เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SHORT STORYisthepe
ความบังเอิญที่เกิดจากความตั้งใจ
  • ความบังเอิญเกิดขึ้นได้ตลอดเวลามันเกิดขึ้นโดยที่เราทั้งคู่ไม่ทันได้ตั้งตัว และแน่นอนว่าไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจจะเจอกัน แค่ตั้งใจจะมาที่นี่...

     

    คาเฟ่หนังสือเล็กๆตรงมุมถนนไม่ได้คึกคักไปด้วยผู้คน บรรยากาศร้านโดยรอบถูกห้อมล้อมด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด มีกระดิ่งเล็กๆกับป้าย open คล้องอยู่ตรงประตู ผนังในร้านด้านหนึ่งเป็นชั้นหนังสือตั้งแต่พื้นสูงขึ้นไปถึงเพดาน มีทั้งหนังสือที่ขายและให้เช่า ผนังอีกฝั่งที่ไม่ได้ติดถนนมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ตอนนี้กำลังบรรเลงดนตรีแสนไพเราะ

     

    โต๊ะยาวติดกระจกร้านทั้งสองฝั่งกำลังถูกจับจองที่นั่งไปเพียงไม่กี่ที่ พื้นที่ที่เหลือในร้านส่วนหนึ่งแบ่งเป็นโต๊ะนั่งทั้งขนาดสองคน สี่คน และหกคนและอีกส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่เล่นดนตรีที่มีเพียงเก้าอี้ ไมค์ และกีตาร์พร้อมป้ายเล็กๆที่เขียนไว้ว่า "One song for one cup!" นั่นทำให้ร้านเล็กๆแห่งนี้เป็นที่นิยมของเหล่านักดนตรีมือสมัครเล่นขาประจำไม่กี่คนนัก

     

    เสียงกริ่งตรงประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงของคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์กาแฟ "เหมือนเดิมแก้วนึง"

     

    เธอเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม "รู้ใจฉันจริงๆ" แล้วเดินเข้าไปนั่งโต๊ะในสุดของร้านใกล้ๆกับชั้นหนังสือ

     

    ไม่นานคนที่เพิ่งกล่าวทักทายลูกค้าประจำก็เดินมาเสิร์ฟกาแฟด้วยตัวเอง "มอคค่าอีกและ"

     

    อีกคนยังคงมองหาหนังสือต่อไปจนเมื่อได้เล่มที่ต้องการก็เดินกลับมาที่โต๊ะแล้วยักไหล่ให้อีกคนด้วยท่าทางกวนๆ "แกก็ชงอร่อยอยู่อย่างเดียว"

     

    "ทำเหมือนเคยสั่งอย่างอื่นอ่ะ" 

     

    "ไม่รู้ว่ะ ลืมรสชาติไปหมดละ รู้แค่ชอบมอคค่านี่แหละ"

     

    "แล้วไมไม่ลองบ้างวะแกก็รู้ฉันเซียนกาแฟนะเว้ย" เจ้าของร้านพูดอย่างทีเล่นทีจริงภูมิใจกับการถูกสัมภาษณ์เรื่องการชงกาแฟและดูแลคาเฟ่เล็กๆแห่งนี้ลงนิตยสารสักฉบับเมื่อเดือนก่อน

     

    "ขี้โม้" อีกคนก็ตอบไปอย่างหมันไส้ "ทำไมวันนี้ร้านเงียบจัง" พูดพลางหันไปมองรอบร้านที่ถูกจับจองไปไม่ถึงห้าที่นั่ง

     

    "มันเคยคึกคักด้วยหรอวะ"เจ้าของร้านพูดอย่างอารมณ์ดี "ดีแล้ว ฉันเองก็ขี้เกียจ" พูดจบเขาก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทางผ่อนคลายจนทำให้คนฟังหัวเราะตาม

     

