เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Love in Translation [BL]Pettes
Love in Translation : With love, Aaron
  • ป้ายรถบัสเล็กๆนั้นปราศจากผู้คน กระจกรอบด้านขึ้นเป็นฝ้าหนาจากอากาศเย็นชื้นในยามเช้า มีเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งยืนล้วงกระเป๋าอยู่ท่ามกลางน้ำค้างที่หยดเปาะแปะ ถึงแม้พยากรณ์อากาศวันนี้จะบอกว่าวันนี้อากาศเพียงแค่ 6 องศา แต่ลมเย็นเยือกที่พัดมาเป็นระยะก็ทำให้ความเย็นร่วงลงไปอีกสิบระดับเลยทีเดียว

                    “เฮ้อ จะสายไปไหนวะ” เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือผ่านๆ รถบัสมาสายกว่าที่ควรจะเป็นตั้งสิบนาที หากนานกว่านี้ เขาคงจะไปสัมภาษณ์งานไม่ทันแน่ๆ – โอ๊ยชีวิต เป็นแค่รถบัสวิ่งประจำในเมืองเล็กๆ ยังกล้าจะมาสายอีก

                    ไม่ทันขาดคำ รถบัสสีส้มคันเล็กน่ารักก็วิ่งมาตามทาง ประตูหน้าเปิดให้ขึ้นตั้งแต่มันยังไม่ทันจอดสนิทดีเลยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มเองก็ว่องไวพอกัน เขาคว้าจับราวไว้มั่นแล้วเหวี่ยงตัวเองขึ้นไป ชายหนุ่มแสดงบัตรให้คนขับรถที่ไม่แม้แต่จะหันมามอง ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาที่นั่งใบขณะที่รถเร่งความเร็วขึ้น

                    แทบจะไม่มีคนบนรถบัส นับๆดูแล้ว มีผู้โดยสารแค่สองคนเท่านั้น และหนึ่งในนั้นก็กำลังนั่งหัวพิงกระจกพลางสัปหงกไปพลาง เขากลั้นยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินไปนั่งหลังสุด ปล่อยให้สายตาล่องลอยไปกับทิวทัศน์เบื้องนอก รุ้สึกเอียนป่าสนและเกล็ดหิมะบางๆเบื้องนอกจับใจ

                    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นริงโทนเพลงป๊อบติดหูประจำปี ชายหนุ่มก้มลงมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาขมวดคิ้วอยู่สักพัก กอนจะตัดสินใจรับสาย

                    “ว่าไง” เขาพึมพำ พยายามไม่ปลุกคนที่นอนหลับอยู่ข้างหน้า “เทส นี่มันเช้าเกินไปนะ”

                    “แอรอน อย่าน่า ฉันรู้ว่านายตื่นแล้ว  นายกำลังไปสัมภาษณ์งานที่เดอะ ครีค ใช่ไหม” เสียงหญิงสาวตอบกลับมาจากปลายสายแหลมสูงจนทำให้สมองที่กำลังง่วงงุนและเบลอๆจากอากาศเย็นของเขาปวดตุบ “ดีเลย ฉันจะฝากซื้อของหน่อย นายเป็นคนเดียวที่เข้าเมืองน่ะ”

                    “แล้วคนอื่น?”

                    “ยังหลับอยู่เลย แอลลี่กับเชลด้อนงอแงหานายด้วย”  อีกฝ่ายหัวเราะคิกคัก แอรอนแอบยิ้มเมื่อนึกถึงเด็กน้อยทั้งสองที่นอนอยู่ข้างห้อง แถมชอบเดินเตาะแตะมากวนเขาเป็นประจำ

                    “โอเคๆ เอาเหมือนเดิมใช่ไหม งั้นฉันแวะร้านสะดวกซื้อให้” แอรอนกล่าว “อย่าลืมคืนตังค์ด้วย” ที่เขาพูดอย่างนี้เพราะหล่อนเบี้ยวเงินค่าสัพเพเหระเขามาเยอะแล้ว ถ้าปล่อยให้เทสใช้งานเขาต่อไปเรื่อยๆ เขาคงจะถังแตก แล้วลงท้ายด้วยการขายตัวประทังชีวิตแน่ๆ

