เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกบรรณารักษ์tan_fx
โศกเศร้าเบื้องหลังรอยยิ้ม
  •      วันนี้มีเรื่องเล่า เป็นการเขียนนอกสถานที่เป็นครั้งแรก บรรยากาศเหมาะดี มีเสียงแมลง ฟ้ากลางคืน น้ำเย็น บุหรี่ และคำถามจากพี่คนหนึ่งเป็นตัวตั้ง

    คนปกติที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้านั้นมักจะไม่รู้และไม่เข้าใจหรอกว่า การฝืนยิ้มทำตัวปกติมันยากขนาดไหน

    
     ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากับไบโพล่าร์ตอนช่วงดิ่งหลายๆคนมักจะฝืนยิ้ม ทำตัวเป็นปกติต่อหน้าคนรู้จัก ต่อหน้าคนที่รัก ว่าตัวเองยังยิ้มได้หัวเราะได้ เหตุผลที่ทำนั้นก็เพราะส่วนใหญ่ไม่อยากจะให้คนรอบข้างเป็นห่วง ไม่อยากจะให้ตัวเองไปเป็นภาระของใคร ไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนกับความเศร้านี้



         โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยโรคซึมเศร้านั้นรู้สึกผิดอยู่แทบจะตลอดเวลาอยู่แล้ว ผิดที่ตัวเองเศร้า ที่หาทางออกไม่ได้ หาสาเหตุไม่เจอ ที่ไม่หายสักที มิหนำซ้ำยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าอะไร ไม่ได้สำคัญอะไร มีชีวิตอยู่ไปแบบเศร้าๆแบบนี้เป็นภาระกับคนรอบข้าง คอยเดือนร้อนใครๆต้องมาเป็นห่วง มากังวล

    

     ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอย่างเรา จึงพยายามอย่างเต็มที่ในการปกปิดความเศร้าไม่ให้คนอื่นรู้ พยายามฝืนยิ้ม ทำเป็นหัวเราะในเวลาที่ข้างในท่วมไปด้วยน้ำตา ซึ่งบ่อยครั้งการพยายามยิ้มหรือหัวเราะเพื่อให้คนอื่นสบายใจนั้นก็ได้ผลเหนือความคาดหมายไปมาก ทำให้คนอื่นเชื่อว่าเราเองไม่ได้เป็นอะไร เขาจะได้สบายใจ และถ้าไม่ได้สนิทกันจริงๆ ไม่ได้โตมาด้วยกันหรือเลี้ยงดูมา ก็ดูไม่ออกหรอกว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าคนนั้นกำลังใส่หน้ากากยิ้มอยู่ท่ามกลางความเศร้า ในบางกรณี พ่อแม่เองก็ยังดูไม่ออก ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าลูกตัวเองกำลังต่อสู้กับความเศร้าในใจที่ทั้งกว้างและลึกสุดลูกหูลูกตาขนาดไหน



          ที่แย่ที่สุดเลย เราว่าน่าจะเป็นกรณีที่ฝืนยิ้มหลอกคนอื่นให้สบายใจ จนทำได้เนียนขนาดบางทีตัวเองยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าอันไหนยิ้มจริงหรือปลอม ซึ่งเราเคยผ่านมาจุดนั้นมาแล้ว จุดที่ฝืนยิ้มจนตัวเองแยกไม่ออกว่าตอนไหนยิ้มเพราะมีความสุขจริงๆกับยิ้มเพราะหลอกคนอื่นว่าไม่ได้เศร้าอะไรขนาดนั้นไม่ต้องห่วง

     การฝืนยิ้มท่ามกลางความเศร้าที่โหมกระหน่ำท่วมอยู่ในใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เหมือนการว่ายน้ำฝ่าพายุโศกที่ว่ายเท่าไหร่ก็ไม่พ้น ถูกกดลงให้จมอีกๆ แต่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหลายคนก็ยังทำแบบนั้นทุกวัน ฝืนยิ้มลุกออกจากเตียงไปใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งที่จริงๆไม่อยากจะลุก ไม่อยากจะมีวันนี้อีกแล้วด้วยซ้ำ เราฝืนทำ ฝืนยิ้ม ฝืนใช้ชีวิตประจำวันไป เพียงเพื่ออยากให้คนอื่นสบายใจ ให้พ่อแม่ไม่ต้องห่วง ให้รู้สึกผิดน้อยลงกับการเป็นภาระให้กับคนรอบตัว

    

     วันๆหนึ่งของผู้ป่วยโรคซึมเศร้านะคุณ ฝืนยิ้ม ลุกมาทำนู่นนี่ และกลับมาแตกสลายกระจัดกระจายในตอนกลับถึงห้องนอนเมื่อหมดวัน มันใช้พลังงานมหาศาล

