวิตอยู่ในโลกนี้"



                 "เธอรักผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม"



                 "ครับ" นักเรียนคนนั้นตอบด้วยความหนักแน่น "ผมชอบเธอ...ผมเคยบอกไปกับเธอไปแล้ว แต่เธอก็บอกว่าอยู่กันเป็นเพื่อนกันเถอะนะ เพราะอย่างน้อยแล้วในเวลาที่หมดรักก็กลัวว่าจะมองหน้ากันไม่ติด เป็นเพื่อนอย่างนี้แหละดีแล้ว จะได้มีกันและกันตลอดไป"



                  "ผมเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดเป็นอย่างดี แต่เอาเข้าจริงมันทำไม่ได้"เด็กนักเรียนคนนั้นเริ่มก้มหน้าปาดน้ำตาตัวเอง "ถึงจะเป็นเพื่อน แต่เพื่อนคนนี้ที่แอบรักเธอ มันก็ผิดกฎตั้งแต่ต้นแล้ว  จะให้มีความรักท่วมฟ้าขนาดไหน ดูแลเธอเป็นอย่างดี เป็นที่ระบายของเธอได้ แต่ก็ยังไม่เลือกผม"



                  "หรือเพราะใจของคนเรามันห้ามกันไม่ได้" นักเรียนคนนี้ยังร้องไห้และพูดด้วยเสียงสั่น  "ไอ้หมอนั้นมันมีดีอะไร ทั้งๆ ที่ไอ้หมอนั้นมันบ้า มันเลว มันไม่เคยให้เกียรติกับเธอ แต่เธอก็ยังยอมให้เขา แต่ผม ผมที่ชัดเจนในความรู้สึกที่มีต่อเธอ แต่เธอก็ยังเลือกคนที่ไม่ชัดเจนอยู่ดี  ถ้าเธอมีใจให้ผมกับเหมือนอย่างที่เธอให้เขาบ้าง ผมจะไม่ทำให้เธอร้องไห้แน่นอน" 
             


                  "ไม่ต้องร้องไห้นะหลาน...อย่างน้อยความรักของหลานเป็นความรักที่ดี เธอคงจะรับรู้ได้ ลุงเชื่ออย่างนั้น" ลุงบุญส่งพูดประโยคอย่างเป็นกลางๆ เพื่อปิดคดีของเรื่องราวทั้งหมด

     
                  "แล้วหลานตายยังไง?"


                  "ผมโดนรถชนตาย" นักเรียนคนนั้นตอบขึ้นมา "หลังจากจบการศึกษาจากที่โรงเรียนแห่งนี้ ผมจบโดยที่ไม่มีเพื่อนคนที่ผมรู้จักคนแรกร่วมอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย ทุกคนถ่ายรูปร่วมกับเพื่อนมากมาย แต่ผม...ผมไม่มีเธอมาถ่ายรูปด้วยกัน ไม่มีเธอมาอวยพรผมในวันที่ผมจบการศึกษา  สมุดเฟรนด์ชิพก็มีไม่มีลายมือเธอ มีเพียงหน้าว่างๆ แผ่นหนึ่งที่รอให้เธอมาเขียน มีเพียงความทรงจำอันเลือนลางเท่านั้น.        


                  นักเรียนชายหยุดพูดสักครู่ก่อนพูดขึ้นต้นด้วยประโยคถัดไป


                  "ผมกลับบ้านด้วยใจที่ว่างเปล่า  แล้วผมก็จำได้ว่าผมลืมสมุดเฟรนด์ชิปไว้ที่ห้องๆ นี้ จึงกลับมาโรงเรียนอีกครั้ง แต่ระหว่างทางผมข้ามถนนไม่ดูตาม้าตาเรือ ทำให้ผมโดนรถชน"



                "งั้นที่หลานมาอยู่ห้องแห่งนี้ ก็เพราะเป็นความคิดตอนสุดท้ายก่อนที่จะตายสินะ" ลุงบุญส่งพูดกับนักเรียนคนนี้ นักเรียนคนนี้พยักหน้าตอบรับ  "หลานไม่ต้องกลัวเหงาหรอก ที่นี่มีลุงอยู่ทั้งคน  มีอะไรพูดคุยกับลุงได้เสมอนะ"    



