เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Taboo StoryANITA
Train to Busan พิเศษ เพิ่มเส้น! เพิ่มเครื่องใน! เพิ่มไข่ดาวสุกๆกับกุนเชียงด้วย!!

  • ทุกไตรมาสหนังซอมบี้ต้องมีมาให้ดูละอย่างน้อย 1 เรื่อง 
    นี่ยังไม่นับซีรีย์ The Walking Dead และข่าวการสร้างภาพยนต์ซอมบี้ที่มีมาให้ได้ยินเรื่อยๆ

    ภาพยนตร์ซอมบี้ที่เคยดูแแรกๆ จะเป็นแนว ตุ้ง แช่ ลุ้นระทึก เขย่าขวัญสั่นประสาท 
    ตัวเอกจะรอดมั้ย พี่มืดตายแน่ปัก Death Flag ฉากนี้ได้เลย มีผสมการต่อสู้แก่งแย่งทรัพยากรของมนุษย์กันเองแบบเบาๆ (ซึ่งจะได้เห็นในหนังแนว "วันสิ้นโลก" เสมอ) 

    ในช่วงหลังมานี้กลายเป็นแนว มนุษย์นั้นลึกล้ำเหนือกำหนด ถึงเถาวัลย์ พันเกี่ยว จนเลี้ยวลด ก็ไม่คด เหมือนหนึ่งใน น้ำใจคน ... ซอมบี้ยังไงก็ไม่น่ากลัวเท่าคนข้างๆ ซึ่งก็ซ้ำประมาณนี้มาได้สักพัก จนเดาทางหนังซอมบี้ยุคใหม่ได้แล้ว

    กระแส Train to Busan ทำให้เราสนใจมาก เพราะเราเองก็เป็นคอหนังซอมบี้
    แอบคาดหวังจะเห็นอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม

    *บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์*

    Train to Busan เริ่มต้นจากปมดราม่าระหว่าง "คุณพ่อ" กับลูกสาว ในเรื่องของความบกพร่องในการทำหน้าที่พ่อ ซึ่งก็เป็นคำถามที่ถูกตั้งขึ้นในสภาพสังคมปัจจุบัน ว่าพอแล้วหรือยังกับการทำงานอย่างถวายชีวิต ตามค่านิยมของยุค Modern? 

    ดราม่าอืดๆในช่วงองค์แรกของหนังกระตุ้นให้เราคิดว่าระหว่างการทำงานหนักเพื่อความสำเร็จในชีวิต กับ การรักษาความสัมพันธ์ที่ระหว่างทาง อะไรคือความสำคัญที่สุดกันแน่นั้นแล้วค่อยนำไปสู่การปะทะกับซอมบี้ในช่วงองค์สอง 

    ซึ่งถือว่าทำได้เข้มข้นขึ้นมากจากหนังซอมบี้รูปแบบเดิมๆ ที่จะค่อยๆเพิ่มความพีค จากการติดเชื้อของตัวประกอบ การเพิ่มจำนวนกองทัพซอมบี้ และรูปแบบการถูกไล่ล่าที่ระทึกขึ้นเรื่อยๆ เสริมด้วยการตายแบบเบี้ยบ้ายรายทางของตัวละครเด่น ตามแบบฉบับ Dawn of the Dead (2004)Land of the Dead(2005) และบรรดา ... of the Dead ทั้งหลาย หรืออีกประเภทหนึ่งที่ดูแล้วอะดรีนาลีนสูบฉีด เซอร์ไวเวิลสุด บีบทางรอดจนเหลือน้อยลงเรื่อยๆ อย่าง 28 Weeks Later (2007)[REC] (2007) หรือ World War Z (2013) 

