เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[#SunshineOfMartinIsyou #RabbitAnnaIsMine] It's my life.milan_loveless
3 Powerful :: (Ep.1) Breakfast and Mission

  • __________________________________

    3 Powerful :: ( Ep.1 ) Breakfast and Mission
                       
    Writer :: Milan_loveless
    Paring :: #SunshineOfMartinIsYou
                 #RabbitAnnaIsMine
    Rate :: 13 +
    Note ::


    - พูดไรดีอ่ะ ลืมสคริปแล้ว

    - วันที่ 1 แล้ว โอเค  HNY พี่ใหญ่ พี่รองอีกครั้งนะ



    __________________________________


    แอนนา เชสเซียร์ คิดว่าผู้หญิงคนนั้นประหลาด หลังจากที่เธอพาอีกฝ่ายมาถึงห้องครัว ถ้าไม่ชอบก็บอกไม่ชอบก็จบแล้วมั้ง ทำไมต้องทำหน้าทำตาประหนึ่งหวาดกลัวไรแบบนั้นด้วย ไม่เข้าใจจริงๆ สิ่งที่เธอขอก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ คอขาดบาดตายอะไรด้วย..


    ก็แค่ทอดไข่ดาว…


    หลังจากจัดการหันวัตถุดิบสำหรับไว้มื้ออาหารกลางวันแล้ว ที่จริงขอความช่วยเหลือก็เหมือนไม่ขอ สุดท้ายเธอก็ต้องทอดไข่เป็นอาหารเช้าเองคนเดียวแบบเดิมอยู่ดี วันนี้มีคนเปิดห้องพักใหม่ถึงสามห้องในอพาร์ทเม้นท์ก็เลยแค่จะทำอาหารเช้าไว้เลี้ยงพวกเขาที่เห็นบอกว่าจะมาถึงในตอนเช้านั้นเอง


    แอนนาเหมือนผู้ดูแล อือ ก็ไม่ผิดหรอก เป็นน้องสาวที่ดูแลสถานที่ให้กับพี่ชายที่กำลังไปเที่ยวนอกประเทศ หญิงสาวค่อยๆตักไข่ดาวที่สุกขึ้นมาจากกระทะวางใส่ในจานจัดเรียงจานแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเรียกดังขึ้นมา


    “ขอโทษนะครับ! พอดียามบอกว่าผู้ดูแลอยู่ที่นี้”


    อาจเป็นแขกที่เข้ามาพักอาศัยใหม่สามคนก็ได้ แอนนาคิดก่อนจะเดินออกไปต้อนรับ เธอมองเห็นผู้ชายสองคน และ ผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคน.. รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา จนเผลออุทานออกมา “อ้าว คุณ?”เมื่อมองตรงไปร่างของผู้หญิงที่เดินตามหลังชายสองคนมา


    เอมิลสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มาจากผู้หญิงตรงหน้า เธออาจโกรธที่โดนวิ่งหนีใส่โดยไม่รู้เรื่องราวอะไรก็เป็นได้ แค่สองคนข้างหน้าที่มีรังสีอาฆาตแค้นออกมาตั้งแต่ที่เอมิลเข้าไปห้ามทัพแล้ว อืม ช่างแม่งมันเถอะ โตแล้ว ใครแคร์ แต่อาจเพราะสายตาสามคู่ หกตามองมา ทำให้เธอกระแอ่มไอดัง ก่อนจะโต้ตอบกลับ “ค่ะ สวัสดีอีกครั้งนะคะ…”


    ยิ้มสู้เสือมากจ๊ะ จุดๆนี้ “คือเมื่อกี้มีปัญหานิดหน่อยยังไงก็ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้งนะคะ!”ว่าแล้วยกมือขึ้นมาตะเบ๊ะทำท่าเหมือนทหารแล้วส่งเสียงหัวเราะออกมาเริงร่า แอนนามองก่อนจะถอนหายใจเหนื่อยๆแล้วเริ่มแนะนำตัวของตัวเองให้กับซันนี่และมาร์ตินที่นิ่งเงียบกันอยู่สองคน


    “ฉันแอนนาค่ะ เป็นผู้ดูแลหอนี้ชั่วคราว ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้นักนะคะ มีอะไรขาดเหลือก็ลงมาชี้แจงหรือโทรเข้ามาได้ตลอดตามเบอร์ที่ติดต่อเรื่องหอพักเข้ามาได้เลยค่ะ”แอนนาส่งรอยยิ้มหวานเป็นมิตรให้ “ยังไงทานข้าวเช้าพูดคุยกันก่อน แล้วค่อยเอาของไปเก็บในห้องดีไหมคะ?”


