เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[#SunshineOfMartinIsyou #RabbitAnnaIsMine] It's my life.milan_loveless
3 Powerful :: (Intro) Everything starts from zero.


  • __________________________________


    3 Powerful :: ( Intro ) Everything starts from zero.
                        
    Writer :: Milan_loveless
    Paring :: #SunshineOfMartinIsYou
                  #RabbitAnnaIsMine
    Rate :: 13 +
    Note ::


    -ไม่ได้เขียนนานมากแล้ว ภาษาดูเพี้ยนยังไงก็ให้อภัยกันด้วยรักนะ

    -อีกชั่วโมงปี 2018 โอเค แฮปปี้นิวเยียร์ รักพี่ใหญ่ พี่รองมากนะ



    __________________________________


    โต๊ะทรงกลมขนาดใหญ่สีดำ เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารที่วางเอาไว้ เก้าอี้แต่ละตัวถูกจับจองด้วยตัวแทนเบื้องบนและขั้วอำนาจของวงการในแต่ละตัว บรรยากาศทะมึนตึงเครียดที่แผ่ออกมาจากร่างของแต่ละคนอาจทำให้คนที่รับแรงกดดันไม่ไหวอาจเวียนจนรู้สึกอาเจียนสำรอกอาหารออกมาเป็นแน่แท้

    หญิงสาวสวยงามประจำโต๊ะเป็นคนแรกที่เอ่ยบทสนทนาออกมาท่ามกลางความตึงเครียด อดีตมหาอำนาจหญิงเพียงหนึ่งเดียวของโต๊ะ ปรายตาไปสบตากับสายตาที่มองมาของแต่ละบุคคลที่นั่งหันซ้ายหันขวามองกันอยู่ "แหม..บรรยากาศไม่ค่อยจะดีเลยนะคะ"เธอว่าพลางยกมือขึ้นหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบช้าๆ "ไม่ทราบว่าเบื้องบนที่เรียกพวกเรามาต้องการอะไรกันเหรอคะ? คงไม่ใช่ให้เรามานั่งดื่มชา สบายใจเฉิบฆ่าเวลาไปเรื่อยๆหรอกใช่ไหมคะ?"

    เธอยิ่งคำถามออกมา ทำเอาเบื้องบนรู้สึกขนลุกขณะฟังเสียงหวานๆเอ่ย เขาพยายามตั้งสติไม่หลงหรือหวาดกลัวไปกับคำพูดของหญิงงาม "เบื้องบนส่งให้ผมมาพูดเรื่องของทายาทของพวกคุณ...เขาบอกว่าทายาทของพวกคุณสามคนมันไม่ได้เรื่อง และ คอยเอาแต่จะสร้างปัญหา--"

    ตึ่ง!

    "หลานสาวผมผิดอะไรงั้นเหรอ?"ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มเอ่ยขึ้นมา เรียกเสียงสาวสวยดังขึ้นมาอย่างมีจริตมองไปยังอีกหนึ่งในสามมหาขั้วอำนาจของวงการ

    "โอ๊ะโอ.."

    "เปล่านะครับ ผมไม่ได้หมายถึงหลานสาวท่านเลยจริงๆนะครับ!"

    "อ้าว..งั้นจะบอกว่าลูกชายของฉัน ซันนี่ทำอะไรผิดไปเหรอคะ?"หญิงงามคนเดิมเอ่ยโดยการยกลูกชายของตนขึ้นมาตั้งคำถามใส่ตัวแทนตรงหน้า "หรือจะบอกว่าไม่ใช่ทั้งลูกชายฉันและหลานสาวของคุณออร์กาเน่ หรือ จะหมายถึงลูกชายของคุณโฮลเดอร์กันล่ะค่ะ"หญิงสาวโยนประเด็นไปให้อีกสองขั้วมหาอำนาจอย่างรู้งาน

    ผู้อาวุโสที่สุดกำลังควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ก็รู้อยู่หรอกว่าหลานสาวของตนห่างไกลกับคำว่า 'สมบูรณ์'มากมาไกลโข

    ขณะเดียวกันบุคคลที่เงียบที่สุดของโต๊ะก็เริ่มเอ่ยปากออกมาบ้างคล้ายเบื่อหน่าย "แล้วอะไรคือมาตราฐานที่พวกคุณบอกสมบูรณ์กันครับ ลูกชายของผมอย่างมาร์ตินก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร"จบประโยคก็แสยะยิ้ม "ไหนล่ะ ปัญหาที่คุณบอก? หรือ เบื้องบนจะลืมไปแล้วว่าอย่าให้พวกเราที่นั่งอยู่กันตรงนี้ รู้สึกถูกบีบบังคับ"