                    “โอ๊ยยยย” เทสครวญ “ฉันเสียเงินค่าข้าวค่าน้ำไปเท่าไหร่ กว่านายจะโตจากก้อนวุ้นกลมๆมาเป็นหนุ่มได้ ผ้าอ้อมอีกล่ะ เห็นใจกันบ้างสิ นี่แค่สำหรับเด็กอีก 7 คนเองนะ ละนาธานด้วย รายนั้นเริ่มแตกหนุ่มแล้ว – เฮ้อ!”

                    “เออน่ะ” ชายหนุ่มแยกเขี้ยวให้กับโทรศัพท์ เสียงเทสคำรามขาดหายไปขณะที่เขาตัดสินใจตัดสาย แอรอนถอนหายใจแล้วซุกโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง ฉับพลัน สายตาก็ไปปะทะกับผู้โดยสารอีกคนในรถที่กำลังมองเขาอยู่

                    เหมือนจะรู้ตัวว่าถูกจ้องกลับ อีกฝ่ายรีบหลบตา แอรอนขมวดคิ้วอย่างงุนงง ก่อนที่เขาจะหันไปสนใจวิวนอกหน้าต่าง อีกแค่ไม่กี่นาทีก็จะเข้าสู่ตัวเมืองแล้ว โชคยังดีที่ “บ้าน” ของเขาอยู่ไม่ห่างจากเมืองมากนัก

                    บ้านของแอรอน หรือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลิปเปนส์ ตั้งตามชื่อผู้ก่อตั้ง นับได้ว่าเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเก่าแก่แห่งหนึ่งในมณฑลนี้ลยทีเดียว แอรอนจำถึงชีวิตก่อนหน้าที่เขาจะกลายมาเป็นเด็กกำพร้าได้แค่เลือนราง เขาจำหน้าพ่อกับแม่ของตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำ พอรู้ตัวอีกที ก็มีผู้หญิงใจดีคนหนึ่งจูงมือเขาเข้ามาในห้องนอนรวมกับเด็กผู้ชายอีกสองคน บอกเขาว่า “นี่คือบ้านใหม่ของหนูนะจ๊ะ”  แล้วแอรอนก็เป็นเด็กที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ยอดเยี่ยม เขาจึงไม่ได้มีความคิดทะเยอทะยานใดๆที่จะออกไปจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี้เลย

                    ชายหนุ่มถอนหายใจ นึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตามล่าหางานอย่างเอาจริงเอาจังขึ้นมา

                    ถ้าไม่ใช่ว่าอยู่ๆผู้อุปถัมป์สถานที่อย่าง โรเบิร์ต แมคคาฟีเสียชีวิตไปเมื่อเดือนก่อน ที่นี่คงจะได้รับเงินมามากกว่านี้ แอรอนไม่ชอบใช้ชีวิตอยู่บนความเมตตาของคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร แต่เขาก็อดยอมรับว่ารู้สึกเสียใจอยู่บ้างเมื่อได้ยินถึงข่าวการหายตัวของผู้ชายคนนั้น แมคคาฟีเป็นผู้ชายประเภทใช้เงินเหมือนกับเป็นแขนขาของตัวเอง แต่เขาก็มาเยี่ยมเยียนที่ลิปเปนส์บ้างตามโอกาส อาจจะเป็นเพื่อภาพลักษณ์หรืออะไรก็ตาม แอรอนไม่ได้สนใจนัก เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งเวลาที่นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นจับจ้องมองตามเขา แม้ตอนนั้นแอรอนอายุแค่ 12 ปี เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ

                    โชคดีที่ในช่วงปีหลังๆ แมคคาฟีไม่ค่อยมาลิปเปนส์อีก เทส ผู้ดูแลสถานที่ปลอบโยนเด็กๆที่ร้องงอแงว่า ช่วงนี้บริษัทของอีกฝ่ายประสบปัญหาใหญ่เรื่องแผนการตลาดที่ไม่ค่อยดี (ถึงแมคคาฟีจะดูน่าขนลุกอยู่บาง แต่เวลาเขามาเยี่ยม ทุกที่ในบ้านจะเต็มไปด้วยขนมและของเล่นสารพัด)

                    แอรอนอดไม่ได้ที่จะรู้สึก – โล่งใจ

                    แต่ปัญหาที่ตามมาคือเงินทุนที่แมคคาฟีนำมาให้เป้นทรัพย์สินส่วนตัว ไม่ใช่เงินจากมูลนิธิที่ไหน ดังนั้นเมื่อขาดเขาไป ชีวิตของเด็กๆก็เริ่มขัดสนขึ้นตามลำดับ มีเพียงแอรอนคนเดียวที่อายุ 24 ปีเข้าไปแล้ว เขาจึงคิดว่าได้เวลาหาเงินเสียที ช่วยไม่ได้ที่ไม่เคยมีคู่รักครอบครัวมาเดินชี้ชวน จับแก้มอะไรเขามิสารพัด จากนั้นก็พากันร้องว่า “เด็กคนนี้น่ารักจัง!” แล้วจะรับเลี้ยงเสียให้ได้

                    คงเป็นเพราะหน้าตาของเขาดูเศร้าเกินไป

                    แอรอนช่วยไม่ได้ ก็หน้าตาเขามันเป็นอย่างนี้เอง เด็กที่เขาเคยต่อยด้วยข้างถนนเคยบอกว่า “หน้าตาแกมันอ้อนวอนตีนของฉันเหลือเกิน” นั่นเป็นเพียงความคิดเห็นเดียวที่ชายหนุ่มเคยได้ยินเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเอามาคิดจริงจัง แถมแอบๆปัญญาอ่อนเสียอีกต่างหาก หน้าที่ของชายหนุ่มค่อยๆเปลี่ยนสถานะจากเด็กกำพร้า มาเป็นคนดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแทน กฏเกณฑ์เอกสารราชการต่างๆไม่ได้มีผลมากนักเมื่อตั้งอยู่ในชนบทที่ห่างไกลผู้คนอย่างนี้

                    ความคิดไหลลื่นเริ่มมาสะดุดชะงัก แอรอนเหลือบตามอง ผู้ชายคนนั้นมองเขาอีกแล้ว คราวนี้หันมาตรงๆเลยทีเดียว

                    นี่ขนาดนั่งหลังสุดแล้วนะ ชายหนุ่มคิดในใจอย่างหงุดหงิด จะมองอะไรนักหนา

                    เขาจ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้ แถมหน้าบูดไปให้ด้วย อีกฝ่ายส่งเสียงกระแอม เหมือนจะกลั้นหัวเราะ ก่อนที่จะหันกลับไปเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ แอรอนเม้มปากแน่น เขาไม่มีเวลามากพอที่จะมายุ่งกับคนสอดรู้สอดเห็นบนรถบัสเสียหน่อย ทำใจเย็นๆไว้ ก็แค่พวกงี่เง่าธรรมดา

                    เขาอดไม่ได้ที่จะสังเกตอีกฝ่าย

                    ชายคนนั้นอยู่ในเสื้อโค้ตสีกรมท่าตัวยาวเลยเข่า มีหนังสือพิมพ์สอดอยู่ใต้ราวแขนกับกระเป๋าโน้ตบุ๊กวางอยู่บนเก้าอี้โดยสารข้างๆ เขามีขาวแซมอยู่ในเส้นผมสีเข้มตรงขมับ ดูท่าว่าจะมาจากความเครียดมากกว่าอย่างอื่น เพราะดูอย่างไร ชายคนนี้ก็ดูอายุไม่เกิน 40 ไปได้ แผ่นหลังของเขาตั้งตรง ดูเป็นบุคลิกภาพจากความเคยชิน ทำให้แอรอนอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาทำงานอะไร ตำรวจ? -- นักสืบ เหมือนเชอร์ล็อก โฮล์มสหรือยังไง? (ความตื่นเต้นที่พุ่งขึ้นมาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา เป็นความชื่นชมแบบเด็กๆ แต่เขาเลยวัยนั้นไปนานแล้ว) แอรอนนั่งจ้องเป๋ง ตั้งใจว่าถ้าอีกฝ่ายหันมามองเขาอีกเขาจะส่งนิ้วกลางไปให้เป็นรางวัล เอาสิ

