เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Love in Translation [BL]Pettes
Love in Translation : The Paradise Lost
  • แอรอนตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึกเหมือนนอนหลับไม่สนิทอย่างประหลาด เขาจำความฝันตัวเองไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นอะไรที่เลวร้ายเกินคำบรรยาย ชายหนุ่มขยี้ตาอยู่พักหนึ่ง พยายามนึกถึงเรื่องที่เขาควรจะทำเป็นอย่างแรกในวันนี้

                    …วันนี้สินะที่ต้องไปโรงพยาบาลบ้า

                    แอรอนถอนหายใจ เขาเหม่อมองเพดานอยู่พักหนึ่ง พยายามจินตนาการว่าตัวเป็นเป็นปลาดาวที่เผลอมาเกยตื้นอยู่บนโลกมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้ผล เสียงฝีเท้าน้อยๆนอกห้องบอกให้รู้ว่าพวกเด็กๆตื่นแล้ว และคงจะเข้ามาบุกห้องเขาในไม่ช้า

                    ชายหนุ่มใช้เวลาเพียงชั่ววินาที ตัดสินใจวิ่งเข้าห้องน้ำโดยไม่ลืมเอาผ้าเช็ดตัวเข้าไปด้วย นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออกพอดี

                    “แอออออออออรรรรรรรรรออออออนนนนนนนนน!!”

                    “ไม่เอานะ เปิดประตูสิ!”

                    “แอรอน แอรอน! ฮึก ฮือ” ลูกบิดประตูห้องน้ำโดนเขย่าแบบเอาเป็นเอาตาย แอรอนถึงกับเหงื่อตก เขามองเงายับเยินของตัวเองในกระจกอยู่พักใหญ่ ตัดสินใจว่าจะไม่ตอบโต้อะไร เพื่อพายุลูกใหญ่แห่งวินาศกรรมนี้ผ่านไปโดยไว ถ้าเด็กๆเข้าถึงตัวเขาล่ะก็ – เขาต้องไม่รอดแน่ ใครใช้ให้ชายหนุ่มเป็นคนเด็กรัก (ไม่ใช่รักเด็ก) กันล่ะ?

                    เขาข่มความรู้สึกที่อยากเอาหน้ามุดส้วมแล้วทำเสียงโอดครวญปนอาเจียน พวกมนุษย์ไซส์มินิจะได้ออกไปจากห้องเขาเสียที แอรอนเคยทำอย่างนั้นจริงๆซึ่งมันก็ได้ผล เด็กทำตัวระมัดระวังรอบๆตัวเขามาก ครั้งหนึ่งที่เขาคยสะดุดขั้นบันได เชลด้อนถึงกับผวาเข้ามาพยุงเข้าไว้

                    “ระวังหน่อยแอรอน!” เชลด้อนพูด “เดี๋ยวหนูน้อยเจ็บนะ”

                    แอรอนถึงกับงง “หนูน้อยอะไร?” จังหวะเดียวกับที่แอลลี่เดินเข้ามา “ก็เด็กในท้องพี่ไง!”

                    แอรอนตัดสินใจว่าเขาจะไม่เล่นมุกนั้นอีก ตลอดกาล

                    ชายหนุ่มมองเงาตัวเองในกระจก แอบเห็นไรหนวดที่ขึ้นจางๆ เขาถอนใจ แล้วหยิบมีดโกนขึ้นมา ยาสระผมใกล้หมดรึยังนะ แอรอนนึกเรื่อยเปื่อย เขาก้มลงไปดมตัวเองพักนึง โอเค กลิ่นตัวยังไม่เหม็นมาก  เขาพึ่งอาบน้ำไปเมื่อวานตอนเช้าเอง แถมวันนี้ก็เย็นเสียดกระดูกเสียด้วย เทสคงจะไม่ว่าอะไรมั้ง

                    แต่ประเด็นคือเทสว่า หล่อนทำจมูกย่นเมื่อเขาลงมาข้างล่าง บนโต๊ะไม้ตัวยาวมีอาหารที่เตรียมไว้ให้เด็กๆ “แอรอน!” หญิงสาวกรีดเสียง เอากระทะชี้มาทางเขาอย่างข่มขวัญ “อย่างน้อยก็ดูแลตัวเองหน่อยเถอะ กลิ่นนี่ยังกับศพขึ้นอืด ให้ตายเถอะ นี่วันทำงานวันแรกไม่ใช่รึไง”

                    “เว่อร์เกินไปรึเปล่าฮะ” แอรอนพึมพำ แต่ก็ไม่สบตาเทส อีกฝ่ายดูเหมือนคนบ้าชอบกล ผมสีแดงยุ่งเหยิงไปทุกทิศทุกทาง แถมหน้ามันแผล่บเพราะอยู่หน้าเตามาตั้งนาน “ฉันไม่เหม็นขนาดนั้นสักหน่อย”