    “ดีสิ! ดี! เนอะ พี่ซันนี่! พี่มาร์ติน!”เอมิลเห็นด้วย พลางหันไปเรียกชื่อของคนอายุมากกว่าตนถึงสองคนเชื้อชวน คนสวมเสื้อกาวน์ขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆออกมา


    “ไม่ล่ะ”เขาส่ายหัวหน่ายๆ “พอดีอยากจะพักผ่อนหน่อย”


    คำพูดนั้นเรียกเสียงเดาะลิ้นออกมาจากเจ้าของผมสีทองสว่าง แววตาของซันนี่ที่มองมาร์ตินเหมือนเหยียดหยามอะไรบางอย่างในตัวของคนเป็นหมอ “โอ๊ะโอ..” มาร์ตินที่คิดจะเดินออกไปหยึดฝีเท้าของตัวเองหันขวับกลับมามองแต่ไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งซันนี่พูดอีกครั้ง พูดออกมาคล้ายล้อเลียนคำพูดของมาร์ตินเมื่อครู่ “พอดีอยากจะพักผ่อนนิดหน่อย”


    มาร์ตินไม่ได้โต้ตอบกลับไป หากแต่หันไปหาผู้ดูแลหอชั่วคราว “มื้อนี้รบกวนด้วยนะครับ”


    แอนนายิ้มให้แหย่ๆ รู้สึกหนาวๆขนลุกกับการฟาดฟันของสองหนุ่มตรงหน้าอย่างไรอย่างงั้น

    อาหารเช้าเป็นไข่ดาว ขนมปัง ไส้กรอก เบคอนทอด พร้อมด้วยผักสลัดจัดในจานอย่างสวยงาม พอเห็นไข่ดาวแล้วเอมิลก็รู้สึกผิดขึ้นมาเลย หญิงสาวใช้ส้อมตักไส้กรอกขึ้นมาแล้วเคี้ยวกลืนลงคอไปเป็นอาหารเช้าก่อนจะกินอย่างอื่นตามไป


    บนโต๊ะอาหารไม่ได้มีบทสนทนาใดระหว่างสามคน แอนนาขอตัวเดินออกไปเพื่อไปจัดการงานอื่นๆต่อ พลางบอกและกระชับทั้งสามคนว่า กุญแจห้องพักอยู่ในลิ้นชักชั้นสองของตู้


    บรรยากาศที่เงียบเกินไป ทำให้เอมิลเป็นฝ่ายเริ่มเปิดบทสนทนาอีกแล้ว…


    “พี่เป็นหมอเหรอคะ?”ถามมาร์ตินที่ดูจะเข้าถึงยากเป็นลำดับแรก มาร์ตินปรายตาขึ้นมามอง ก่อนจะโต้กลับด้วยถ้อยคำที่ทำให้เจ็บไปถึงขั้วหัวใจ ยิ่งกว่าถูกตบหน้ากลางสี่แยก


    “พี่ไม่ชอบพูดตอนกำลังกินครับ ถ้ามีอะไรค่อยพูดตอนทานเสร็จ”


    เจ็บจึ้กไปถึงขั้วหัวใจ หน้าชาเลยไหมล่ะ


    .




    .




    .






    .




    .


    ซันนี่หยิบกุญแจหนึ่งในสามสุ่มๆขึ้นมาไม่ได้สนใจ เขาเดินออกมาอยู่หน้าที่พัก ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบมวนบุหรี่ออกมา ก่อนจะกดไฟแช็กให้เป็นไฟขึ้นมาลนบุหรี่ นิ้วมือของซันนี่คีบบุหรี่ไว้อย่างงั้น ก่อนจะยกขึ้นมาสูบตามปกติ เขาเก็บไฟแช็กและกล่องบุหรี่กลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อตัวเอง


    พ่นลมมันออกมา ขณะเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงตาสองสีตามแบบฉบับคนเป็น old eye นิ่งเรียบสนิท สีฟ้าและสีอำพันคนละข้างดูเป็นจุดเด่นเกินไปจนซันนี่รู้สึกคลื่นไส้ เขาเกลียดมันจริงๆ แม้ว่าเวอร์จิเนียจะชื่นชมมันมากมายก็เถอะ


    “สูบอีกแล้วเหรอครับ?”