                    เสียงกริ่งดัง รถบัสถึงเมืองแล้ว

                    แอรอนลงตรงโบสถ์ใจกลางเมือง สถาปัตยกรรมทะมึนตั้งตระหง่านเบื้องหน้า แลดูเก่าโรยราจากแดดและฝน เขาถอนใจเมื่อรู้สึกถึงแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดผ่านเมฆ อากาศอบอุ่นขึ้น แต่ไม่มากนัก มือของเขาเย็นจัดจากน้ำค้าง ไม่ต้องพูดถึงเสื้อแจ็กเก็ตที่ไม่กันน้ำ ความชื้นทำร้ายมนุษย์ได้มากกว่าความเย็นนัก โดยเฉพาะมนุษย์จนๆ แอรอนเบ้ปาก

                    แอรอนไม่ทันมีเวลาไปสังเกตว่าผู้ชายปริศนาลงรถป้ายเดียวกับเขาหรือไม่ เขาแค่รู้สึกเสียใจนิดหน่อยให้กับคนที่นอนหลับในรถ หมอนั่นอาจจะพลาดที่หมายของตนเองไปนานแล้ว ใครจะรู้ได้ ในเมืองเล็กๆนี้คนส่วนมากรู้จักหน้าของอีกฝ่าย ถ้าเขามีความกล้ากว่านี้สักนิด เขาคงจะเข้าไปปลุกคนนั้นแล้ว แต่ช่วยไม่ได้ ไม่มีประโยช์ที่จะไปคร่ำครวญถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว

                    แอรอนก้มลงนาฬิกา เห็นว่ามันเลยเวลานัดสัมภาษณ์มาสิบนาทีแล้ว “ฉิบ--”

                    เขาชนหลังของใครบางคนเต็มแรง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น คำขอโทษเตรียมพร้อมอยู่บนริมฝีปาก แต่เมื่อเห็นว่าคนที่เขาชนเป็นใคร มันก็ถูกกลืนหายไปเสียดื้อๆ เป็นผู้ชายคนนั้นนั่นเอง

                    ด้วยฝีเท้าเร่งรีบ ชายหนุ่มเบียดตัวอีกฝ่ายไปทันที ไม่แม้แต่จะขอโทษ สายตาขุ่นมัวของอีกฝ่ายไล่หลังมาเหมือนไฟร้อนๆจนเสียวสันหลัง แต่เขาก็ไม่มีเวลาหันกลับไป ชายหนุ่มเดินหลงทางอยู่นานสองนาน จนในที่สุดก็เห็นถนนในซอยข้างๆเบเกอรี่ บนยอดเสาเขียน “ถนนครอมเวลส์” เขาตรงดิ่งเข้าไปทันที พยายามมองหาป้ายสำนักงานเจ้ากรรม ที่ป่านนี้เขาคงไม่มีหวังทำงานด้วยแล้วแน่ๆ

                    นั่นไง!

                    เขานัดสัมภาษณ์เจ็ดโมงเช้า นายมาสายไปแล้วครึ่งชั่วโมง จะเป็นยังไงก็ไม่รู้แอรอนเอ๊ย ชายหนุ่มนึกปวดขมับในใจ แลเห็นเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ ไม่รอช้า แอรอนพุ่งตรงเข้าไปทันที หวังว่าสารรูปปอนๆของเขาคงไม่ทำให้หญิงสาวที่รอต้อนรับตกใจมากนัก