    "แกนี่มันบ้าจริงๆ” เธอว่าอย่างขำๆ “เออแกเห็นหนังสือเล่มที่ฉันยืมไปเมื่อสัปดาห์ก่อนป่ะ ฉันว่าฉันลืมกระดาษโน้ตไว้ในนั้นว่ะ" 

     

    "เล่มไหนวะขอรายละเอียดเพิ่มหน่อย"

     

    "นิยายแปลเล่มเก่าๆที่กระดาษเหลืองๆหน่อยอ่ะที่แกแนะนำให้ฉัน บอกว่าตอนจบโคตรพีคอ่ะ"

     

    เขานึกอยู่ไม่นานก็ตอบ "อ๋อมีคนเพิ่งมายืมไปเมื่อวานซืนว่ะ แล้วจดไรไว้อ่ะ รีบป่ะเนี่ย" 

     

    "ใช้สุดสัปดาห์นี้อ่ะจดเบอร์โทรกับชื่อร้านที่เพื่อนมันฝากให้ไปสัมภาษณ์อ่ะ ดันหนีเที่ยวแล้วทิ้งงานไว้ให้ฉันเนี่ย"

     

    "ไม่โทรไปถามใหม่วะ"

     

    "ถ้าโทรติดฉันจะมาถามแกไหม” พอเธอพูดจบเขาก็ทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามรอให้อีกคนบอกต่อ “มันไปปีนเขา โทรไม่ติดมาสามวันแล้วเนี่ย"

     

    “อีกสองวันฉันว่าเขาน่าจะมาก่อนวันที่แกต้องไปสัมภาษณ์แหละ”

     

    “ว่าแต่ใครยืมไปวะแกลูกค้าประจำป่ะ”

     

    “ก็เจอทุกสัปดาห์ แต่แกไม่น่าจะเคยเจอ เขาจะมาชั่วโมงสุดท้ายก่อนปิดร้านมาเล่นเพลงสองเพลง แต่ไม่เอากาแฟฟรี”

     

    “งั้นเดี๋ยววันนี้รอแกปิดร้านละกัน”

     

    เมื่อเสียงกระดิ่งตรงประตูดังขึ้นเขาก็ลุกไปแล้วปล่อยให้ลูกค้าประจำอย่างเธอนั่งอ่านหนังสือต่อไป

     

     

    “ทำไมคนขี้เกียจอย่างแกต้องมาปิดร้านดึกดื่นอย่างนี้วะเนี่ย”เธอบ่นหลังจากกลับเข้ามาในร้านอีกครั้งเมื่อสามชั่วโมงก่อนในขณะที่บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยงาน


    “เออน่า อยากได้มั้ยที่อยู่ร้านอ่ะ” เจ้าของร้านตอบกลับมาด้วยท่าทีกวนๆ “เออแต่ความจริงกลับก่อนก็ได้นะ ฉันเก็บไว้ให้ก็ได้”

     

    “เออว่ะฉันรอทำไมวะเนี่ย” ยังไงเสียก่อนออกไปทำงานก็ต้องเดินผ่านร้านอยู่แล้วค่อยแวะเอาก็ได้ “ไหนๆก็รอละ ว่าจะรอฟังกีตาร์สดด้วยหน่อย เดี๋ยวฉันจะขอให้เขาเล่นเพลงนึง”

     

    ระหว่างที่คุยกันเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นทำให้ทั้งสองหันไปมองลูกค้าที่กำลังเดินเข้ามาทำเอาลูกค้าตกใจไม่น้อย นั่นล่ะถึงได้รีบกล่าวขอโทษออกมายกใหญ่ แล้วเขาก็หันมาบอกเธอ “ไม่ใช่คนนี้ว่ะ”

     

    จนครึ่งชั่วโมงสุดท้ายก่อนร้านปิดก็ไม่มีวี่แววของใครสักคนจะเข้ามา

     

    “ปิดร้านเหอะแกฉันกลับละ เดี๋ยวพรุ่งนี้มารอใหม่”

