เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ดูแล้วอยากบอกต่อthefirstofmine
Silence: ในความเงียบงัน ข้าพเจ้าได้ยินเสียงพระองค์
  • August 16, 2017




    พอดีว่าวันนี้ได้บัตรรอบสื่อมาจากเพจ Kimkana Magazine ก็เลยได้ไปดูรอบสื่อของหนังเรื่อง Silence ที่ได้ Andrew Garfield, Adam Driver, Liam Neeson นำแสดง



    เรื่องราวของ Silence มันเกี่ยวกับศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เน้นไปถึงการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของมิชชันนารีคณะเยซูอิต ของสเปน ในญี่ปุ่น ซึ่งตอนนั้นทางญี่ปุ่นกำลังกวาดต้อน ไล่ล่าให้ชาวคริสต์ทิ้งศรัทธาของตน



    ในเรื่องนี้จะมีเมนชั่นถึงนักบุญฟรังซีสเซเวียร์ มิชชันนารีคณะเยซูอิต ของสเปน ที่มาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในแถบเอเชีีย และสิ้นใจที่ประเทศจีน ขณะเดินทางไปรอเรือเพื่อลักลอบเข้าญี่ปุ่น




    สำหรับเรา เรื่องนี้เน้นการทดลองใจ และการท้าทายความเชื่อเป็นอย่างมาก ตัวหนัง 2 ชั่วโมง 41 นาที ทำให้เราค่อยๆ เพิ่มความกดดันเข้าไปเรื่อยๆ ไม่ใช่กดดันในการนั่งดูนะ แต่จะกดดันในส่วนของการตัดสินใจ ซึ่งถ้าตัวเราเองมองเข้าไปและแทนตัวเองเข้าไปในตัวเอกนั้น เราจะทำยังไง 





    มันไม่ได้แค่พล่ามเรื่องศาสนาคริสต์ และการเผยแผ่ศาสนาคริสต์อย่างเดียว แต่มันยังบอกให้เรารู้ว่าเราควรจะทำยังไงต่อไปในสถานการณ์นั้นๆ ที่จำเป็นต้องเผชิญหน้า





    การเล่นกับความเงียบ เป็นอะไรที่โคตรกดดันเลย มันเงียบจนกระทั่งได้ยินเสียงแอร์ บางครั้งความเงียบทำให้เรารู้สึกกระวนกระวายไปกับมันอีกด้วย ช่วงแรกๆ จะมีการใช้หมอกเป็นตัวตัด เราค่อนข้างชอบเลยนะ หลังๆ มาเหมือนจะใช้ความเงียบเป็นหลักนี่แหละ







    ตัวละครหลักคือ Andrew Garfield ที่รับบทเป็น Father Sebastian Rodrigues มิชชันนารี คณะเยซูอิต เน้นหลักๆ ที่ตัวของ Rodrigues เลย ทุกๆ การกระทำ ทุกๆ การตัดสินใจ เขาต้องเป็นคนเลือก 





    บทของ Adam Driver เป็น Father Francisco Garupe และ Liam Neeson เป็น Ferreira ทั้งสองคนเป็นตัวละครที่แม้จะไม่ใช่ตัวละครหลัก แต่เป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญ ที่ทำให้ตัวของ Father Rodrigues เลือก ตัดสินใจ และกระทำสิ่งใดๆ ลงไป 





    แม้การดำเนินเรื่องเหมือนจะข้างนิ่งๆ แต่มันยังมีจุดที่ทำให้กดดัน ลุ้น และคิดตามอยู่เสมอ โดยรวมคือค่อนข้างชอบเรื่องนี้เลยล่ะ




    หนังเรื่องนี้ Pope Francis เองก็ไปดูด้วยนะ 




    ใครคิดจะดู แนะนำให้ดูเลยยยยย












  • คราวนี้มาพูดในฐานะของชาวคริสต์กันบ้างดีกว่า



    เรื่องนี้ทำออกมาได้ดีพอควรเลยล่ะ มันแสดงให้เราเห็นถึงการกดขี่ การแบ่งแยก การไล่ล่าคริสตชนในสมัยนั้น ซึ่งมันไม่น่าจะเกินความจริงหรอก เพราะในสมัยนั้นทุกอย่างต้องมีการหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนในไทยเหมือนกัน จึงทำให้เกิดเรื่องราวของเหล่ามรณสักขีที่สองคอนเกิดขึ้น


    การลองใจจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และเป็นสิ่งที่อยู่ในใจ การกระทำด้วยความจำเป็น มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราเต็มใจทำก็ได้ 



    บาางครั้งการปรับเปลี่ยนวิธีการ เพื่อสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายนั้น ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องผิด


    แม้เราจะไม่ได้ยินเสียงจากพระ เราก็ยังคงรับรู้ได้เสมอ














    ในความเงียบงัน ข้าพเจ้าได้ยินเสียงพระองค์










เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in