                    “เอ้อ-“ แอรอนทักทายจังหวะเดียวกับที่เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขา “สวัสดีครับ ผมแอรอน เคจ มาสัมภาษณ์งานครับ” เขารู้สึกประหม่าไปหมด มือสั่นแถมเหงื่อออก ดูน่าเชื่อถือน้อยกว่าคนติดยาเสียอีก เธอยิ้มให้เขา บอก “รอสักครู่นะคะ” แล้วก้มลงไปตรวจดูรายชื่อ สักพักผู้หญิงคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา

                    “คุณเคจคะ”  เธอเรียก “ตรงไปสุดทาง แล้วเลี้ยวซ้ายเลยค่ะ หัวหน้ารอคุณอยู่”

                    แอรอนขอบคุณหญิงสาวเบาๆ ขณะที่สาวเท้าไปยังห้องที่ว่า พยายามสงบหัวใจที่เต้นรัวให้อยู่กับที่ เขามีความคิดชั่วขณะหนึ่งว่าไม้กระดานปูพื้นของที่นี้ลั่นออดแอดแปลกๆ อาจจะเป็นได้เพราะว่าสายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังพื้น ราวกับจะขุดหลุมทะลุมันไปเสียอย่างนั้น

                    เลี้ยวซ้าย –

                    เขามาถึงจุดหมายแล้ว

                    หน้าห้องเป็นประตูกระจกขนาดใหญ่ แปะติดไปด้วยป้ายประกาศมากมายจนไม่สามารถมองทะลุเข้าไปข้างในได้ ส่วนมามกเป็นหน้าหนังสือพิมพ์เหตุการณ์ต่างๆ บางเรื่องก็เก่าถึงขนาดที่เขายังไม่เกิด แอรอนสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะเคาะประตู

                    “เข้ามาเลย!” หัวหน้าตะโกนเรียกจากข้างใน แอรอนกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น เขาพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเสียงเครื่องพิมพ์หนังสือพิมพ์มันดังขนาดไหนในความเงียบ ถึงภายนอกผู้คนจะวิ่งวุ่นเต็มไปหมด แต่คนที่เดินเอ้อระเหยมาถึงตรงนี้กลับน้อยนัก ราวกับว่าเป็นเขตหวงห้าม เข้าได้เฉพาะกิจอย่างไรอย่างนั้น

                    เขาแง้มเกิดประตู พยายามปั้นหน้าให้สุภาพเรียบร้อยที่สุด รอยยิ้มสุภาพบนหน้า? เช็ค ไหล่ตั้ง ผึ่งผาย? เช็ค สายตาเขาปะทะกับราวแขวนเสื้อโค้ตข้างโต๊ะทำงานของหัวหน้าเป็นอย่างแรก และอะไรบางอย่างในสมองบอกเขาว่า –

                    เสื้อโค้ตสีกรมท่าคุ้นเคยแขวนอยู่บนนั้น ในขณะที่ “หัวหน้า” ยืนขึ้นจากเก้าอี้เป็นเชิงแสดงการต้อนรับ อีกฝ่ายมีรอยยิ้มขำบนใบหน้า (ยิ้มเยาะล่ะสิไม่ว่า) ในขณะที่เขาทอดมองชายหนุ่มประหนึ่งคนคุ้นเคย

                    “คุณเคจ” คุณหัวหน้าเรียกเสียงอ่อนโยน “จะว่ายังไงดีล่ะ – คุณไม่เหมือนที่ผมคาดหวังไว้เลยนะ”

                    ตายห่า

                    แอรอนพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ผสมผสานกับความอยากตายมันเป็นยังไง เขาเดินเก้ๆกังๆไปหยุดหน้าอีกฝ่าย เกือบจะนั่งลงบนเก้าอี้ถ้าไม่ใช่ว่านึกถึงมารยาทพื้นฐานขึ้นมาได้ – อีกฝ่ายยังไม่ได้เชิญเขาให้นั่งเลยนี่ – ให้ตายสิ แต่เขาคงไม่ต้องนั่งหรอก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเขาคงได้เดินออกจากที่นี่แน่ๆ