                    “ฉันมีน้ำหอมชาแนล N°5 เลือกเอาระหว่างไอ้นั่นหรือจะยอมไปอาบน้ำดีๆ”

                    แอรอนเกิดความคิดสุดโต่งมาชั่วขณะหนึ่งว่าเขาควรจะท้าเทสประลองจนถึงแก่ความตาย แต่นั่นก็เป็นแค่จินตนาการ ชายหนุ่มถอนหายใจเสียงหนักใส่เทสที่กำลังยิ้มแบบสะใจ แลบลิ้นใส่ตอนที่เธอหันหลัง แล้วเดินตึงตังขึ้นบันไดไป

                    “นี่! ปลุกนาธานลงมาด้วยนะ!” เทสตะโกนไล่หลัง นังแม่มด

                    แอรอนอยากจะเดินกระทืบเท้าเหมือนตอนที่เขายังเด็ก แต่ก็ทำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนอื่นต้องวิ่งกรูมาหาเขาแน่ๆ บางครั้งแอรอนก็นึกสงสัยว่าเขากำลังเลี้ยงเด็กหรือฝูงปลาฉลามกระหายเลือดกันแน่ เสียงเทสแว่วมา ทำให้แอรอนรู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังจัดที่นั่งให้เด็กๆนั่งอยู่เป็นแน่

                    เขาเดินย่องมาถึงห้องนาธานที่อยู่ปลายสุดทางเดิน

                    “เฮ้ เนท เนท” แอรอนเคาะประตูพลางกระซิบไปพลาง “นายตื่นยัง”

                    ไม่มีเสียงตอบ แอรอนเลยเปิดประตูเข้าไปเลย

                    นาธานนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเป็นก้อนกลมๆเหมือนรังไหม เด็ดหนุ่มหันหลังให้กับเตียง แอรอนเลยจำใจต้องเข้าไปนั่งที่ข้างเตียง เขาวางมือลงบนไหล่นาธาน ตั้งใจว่าจะจั๊กจี้อีกฝ่ายให้ตื่น

                    ปรากฏว่านาธานตื่นอยู่แล้ว “พี่มันห่วย” เขาคำรามแล้วปัดมือแอรอนออก “ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น ปล่อย-ย-ย-ย”

                    “นายเป็นอะไรฮะ” แอรอนถาม จัดการล็อกคออีกฝ่ายไว้แน่น “จะลงไปกินข้าวดีๆหรือไปแบบแขนขาหักทั่วร่าง”

                    “อ๊าก!” นาธานเหมือนพยายามจะสู้ แต่ความตั้งใจนั้นถูกสูบหายออกไปจากร่างเขาเหมือนลูกโป่งที่โดนปล่อยลม แอรอนรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย “พี่—ผมไม่อยากกินข้าว ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น”

                    อกหักรึยังไง...

                    แอรอนแบมืออกสองข้าง “โอเค ถ้างั้นก็ตามใจ มีอะไรก็ฝากเทสละกัน วันนี้ฉันจะออกไปทำงานวันแรก”

                    นาธานเบ้ปาก นัยน์ตาสีดำเลื่อนกลับมาจับจ้องแอรอน เขาดูหงุดหงิด อารมณ์เสีย ท้องผูก– แต่ก็แอบสนใจอยู่เช่นกัน “วันนี้พี่จะไปโรงพยาบาลบ้านั่นเหรอ”

                    “เออ”

                    “เอาลายเซ็นต์ฮันนิบาลมาฝากด้วยนะ ฮ่า”

                    แอรอนจัดการเขกหัวอีกฝ่ายไปทีนึง นาธานยังไม่หยุดหัวเราะ “เอาจริงนะพี่ ระวังเจอแบบนั้นเข้าล่ะ เหมือนในหนังไซเลนท์ ออฟ เดอะ แลมบ์ไง ไม่แน่เดี๋ยวต้องมีคนไข้สักคนคงหลงรักพี่แน่ๆ ก๊าก”

                    “ไม่ขำนะ” แอรอนแยกเขี้ยว ผลักอีกฝ่ายออกห่างจากเขาเมื่อนาธานเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้เหมือนคนมีแผนการร้าย อีกฝ่ายอายุ 15 แล้วทั้งที ยังทำตัวเหมือนเด็กนรกอยู่ได้ รู้เลยว่าทำไมสาวทิ้ง

                    “แอรี่ผู้ทรงสเน่ห์” นาธานตะโกนร้องเพลงด้วยเสียงแหบๆแบบพึ่งแตกหนุ่มไล่หลังเขาออกมา “ระวังโดนขอแต่งงานนะพี่”

