เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SHORT STORYisthepe
ผมกับไอเด็กกวนตีนห้องข้างๆ
  • ผมตื่นขึ้นมาตอนที่ท้องฟ้านอกหน้าต่างกำลังเปลี่ยนสีจากสีเหลืองไปเป็นสีน้ำเงิน ผมหลับไปตั้งแต่เย็นๆตื่นมาก็โพล้เพล้พอดี ผมชอบบรรยากาศตอนนี้มากนะ มันมืด มันวังเวง และมันก็ชวนเหงาด้วย และยิ่งไปกว่านั้นก็คือท้องฟ้าไล่สี แค่ยืนมองมันเฉยๆก็มีความสุขแล้ว แต่ถ้าตอนนี้ผมยังโอ้เอ้ก็คงไม่ทันได้ยืนมองมันแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมก็รีบลุกออกจากเตียง ก่อนออกจากห้องก็กวักน้ำมาล้างหน้าหน่อยพอให้สดชื่น แล้วผมก็พาตัวเองขึ้นไปชั้นดาดฟ้า ที่ประจำของผม 

    ชั้นดาดฟ้าเป็นลานโล่งๆมีรั้วไม่สูงไม่เตี้ยล้อมรอบ ผมมักใช้มันเป็นสนามวิ่ง ที่นั่งยามเบื่อยามเหงา บางครั้งก็หาอะไรมานั่งกินที่นี่ บางครั้งก็เอาหนังสือขึ้นไปอ่าน กระทั่งมายืนร้องเพลงอยู่บนนี้ก็ทำมาแล้ว แต่วันนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกวันนักหรอก ผมเดินไปตรงมุม เอาแขนเท้ากับรั้วไว้ ทอดมองท้องฟ้าไล่สี มันสวยงามมากสำหรับผม แค่ยืนมองมันค่อยๆเปลี่ยนสีไปเรื่อย จนสีเหลืองเริ่มหมดไปผมก็ยังคงทอดมองอยู่อย่างนั้น

    ในหัวผมมันยุ่งเหยิงไปหมด ดูภายนอกแล้วผมดูสงบดูนิ่ง ยืนเฉยๆมองท้องฟ้าอยู่แบบนั้น แต่ความจริงผมอยากทึ้งหัวตัวเอง อยากต่อยกำแพง อยากกรีดร้องแหกปากโวยวาย แต่ถ้าผมทำแบบนั้นจริงๆชาวบ้านรอบๆคงได้ด่าผมแน่ๆล่ะ นี่ผมอยู่แค่ชั้นแปดเองนะ มันไม่ได้สูงขนาดนั้นหรอก และยิ่งไปกว่านั้นคือรอบๆนี้คือหมู่บ้านน่ะสิ

    ผมยังคงยืนมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น เครื่องบินลำแล้วลำเล่าทยานสู่ฟ้าและหายเข้าไปในกลีบเมฆผมก็ยังคงอยู่ที่เดิม จนรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หันมาเห็นใครอีกคนมายืนข้างๆผมห่างออกไปแค่ก้าวเดียว ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้เด็กข้างๆห้องผมนี่เอง

    "น้ำตาไหลแล้วพี่" 

    ผมเงียบไม่ได้ตอบอะไรออกไป

    "ร้องไห้ทำไมพี่"

    "ใครร้อง กูง่วงโว้ย" ผมตอบไปทั้งที่หน้านิ่งๆนั่นแหละ ดูหน้าอีกคนผมก็รู้แล้วว่ามันไม่เชื่อ

    "เกี่ยวตรงไหนวะพี่ ง่วงแล้วน้ำตามันจะไหลหรอวะพี่"

    "ก็กูหาวแล้วน้ำตาไหลอ่ะ มึงไม่เคยรึไง"

    "เออๆ เชื่อฉิบหายเลยพี่"

    หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ตอบอะไรไป อีกคนเองก็เงียบ คงรู้ว่าผมคงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาชวนมันคุยเล่นได้มั้ง แต่เปล่าหรอก ความจริงตอนนี้ในหัวผมมันยุ่งเหยิงไปหมด ความคิดทั้งหลายมันตีกันไปหมด แต่ผมอธิบายอะไรไม่ได้สักอย่าง ผมไม่รู้ว่าผมควรจะจัดการกับมันยังไงด้วย ลำดับเรื่องราวความสำคัญก็ไม่ได้ และที่เป็นแบบนี้ผมเองก็เหนื่อยด้วย ผมไม่ได้อยากคิดมาก แต่ห้ามให้ตายยังไงมันก็อยู่คิดแบบนั้นไม่ได้

    "แล้วรู้ได้ไงว่ากูอยู่นี่" ผมถามมันไปทั้งที่รู้อยู่แล้วแหละว่ามันจะตอบว่าอะไร 

    "รู้แล้วก็เลิกถามเหอะ"

    "กูถามมึงก็ตอบเหอะ"