     

    “เออๆ เดินกลับดีๆล่ะ ระวังจะโดนฉุดเอานะแม่สาวสวย” เขาบอกเธอด้วยท่าทางกวนๆ

     

    “จะคิดว่าเป็นห่วงแล้วกันนะ”ตอบพร้อมรอยยิ้มกวนๆไม่ต่างกัน แล้วเธอก็ลุกออกไป พอถึงประตูก็ยกมือขึ้นมาโบกบ๊ายบายให้เจ้าของร้านทั้งที่ไม่ได้หันกลับมา และยังพลิกป้ายที่แขวนไว้จาก open เป็น close

     

    _________________

     

    บรรยากาศร้านในเย็นวันศุกร์ดูจะคึกคักขึ้นกว่าวันก่อนหน้า ที่นั่งถูกจับจองไปเกือบเต็มร้านตรงส่วนพื้นที่เล่นกีตาร์มีลูกค้ากำลังเล่นเพลงอะคูสติก ส่วนลูกค้าคนอื่นๆก็คอยโบกไม้โบกมือให้จังหวะไปด้วย

     

    เธอจาสาเป็นคนเสิร์ฟ พอเขาชงเสร็จแล้ววางไว้ตรงเคาน์เตอร์กาแฟ เธอก็มีหน้าที่นำมันไปเสิร์ฟที่โต๊ะ ว่างจากรับออร์เดอร์ก็มานั่งคุยกับเขา เป็นแบบนั้นอยู่ทั้งวันจนสองชั่วโมงก่อนร้านจะปิด

     

    บรรยากาศในร้านไม่คึกคักทว่าก็ดูผ่อนคลายดีมีเสียงดนตรีเปิดคลอกับเสียงฝนที่เพิ่งจะเทลงมาลูกใหญ่

     

    เสียงกระดิ่งดังขึ้นพร้อมกับใครสักคนที่รีบวิ่งหนีฝนเข้ามาในร้านเขาเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์กาแฟในขณะที่กำลังล้วงกระเป่าสะพายแล้วหยิบหนังสือนิยายแปลเล่มเก่าๆ กระดาษเหลืองๆ ตอนจบโคตรรพีคขึ้นมานั่นแหละทำให้เจ้าของร้านร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วรีบเรียกใครอีกคนที่ตอนนี้กำลังนั่งทอดสายตาดูสายฝนอยู่ตรงโต๊ะตาวยาวติดกระจกร้าน “แกมานี่เร็ว!” จนทำเอาทั้งลูกค้าอย่างเขาและเธอตกใจกันทั้งคู่

     

    “อะไรของแกเสียงดังทำไมเนี่ย” เธอตอบในขณะที่กำลังลุกและเดินมายังต้นเสียง

     

    แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับหนังสือนิยายแปลเล่มเก่าๆกระดาษเหลืองๆ ตอนจบโคตรพีคในมือของใครอีกคน ก่อนจะเงยหน้าไปเจอสิ่งที่พีคกว่าตอนจบของนิยายก็คือคนที่เธอกำลังรอ...

     

    เธอมองหน้าเขาได้ไม่นานก็รีบก้มหลบสายตาแล้วหันหน้าไปทางอื่นทั้งเขาและเธอต่างก็เงียบใส่กันทั้งคู่จนทำเอาเจ้าของร้านที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์กาแฟมองทั้งคู่อย่างงงๆ ทำตัวไม่ถูกแต่ก็ตัดสินใจเอ่ยปากออกมาทำลายความเงียบ

     

    “ฉันจะบอกว่าหนังสือที่แกรอมาแล้ว” นั่นถึงได้เรียกสติของเธอกลับมาอีกครั้ง

     

    “อ้อ” เธอหันไปมองหน้าเจ้าของร้านแล้วเอ่ยออกไปสั้นๆเพื่อแสดงว่ารับรู้แล้วพอตั้งสติได้ก็หันกลับไปมองหน้าเขาอีกครั้ง “หวัดดี...” เธอทักทายเขาพร้อมรอยยิ้มบางๆ