     

    ++

     

                    อาคารสูงตระหง่านของโรงพยาบาลจิตเวชเฟธเวลส์ให้ความรู้สึกเกรงขามเมื่อมองในปราดแรก แอรอนเหลือบมองป้ายข้างทางในพุ่มไม้ แต่ถ้าลองสังเกตให้ดีๆแล้ว จะเห็นความไม่ใส่ใจซ่อนอยู่ในทุกรายละเอียด มันเป็นเหมือนที่เขาจำได้ อาคารสามหลัง ก่อด้วยอิฐสีแดงน้ำตาล แซมไปด้วยมอสสีเขียวชื้น คงเพราะจากสภาพอากาศ

                    อลิเซีย – บุคคลที่อาสาขับรถพาเขามาในวันนี้ -- หัวเราะเบาๆให้กับท่าทางประหม่าของชายหนุ่ม เธอเป็นหญิงสาววัยกลางคนที่มีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนหน้าตลอดเวลา ภึงแม้แอรอนจะพยายามบอกเธอว่าเขาสามารถเดินทางมาเองได้ แต่เธอก็ยืนยันจะมาส่งเขาถึงที่

                    “อย่าตื่นเต้นไปเลยค่ะ” อลิเซียหันมาพูดกับเขา ก่อนที่เธอจะหันไปคุยกับคนเฝ้าประตู ทั้งสองคุยกันอยู่สักพัก เหมือนจะเป็นเรื่องแนะนำตัว – แล้วก็สภาพอากาศ แอรอนไม่ได้สนใจมากนัก เขาเหลือบเห็นกระต่ายป่าตัวหนึ่งกำลังมุดรูอยู่ในพุ่มไม้ มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อรถเริ่มเคลื่อนไหวไปข้างหน้า

                    อาคารสำนักงานอำนวยการดูเหมือนโน้มตัวลงมาบดบังแสงแดดเสียแทบมิด ทั้งที่มันเป็นเวลากลางวัน แต่แอรอนกลับรู้สึกหนาวขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล มีสติหน่อย เขาคิดกับตนเองในใจ กระพริบตาถี่ๆเมื่อความรู้สึกยังไม่ยอมจางหายไป สถาปัตกรรมของตึกนี้ดูเผินๆก็เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หลังคาสีดำทะมึนยื่นออกมาข้างหน้ามากไปหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนถูกชะโงกมองอยู่อย่างไรอย่างนั้น

                    “โรงพยาบาลวิปริตนี่”แอรอนพึมพำ “เชื่อเขาเลย”

                    “อะไรนะคะ” อลิเซียถาม

                    “อ๋อ ปะ—เปล่าครับ ผมพูดเรื่อยเปื่อย”

                    อลิเซียหัวเราะ “โอเคค่ะคุณเคจ อีกสักพักเราจะจอดรถแล้วเข้าไปหาผู้อำนวยการนะคะ เตรียมตัวรึยังเอ่ย”

                    อะไรบางอย่างในน้ำเสียงทำให้แอรอนรู้สึกเหมือนเขากลับไปเป็นเด็ก – หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะการที่เธอเป็นแม่พร้อมลูกสาม (หญิงสอง ชายหนึ่ง จอห์นชื่นชอบซูเปอร์ฮีโร่มากเลยค่ะ อย่าได้พูดให้แกได้ยินเชียวนะคะ ยิ่งดิอเวนเจอร์สนี่ --)ก็เป็นได้ เธอคงจะใช้น้ำเสียงนี้บ่อยอยู่ทีเดียว

                    “โอเคครับ” แอรอนพูดในลำคอ “ผมพร้อมแล้วมั้ง”

                    ก้าวทุกก้าวย่างดูเหมือนความฝันอย่างไรอย่างนั้น แอรอนรู้สึกเหมือนเขาถูกตัดขาดจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เสื้อเชิ้ตข้างในของเขาคันยิบๆ เขาหยิบข้าวของตนเองแล้วออกจากรถไปยืนข้างๆอลิเซีย เดินตามเธอต้อยๆเหมือนลูกเป็ดอย่างไรอย่างนั้น

                    ภายในโรงพยาบาลให้ความรู้สึกเหมือน – โรงพยาบาลทั่วไป? แอรอนมองซ้ายมองขวา ไม่แน่ใจว่าเขาเข้ามาถูกที่หรือไม่ ประตูกระจกดูสะอาดตา มองเผินๆก็ดูคล้ายคลึงกับสำนักหนังสือพิมพ์ เดอะ ครีค ไม่ใช่น้อย ให้ตายสิ หรือนี่เขาจะดูหนังมากไปจริงๆ