    น้ำเสียงนิ่งๆแต่น่ารำคาญกวนประสาทเอ่ยจากอีกฝั่ง คนสูบบุหรี่อยู่เงียบๆคนเดียวขมวดคิ้วขึ้นแบบรำคาญในความยุ่งวุ่นวายจนเก็บสีหน้าออกมาอย่างไม่เป็นมิตร ริมฝีปากขยับด่าออกมา “ยุ่ง”


    คนเป็นหมอส่งเสียงหัวเราะในลำคอสวนกลับมา พลางส่ายหน้าหน่ายๆ “จะว่าอะไรไหม ถ้าผมอยากจะสูบด้วยน่ะ”ซันนี่หันมองคนหน้านิ่งที่เดินเข้ามาเอนตังพิงกำแพงข้างเขา ดวงตาสองสีมองก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบกล่องบุหรี่ออกมาโยนให้คนเป็นหมอรับ


    มาร์ตินรับตามสัญชาตญาณ หยิบบุหรี่ออกมาจากกล่อง แล้วส่งคืน เจ้าตัวน่าจะมีไฟแช็กของตัวเองจึงไม่ได้ขอออกมา ซึ่งก็มีจริงๆ นัยน์ตาสีมรกตเข้มเข้ากับเรือนผมสีดำเงางามสนิทหลับตาลง สูบข้างๆ ก่อนที่จะเริ่มเอ่ยบทสนทนาออกมา


    “คุณรู้ไหมว่าในบุหรี่มีสารเคมีถึงสี่พันชนิด”


    “เหอะ”ซันนี่เดาะลิ้นอีกครั้ง “อย่าคิดอวดภูมิหน่อยเลย โฮลเดอร์ หมอที่บอกโทษของมันแต่สูบเองเนี่ย ฟังแล้วตลกชะมัด”พูดแล้วส่ายหัวด้วยความหมั่นไส้ลึกๆในใจ


    ท้องฟ้ายามเช้าออกสีเทาไม่ได้สดใสสวยเสียเท่าไร คงไม่แปลกสำหรับอากาศในหน้าหนาวเสียเท่าไร


    มาร์ตินมองคนที่สูบหมดมวน ก่อนจะตอบคำพูดของคนอายุมากกว่า “ก็ไม่เท่าไรครับ.. ผมน่ะ ไม่ได้สูบเป็นประจำแบบคุณหรอก”ดวงตาสีมรกตหลุบตาลง “นับครั้งได้นี่ก็ครั้งที่สามในชีวิตเองมั้ง”


    ซันนี่ทิ้งบุหรี่ตรงที่เขี่ยบุหรี่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา


    .




    .




    .





    .


    เริ่มพลบค่ำแล้ว เอมิลหยิบโทรศัพท์ที่สว่างวาบขึ้นมาเพราะข้อความเข้าของตัวเองขึ้นมาอ่าน เป็นข้อความที่เด้งขึ้นมาจากกลุ่มที่เบื้องบนจะออกคำสั่งภารกิจให้ไปทำพร้อมกัน


    ‘ขบวนการค้ามนุษย์ที่แหกคุกออกมาเมื่อสองปีก่อนที่รัฐบาลพยายามเก็บข่าวเอาไว้ตอนนี้พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ในอีกสามวันข้างหน้าพวกมันจะขนส่งมนุษย์ผ่านทางท่าเรือ’


    ‘เป้าหมายคือ ‘ฆ่า’ นักโทษ และ ‘ช่วยเหลือ’ ตัวประกันให้หมด’


    เอมิลสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ใช่ว่าไม่เคยฆ่าคน เพียงแต่แค่ไม่เคยต้องออกไปทำร่วมกับคนอื่นเลย ดูก็รู้แล้วจากเหตุการณ์ในวันนี้ ไม่น่าจะเข้ากันได้เลย

    พูดแล้วก็ฟุ่บหัวลงกับหมอน ยิ่งกว่าน้องหมาหงอย


    แต่ไม่ทันไรเธอก็เด้งตัวเองขึ้นมาจากเตียงตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเองในห้อง เอมิลหยิบปืนสีเงินออกมาก่อนจะเก็บมันไว้แบบเดิม หลานสาวของนักฆ่าชื่อดัง และ มีศักดิ์เป็นทายาทลำดับโตที่สุดของมหาอำนาจในตระกูลออร์กาเน่กำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย ข้อความในโทรศัพท์ก็เด้งเข้ามาให้เห็นอีกครั้ง


    ‘ผมสามารถไปที่นั้นได้เลยใช่ไหม?’


    ‘แน่นอนครับ คุณดิวาน่า แต่รักษาชีวิตไว้ให้ดีด้วยนะครับ :  )’


    บ้าเหรอ..