    เพราะ Train to Busan ผนวกความ The Mist (2007) กับ World War Z (2013) เข้าด้วยกัน
    ความเข้มข้นจึงเหนือชั้นนำห่างจากหนังซอมบี้รูปแบบเดิมๆ ถ้ายังจำมนุษย์ป้าใน The Mist ได้ก็คงพอเข้าใจว่า เมื่อตัวแปรในเรื่องเป็นมนุษย์แล้วนั้นสิ่งที่เราสามารถคาดเดาได้แทบจะเป็นศูนย์ ขึ้นอยู่กับความเฮี้ยนของตัวละครล้วนๆ และถ้ายังจำซุปเปอร์ซอมบี้จาก World War Z ที่แม่งฉีกกฎทุกกายภาพซอมบี้ ต่อตัวปีนกำแพงเมือง, ดึงฮ.ตก, และมีหักมุมกลายเป็นซอมบี้สายแบ๊ว เมื่อมนุษย์อยู่ในสภาวะพรางตัว ยิ่งช่วยเพิ่มดีกรีความ "เหนือความคาดหมาย" ขึ้นไปอีก

    แต่ Train to Busan ยังคิดว่าสูตร 1+1 ยังไม่เก๋พอ ถ้าจะให้ปังต้องเพิ่มอีก 1 โปรโมชั่น ซื้อ 1 ได้ถึง 3 !!
    จึงมีกลิ่นแบบ Armageddon (1998) เบาๆ ความโรแมนติกแบบรักเหนือรัก "ตายเพื่อคนที่เรารัก" คลาสสิกตลอดกาล รวมพล๊อตฮิตจากหนังดังหลายแนวขนาดนี้ถ้ายังไม่ปังไม่รู้จะยังไง!! 

    นอกจากนั้นยังเพิ่มความแตกต่างในส่วนของคาแรคเตอร์ของพระเอกที่มีมิติ เทาๆ ดำๆ  จนทำให้เราตั้งคำถามว่า "นี่มึงเป็นพระเอกรึเปล่า?" นั่นก็ช่วยเติมเต็มให้เนื้อเรื่องลึกมากขึ้น
    เพราะน้อยนักที่เราจะเห็นพระเอกในหนังซอมบี้มี "ความเลว" ก่อนจะกลายร่างเป็นคนดี

    อย่างไรก็ดี Train to Busan ยังแฝงเรื่องของชนชั้น สะท้อนประเด็น "คุณค่าของความเป็นมนุษย์" 
    ที่ผูกกับแกนดราม่าหลักของเรื่อง และตัวตนของพระเอกได้อย่างดี (ตามหมายเลขโบกี้รถไฟ)

    ในฉากที่กลุ่มพระเอกลุยซอมบี้มาจนถึงจุดที่แหกประตูสำเร็จ แล้วดันโดนไล่ไปอยู่ที่อื่น 
    พอเอามาเปรียบเทียบกับสภาพสังคมแล้วมันคงไม่ต่างจากกลุ่มหลักและ "กลุ่มชายขอบ"
    ที่มักจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง "ไม่นับเป็นพวก" เสมอ ( LGBTQ, กลุ่มผู้ป่วยจิตเวช, กลุ่มคนผิวสี, เหยื่อความรุนแรงทางเพศ, ชมกลุ่มน้อย, ผู้อพยพ เป็นต้น)

    สิ่งที่น่าแปลกใจมากอีกอย่างคือ ตัวละครหลักใน Train to Busan นั้นล้วนแต่เป็น "เพศชาย"
    เพศชายในภาพยนตร์เรื่องนี้ช่างลุ่มลึก นอกจากมีความเป็นมนุษย์แล้วยังมีความสามารถเป็นHeroด้วย 