     

    “หวัดดีไม่เจอกันนานเลยนะ”เขาตอบกลับมาพร้อมกับที่อาการประหม่าของเธอค่อยๆลดลงทว่าก็ไม่หมดไปสักที “ทำไมเห็นเราแล้วทำหน้าเหมือนเห็นผีไปได้” เขาถามเธอด้วยท่าทีผ่อนคลายซึ่งนั่นก็สร้างความแปลกใจให้กับเธอไม่น้อย ตั้งแต่รู้จักกันมาหลายปี ระหว่างเราแทบจะไม่เคยมีบทสนทนายาวๆกันเลยด้วยซ้ำ เราคุยกันเพราะมีเหตุให้ต้องคุยอย่างเช่นการนับเลขจับกลุ่มทำงานกลุ่มแล้วบังเอิญได้อยู่กลุ่มเดียวกัน หากบังเอิญเจอนอกโรงเรียนก็เป็นเธอเองที่พยายามหลบไม่ให้เขาเห็น หรือบางครั้งที่ทักทายกันก็เพียงแค่มองหน้ากันแล้วพยักหน้าให้กันเล็กๆ นั่นเป็นครั้งที่หลบไม่ทัน

     

    แต่ก่อนที่เธอจะตอบอะไรออกไปเจ้าของร้านที่ยืนงงกับสถานการณ์ตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นมาขัดจังหวะซะก่อน “มอคค่าเหมือนเดิมเนอะ ส่วนแกเอาอีกแก้วป่ะ” ประโยคแรกถามเขาส่วนประโยคหลังก็ถามเธอ “เออแกอยากขอให้เขาเล่นให้เพลงนึงนิ” ประโยคนั้นเรียกอาการตกใจของเธอกลับมาอีกครั้งทำให้เขาหันไปมองหน้าเธออย่างมีคำถาม ส่วนเจ้าของร้านก็หันไปบอกเขา “ยัยนี่ถามหาหนังสือเล่มนี้น่ะ” พูดพลางชี้ไปที่หนังสือในมือเขา “พอดีลืมกระดาษโน้ตไว้ ต้องใช้พรุ่งนี้” เขาทำหน้าเออออตามที่เจ้าของร้านพูดแล้วรอให้พูดต่อ “ถามว่าใครยืมไปจำได้ว่าเป็นคุณเลยบอกว่าจะมาดึกๆมาเล่นกีตาร์สักเพลงก่อนร้านปิด ผมคุยไว้ว่าคุณเล่นเก่งน่ะ”

     

    “เอาสิๆ”เขาตอบเจ้าของร้าน แล้วหันหน้าไปมองเธอ แล้วยื่นหนังสือนิยายแปลเล่มเก่าๆกระดาษเหลืองๆ ตอนจบโคตรพีคให้เธอ “อ่ะนี่หนังสือ ขอโทษที ไม่รู้ว่าต้องรีบใช้”

     

    “ไม่เป็นไรๆ ไม่ได้รีบหรอก เขาบอกว่านายน่าจะมาไม่เมื่อวานก็วันนี้ เราเลยรอพอดีต้องใช้วันมะรืน”

     

    “โชคดีนะเนี่ยมาทันพอดี แล้วอยากฟังเพลงอะไรล่ะ” เขาถามเธอพลางเดินไปตรงส่วนพื้นที่เล่นกีตาร์เธอนิ่งไปสักพักถึงได้เดินตามเขาไปที่นั่งตรงข้ามเขา

     

     เขาเช็คสายกีตาร์ไปขณะที่รอให้เธอเลือกเพลง ส่วนเธอกลับนั่งนิ่งเหมือนสติหลุดลอยไปตั้งแต่เห็นเขาปรากฎตัวที่นี่ เกิดความเงียบระหว่างเขาและเธอ จะมีก็เพียงแต่เสียงคอร์ดพื้นฐานที่ดีดวนไปวนมา ก่อนจะมีเสียงของใครอีกคนในร้านดังขึ้นในขณะที่เดินมาพร้อมกับมอคค่าร้อนสองแก้วในมือ 