                    อลิเซียพาเขาขึ้นลิฟต์ ห้องผู้อำนวยการอยู่ชั้น 3 ซึ่งถือเป็นชั้นสูงสุดของตึกนี้ แอรอนนึกทบทวนความรู้พื้นฐานภายในใจ นั่นก็หมายความว่า ตึกนี้เป็นตึกหลัก ที่ประกอบด้วยที่พักอาศัยของคนงาน – ห้องครัว – คงจะมีห้องของพวกจิตแพทย์ด้วยแน่ๆ ดังนั้นอีกสองตึกที่ตั้งเยื้องไปด้านหลังตึกหลังนี้ก็คงเป็นสถานที่คุมขัง..

                    เขาหมายถึงห้องพักคนป่วย

                    แอรอนพยายามไม่นึกถึงคำนั้นมาก เพราะสมองเขาคงจะรับไม่ไหว เขาพยายามไม่นึกถึงใบหน้าอันสยดสยองของชายร่างยักษ์ มีเลื่อยไฟฟ้าแอบยืนหลบอยู่ข้างมุมตึก เตรียมพร้อมจะเอาเครื่องในเขาไปต้มกินตลอดเวลา แต่มันก็ดูยากเสียเหลือเกิน สถานที่นี้ช่างดูห่างไกลผู้คน ถ้าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีทางเลยที่เขาจะหนีทัน--     

                    “—เคจ— คุณเคจคะ – แอรอน?”

                    สติของแอรอนถูกดึงหลับมาจากความน่าสยดสยองในหัวของเขา ชายหนุ่มกระพริบตาปริบๆ พบว่าตัวเองมายืนอยู่หน้าห้องผู้อำนวยการเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หน้าของเขาแดงจัด แอรอนกระแอมเบาๆเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย ก่อนที่เขาจะเคาะประตูเบาๆ

                    “เข้ามาเลยครับ”

                    แอรอนเกิดความรู้สึกเดจา วู ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แต่มันช่างไร้สาระสิ้นดี คนข้างในไม่ใช่แชนดเลอร์เสียหน่อย ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องประหม่าขนาดนั้น แอรอนผลักประตูเข้าไป ยิ้มทักทายผู้ชายที่อยู่ข้างหลังประตู อลิเซียก้าวตามมาติดๆ

                    ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลจิตเวชเฟธเวลส์ดูธรรมดามาก เขาดุมีอายุอยู่ในช่วงราวๆ 40 ถึง 50 ปี มีผมสีขาวแซมอยู่กลางกระหม่อม เขาใส่แว่นกรอบเงินทรงกลม รูปร่างสูงกว่าแอรอนเล็กน้อย แต่จมูกของเขาใหญ่งองุ้ม ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนกอินทรีตัวโตกำลังก้มหน้าเหนือแผ่นกระดาษอย่างไรอย่างนั้น เขาดูเหมือนชายแก่ตลกๆธรรมดาคนหนึ่งที่ควรจะใส่เสื้อพุลโอเวอร์อยู่บ้านแทนที่จะมาทำงานที่โรงพยาบาลบ้า แต่นั่นแหละ แอรอนรู้ดี รูปลักษณ์อาจจะเป็นสิ่งที่หลอกลวงมนุษย์ได้มากที่สุดแล้วก็ได้

                    “เชิญเลย—เชิญเลย!” ชายแก่พูดเสียงสั่นตามวัย ผายมือเชือเชิญให้พวกเขานั่งลง “ผมฟอร์ซา รัทเธอฟอร์ด ผู้อำนวยการที่นี่ แต่พวกคุณก็คงจะรู้อยู่แล้ว”

                    “สวัสดีครับ” แอรอนกล่าว “ผมแอรอน เคจนะครับ นักข่าวจากสำนักข่าวเดอะ ครีค เรามาติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์ผู้ป่วย 102 ครับ”

                    อลิเซียแนะนำตัวตาม

                    รัทเธอร์ฟอร์ดดูหนักใจอยู่บ้าง “ผมได้รับการแจ้งมาว่าจะมีนักข่าวเพียงคนเดียว?”