    - นักกีฬาที่ "เสียสละ" เพื่อคนอื่นและ "อ่อนโยน" ดูแลผู้หญิงและคนแก่ให้ปลอดภัยเสมอ 
    - พี่หนวดนักกล้ามที่ "กล้าหาญ" ในสถานการณ์ที่คับขันและ"พึ่งพาได้" ทุกครั้งที่ปรากฎตัว
    - พระเอกที่ "เปิดรับ" ความคิดเห็นของลูกสาว "มีเหตุผล" และ "ฉลาด" ในการจัดการซอมบี้
    - ชายไร้บ้านที่ "เอาชนะความกลัว" ของตัวเองเพื่อปกป้องเด็กและผู้หญิงท้อง
    - คนขับรถไฟที่ "มุ่งมั่น" ต่อหน้าที่ของตนเอง
    - มนุษย์ลุงที่ "เห็นแก่ตัว" และ "มีอำนาจ" ในการควบคุมความคิดของคนอื่นๆ
    - เจ้าหน้าที่รถไฟที่ "ขี้ขลาด" และ "ไม่มั่นใจ" จนถูกความกลัวเอาชนะ

    จะเห็นได้ว่า ภาพลักษณ์ของเพศชายนั้นหลากหลาย ถูกแบ่งฝั่งดี ฝั่งร้าย อย่างพอเหมาะ

    แต่บทบาทตัวละครหญิงนั้นกลับ ตื้นเขิน และแบนราบ จนน่าตกใจ ไม่ต่างภาพลักษณ์เพศหญิงภายใต้
    ค่านิยมชายเป็นใหญ่ ที่มองเพศหญิงว่าเป็น พลเมืองชั้น 2 มีไว้เพื่อประดับ (ถ้าสวย) และจะมีความสำคัญให้พิจารณาในลำดับ "ถัดไป" เสมอ 

    - เด็กผู้หญิงที่ "ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้" แต่มีความ "อ่อนโยน" และ "ใช้ความรู้สึก" ในการตัดสินใจ 
    - ผู้หญิงท้องที่ "เจ้าอารมณ์" เมื่อเจอเหตุการณ์ใดก็ตามจะ "สั่ง" สามีและ "ร้องไห้" เกือบทุกฉาก
    - โซฮีที่หนุ่มๆให้ความสนใจเพราะ "สวย" และ "โลกสวย" เกินจริง "ไม่ทันคน" ทำให้คนอื่นๆต้องตกอยู่ในสถาณการณ์ลำบาก
    - คุณป้าผมบ๊อบที่ "ร่างกายอ่อนแอ" แค่ยืนยังแทบไม่ไหว "เชื่องช้า" ล้มระหว่างหนีซอมบี้ "ต้องได้รับการช่วยเหลือ" ทำให้คนอื่นๆเกือบไม่รอด
    - คุณป้าผมหยิกตัวจี๊ดที่ "โลกหมุนรอบตัวเอง" ใช้แต่ความรู้สึกและความคิดของตัวเองเป็นหลัก "ไม่สามารถพึ่งพาได้" ไม่สามารถช่วยเหลือน้องสาวที่อยู่อีกฝั่งของประตูได้เลย "เห็นแก่ตัว" และ "ไร้เหตุผล" อยู่ๆก็ปล่อยทัพซอมบี้บุกชาวบ้านเพราะเหตุผลของตัวเองล้วนๆ

    มีบางจุดที่ตัวละครหญิงแสดงออกถึงทักษะบ้าง เช่น ผู้หญิงท้องที่มีสติ ช่วยปิดกระดาษบังตาซอมบี้ และลูกสาวพระเอกที่แสดงสถานะว่ายังเป็นมนุษย์อยู่นะ จากการร้องเพลง (ที่ก็ไม่รู้ว่าที่มึงร้องเพลงนี่คือมีไหวพริบหรือแค่ร้องไว้อาลัยให้พ่อ) แต่เมื่อเทียบในภาพรวมแล้วก็แทบไม่ได้ต่างจากเดิม

    และด้วยเหตุใดไม่อาจทราบ ที่สภาวะทางกายภาพของตัวละครหญิงทั้งหมด นั้นถูกสร้างให้ด้อยกว่าปกติทั้งสิ้น เช่น เป็นผู้เยาว์, ตั้งครรภ์, อยู่ในช่วงวัยรุ่นและ เป็นผู้สูงอายุ ถึง 2 คน แต่ตัวละครชายในเรื่องนั้นล้วนแข็งแรงและสุขภาพดี