    "อ่ะนี่ของแก" เขายื่นแก้วหนึ่งวางบนโต๊ะตรงหน้าเธอ ส่วนอีกแก้วก็ยื่นไปให้เขา "ส่วนนี่ของคุณ" แล้วก็หันกลับมาหาเธออีกครั้ง "คุยกันไปก่อนนะ ฉันไปจัดการหลังร้านก่อน" พูดจบเขาก็เดินหายเข้าไปในครัวปล่อยให้ความเงียบระหว่างเธอกับเขาดังขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นเขาที่คงจะทนกับความเงียบนี้ไม่ไหว


    แก้วมอคค่าถูกวางไว้กับเก้าอี้ตัวสูงอีกตัวข้างๆเขา แล้วเสียงอินโทรเพลงคุ้นหูก็ดังขึ้น แล้วตามด้วยเสียงร้องของเขา นั่นเรียกให้เธอหลุดจากภวังความคิดของตัวเอง เงยหน้าจ้องมองเขา สายตาเราสบประสานกันเพียงชั่วครู่ก็เป็นเธอที่หลบไปก่อน 


    ภาพตรงหน้าคือเขาในตอนนี้ที่ใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เขายังคงใส่แวนตากรอบเหลี่ยมๆ หลังกรอบแว่นก็ยังคงเป็นดวงตาตี่ๆที่ยิ้มทีก็เป็นขีดโค้งๆคล้ายสระอิ จมูกโด่งเป็นสันชัดเจน ปากก็ร้องเพลงคลอไปกับท่วงทำนองของกีตาร์ แต่ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอกลับเป็นเขาในชั้นมัธยมปลาย วันนั้นเขาก็เล่นกีตาร์แบบวันนี้ มิหนำซ้ำยังเป็นเพลงเดียวกับที่เขาเล่นอยู่ตอนนี้ อดคิดไม่ได้ว่าบางทีความบังเอิญก็มีมากไปด้วยซ้ำ น่าแปลกที่วันนั้นก็ผ่านไปแล้วหลายปี แต่เมื่อนึกถึงทีไรภาพเหล่านั้นกลับชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อน 


    วันนั้นเป็นวันงานดนตรีของโรงเรียน ในมือของเธอมีกล้องถ่ายรูปเล็กๆเดินเก็บบรรยากาศและรอยยิ้มของหลายๆคนในงานไปเรื่อยๆ บนเวทีมีทั้งนักเรียนที่มาเล่นกันเป็นวงบ้าง เดี่ยวบ้าง เสียงเพลงบรรเลงไปเรื่อยๆไม่มีหยุด ส่วนคนที่นั่งดูอยู่ล่างเวทีก็โบกไม้โบกมือเชียร์เพื่อนเชียร์คนที่ชอบไป บ้างก็ปรบมือตามเป็นจังหวะ บ้างก็มีดอกไม้ไปยื่นให้


    เธอกวาดสายตาไปรอบๆ จนอีกด้านหนึ่งเยื้องๆเวทีไปปรากฎร่างสูงของเขากำลังซ้อมกีตาร์อย่างตั้งใจ อีกคนข้างๆเขาคงจะเป็นนักร้องที่ลงสมัครคู่กันไม่ผิดแน่ เธอเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้น เพียงแค่ให้ได้ยินเสียงกีตาร์ของเขาชัดเจนขึ้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนที่เขากำลังตั้งใจซ้อมแบบนี้มันยิ่งทำให้เขามีสเนห์ขึ้น


