เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกบรรณารักษ์tan_fx
หายจากโรคซึมเศร้า: แล้วรู้สึกยังไง?
  • ในวันที่ 29 ธันวาคม พศ. 2560 เวลา 9:45 น. คุณหมอที่เป็นจิตแพทย์ของเราบอกว่าเราหายป่วยจากโรคซึมเศร้าแล้ว

    เราเริ่มเขียนบทความเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าเป็นครั้งแรกในวันที่ 2 พฤษภาคม พศ. 2559 และเริ่มทานยาต้านเศร้าเม็ดแรกในวันที่ 19 กรกฏาคม พศ. 2559

    เป็นเวลา 1 ปี 7 เดือนที่เราเข้ารับการรักษาโรคซึมเศร้าที่โรงพยาบาลรามาธิบดี และในที่สุดคุณหมอก็บอกว่าเราหายป่วยแล้ว ในช่วงเวลาระหว่างบทความแรกมาจนถึงบทความนี้เราได้เขียนบรรยายความรู้สึกในการเป็นโรคซึมเศร้า วีธีการติดต่อพบแพทย์ วิธีการเตรียมตัวก่อนพบแพทย์ วิธีการเยียวยาตัวเอง ไปจนถึงเรื่องสิ่งที่ลูกที่เป็นโรคซึมเศร้ารู้สึก และเราก็ได้แนะนำหลายๆ คนที่ติดต่อสอบถามเข้ามาในทวิตเตอร์ถึงเรื่องการไปพบจิตแพทย์และอีกสารพัดคำถาม คำถามสุดท้ายที่เราต้องการคำตอบที่สุดคือคำถามที่ว่า "เมื่อหายจากโรคซึมเศร้าแล้วมันจะเป็นยังไงนะ"

    เราเคยคิดมาตลอดว่าในวันที่หมอบอกว่าเราหายป่วยแล้ว เราจะเป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใสเบิกบานมีความสุขตลอดเวลา รู้สึกอิ่มเต็มในอก และค้นพบความหมายของชีวิต รู้สึกเหมือนตัวเองได้อัพเลเวล 55555

    แต่ความจริงมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น เรามานั่งทบทวนอยู่หลายวัน ว่าเรารู้สึกยังไงหลังจากที่หมอบอกว่าหายป่วยแล้ว คำตอบจริงๆ ก็คือ เรารู้สึกธรรมดา แต่มันก็เป็นความธรรมดาที่ดีนะ คือเราก็มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้มีความสุขได้ แล้วก็ยังเศร้ากับเรื่องเศร้าๆ ได้ แต่ที่ต่างไปคือ เราสามารถรักษาระดับอารมณ์ของตัวเองให้อยู่ในระดับที่คงที่ได้ หายเศร้าเองได้ ไม่ได้จมดิ่งอยู่กับความเศร้าตลอดเวลา แล้วเราก็รู้สึกว่าเราเข้าใจสิ่งที่ไม่มีความแน่นอนเลยที่เรียกว่า "ชีวิต" มากขึ้นอีกหน่อย และทำใจยอมรับอะไรหลายๆ อย่างได้มากขึ้น

    เราพบว่าสิ่งสำคัญที่เราได้เรียนรู้หลังจากที่หายจากโรคซึมเศร้าแล้วจริงๆ มีอยู่แค่ไม่กี่อย่าง แล้วก็เป็นแค่ไม่กี่อย่างที่ใครๆ ก็พูดกัน เป็นเรื่องที่เคยอ่านผ่านตามาเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่อะไรที่เป็นความจริงมันก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ แต่การได้อ่านได้ฟังความจริงกับการได้ประสบความจริงกับตัวเองนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

    1. สิ่งแรกที่เราได้เรียนรู้คือ มีแค่การกระทำและความคาดหวังของตัวเราเองในปัจจุบันเท่านั้นที่เราสามารถควบคุมได้ อะไรที่นอกเหนือจากนั้นเราไม่สามารถไปควบคุมให้มันเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงมันได้ นั่นก็หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีต เราทำได้เพียงพิจารณา ทบทวน และเอามันมาเป็นบทเรียน แต่เราย้อนกลับไปแก้อะไรมันไม่ได้ ไม่ว่าเราอยากจะแก้มันแค่ไหนก็ตาม อนาคตเราก็ได้แต่คาดการณ์เท่านั้น เราบังคับให้มันเกิดขึ้นตามใจเราไม่ได้ เราทำได้แค่ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด ให้เต็มความสามารถที่สุด เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง

    ส่วนเรื่องของความคาดหวังนั้น อย่างแรกเลยคือการคาดหวังให้อะไรๆ เป็นไปตามใจเรานั้นมันมักจะไม่เป็นไปตามนั้นสักเท่าไหร่ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยที่เราทำ แต่บางทีมันก็มีปัจจัยภายนอกมาทำให้มันไม่เป็นไปตามนั้น มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าพูดสไตล์นวนิยายจีนก็ต้องบอกว่า "แผนอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า" แต่ในบางที "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน" ก็มีเหมือนกัน เราว่าเราเริ่มพอจะทำใจรับอะไรๆ แบบนี้ได้มากขึ้นแล้วแหละ ความไม่แน่นอนของชีวิตน่ะ

    ในเรื่องของความคาดหวังของคนอื่นที่มีต่อเรานั้นยิ่งแล้วใหญ่ เราไม่สามารถบังคับให้คนอื่นคาดหวังกับเรามากขึ้นหรือน้อยลงได้ มันเป็นชีวิตของคนอื่น เราก็ทำได้แค่ทำตอนนี้ให้ดีที่สุดเหมือนเดิมนั่นแหละ มันจะถูกใจใครหรือไม่ถูกใจใครเราก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเราทำตอนนี้ให้ดีที่สุดเราก็จะไม่เสียใจทีหลัง ซึ่งเราว่านี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ และกระทบความรู้สึกของเราได้มากเลยทีเดียว

    2. สิ่งที่สองที่เราได้เรียนรู้คือ การคาดหวังความสุขที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตมักจะทำให้เรามีความทุกข์ในปัจจุบันอยู่เสมอ มันทำให้เราไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น แล้วมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราทะเลาะกับตัวเองได้ตลอดเวลา ว่าทำไมคนอื่นไปถึงไหนๆ กันแล้วเรายังกาก ยังห่วย ยังนั่งป่วยอยู่ ตอนนี้เรามองว่าทุกชีวิตมีจังหวะของมันนะ และในทุกๆ จังหวะของชีวิตนั้น สิ่งเล็กๆ ในชีวิตนี่แหละที่ทำให้มีความสุข เดี๋ยวเราเริ่มหัดขอบคุณสิ่งเล็กๆ ในชีวิตมากขึ้น เช่นการได้กินกาแฟที่ชอบ การที่ตื่นมาแล้วเห็นว่าวันนี้อากาศดี ดอกไม้สวยจัง การได้กินอาหารอร่อยๆ การที่เราทำงานวันนี้ได้เสร็จตามเป้า การที่เรากวาดบ้านถูบ้านซักผ้าเสร็จ การที่ได้นอนเต็มอิ่ม หรือสิ่งเล็กๆ แต่สำคัญมากๆ คือการที่วันนี้เราได้มีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับคนรอบตัว ได้กินข้าวกับพ่อ กับคนรัก เพื่อนทักมา คนแปลกหน้าทักมาถามเรื่องโรคซึมเศร้าแล้วเราให้คำตอบได้ อะไรเล็กๆ รายทางในชีวิตประจำวันนี้แหละที่รวมตัวกันแล้วมันกลายเป็นความสุข สุขเล็กๆ ที่มีมาเรื่อยๆ และหาได้เรื่อยๆ รอบๆ ตัว เพราะว่าสุขใหญ่ๆ อย่างถูกหวย ได้มือถือใหม่ เงินเดือนออก ได้โบนัส อะไรพวกนั้นมันนานๆ มาที แล้วถ้าเราไปตั้งหน้าตั้งตารอมันอย่างเดียว เราก็จะเสียปัจจุบันไปอย่างน่าเสียดาย

    3. สิ่งที่สามที่เราได้เรียนรู้คือ ความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวเป็นเรื่องสำคัญที่สุด มีแต่คนใกล้ตัวและคนที่สำคัญกับเราและเห็นว่าเราสำคัญเท่านั้นแหละทีี่จะอยู่กับเราในวันยากๆ ในวันที่เราไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้ว รักษาบุคคลเหล่านี้ไว้ให้ดีๆ มีเวลาเมื่อไหร่ก็ติดต่อพวกเขาบ้าง บอกให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาสำคัญกับเราขนาดไหน และแสดงออกหรือบอกเสมอๆ ว่าเรารักพวกเขาขนาดไหน คนที่อยู่เป็นวงในของเรา เราต้องรักษาและปฏิบัติกับพวกเขาให้ดีและพิเศษที่สุด เพราะความสัมพันธ์ดีๆ น่ะมันทั้งหายาก สร้างยาก รักษาไว้ยาก แต่เสียไปง่าย เชื่อเราเถอะว่าในวันที่แย่ที่สุด ยอดไลค์ รีทวีต ยอดวิว อะไรทั้งหลายแหล่มันช่วยดึงเราไว้ไม่ได้เลย มีแต่คนรอบตัวที่รักเราจริงๆ เท่านั้นที่จะคอยอยู่เคียงข้างเรา