    และที่น่าขำที่สุด ก็คือการที่เพศชายครอบครองเส้นเรื่องทั้งหมดไม่พอ ยังอาสารับภาระเป็นฮีโร่ สละชีพปกป้องคนที่รักส่งไม้ต่อให้กับเพศหญิง, ผู้เป็นที่รัก ผู้ที่ต้องได้รับการปกป้อง ผู้โชคดีในการรอดชีวิต, นั้นมันช่างเสียดสีสังคมดีเหลือเกิน

    ลองกลับมามองในมุมตัวละครหญิงบ้าง ... เป็นเราคง งง เพราะทั้งเรื่องโดนลากไป ลากมา วิ่งตามหลังเค้าทั้งเรื่อง ไม่ได้ร่วมตัดสินใจอะไรสักอย่าง แล้วสุดท้ายเหล่าผู้นำทั้งหลาย ตายเรียบ ซึ่งตายด้วยความแบบเกียรติ และศักดิ์ศรีนะ แถมยังได้บู๊แหลก ได้ตัดสินใจ ได้ "ใช้ชีวิต" เต็มที่ ... ส่วนของผู้รอดชีวิตนั้น ก็รอดมาแบบ งงๆ ไม่มีเกียรติ หรือความกล้าอะไรเลย ไม่รู้จะภูมิใจกับอะไรในการที่สามารถรอดมาถึงตรงนี้ เพราะเท่าที่ดูมีคนตายแทนเราเยอะมาก

    เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดที่เราจะเป็นหรือตาย ก็ตามบุญ ตามกรรม(ของผู้ชาย) ไร้ซึ่งบทบาทในการตัดสินใจเหนือชีวิตของเราเอง *ขำแรง* 

    ในตอนจบ ถ้าหากทหารตัดสินใจยิงผู้หญิงท้องกับเด็ก เรื่องนี้อาจจะขึ้นหิ้งไปเลย ... แต่ด้วยการจบในรูปแบบที่ยัง "ใจดี" ให้พื้นที่เพศหญิงในบทบาทผู้รอดชีวิตนั้นก็ไม่ต่างจากที่สังคมนั้นจำกัดให้เพศหญิง เป็นเพศที่ อ่อนแอ จะต้องได้รับการปกป้อง ต้องได้รับความรัก ซึ่งก็จะพ่วงมาด้วย "หน้าที่" การเป็นเพศหญิงในอุดมคติ

    ต่างจากเรื่อง World War Z (2013) ที่มีพื้นที่สำหรับทหารหญิงที่ "กล้าหาญ" เข้าช่วยเหลือแบรด พิตต์และยอมถูกตัดแขนที่ถูกซอมบี้กัดแบบสดๆ ป้องกันการติดเชื้อ หรือแม้แต่หนังซอมบี้รุ่นดึก อีกหลายเรื่องที่แสดงให้เห็นว่าเพศหญิงนั้นก็เป็น"คน"เช่นกัน มีดี มีชั่ว ทั้งยังสามารถดูแลตัวเองได้ มีไหวพริบได้ เป็นตัวของตัวเองและกล้าหาญได้ ไม่ต่างจากเพศชาย

                 คำบรรยายใต้ภาพ : ลูกสาวของพระเอกที่เป็นเพียง Prop ในการถ่ายรูปอย่างแท้จริง ... 

    สุดท้ายแล้ว Train to Busan นั้นถือว่าไม่ได้มีรสชาติสดใหม่ 
    แต่เรียกว่าเป็น Movie Porn ของคอหนัง ก็คงจะได้ 
    ในเมื่อสั่งพิเศษ เพิ่มเส้น เพิ่มเครื่องใน เพิ่มไข่ดาวสุกๆ ด้วยขนาดนี้ ... ถ้าไม่ฟิน ไม่รู้จะว่าไงแล้ว


    [รีวิว:Review] Train to Busan (2016) : B
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in