                นักเรียนคนนั้นมองหน้าลุงบุญส่งด้วยหัวใจที่ชุ่มชื่น ก่อนจะหายตัวไป ลุงบุญส่งหันมาหาผม ผมยิ้มเล็กน้อย แต่ภายในหัวคิดว่ามันจะดีเหรอ จะมีวิญญาณมาอาศัยในห้องแห่งนี้เพิ่มขึ้นอีกตัว ผมคงไม่เอานะ ถ้าครูเวรคนอื่นเห็นเข้า ก็ภาวนาให้อย่าหมดสติสลบไปเสียก่อนนะ








                 "ห้องแห่งนี้ถูกปิดตายมาเป็นเวลา 15 ปีแล้ว" ลุงบุญส่งพูดขึ้น หลังจากที่ปิดประตูและกำลังใส่กลอน "ห้องแห่งนี้เป็นห้องที่ดุมากที่สุดในโรงเรียน  ว่ากันว่าบางทีก็มีนักเรียนคนหนึ่งกำลังนั่งเรียนด้วยกันโดยที่ไม่มีใครรู้จัก หรือบางทีในขณะที่คุณครูกำลังสอน ครูผู้สอนก็เห็นนักเรียนยืนหลังห้อง หรือบางทีนักเรียนที่เข้ามากลุ่มแรกก็เห็นเพื่อนนักเรียนที่โชกด้วยเลือดนั่งบนเก้าอี้ หรือไม่ก็นั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง เสียงเล่าลือของความเฮี้ยนทำให้ห้องนี้ถูกปิดตาย ลุงเองก็ได้ยินเรื่องเล่าอยู่บ้างนะ แต่ไม่คิดว่านักเรียนที่ใครๆ กล่าวถึง คือนักเรียนคนนี้นี่เอง"


                 "..."



                 "ห้องแห่งนี้ถูกเปิดออก ก็น่าจะเพราะหลานกระมั้ง อาจจะเพราะว่าหลานกับเด็กคนนี้อาจจะมีความคิดเชื่อมโยงเข้าหากัน ทำให้เด็กคนนี้ผลักประตูออกมา" ลุงบุญส่งอธิบายขณะที่ลงกุญแจเรียบร้อย ในขณะที่ผมฟังไปด้วยความกลัว



                "ไปสำรวจกันต่อเถอะ" 



                 ผมพยักหน้าตอบรับ และให้ลุงบุญส่งเดินนำทางผมไป




                 เรื่องราวของความรักช่างซับซ้อนยิ่งนัก เป็นเรื่องประหลาดสิ้นดี มันก็เลยทำให้มนุษย์เราต้องค้นหาความรักต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ เมื่อรักใครคนหนึ่งเขากลับไม่รักเรา และเมื่อเราได้รับจากใครอีีกคน แต่ก็ไม่ใช่คนที่เราตามหา ความรักเองก็ไม่ค่อยยุติธรรมต่อผู้ที่จริงใจต่อความรัก ผมเองก็ไม่รู้ด้วยสิว่าแต่ละคนจะพบ จะเจอคนที่ใช่จริงๆ เมื่อไหร่ ทุกคนก็ยังมีทางเดินของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ นั้นแหละ

                  เคยเหนื่อยไหมกับการวิ่งตามหาความรัก ท้อใจไหมที่วิ่งไล่ตามเขาอยู่อย่างนั้น

                  บางทีคนที่รักเรา จริงจังกับเรา เขาก็ไม่อยู่ที่ไหนหรอก หันมองดูรอบๆ ข้างกายเรา ก็อาจจะเจอคนๆ นั้น คนที่จริงจังจรืงใจกับเรา คนที่จะมอบหัวใจให้กับเราก็ได้ ลองเปิดใจให้กับเขา ให้เขาก้าวมาพิสูจน์ความรักที่มอบให้กับเรา เขาคนนั้นคงเก็บความรักไว้เต็มห้องหัวใจ รอวันที่จะเปิดเผยให้กับคุณ หรืออาจจะก้าวไปหาเขา เขาอาจจะเปิดประตูห้อง หอบเอาหัวใจที่เต็มไปด้วยความรัก มามอบให้กับเราก็ได้นะ
     


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in