    4. สิ่งที่สี่ที่เราได้เรียนรู้คือ เราต้องเมตตาและอ่อนโยนกับตัวเองด้วย ถ้าเราด่าทอทะเลาะตบตีกับตัวเองตลอดเวลาเราจะไม่มีเวลาเยียวยาตัวเองเลย การที่เราจะหายจากโรคซึมเศร้าได้นั้นนอกจากทำตามที่หมอบอกแล้ว เราต้องเมตตาและดูแลตัวเองให้ดีด้วย เพราะถ้าเราดูแลตัวเองไม่ดี คนที่รักเราเป็นห่วงเราเขาก็ไม่สบายใจไม่มีความสุข ซึ่งมันก็จะวนกลับมาทำให้เราไม่มีความสุขอีกไปเรื่อยๆ ถ้าเราเมตตาและอ่อนโยนกับตัวเอง ดูแลตัวเองให้ดี เราก็จะมีแรงไปช่วยดูแลคนอื่นได้ด้วย

    5. สิ่งที่ห้าที่เราได้เรียนรู้คือเวลาจะเป็นเครื่องเยียวยาและพิสูจน์ทุกสิ่ง ตอนแรกเราไม่คิดด้วยซ้ำว่าเราจะหายจากโรคซึมเศร้าได้ แต่ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่ามันหายได้ หลายๆ เรื่องที่เคยทำร้ายจิตใจเรา ทำให้เราทรมาน เวลาก็ช่วยเจือจางมันลง สร้างช่องว่างระหว่างเรากับเหตุการณ์นั้นๆ เพื่อให้เราสามารถย้อนกลับไปมองและทบทวนมันได้ หลายๆ เรื่องต้องใช้เวลากว่าจะได้คำตอบ

    สรุปแล้วการที่หมอบอกว่าเราหายจากโรคซึมเศร้าก็ไม่ได้ทำให้เราค้นพบความหมายชีวิตหรือค้นพบความสุขที่ยิ่งใหญ่ มีความสุขเอ่อล้นตลอดเวลา หรือค้นพบความลับอะไรที่ยิ่งใหญ่แต่อย่างใดเลย แต่มันทำให้เราเข้าใจ และทำใจยอมรับชีวิตได้มากขึ้นเท่านั้นเอง ซึ่งเราว่ามันก็เป็นอะไรที่คนก็พูดมาเป็นพันๆ ปีแล้วแหละว่าชีวิตก็คือชีวิต อะไรที่มันดีและเราสามารถทำได้ก็ทำ ส่วนที่เหลือก็ต้องฝึกทำใจไป

    เราไม่ได้จะบอกว่าการหายป่วยมันไม่คุ้มนะ มันคุ้มแสนคุ้ม ทุกคนที่เราบอกข่าวไปก็ส่งข้อความมาแสดงความยินดี คนไหนที่เราได้เห็นหน้าก็ได้เห็นรอยยิ้มของพวกเขา คนไหนที่เราได้ยินเสียงเราก็ได้สัมผัสความสุขจากเสียงของพวกเขา มันเป็นอะไรที่อธิบายออกมาได้ยากมากเลย แต่มันคือความสุขที่เราสามารถรู้สึกถึงได้จริงๆ และมันเป็นอะไรที่เราไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้วด้วย การที่เราได้ทำให้คนที่เรารักและรักเรามีความสุขได้นี่มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้มซะอีก

    สุดท้ายคือหมอก็บอกว่าถึงแม้ว่าเราจะหายจากโรคซึมเศร้าด้วยสาเหตุที่เราเป็นแล้ว ถ้าเราเจอเรื่องกระทบกระเทือนใจหนักๆ ที่มาจากสาเหตุอื่นเราก็กลับมาเป็นอีกได้ แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้าเป็นแล้วหายได้ เป็นอีกก็ต้องหายได้อีกแหละ และเราก็มีประสบการณ์แล้ว พอรู้เส้นทางในการเดินทางผ่านโรคซึมเศร้ามาแล้ว มันก็น่าจะแก้ได้อีกแหละ แต่เราก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ ยังมีอะไรต้องฝึกอีกเยอะ ต้องทำความเข้าใจต้องเรียนรู้อีกเยอะ การหายจากโรคซึมเศร้าก็ไม่ได้ทำให้เราเป็นกูรูหรือผู้รู้อะไรขึ้นมา แต่มันทำให้เรารู้ว่าเราควรจะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุขพอสมควรตามเหตุปัจจัยของชีวิตก็เท่านั้นเอง แล้วก็มาเล่าให้คนอื่นฟังได้ด้วยว่าหายแล้วมันเป็นยังไง 55555