                    “ใช่แล้วค่ะ ดิฉันเป็นแค่ผู้ติดตามเฉยๆ ส่วนคุณเคจจะเป็นคนทำการสัมภาษณ์ค่ะ” อลิเซียตอบอย่างเป็นการเป็นงาน

                    ผู้อำนวยการทำเสียงคล้ายๆ อ๋อ เข้าใจแล้ว ในลำคอ สายตาเขาปราดมองมาทางแอรอนนิดนึง ชายหนุ่มยิ้มให้อีกฝ่ายตามมารยาท แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับ รัทเธอฟอร์ดยืนรีๆรอๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกเลขานุการของเขาเข้ามา

                    “พาเขาไปส่งที่ปีกตะวันตกนะ ห้องเยี่ยมญาติ”

                    แอรอนหันไปมองอลิเซียที่ยิ้มให้เขาอย่างให้กำลังใจ

                    “สู้ๆนะคะ” เธอบอก ยัดเครื่องอัดเสียงใส่มือเขา เสียงเบาๆของเครื่องจักรทำงานในขณะที่แอรอนยืนเคว้งคว้างอยู่อย่างนั้น เขาหันไปเห็นเลขานุการหนุ่มที่ยืนรออยู่ แล้วตัดสินใจไม่เสียมารยาทไปมากกว่านี้        

     

    ++

     

                    “คุณมีเวลาในการพูดคุยกับผู้ป่วยเพียงสิบนาทีเท่านั้นนะครับ” เลขานุการบอกเขาขณะที่เดินไปด้วยกัน “กรุณารักษาเวลา ผู้ป่วยจะไม่สามารถออกมาภายนอกห้องได้ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวล แต่อย่างไรก็ตาม โปรดยืนในระยะห่างที่พอเหมาะกับกระจกด้วยนะครับ”

                    แอรอนพยักหน้าเออออตามในขณะที่สังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัว มันเริ่มดูเก่าขึ้นทุกทีๆ จากที่เป็นกระจกใสและประตูอัตโนมติในครั้งแรก เริ่มกลายเป็นโครงสร้างวัสดุที่ทำจากปูนและไม้ เขาเดาเอาว่าคงมีการบูรณะพื้นที่เมื่อไม่นานมานี้ โดยเริ่มในส่วนสำนักงานก่อน เพราะถ้าจะให้ทำในบริเวณแผนกผู้ป่วยจริงๆคงจะดูวุ่นวายพิลึก

                    “ผู้ป่วยคนนี้เขาอยู่มานานหรือยังครับ” แอรอนหลุดปากถามไป เขามองหน้าอีกฝ่ายอย่างหวาดๆ ยิ้มสักหน่อยไม่ได้หรือไง ไม่ใช่ว่าอากาศเย็นแล้วกล้ามเนื้อบนหน้าไม่ทำงานนะ...

                    “ไม่นานครับ” เลขานุการตอบหน้านิ่ง “แต่เขาค่อนข้างปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมได้ดี”

                    แอรอนพยักหน้า ไม่รู้จะถามอะไรต่ออีก เขาโยนเครื่องบันทึกเสียงในมือไปมา รู้สึกเหมือนอวัยวะภายในร่างกายสั่นพล่านไปด้วยความตึงเครียดและความตื่นเต้น

                    เขากำลังจะเจอคนไข้โรคจิตตัวจริงเสียงจริงใช่ไหม

                    ไม่นานนัก สองฝีเท้าก็มาหยุดเบื้องหน้าประตูสีขาวบานใหญ่ มีเพียงกระจกทรงกลมเล็กๆที่ทำให้สามารถมองสอดส่องเข้าไปภายในได้ เลขานุการหนุ่มบอกเขาว่า “เชิญครับ” แล้วเดินลิ่วๆไปทันที ทิ้งให้แอรอนยืนมองยามที่ยืนจังก้าอยู่หน้าห้องอย่างหวาดๆ ไม่มีใครยิ้มให้เข้าแม้แต่น้อย สายตาทั้งคู่จ้องเป๋งไปข้างหน้า เหมือนกำลังใช้พลังจิตทะลุกำแพงอย่งไรอย่างนั้น

                    “โอ—เค—“ แอรอนพึมพำ “ผมเข้าไปละนะ ยินดีที่ได้รู้จักละกัน” เขาพูดกับอากาศ

                    แว้บแรก – ทุกอย่างดูมืดสลัวไปหมด มีเพียงแสงไฟสีขาวจ้าที่ฉายมาจากเบื้องบน แอรอนหรี่ตาลงเพื่อปรับแสงอยู่พักใหญ่ เขาเกือบจะหยิบมือถือขึ้นมาส่องให้ความว่างอยู่แล้วเชียว ภายในห้องมีเก้าอี้บุนวมอยู่ตัวหนึ่งที่ดูสภาพไม่ดีเท่าไหร่ โต๊ะไม้สีดำอยู่ข้างๆ ทั้งเก้าอี้และโต๊ะหันหน้าไปทางแผ่นกระจกใสที่แสดงออกชัดเจนว่ากั้นเขากับคนด้านใน – เสียแต่ว่า