    คนที่กดดันที่สุดในโต๊ะคงเป็นบุคคลที่เรียกตัวเองว่าตัวแทนที่เบื้องบนส่งมาเป็นแน่แท้ ตอนนี้เขารู้สึกร้อนเหงื่อแตกไม่หยุด แม้แต่เครื่องปรับอากาศของห้องก็ดูไม่ช่วยอะไรเลย แต่อีกฝ่ายกลับเปิดแฟ้มเอกสารตรงหน้าของตัวเอง พร้อมอธิบายเนื้อความในกระดาษเก่าๆที่บันทึกด้วยหมึกปากกาสีน้ำเงินเข้มตวัดๆ

    "นี่เป็นสัญญาของผู้นำรุ่นของเบื้องบนและสามมหาขั้วอำนาจฉบับเก่าแก่ที่พวกเราพึ่งทำการหาเจอครับ..."

    "เนื้อความเป็นเนื้อหาคำสัญญาที่ว่าสามมหาอำนาจทุกคนจะต้องถูกทดสอบ แต่เนื่องด้วยบันทึกนี้หายไปเป็นเวลานานแล้ว การจะไล่กลับมาทดสอบทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้ จึงต้องทดสอบจากทายาทคนปัจจุบันในตอนนี้"

    หญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มพยักหน้ารับฟังเป็นสัญญาณให้เขาพูดต่อ

    "ทายาทคนปัจจุบันนับจากศักดิ์ของลูกหรือหลานคนที่โตที่สุด ในตอนนี้ก็คือ.."

    "ซันนี่ ดิวาน่า , มาร์ติน โฮลเดอร์ และ เอมิล ออร์กาเน่ สินะคะ?"

    คนถูกถามพยักหน้ารับ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ "เบื้องบนมีความเห็นว่าจะจับทั้งสามคนให้ไปอยู่ในอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งปีครับ.. เพื่อควบคุมความประพฤติว่าหลังจากที่พวกเขาได้รับตำแหน่งอย่างเต็มตัว พวกเขาจะให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตของคนธรรมดา ไม่มองคนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องเป็นของเล่น ใส่ใจในภารกิจ พร้อมกับหน้าที่ในเวลาเดียวกัน"

    "ที่จะพูดแค่นี้ใช่ไหม?"คนอาวุโสที่สุดถาม พลางลุกขึ้นยืน ตัวแทนทำได้แค่ยิ้มสู้เสือพยักหน้ารับในคำพูด

    "ครับ...แต่เบื้องบนและผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกคุณจะรักษาคำพูดของตระกูลตัวเองที่ลงนามสัญญายินยอมในใบนี้...."

    ปัง

    เสียงแน่นๆดังออกมา แหวกอากาศพุ่งตรงไปยังหน้าผาก หญิงสาวเช็ดปืนของตัวเองพร้อมลุกขึ้นอย่างไม่คิดอะไร ดวงตาของเธอไม่ได้แพรวพราวแบบคราแรก หากแต่ดูไร้ชีวิตไปเลย

    เธอยิ้มออกมาเบาๆ

    "พวกเบื้องบนนี่น่าเบื่อนะคะ.."หันไปถามผู้อาวุโสและอีกหนึ่งมหาอำนาจที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด "ทำเป็นพูดว่าพวกเราอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ที่จริงจะหวังฮุบอำนาจทั้งหมดมาไว้ในมือ"

    "ก็เป็นงี้ตั้งแต่ที่เราสองคนรับตำแหน่งมาแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ? เวอร์จิเนีย"หนุ่มแว่นถามออกไปขณะที่เก็บแฟ้มของตัวเองขึ้นมาจากโต๊ะ เวอร์จิเนีย ดิวาน่าส่ายหัวหน่ายๆ

    คนอาวุโสที่สุดและพอเป็นรุ่นพ่อของสองคนในห้องอย่าง คาร์ล ออร์กาเน่ มองสองมหาขั้วอำนาจที่จะกลายเป็นอดีตเหมือนเขาทั้งคู่เริ่มพูดออกมาบ้าง "ยังยิงดีและแม่นเป้าเหมือนเดิมนะ เวอร์จิเนีย"

    คนถูกชมหัวเราะร่วน "แน่นอนค่ะ ปู่คาร์ล"

    บรรยากาศไม่ได้ตึงเครียดเหมือนแรกเริ่ม อาจเพราะขั้วมหาอำนาจทั้งสามต่างทำงานร่วมกันยาวนานตั้งแต่สิบหรือยี่สิบปี พวกเขาคานอำนาจกัน หากแต่เบื้องบนต่างหากที่พยายามจะแทรกแซงระบบ เวอร์จิเนียจับมือกับคาร์ล

    ก่อนจะหันไปกอดกับ ซิลเวอร์ โฮลเดอร์ ถึงมิตรภาพ

    "ปู่คาร์ลจะทำยังไงต่อไปครับ?"ซิลเวอร์ถามออกมา ชายอายุมากถอนหายใจ

    "ที่จริงทำตามเงื่อนไขก็ได้ ไม่มีปัญหา"พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบหากแต่แววตามีประกายบางอย่าง ประกายของนักล่าที่ยังไม่ถอดสัญชาตญาณออกไป

    "ก็คือทำเป็นยอมรับ และ ล่มระบบเบื้องบนออกไปใช่ไหมคะ?"