                    “เอ้า ไม่เป็นไรๆ นั่งได้! มาเริ่มสัมภาษณ์กันเลยดีกว่า เราเสียเวลากันมามากแล้ว” อีกฝ่ายพูดพลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ แอรอนกลืนน้ำลายแล้วหย่อนก้นลงนั่งช้าๆ ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่า ประโยคสุดท้ายดูเน้นหนักแถมจิกกัดอย่างคาดไม่ถึง

                    อีกฝ่ายหยิบเอกสารเรซูเม่ของเขาขึ้นมาดู กอปรกับเอกสารการทำงานที่ผ่านมาของเขาตอนยังเรียนอยู่ แอรอนได้ยินเสียงฮัมเบาๆขณะที่หัวหน้าพลิกมันผ่านๆเหมือนไม่สนใจเท่าไหร่นัก

                    “เอาละ” อีกฝ่ายวางเอกสารลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันมามองแอรอน สายตาเข้มข้นอย่างน่าประหลาด “บอกผมมาสิแอรอน คุณต้องการจะเป็นนักข่าวเพราะอะไร?”

                    ถึงจะรู้สึกทะแม่งๆกับคำเรียกสนิทสนม แต่ภายในของชายหนุ่มก็ยิ้มด้วยความยินดี คำถามเบสิคอย่างนี้ ใครๆก็ตอบได้!

                    “ผมอยากจะเป็นนักข่าวมาตั้งแตเด็กแล้วล่ะครับ เพราะในความคิดผม ข่าวสารเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผู้คนใช้ชีวิตอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับข่าวสาร ผมอยากเป็นคนเผยแพร่ ค้นหาความจริงให้พวกชาวเมืองครับ”

                    หัวหน้าทำเสียงฮัมในลำคออีกแล้ว “คุณคิดว่าอาชีพนักข่าวมันสำคัญขนาดนั้นเชียวรึ?”

                    “สำคัญในระดับหนึ่งล่ะครับ ทุกอาชีพมีส่วนในการสร้างสังคม หรือว่าผมไม่ถูก?”

                    แอรอนพยายามตอบฉะฉานที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางคำตอบก็ดูไร้เดียงสาขัดแย้งกับความคิดของเขา แต่บางคำตอบก็ดูอุดมคตินิยมจนไม่น่าเป็นไปได้ แต่แอรอนก็อยากได้งาน แค่อยากได้เงิน เขารู้ว่านี่เป็นเพียงเหตุผลที่แท้จริง แต่เขาไม่กล้าตอบไปอย่างนั้นหรอก

                    ในที่สุดการสัมภาษณ์ก็จบลง กินเวลาแค่ราวๆ 10 นาทีเท่านั้น สายตาของอีกฝ่ายดูอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็ถึงกับยิ้มออกมา คำพูดคำจาก็เริ่มเป็นมิตรมากขึ้นจนแอรอนรู้สึกได้ 

                    “รู้อะไรไหมแอรอน ฉันคิดว่าเธอเกือบได้งานนี้แล้วล่ะ”

                    “จริงเหรอครับ!” แอรอนไม่อยากจะเชื่อ มือเขาสั่น

                    อีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาพินิจพิจารณาอยู่พักหนึ่ง ประหนึ่งกำลังมองหาอะไรบางอย่าง “เรากำลังขาดนักข่าวลงพื้นที่พอดี ฉันมีแบบทดสอบให้เธอ”

                    “—โอเคครับ?”

                    ชายผู้เป็นหัวหน้าโน้มตัวเข้ามาพูดด้วยเสียงกระซิบกระซาบ “มีคดีหนึ่งที่เป็นที่ฮือฮากันมาก เธอรู้จักใช่มั้ย คดี 102 น่ะ”

                    แอรอนจำได้ว่าเคยได้ยินข่าวผ่านๆจากในโทรทัศน์ แต่เขาไม่ได้สนใจมันนัก “คดีฆาตกรรมรึเปล่าครับ?”