                    ไม่มีคนอยู่ในนั้น


                    คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงง แปลก? เขานึกว่าคนป่วยจะนั่งรออยู่แล้วเสียอีก แอรอนพยายามเขม้นตามองเข้าไปในความมืด แต่ก็ไม่เห็นอะไร สายตาเขาท่าจะแย่จริงๆเสียแล้ว หรือไม่ก็โรงพยาบาลนี้ไม่มีงบพอที่จะซื้อหลอดไฟ? เขาวางเครื่องบันทึกเสียงลงบนโต๊ะ ค้อมตัวลงเล็กน้อย เพ่งมองเข้าไปในความมืดมิด หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วอย่างไม่รู้ตัว คำเตือนทุกอย่างถูกลืมไปสิ้น  --

                    “-- เธอเสพติดอะดรีนาลินต่างหาก ฉันเห็นมันในแววตาเธอ เธอรักสิ่งที่ท้าทาย รู้สึกดีเมื่อเอาตัวเองไปเสี่ยงในเรื่องอันตรายถึงตาย  ฉันพูดถูกไหม--”

                    ปึง!!’

    “ฉิบ--!”

                    แอรอนสะดุ้งโหยง เขาแทบจะกระโจนห่างออกจากระจกแล้วพุ่งออกนอกห้องไปเสียอย่างนั้น ถ้าเขามีหางเหมือนแมว ป่านนี้มันคงตั้งชันแล้วแน่ๆ

                   

                    ผู้คุมภายนอกทั้งสองดูไม่รับรู้ถึงความไม่สงบภายใน แอรอนได้ยินเสียงเลือดพุ่งเข้ามาในหูเขา เป็นเสียง ตุบ ตุบ ตุบ ที่ดูน่าพิศวง เกิดจากประสาทสัมผัสอันเครียดเกร็งที่ถูกกระตุกขาดโดยไม่รู้ตัว แอรอนแน่ใจว่าขณะนี้ดวงตาเขามีขนาดเท่าไข่ห่านแล้วแน่ๆ เขาเบิกมันให้กว้างที่สุด มองร่างที่กำลังคืบคลานจากความมืด

                    เสียงเมื่อครู่นี้คือเสียงเนื้อกระทบกระจกนั่นเอง ดูเหมือนจะเป็นฝ่ามือของผู้ป่วยคนนั้น – แอรอนมองปลายเท้าขาวซีดของอีกฝ่ายที่ก้าวออกมา (ไม่ใส่รองเท้า--?) จนสุดท้ายก็ออกมายืนอยู่หน้ากระจก ถ้าหูไม่ฝาด แอรอนคิดว่าเขาได้ยินเสียงหัวเราะจากคนตรงหน้า

                    ฆาตกรโรคจิตตรงหน้าดูไม่ต่างจากคนธรรมดาเท่าไป เขาผิวสีเนื้อธรรมดา ผมสีบลอนด์จางจนเกือบดูขาวใต้แสงไฟ นัยน์ตาเป็นสีฟ้าจัด เขาดูเหมือนเป็นคนสแกนดิเนเวียน? บางที แอรอนคิด พยายามไม่สนใจรายละเอียดมากนัก ในเมื่อเจ้าตัวยอมเผยตัวออกมาอย่างนี้ และยังมีเวลาแค่สิบนาที แอรอนจะพยายามทำหน้าที่ของเขาให้ดีที่สุดก็แล้วกัน

                    อีกฝ่ายจ้องหน้าเขาไม่วางตา แต่ก็ไม่ปริปากพูดอะไร

                    “สวัสดีครับ?” แอรอนลองเชิงไปก่อน เกลียดการที่เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยตรงหางประโยค “คุณ 102 ถูกไหมครับ?”

                    ที่แอรอนเรียกอย่างนี้เพราะเขาไม่มีข้อมูลของอีกฝ่ายเลยนอกจากตัวเลข 102 – เพราะผู้ชายคนนี้ไม่เคยทิ้งร่องรอยอะไรไว้ในที่เกิดเหตุ นอกจากคำเขียนจารึกตัวเลขนี้ลงบนร่างของศพ (ศพของแมคคาฟีมีตัวเลข 102 เช่นกัน นั่นหมายความว่า – เขาเป็นเหยื่อคนที่ 102 รึเปล่า? ก็น่าคิดอยู่)

                    อีกฝ่ายไม่ตอบ แอรอนเดินย่างอย่างระมัดระวังไปนั่งที่เก้าอี้ สายตาอีกฝ่ายติดตามเขาเหมือนจรวดมิสไซล์ คอของ 102 เอียงเล็กน้อยในลักษณะที่เหมือนกับนก – สงสัย – ไร้เดียงสา – อยากรู้อยากเห็น?