    "เท่ากับว่าพวกเราจะเป็นศัตรูกับนักฆ่าทั่วโลกทันทีสินะครับ.."ซิลเวอร์สรุป ทั้งสามคนต่างเห็นด้วยกับสิ่งเดียวกันจริงๆน่ะแหล่ะ เวอร์จิเนียหัวเราะร่วน

    "งั้นหนูคงต้องขอตัวก่อนล่ะค่ะ ยังไงไว้เจอกันในครั้งหน้านะคะ"

    หญิงสาวเพียงหนึ่งว่าแล้วก้าวเดินหนีออกนอกประตูไป ผู้อาวุโสและหนึ่งหนุ่มมองร่างของตัวแทนเบื้องบนที่ถูกส่งมาที่นอนแน่นิ่งกับพื้นตายสนิทเพราะกระสุนปืนที่ปลิดชีพไปแล้ว

    "เคลียร์ให้ด้วยนะ ซิลเวอร์"

    "แน่นอนครับ ผมจะส่งคนไปบอกเบื้องบนว่าเวอร์จิเนียเบื่อๆเลยเผลอยิงโดนเขาล่ะกัน"

    "แล้วก็...เห็นเครื่องบันทึกเสียงใช่ไหม?"

    "ครับ ไม่คิดว่าปู่จะสังเกตเหมือนกัน"ซิลเวอร์ยกยิ้มตอบรับที่มุมปาก

    .


    .


    .



    .



    .



    .



    .



    กระเป๋าเดินทางสีดำสนิทถูกลากมาอย่างช้าๆหยุดอยู่ที่หน้าสถานที่ทันทีที่ถึง หญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มปัดผมของตัวเองเงยขึ้นมามองสถานที่อีกครั้งและสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างตื่นๆ ปกติก็ไปเที่ยวไปค้างที่ไหนบ่อย แต่ไม่มีครั้งไหนที่รู้สึกโหวงเหวงเท่าครั้งนี้มาก่อน


    เสียงฝีเท้ากระทบพื้นทำให้หันไปมองตามสัญชาตญาณในตัว หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมส่งยิ้มแหย่ๆมาให้ เธอหอบเล็กน้อย ก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาเอมิล “ขอโทษนะคะ คือ ว่างอยู่รึเปล่า?”ไม่ทันที่เอมิลจะได้ตอบกลับว่าไม่ว่าง คนตรงหน้าก็จับข้อมือแล้วลากไปตามแรงเอาเสียแล้ว


    ดวงตาสีน้ำตาลเฮเซลกระพริบตาปริบๆถี่ๆมองสาวผมทองอย่างไม่เข้าใจ อีกฝ่ายลากเธอไปยังห้องที่ติดป้ายว่า ‘ห้องครัว’ เพียงแค่เห็นป้ายคนถูกลากก็พยายามออกแรงยื้อเอาไว้ จนสาวผมทองข้างหน้าหันมามอง แถมขมวดคิ้วใส่ “มาเถอะค่ะ ขอแรงช่วยนิดเดียวเอง!”


    “คือฉันไม่---”


    ไม่ทันขาดคำ แรงกระชากก็พาให้หลานสาวคนโตของหนึ่งในมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการนักฆ่าถูกดึงเข้าไปในห้องครัวที่มีอุปกรณ์ทำอาหารครบครันจัดเต็มชุดใหญ่ หญิงสาวผมทองหันมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอปล่อยมือออก เอมิลพยายามก้าวขาจะหนี หากแต่คนลากกลับไวกว่า


    “จะหนีไปไหนอีกล่ะคะ!?”เธอว่าอย่างหัวเสียอาจเพราะรีบหรืออะไรก็ตามแต่ ในมือมีตะหลิวและกระทะ “อยากจะให้ช่วยทอดไข่ดาวสักใบสองใบเองค่ะ!”


    ….อะไรนะ...ทะ ทอดไข่!?


    บ้าไปแล้ว เอมิลอยากจะบ้า คนตรงหน้าไม่รู้ถึงสกิลทำอาหารบันลือโลกของเธอเอาซะเลย พอคิดแล้วน้ำตาก็จะไหลออกมาเป็นสายเลือด แต่มือไม่รักดีก็รับตะหลิวและกระทะมา อีกฝ่ายหันไปสวมผ้ากันเปื้อนสีฟ้า รวบผมสีทองของตัวเองขึ้นมัดด้วยหนังยางแล้วหันไปทำอาหารต่อ


    เอมิล ออร์กาเน่ กำลังมีปัญหา… เธอทำอาหารไม่เป็น และ เมื่อครู่เธอถูกใช้ให้ทอดไข่ดาว..