    "จะชวนคุยก็หาเรื่องอื่นก็ได้มั้งพี่" 

    "ตกลงมึงจะขึ้นมากวนตีนกู"

    "ก็จะไปหาหนังสืออ่าน ไปหาอะไรกินที่ห้องพี่อ่ะแหละ แต่เวลานี้พี่ไม่อยู่ห้องก็มีอยู่ที่เดียวนี่แหละ" 

    "นี่ถามจริงถ้าห้องกูไม่มีหนังสือไม่มีของกินยังจะมาห้องกูอยู่มั้ย"

    "ถามได้ แล้วจะไปทำไมให้เสียเวลาวะ"

    "ไอ้นี่" 

    ผมกับมันก็อย่างนี้แหละ ต่างคนต่างกวนแต่ก็ไม่มีใครโกรธหรอกนะ ถ้าคุยกันดีๆนี่สิแปลก วันนั้นคงฝนตกห่าใหญ่เลย

    ผมแอบเห็นกระป๋องเบียร์วางอยู่ข้างๆมันสองกระป๋อง "แล้วนั่นจะตั้งจนหายเย็นเลยมั้ย"

    "อยากกินก็บอกดีๆดิพี่"

    จริงๆผมก็รู้แหละว่ามันคงหาจังหวะจะให้ผมอยู่ แต่มันไม่ให้สักทีผมก็ทวงเลยแล้วกัน จะบอกว่าเอาขึ้นมากินเองทั้งสองกระป๋องก็คงไม่ใช่แน่ๆ

    ทีนทีที่รับมันมาจากอีกคนผมก็ไม่รอช้ารีบเปิดกระป๋องและซดไปหนึ่งอึก เบียร์ยังเย็นอยู่ ค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นหน่อย 

    "กูเครียดว่ะ" ผมเอ่ยขึ้นมา บรรยากาศระหว่างผมกับมันเงียบไปถนัดตา มันคงรู้ว่าผมเริ่มเข้าโหมดจริงจังแล้ว ถึงผมกับมันจะกวนตีนกันแค่ไหนแต่เวลาที่ใครอีกคนเข้าโหมดจริงจังต่างคนก็ต่างรู้ ง่ายๆก็คือมันกวนตีนแบบรู้เวล่ำเวลานั่นแหละ อาจไม่ได้ตอบอะไรแต่แค่มีคนรับฟังมันก็พอแล้ว

     มันเงียบไปรอให้ผมพูดต่อ "คิดงานไม่ออกเลยว่ะ"

    "ขอตรงๆเน้นๆพี่"

    "กูอธิบายไม่ถูกโว้ย" อย่างที่บอกล่ะ ในหัวผมมันยุ่งเหยิงไปหมด

    "ถ้าผมเข้าไปในหัวพี่ได้ผมก็อยากจะเข้าไปจัดการให้นะพี่ เห็นพี่เครียดแล้วไม่ไหวว่ะ หน้าแม่งเหมือนหมาหอบอ่ะพี่ เหนื่อยอะไรขนาดนั้นวะ" ดูมัน เพิ่งบอกไปหยกๆว่ากวนตีนแบบรู้เวล่ำเวลา "แล้วแม่งเบียร์อ่ะ เอามาให้กินให้สมองโล่ง จะยืนเก็กหล่อเป็นพรีเซนเตอร์อีกนานมั้ย กินสิครับพี่"

    พูดจบทั้งผมทั้งมันก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มไปหลายอึก ผมผละกระป๋องเบียร์ออกจากปากทั้งผมทั้งมันก็ทำเสียงซ่าสดชื่นขึ้นมาแบบไม่ได้นัดกัน มันหันมามองผม ผมก็หันไปมองมัน แล้วทั้งผมทั้งมันก็ระเบิดหัวเราะกันใหญ่ ไม่กี่วินาทีถัดมาเราก็หน้านิ่งแล้วหันมามองหน้ากันอีกครั้ง และก็พูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย "ตลกตายห่า"  แค่นี้ก็บอกได้ใช่มั้ยว่าผมกับไอรุ่นน้องข้างห้องนี่สนิทกันขนาดไหน ผมว่าผมกับมันสนิทกันจนมันลืมแล้วมั้งว่าควรเคารพผมในฐานะพี่ด้วย แต่เอาเหอะ วันไหนมันมาแบบนั้นนี่ไม่ต้องเดาให้เสียเวลามากก็รู้ว่ามันต้องมีเรื่องใหญ่อะไรมาขอร้องผมแน่ๆ

    "ตกลงเรียบเรียงได้ยังพี่"

    "ยัง"

    "ผมว่าผมบอกพี่หลายทีละนะ อย่าไปคิดอะไรให้มันซับซ้อนมากพี่ เรื่องไหนปล่อยได้แม่งก็ปล่อยเหอะ แล้วอะไรที่มันออกมาแล้ว มันเกิดขึ้นแล้วกลับไปแก้อะไรไม่ได้ก็ไม่ต้องเครียดแล้ว ทำวันนี้ให้ดีก็พอพี่ แล้วเดี๋ยววันหน้าก็ดีเองแหละน่า"