                    แอรอนเหลือบมองนาฬิกา

                    “ผมอยากจะถามว่าคุณมีแรงจูงใจอะไรในการทำอย่างนั้น แต่ดูท่าผมจะไม่ได้คำตอบสินะ”

                    แอรอนพูดกับอีกฝ่าย ผู้ซึ่งทำท่าเหมือนไม่รับรู้ข้อความใดๆทั้งนั้น เขาถอนหายใจ เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “เอาเป็นว่า – เรามาเล่นเกมกันหน่อยเป็นไง?”

                    ริมฝีปากของ 102 เผยอออกเล็กน้อย เขาหายใจแรงขึ้น ม่านตาขยายขึ้น

                    โอเค เสร็จฉันแล้ว แอรอนโห่ร้องในใจ ไม่นึกว่ามุกที่ใช้กับเด็กที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจะได้ผลขนาดนี้ เขาใช้มันกับนาธานประจำ เวลาอีกฝ่ายชอบอุบปัญหาหนักอกไว้กับตัว เขาเก็บซ่อนรอยยิ้มบางๆไว้ ประสานสายตากับอีกฝ่ายเต็มที่

                    “ผมจะเล่าเรื่องราว แล้วถ้าคุณตอบได้ ผมจะบอกความลับของจักรวาลให้ฟัง แต่ถ้าคุณตอบไม่ได้ คุณต้องยอมตอบคำถามของผม หนึ่งข้อ โอเคไหม? ห้ามปฏิเสธด้วย!”

                    102 หรี่ตาลงเล็กน้อย เหมือนอยากจะถามความหมายของคำว่า ความลับของจักรวาล แต่แอรอนก็ยิ้มตอบ ไม่ปริปากอะไรทั้งสิ้น จนกว่าอีกฝ่ายจะยอมตกลง

                    เป็นตามที่คิด – 102 พยักหน้า

                    “เอาล่ะ – มีผู้หญิงคนหนึ่ง ผมขอเรียกเธอว่ามิสซิส E ก็แล้วกัน” แอรอนเม้มปากเล็กน้อย “เธอย้ายมาอาศัยอยู่ที่ลอนดอนกับสามี มิสซิส E เป็นผู้หญิงที่ไขรหัสลับต่างๆเก่งมาก รวมถึงซุโดกุด้วย ผมเกลียดเกมนั้น – วันหนึ่ง เธอได้จดหมายที่มาในรูปแบบรหัสลับ มิสซิส E เก็บมันไว้เป็นความลับ ผมค่อนข้างแน่ใจว่าจดหมายนั่นเป็นจดหมายจากสตอล์กเกอร์ จดหมายนั้นส่งมาถี่ขึ้นเรื่อยๆ ในขณะมิสซิส E เริ่มมีปากเสียงกับสามี เขาสงสัยเธอมากขึ้นเรื่อยๆว่าเธอนอกใจเขา ฝ่ายสามีก็เลยเริ่มแสดงท่าทีเย็นชาใส่เธอ วันหนึ่ง – ขณะที่ทุกคนในหมู่บ้านกำลังหลับไหล มิสซิสคว้าปืนขึ้นมา ยิงสามีจนเสียชีวิต และเธอก็หายตัวไป”

                    102 ทาบมือลงกับกระจก แล้วยื่นหน้าเข้ามา เขาดูเหมือนเด็กในชั่วขณะหนึ่ง นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นจนดูเหมือนหลุมลึกที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไป

                    “คำถามก็คือ – เธอจะทำอย่างนั้นไปทำไม?” แอรอนมอง 102 พยายามยิ้มให้ดูไม่เป็นพิษเป็นภัยที่สุด ในใจเขายังคงมีความหวาดระแวงอยู่เต็มเปี่ยม “คุณตอบได้ไหม?”

                    102  ดูเหมือนจะครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แอรอนรู้สึกประหลาดใจที่เขาดูไม่ต่างอะไรจากนักศึกษามหาวิทยาลัยที่พบได้ตามร้านคาเฟ่ทั่วไป อาจจะดูโตกว่านิดหนึ่ง แต่ก็ – ช่างปกติธรรมดา –

                    102  ดูเหมือนจะอยากพูดอะไรออกมาสักอย่าง ริมฝีปากนั้นเปิดออกหลายรอบ สุดท้าย 102 ก็ส่ายหน้าอย่างลังเล จับจ้องมาที่แอรอนด้วยความเพ่งเล็งจนชายหนุ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ เขาดูเหมือนตกอยู่ในความขุ่นเคืองใจอย่างแสนสาหัสที่ไม่สามารถตอบคำถามได้