                    “ฆาตกรต่อเนื่องน่ะ” สายตาอีกฝ่ายดูสงบเยือกเย็น “เราต้องการได้ข้อมูลที่แท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับเอเลน วอลคินและเหยื่ออื่นๆ ผู้ชายคนนี้ถูกต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกรในตอนแรก แต่ตำรวจมารู้ว่าเป็นเขาจริงๆก็ตอนที่เขาฆ่าโรเบิร์ต แมคคาฟี เหยื่อคนล่าสุด แล้วเอาศพ--”

                    “เดี๋ยวนะครับ” แอรอนขัด “เขาคือคนฆ่าแมคคาฟี?” แมคคาฟีตายแล้ว?  แถมตายด้วยเงื้อมมือของฆาตกรต่อเนื่องเสียด้วย ถึงชายหนุ่มจะไม่ชอบเขานัก แต่ก็น่าเวทนาอยู่ไม่ใช่น้อย

                    “เธอรู้จักเขารึ?” หัวหน้าถาม

                    “ผม – เคยเจอเขา” ชายหนุ่มยอมรับ “เขาเคยมาเยี่ยมผมกับเด็กๆที่บ้านเด็กกำพร้า”

                    หัวหน้าพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ฉันเข้าใจว่ามันอาจเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนกับเธอนะ แอรอน แต่นั่นแหละที่ทำให้เธอยิ่งเป็นบุคคลที่เหมาะสมกับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ เราต้องการให้เธอสัมภาษณ์เขาให้ได้ หาตัวตนที่แท้จริงเขาให้ได้ เพราะทุกคนไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เขาไม่มีประวัติแอรอน เขาไม่มีแม้แต่ใบสูติบัตรด้วยซ้ำ พ่อฆาตกรปริศนาคนนี้”

                    “คุณไม่รู้--?” แอรอนพูดตะกุกตะกัก “เป็นไปได้ยังไง อีกอย่าง คดีนี้อุกฉกรรจ์มาก เท่าที่ผมรู้ ไม่แน่ว่าฆาตกรคงต้องถูกคุมตัวแน่นหนาอยู่ในคุกที่ในสักแห่ง ไม่มีทางที่เราจะเข้าถึงตัวเขาได้--”       

     

                    “แอรอน แอรอน” หัวหน้าขัดจังหวะ เรียกสติเขากลับมา “เขาอยู่ที่นี่ ที่เมืองนี้”

                    สันหลังของแอรอนเย็นวูบขึ้นมาชั่วขณะนึง รับฟังคำพูดต่อไปของหัวหน้าด้วยจิตใจเย็นวาบเหมือนมีกองน้ำแข็งยัดอยู่ในช่องอก

                    “เขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นคนที่มีความผิดปกทางจิต แอรอน รุนแรงด้วย ตอนนี้เขาอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชเฟธเวลส์ เธอรู้จักใช่ไหม”

                    โรงพยาบาลจิตเวชเฟธเวลส์ แน่นอน แอรอนต้องรู้จัก เขาเคยไปที่นั่นด้วยซ้ำ ตอนเด็กๆ ไปแอบมองนักโทษที่โดนปล่อยออกมาช่วงตอนกลางวัน ผ่านรั้วหนามไฟฟ้า เขายังจำได้ดีว่าตอนเด็กตัวเองตื่นเต้นขนาดไหน เตรียมตัวพร้อมวิ่งหนีทุกเวลาเมื่อนักโทษบางคนเข้ามาใกล้รั้วมากพอ แต่พวกเขาทำให้แอรอนผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า นักโทษที่โดนปล่อยออกมาส่วนมากดูปกติ สายตาเหม่อมองไปบนท้องฟ้าบ้าง บางคนก็นั่งเกาตัวเองบ้าง ดูอย่างไรก็ไม่ต่างจากคนบ้าธรรมดา

                    “ใช่ครับ” แอรอนกระแอม “ผมต้องไปสัมภาษณ์เขา นั่นคืองานแรกของผม?”