    "ถ้าง่ายอย่างนั้นก็ดีดิวะ ถ้ากูทำได้กูจะมาเครียดแบบนี้มั้ย"

    "ก็นี่ไงผมถึงบอก ผมรู้ว่าพี่อ่ะจริงจังไปหมด แต่เรื่องไหนปล่อยได้ก็ปล่อยเหอะ เดี๋ยวก็ปวดหัวแบบวันก่อนอีกอ่ะ ขี้เกียจมาดูแลหมาป่วย"

    "ใครขอให้มึงมาดูล่ะ"

    "ผมมันคนดีครับ จะให้ใจบาปเห็นคนข้างห้องตายเป็นผีเฝ้าหนังสือไม่ได้"

    "กลัวไม่ได้อ่านหนังสือฟรีก็บอกเหอะ"

    "เออก็รู้ดีนี่หว่าพี่" พูดจบทั้งมันทั้งผมก็หลุดหัวเราะ เห็นทั้งมันทั้งผมด่ากันเหมือนจริงจังทำหน้าเครียดกันความจริงก็คือแกล้งกันทั้งคู่นั่นแหละ มันกับผมถึงอยู่กันได้

    ผมซดเบียร์จนหมดกระป๋อง เห็นมันยังแกว่งกระป๋องในมืออยู่ผมก็คว้ามาซดอีกไม่กี่อึกก็หมด "เฮ้ย ได้ไงวะพี่ ของผมอ่ะ" มันร้องขึ้นมาเหมือนว่าผมแย่งมันกินไปเยอะนัก แหมกูอยากจะบอกนักว่าตอนมาแย่งของกินกูที่ห้องกูเนี่ยเยอะกว่านี้อีก

    "ก็เห็นยืนแกว่งกระป๋องเล่นคิดว่าไม่กินแล้ว" 

    "เออแต่จะกินก็กินไปเหอะ ผมถุยน้ำลายลงไปละ อีกอย่างผมเป็นหวัดอยู่ อยากติดก็เชิญ"

    "เรื่องของมึง พอดีว่ากูไม่เชืื่อ" จะให้เชื่ออะไรล่ะครับ มุกนี้เล่นซ้ำเป็นร้อยครั้งผมก็ยังไม่เคยเป็นหวัดเพราะติดมันสักที

    ผมหันไปมองหน้ามันทั้งที่มันยังมองหน้าผมอยู่นั่นแหละ ผมมองตามันสักพัก ก็ผละกลับมามองดาวบนท้องฟ้า มองดูแสงไฟยามค่ำคืน รู้อยู่หรอกว่าที่มันมาป้วนเปี้ยนเนี่ยก็เพราะเป็นห่วงนั่นแหละ 

    "เรียบเรียงได้แล้วก็บอกนะพี่ เห็นน้ำตาพี่ก็รู้แล้วว่าหนักจริง" ผมหันไปมองมันกำลังจะอ้าปากบอกมันไปแต่มันก็ขัดขึ้นมาก่อน "ก็กูบอกว่ากูหาวไง" แหน่ะ ยังรู้ทันว่าผมจะบอกว่าอะไร 

    "เป็นห่วงครับพี่" เสียงมันเบาลง แต่เพราะตอนนี้บรรยากาศโดยรอบมันเงียบกว่า ผมเองได้ยินมันชัดเจนทั้งประโยคนั่นแหละ 

    "มึงเองก็ด้วยแหละ ทำเป็นชิลๆไม่คิดมาก วันก่อนกูได้ยินนะใครโทรงอแงกับแม่อ่ะ"

    "ไม่ต้องมาโมเมโว้ย"

    "เออเป็นห่วงเหมือนกัน" ผมพูดเบาๆพอๆกับที่มันพูดกับผมเมื่อกี้นั่นแหละ แล้วทั้งมันทั้งผมก็เงียบกันทั้งคู่

    ผมยืนมองฟ้าตั้งแต่ท้องฟ้าสีเหลืองไล่ไปสีครามเข้ม จนตอนนี้ท้องฟ้ามีแต่สีดำมืดและดาวสว่างเต็มท้องฟ้าไปหมด ก็ไม่ได้เยอะมากนักหรอก แต่สำหรับในเมืองใหญ่อย่างนี้วันนี้ก็ดูจะเยอะเป็นพิเศษ 

    ผมหันหลังมาจะเดินกลับห้อง ก็ได้ยินเสียงมันตะโกนกลับมา "เฮ้ย คนไรวะแย่ว่ะ กินเสร็จก็ไม่ทิ้ง!" แล้วมันก็หยิบกระป๋องเปล่าทั้งสองใบแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินกลับมาให้ทันผม 



    _________________

     (c) cover : my-nature-pics




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in