    สงบสติอารมณ์ บอกตัวเองในใจว่าไม่มีใครทอดไข่ดาวได้แต่เกิด เพราะฉะนั้นใจเย็นๆช้าๆ วางกระทะลงไปตามที่เคยเห็นเพื่อนสาวคนสนิทอย่างมารี เพื่อนที่โรงเรียนก่อนจะถูกจับย้ายมาที่นี้ ที่พยายามสอนเอมิลทำอาหาร..

    “เร็วหน่อยนะคะ! พอดีว่าวันนี้จะมีคนมาเข้าพักใหม่ตั้งสามคนเลยทำอาหารเช้าไม่ทันเลยน่ะค่ะ!”คำพูดออกคำสั่งพร้อมกับเสียงสับผักสับเนื้อดังเป็นจังหวะทำให้เอมิลหวาดกลัวเบาๆ เธอหันไปมองเตาแก๊สที่ไม่ได้เปิดเอาไว้ พลางหันไปหาอีกคนที่กำลังสับๆอยู่แบบนั้น..ในใจเริ่มร่ำร้องว่าไม่


    ปู่ของเธอเคยบอกเอาไว้ หากชีวิตมาถึงจุดที่ต้องเลือกเส้นทางเอาตัวรอด จงหาทางเอาตัวรอด พอคิดได้ก็ทิ้งกระทะและตะหลิวในมือออกแรงพุ่งตัววิ่งติดสปีดในบัดดล ท่ามกลางความสงสัยของคนที่กำลังสับหมูสับผักอยู่ตรงนั้น


    .



    .



    .



    .



    .


    “ครบคนสักที”เสียงบ่นอุบอิบประชดประชันเหน็บแหนมดังออกมาจากผู้ชายผมทองสว่างเหมือนสีของดวงอาทิตย์ว่าออกมา พร้อมกับการพ่นควันบุหรี่ที่ตัวเองดูดอยู่ ทำเอาเอมิลถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดจมูกมองด้วยความไม่ชอบของคนอายุมากกว่าที่กำลังนั่ง เน้นว่านั่งอยู่บนกระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่ของเธอ ดวงตาของเขามองไปยังชายหนุ่มที่สวมชุดกาวน์เดินออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเป็นปกติ ไม่มีความตื่นเต้นและความหวาดหวั่นสะทกสะท้านกับคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อยนิด


    เอมิลเห็นซันนี่ ดิวาน่า มองบนใส่ มาร์ติน โฮลเดอร์ อย่างไมาเป็นมิตรเอาซะเลย และ เป็นอีกครั้งที่ซันนี่พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พ่อคุณชาย ไม่มาสักปีหน้าที่เขาทำสัญญาเสร็จเรียบร้อยไปเลยล่ะคร้บ”


    อ่า...ไม่ดีเลยเนอะ


    “ผมมาปีหน้าได้จริงๆใช่ไหมครับ?”คนถูกแซะกวนประสาทกลับด้วยใบหน้านิ่งๆมองคล้ายไม่ยอมแพ้ เอมิลรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในสงครามเย็นอย่างไรไม่รู้ “จะได้กลับเลย..”


    “กวนประสาทอยู่รึไง!”


    เกิดการกระชากคอเสื้อกันเกิดขึ้น หญิงสาวเพียงคนเดียว และ น่าจะเป็นคนอายุน้อยที่สุดกำลังมองซันนี่ที่กระชากคอเสื้อมาร์ตินเข้ามา หากแต่คนถูกกระชากไม่ได้มีท่าทีร้อนลนอะไร กลับกันกลับทำท่าทางสบายๆอีกด้วย “ก็แล้วแต่จะคิดน่ะครับ แต่ผมไม่ได้กวนประสาทคุณเหรอ คุณซันนี่”


    “แต่ตั้งใจเลยต่างหาก”


    “แก!”


    “หยุดกันเถอะค่ะะะะ!”


    พุ่งตัวเข้าไปดึงให้สองคนออกจากกันก่อนที่จะเกิดมวยขึ้นมา แย่จริงๆเลย ทำไมถึงต้องตีกันแบบนี้ แค่ไม่พ้นวันแรกก็จะดูเหมือนมีปัญหาเลยด้วยซ้ำ



    ทุกอย่างมันต้องเริ่มจากศูนย์จริงๆเหรอ..


    อือ...แต่ดูแล้วมันไปทางติดลบมากกว่าอีก...






เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in