                    “ถ้าเธอทำได้ เธอจะกลายเป็นคนที่มีความสามารถมากแอรอน” หัวหน้าพูด “แล้วฉันจะรับเธอเข้าทำงานทันทีโดยไร้ข้อแม้ เธอแค่ต้องพิสูจน์ตนเอง”

                    “โอเคครับ” แอรอนพยักหน้า “แล้วผมต้องไปตอนไหน? มีรายละเอียดงานอะไรบ้าง?”

                    “อลิเซีย – ผู้หญิงที่เป็นพนักงานต้อนรับน่ะ เธอคงจะเจอเขาแล้ว อลิเซียเป็นคนเตรียมข้อมูลกับอุปกรณ์ที่จำเป็นไว้ให้ เธอต้องการเทป บัตรผ่าน กล้อง เล็กได้เท่าไหร่ยิ่งดี เราต้องการสกู๊ปพิเศษ”

                    แอรอนพยักหน้า เขารู้ว่าได้เวลาไปแล้ว เมื่อหัวหน้าหันหลังกลับไปมองนอกหน้าต่างด้วยสายตาครุ่นคิด หลงอยู่ในสมองของตัวเอง

                    มือของชายหนุ่มวางลงบนประตู จังหวะเดียวกับที่เสียงหัวหน้าลอยมาพอดี

                    “เดี๋ยวก่อน” หัวหน้าเรียก “ฉันลืมแนะนำตัวไปสนิท มารยาทแย่จริง”

                    แอรอนหัวเราะเสียงอ่อย ให้ตายเขาก็ไม่ได้อยากรู้อะไรขนาดนั้นหรอก เลยไม่ได้ถาม “ไม่เป็นไรหรอกครับ”

                    “เรียกฉันว่าแชนดเลอร์ละกัน – วินเซนต์ แชนดเลอร์  ยินดีที่ได้รู้จัก”

                    สไตล์การแนะนำตัวเหมือนเจมส์ บอนด์ ดูหนังมากไปรึเปล่า ท่ามากชะมัด แอรอนคิดในใจ แต่ก็ยิ้มกลับไป “เช่นกันครับ”

                    “และอีกอย่าง – ไม่มีใครชอบคนไม่จริงใจหรอกนะ พ่อหนุ่ม”

                    รอยยิ้มบนใบหน้าของแอรอนแข็งค้างทันควัน เขาพูดเรื่องอะไร? หัวหน้า – แชนดเลอร์มองเขาตรงๆ สายตาจริงจัง “เธอมีจุดมุ่งหมายลึกกว่านั้นเยอะ ใช่ไหมแอรอน เธอต้องการเป็นนักข่าวเพราะเธอเสพติดอะดรีนาลินต่างหาก ฉันเห็นมันในแววตาเธอ เธอรักสิ่งที่ท้าทาย รู้สึกดีเมื่อเอาตัวเองไปเสี่ยงในเรื่องอันตรายถึงตาย  ฉันพูดถูกไหม”

                    แอรอนยืนนิ่งงัน

                    “ – เธอชอบเล่นกับไฟแอรอน ฉันขอไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องนั้น แต่พึงระวังไว้ ในโลกของเราตายเป็นตาย ไม่มีใครอยู่รอดได้ในสภาวะนี้โดยไม่อยากถอนตัว ถ้าถลำตัวลึกมาไป เธอจะไม่มีชีวิตเหลือพอที่จะตะเกียกตะกายกลับสู่ความเป็นจริง”

                    สิ้นคำ ทั้งห้องจมสู่ความเงียบเหมือนในโลงศพ เพียงชั่วอึดใจ ทุกอย่างดูน่าอึดอัดเกินคำบรรยายแอรอนหมุนตัวแล้วเดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งไว้เพียงร่างของวินเซนต์ แชนดเลอร์ ที่เอื้อมไปหยิบเอกสารของอีกฝ่ายมาพลิกดูอีกครั้ง


                    “—เขียนบันทึกไว้หน่อยดีกว่า” ชายหนุ่มพึมพำ “นิสัยเหมือนแมว ไม่ชอบให้โดนแหย่หาง”



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
thymesti (@thymesti)
แอรอนน่ารักกก