                    “โอเค โอเค – ผมจะเฉลยก็แล้วกัน” แอรอนพูดเสียงนุ่ม ปลอบโยนคนตรงหน้า ฆาตกรโรคจิตที่ (อาจจะฆ่าไปแล้ว) 102 ศพ ให้ตาย ฉันทำอะไรอยู่ “ปัญหาก็คือ ถึงสตอล์กเกอร์ของมิสซิส E จะเป็นคนเขียนจดหมายถึงเธอก็จริง – แต่เธอคาดเดาไปเองว่านี่คงเป็นจดหมายจากสามีเธอ เพราะสามีเธอเป็นคนเดียวที่รู้ว่ามิสซิส E ชอบการไขรหัสลับ ในที่สุดเมื่อจดหมายรักกลายเป็นจดหมายขู่ฆ่า เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วของทั้งคู่ ทำให้การคาดเดาย่ำแย่ลงไปอีกมิสซิส E จึงตัดสินใจรักษาชีวิตตัวเองไว้ ด้วยการฆ่าสามีของเธอ แต่หลังจากนั้น ผู้ร้ายของเราก็มาเอาตัวเธอไป”

                    เขารอดูปฏิกิริยาของ 102 แต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะขยับเคลื่อนไหว ถึงอย่างไรก็ตาม 102 ก็ดูตอบสนองกับสิ่งเร้ารอบตัวบ้างแล้ว เพียงแต่แอรอนแค่ไม่ข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องมองเขาตลอดเวลา มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ

                    “ผมจะถามคำถามล่ะนะ? คุณ102” แอรอนเรียกอย่างระมัดระวัง “ผมอยากรู้ว่า – คุณเป็นใคร”

                    102  ก้มลองมองมือตัวเอง ทุกอย่างดูเงียบสนิทจนแอรอนเชื่อว่าเขาคงไม่ได้คำตอบแล้วแน่ๆ แต่เสียงทุ้มๆของอีกฝ่ายดังแหวกความเงียบสงบขึ้นมา



                    “ผมเป็นศิลปิน”



                    โอ้ แอรอนกลั้นเสียงหายใจตัวเอง อย่าลืมนะแอรอน หมอนี่คนบ้า คนบ้า คนบ้า

                    “โอเค--” แอรอนรู้สึกดีใจเล็กน้อยที่เห็นอีกฝ่ายยอมเปิดปากพูดกับเขาแล้ว กำลังจะอ้าปากถามคำถามต่อไป แต่เสียงออดก็ดังขึ้นพอดี ชายหนุ่มสบถเบาๆ ก้มลงมองนาที ให้ตายเถอะ 10 นาที อะไรมันจะผ่านไปไวขนาดนั้น!

                    ผู้คุมทั้งสองเปิดประตูเข้ามาทันที แล้วยืนประกบจนสุดท้ายแอรอนก็ต้องลุกขึ้นยืน เขาหยิบเครื่องบันทึกเสียงไว้กับตัว แอบโอดครวญในใจเมื่อเห็นกล้องที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ในกระเป๋า

                    แอรอนเดินคอตกตามผู้คุมทั้งสองออกจากห้องไป อะไรบางอย่างทำให้เขาเหลือบกลับไปมอง 102 ที่ยืนมองทุกอย่างเหมือนมันเป็นแค่ละครจำอวด 102 ทาบมือของเขาไว้บนกระจก ปลายนิ้วโป้งลูบไปมาเล็กน้อยในลักษณาการเผลอไผล ตรงตำแหน่ง – แอรอนตัวสั่นเล็กน้อย – ที่ควรจะเป็นใบหน้าของเขาพอดิบพอดี

                    “แล้วเจอกันอีก” 102 กระซิบ เสียงของเขาแหบแห้งเหมือนไม่ได้ใช้มานาน แต่มันก็ดังข้ามห้องมาเหมือนอีกฝ่ายมายืนพูดข้างหูของเขา “คุณมีดวงตาที่สวยมาก คุณนักข่าว สีเขียวที่งดงาม”

                    แอรอนรู้ดีว่าเขาควรจะวิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนั้น อ้อนวอนแชนดเลอร์ให้ส่งคนอื่นมาทำข่าวต่อแทน สันหลังของเขาเย็นยะเยือกเหมือนมีใครสาดน้ำเย็นลงมาโครมหนึ่งใหญ่ๆ แต่ในขณะเดียวกัน – กลิ่นอายแปลกประหลาดนั้นก็ล่อลวงให้สติสัมปชัญญะของแอรอนวนเวียนกลับมา เหมือนแมลงที่บินเข้ากองไฟ

                    เขาไม่น่ามารับทำงานนี้เลย ให้ตายสิ 


















    ++++++
    เนื้อเรื่องที่น้องแอรอนเล่า มาจากเชอร์ล็อค โฮล์มตอน The Dancing Men

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in