    ขอขอบคุณ ป๊า ที่ให้ความรัก ความเข้าใจ และการสนับสนุนในทุกย่างก้าวของการเดินทางผ่านโรคซึมเศร้าและทุกๆ เรื่องในชีวิตของลูกคนนี้ ขอบคุณพี่ดุ๋ยๆ สำหรับความรัก กำลังใจ เสียงหัวเราะ รอยยิ้มและพื้นที่ปลอดภัยของจิตใจที่มีให้กันตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ถ้าไม่มีเสาหลักทั้ง 2 คนนี้เราคงผ่านเส้นทางนี้มาไม่ได้แน่ๆ ขอบคุณทุกคนในครอบครัวที่เป็นกำลังใจและเข้าใจ ขอบคุณแม่ที่ในที่สุดเราสองคนก็เจอระยะที่พอดีที่ดีต่อใจของทั้งคู่ ถึงแม้จะมีระยะห่างบ้างแต่ความรักที่ลูกคนนี้มีต่อแม่และแม่มีต่อลูกก็เหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่เกิดมานั่นแหละ ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนเลยโดยเฉพาะแก๊งค์รวมผู้ป่วยทั้งโรคซึมเศร้าทั้งไบโพล่าร์ที่พากันกินพากันขำพากันอ้วนมาตลอด 55555 ขอขอบคุณคุณหมอและพยาบาลที่โรงพยาบาลรามาธิบดีทุกคนที่คอยดูแลผู้ป่วยคนนี้ และขอบคุณทุกๆ คนที่แวะเข้ามาให้กำลังใจทั้งในนี้และในทวิตเตอร์ สุดท้ายต้องขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ หวังว่าบทความทั้งหมดที่เขียนมาจะมีส่วนช่วยให้หลายๆ คนที่ป่วยได้มีกำลังใจเริ่มรักษาโรคซึมเศร้าและได้หายป่วยนะ

    เราว่าเราได้ใช้ประโยชน์จากโซเชียลเน็ตเวิร์คได้คุ้มที่สุดเท่าที่อดีตผู้ป่วยคนนึงจะทำได้แล้วแหละ

    ขอบคุณครับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
debedebben (@debedebben)
เราเองก็เคยเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ หกปีเต็มๆที่รักษา โชคยังดีที่เรามีเเม่ที่คอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ถึงจะไม่บ่อย เเต่ก็พอช่วยได้ ดีที่เราพยายามฮึดสู้ สุดท้ายก็หลุดจากความเศร้ามาได้ รู้สึกดีมากๆค่ะ
ขอให้คุณพี่เจ้าของกระทู้พบเเต่ความสุขนะคะ รักเสมอค่ะจากเชียงราย?
Jane Roe (@fb1142473529559)
ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีด้วยนะคะที่หายแล้ว เราเองเพิ่งได้เห็นบทความนี้ตอน "ใกล้หาย" เช่นกัน เราเป็นโรคซึมเศร้ามา 10 ปีจนชินกับมัน วันที่หมอบอกว่าใกล้หายแล้วก็เริ่มสงสัยว่า "จะรู้สึกแบบไหนนะ" ก็เลยเสิร์ชหาบทความที่เกี่ยวข้องดู อ่านจบแล้วตรงกับที่เรารู้สึกทุกอย่าง ขอบคุณที่เขียนบทความนี้ขึ้นมานะคะ ทำให้เราได้คำตอบที่เราเฝ้าคิดมานาน :)
dailyfeel12 (@ohorat123)
เราเองก็อยากหายค่ะ...
เรานึกไปเองว่าเราหายแล้ว ขอหมอหยุดยา
แต่เราพึ่งรู้ว่าจริงๆแล้วเราไม่ได้หายเลย เพียงแค่เราไม่ได้เจอสิ่งเร้าที่ทำให้ใจเราเศร้าเท่านั้น
พอต้องมาเผชิญกับความรู้สึกแย่ๆแล้ว เรารับมันแทบไม่ไหว
เราไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลย มันอ่อนแอ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องมาคิดมากให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย

ดีใจด้วยนะคะ หลังจากนี้ขอให้มีหัวใจแข็งแรงพอที่จะทนรับได้ทั้งสุขและทุกข์นะคะ
ขอให้ความรักคุ้มครองพี่ดุ๋ยๆของพี่ดุุ๋ยๆเสมอนะคะ ♥️