    นี่ซันนี่เขาจะลงมือตั้งแต่คืนนี้เลยรึไง เอมิลกดมองแผนที่ที่ถูกส่งเข้ามาในกลุ่มจากเบื้องบน เธอเม้มปากแน่นอย่างไม่เข้าใจอละประหลาดใจในเวลาเดียวกันที่มันอยู่ห่างจากที่นี้ออกไปแค่สองสามเมือง


    ร่างของเธอลุกขึ้นเปิดประตูห้องออกไป “จะบ้ารึยังไงคะ ไปตอนนี้เลยเนี่ยเหรอ?”


    ซันนี่หันมาทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะอธิบายด้วยสงสารในหัวสมองอันน้อยนิดของคนอายุน้อยกว่าที่อยู่ๆก็เปิดประตูพุ่งออกมาตอนที่เขากำลังจะเดินลงบันได “คำว่าสามวันมันไม่ได้นานมากหรอกนะ” ตาสองสีของเขาแพรวพราว “แต่มันหมายความว่าสามวัน ไอ้พวกสวะนั้นจะทำทุกอย่างสำเร็จต่างหาก”


    เขาสอนเธอแบบที่เขารู้และมีประสบการณ์มาตลอด ทำให้ซันนี่เหมือนเห็นภาพของตัวเองที่ถูกเวอร์จิเนียเคยพาออกไปทำภารกิจด้วย เอมิลเงียบ อาจเพราะเป็นเด็กผู้หญิง.. อ่อนแอ อ่อนต่อโลกล่ะมั้ง เธอจึงเดินกลับเข้าห้องของเธอไปอย่างรวดเร็ว


    ภารกิจแรกดูเหมือนซันนี่คงต้องทำคนเดียวแล้วล่ะมั้ง ไอ้มาร์ตินนั่นก็ยังไม่โผล่หัวออกมาให้เห็น ส่วนหลานสาวของคาร์ล ออร์กาเน่ก็หนีเข้าห้องไปแล้ว


    ไม่ว่าหน้าไหนก็เหมือนกันหมด


    แต่ก็ดี


    เขาไม่อยากให้ใครมาขัดแข้งขัดขาการทำงานของเขาหรอกนะ ปกติเขาก็ทำงานคนเดียวมาตลอดอยู่แล้ว ความคิด อุดมการณ์ ประสบการณ์มีมากกว่าใครที่อยู่ในวงการนี้มานานมากด้วยซ้ำ


    แต่วงการนี้อยู่ไม่ได้หรอกนะ ถ้าคุณไม่มีพวก


    แต่ถ้ามีพวกแล้วเป็นแค่ขยะจะมีไปทำไมว่าไหม?


    ซันนี่คิดในใจขณะที่กำลังเดินลงจากบันไดมา เขาเดินมาจนสุดขั้นบันได ก่อนจะก้าวต่อไปนอกอาคารสถาน ดวงตาสองสีมองผ่านความมืดของยามพลบค่ำ แสงไฟของทางเริ่มสว่างจ้าขึ้นมา รถแท็กซี่ที่ตัวเองโทรเรียกติดต่อเอาไว้มารออยู่ข้างหน้าแล้ว


    ซันนี่เข้าไปคุยกับคนขับสองสามประโยค ตกลงเรื่องการเดินทาง และ ราคาเงินค่าจ้างโดยสารอย่างปกติ


    แต่ก่อนจะได้ไปเพียงคนเดียว เสียงเรียกจากข้างหลังดังออกมา พร้อม


    “พี่ซันนี่คะ!!!!”


    เขาหันขวับไปมอง ผู้หญิงอายุน้อยกว่าที่เปลี่ยนชุดและสะพายกระเป๋าเป้เดินออกมา เธอหอบอาจเพราะเร่งฝีเท้าในการวิ่งลงบันไดมาก็เป็นได้


    “คือ..”


    “ประหยัดพลังงานลดมลภาวะ ! ไปทางเดียวกันคันเดียวกันไง!”


    เอมิลพูดด้วยความรัวลิ้นที่แทบจะพันกันไม่ได้ศัพท์แต่ซันนี่ฟังมันทัน เจ้าของตาสองสีเงียบมองเจ้าของตาสีน้ำตาลเฮเซลที่ดูมุ่งมั่น เขาหยักไหล่ ก่อนจะพยักเพยิดขยับที่ให้เธอ “ผู้หญิงเชิญนั่งก่อนสิ”


    คนถูกเชิญยิ้มให้ก่อนจะเข้าไปนั่งตามที่บอก


    เดินทางสู่ภารกิจแรก...





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in