    "เราและผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทุกคนกำลังสู้อยู่ สู้รบกับความเศร้า ศัตรูร้ายกาจในสมรภูมิรบที่คนอื่นรอบข้างมองไม่เห็น มองเห็นแต่หน้ากากยิ้มที่เราใส่ ในบางวันที่มันทนไม่ไหว มันก็แตกสลาย เราก็จมดิ่ง นั่งนิ่ง ร้องไห้ บางทีก็ร้องไม่ออก แต่ก็ประกอบตัวเองกลับมาใหม่ ทำเหมือนเดิมในวันรุ่งขึ้น"

         จริงๆแล้วนะ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเขาอยากจะให้ทุกคนรอบตัวเขารู้ ว่ามันเหนื่อยขนาดไหน อยากได้ความเข้าใจ เห็นใจ และกำลังใจ แต่ก็กลัวที่จะเป็นภาระ ที่หนักที่สุดคือ กลัวคนรอบตัวไม่เชื่อ และประโยคคลาสสิก "แกก็ยิ้มได้หัวเราะได้ อย่างนี้หรอเป็นโรคซึมเศร้า อย่าเว่อ อย่ามโน อย่ามาสำออย ฯลฯ"

         สำหรับเรานะ ถ้ามีใครสักคนเริ่มสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า หรือบอกคุณว่าเขาเป็น คุณควรจะรับฟังเขา ฟังอย่างจริงใจ และโอบกอดเขาไว้ ให้อุ่นใจ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทุกคนอยากจะหาย ทุกคนพยายามแล้วพยายามอีก แต่ยังหาทางออกไม่เจอ ไม่กล้ายอมรับ ไม่กล้าบอกใคร ไม่กล้าไปหาหมอ กลัวไปหมดทุกอย่าง

         โรคซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องตลก ไม่ใช่เรื่องที่จะมโนหรือเอามาล้อเล่น แต่เป็นเรื่องที่ควรสังเกตและใส่ใจว่าคนรอบตัวเรามีอาการไหม เศร้านานผิดปกติไหม สิ่งที่คนรอบตัวทำได้คือ เป็นความอบอุ่นเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหาทางออกและผ่านมันไปให้ได้ ถ้าให้ดีก็พาไปปรึกษาจิตแพทย์ ก้าวไปด้วยกัน

         อย่างน้อยเลยที่ใครๆก็ทำได้ คือเป็นผู้ฟังที่ดี ตั้งใจฟัง จริงใจ มีความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งแค่การฟังนั้นก็มีค่ามากแล้ว ผู้ป่วยทุกคนอยากมีคนรับฟังเรื่องของเขา เพราะหลายๆครั้ง การรับฟังก็ทำให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้ระบายออกบ้าง ให้หัวใจที่ทำงานหนักได้คลายปมลงบ้าง และบางทีก็อาจจะทำให้เขามองเห็นทางออก และการรับฟังอย่างเต็มใจและจริงใจ ก็ทำให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้รู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลงและเป็นภาระกับคนรอบข้างน้อยลง ได้เห็นถึงความเต็มใจรอบข้าง

    เรามาเปลี่ยนความคิดกันเถอะ จากคำถามคนซึมเศร้าว่าเป็นจริงหรอ แน่หรอ หรือ ทำไมทำตัวอย่างนี้ เมื่อไหร่จะหาย มาเป็น เรามาหาทางออกไปด้วยกันเถอะนะ

         หวังว่าเรื่องเล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ไบโพล่าร์ และคนรอบๆตัวของพวกเขา ไม่มากก็น้อย ถ้ามีอะไรก็มาถาม มาแชร์ได้นะ แล้วพวกเราจะผ่านโรคซึมเศร้านี้ไปด้วยกัน ขอให้คุณหายไวๆ ใจเย็นๆกับตัวเอง อ่อนโยนกับตัวเอง และรักตัวเองเสมอ แม้ในวันที่ไม่น่ารักนะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
มันก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากให้มีใครซักคนมาถามว่า 'เหนื่อยมั้ย' ก็แค่นั้นเอง อยากระบายให้โลกได้รู้ว่ามันเหนื่อยขนาดไหน แต่ก็ไม่มีใครซักคนที่หันมามอง จนได้แต่นั่งระบายกับตัวเอง ได้แต่นั่งบ้าไปคนเดียว นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ใส่หน้ากาก เรียกรอยยิ้ม ทำเป็นมีความสุข เพื่อไม่ให้ใครหาว่าสำออย ไม่ให้มาหาว่าบ้า ว่าประสาท มโน สุดท้ายก็กลายเป็นใส่หน้ากากตลอดเวลาแม้แต่ตอนอยู่กับตัวเอง เกลียดการถอดหน้ากากเข้าไส้ เพราะไม่อยากดห็นว่าตอนนี้ตัวเอง 'พัง' ไปมากขนาดไหนแล้ว #ยิ้มสิ i am fine, help me #ขอโทษที่เอาเรื่องของตัวเองมาระบายในนี้นะคะ ขอแสดงความยินดีกับเจ้าของกระทู้ด้วยที่ผ่านเรื่องนี้ไปได้ค่ะ (:(