    สิ่งที่ต่างไปจากวันนั้นก็คงจะมีเพียงแค่วันนี้เขาเป็นคนร้องเพลงนี้ด้วยตัวเอง


    เสียงกีตาร์และเสียงร้องของเขาค่อยๆเบาลง เพลงใกล้จะจบแล้ว นั่นทำให้เธอหลุดจากภวังความคิดกลับมาพบกับเขาที่อยู่ตรงหน้า แม้จะไม่อยากเชื่อว่าตรงหน้าคือความจริง แต่ทุกสิ่งตรงก็ฟ้องอย่างชัดเจน เป็นเขาตัวจริงเสียงจริง


    เสียงเพลงจบไปแล้ว เขาวางกีตาร์ลงบนที่วางข้างๆเก้าอี้ ยกแก้วมอคค่าขึ้นมาดื่ม ขณะที่มองสำรวจไปรอบๆร้านก่อนสายตาจะมาจบอยู่ที่เธอตรงหน้า ใบหน้าของเธอแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ดวงตาสองชั้นหลบใน จมูกเชิดรั้น ริมฝากสวยได้รูป สิ่งที่ต่างไปอย่างชัดเจนคงจะเป็นผมที่ยาวขึ้น 


    "เป็นยังไงบ้าง" เป็นเขาที่เอ่ยทำลายความเงียบ


    "ก็... สบายดี...มั้ง" เธอตอบอย่างไม่แน่ใจ เขายิ้มให้กับคำตอบ เธอยิ้มตาม "แล้วนายล่ะ เป็นไงบ้าง"


    "สบายดีๆ" เขาตอบอย่างไม่ลังเลแล้วเอ่ยต่อ "บังเอิญเนอะ"


    "นั่นสิ แต่เรามาที่นี่แทบทุกวันเลยนะ"


    "เราอาจไม่ได้มาบ่อยเท่าเธอ แต่ก็มาทุกสัปดาห์นะ"


    "แต่ปกติเราก็ไม่ได้อยู่จนดึกเหมือนวันนี้หรอก"


    "อ้อ งั้นก็ไม่แปลกที่ไม่เคยเจอเธอ ปกติเรามาดึกๆนี่แหละ" 


    น่าแปลกที่ทั้งเขาและเธอคุยกันโดยไม่มีท่าทีอึดอัด ตอนมัธยมปลายเราแทบจะไม่เคยคุยกัน สามปีที่อยู่ห้องเดียวกันแทบจะนับประโยคที่เคยคุยกันได้ด้วยซ้ำ เป็นเขาที่ทำให้บรรยากาศวันนี้ดูไม่อึดอัดเท่าไหร่ คงเป็นเพราะเสียงกีตาร์ที่จบลงไปเมื่อครู่ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น


    "ไม่เคยคุยกับเธอนานขนาดนี้มาก่อนเลยนะ" เขาคงรู้ว่าหากรอให้เธอเป็นคนเปิดบทสนทนา ค่ำคืนนี้คงมีแต่ความเงียบ


    "ก็จริง" เธอตอบพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ พอหันไปมองหน้าเขา ก็ปรากฏรอยยิ้มเล็กๆเช่นกัน


    "แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง" เขาเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง


    "ก็มีงานออกแบบห้องเรื่อยๆ แล้วก็ถ่ายรูปลงนิตยสารบ้าง ถ้ามีคนจ้างน่ะนะ" เธอหัวเราะ


    "น่าสนุกจัง"


    "จริงๆก็สนุกนะ แต่บางทีมันก็ตันๆคิดไม่ออกบ้าง แต่พอใกล้เดดไลน์ไอเดียก็พรั่งพรูเลย" เธอตอบพลางหัวเราะจนตาหยี "แล้วนายเป็นไง งานวิศวกรคงหนักน่าดู"


    เขาทำหน้าสงสัย ดูตกใจไม่น้อยที่เธอรู้ว่าเขาทำงานอะไร


    "ก็เห็นจากเฟซบุ๊กนายน่ะ" เธอตอบคลายความสงสัยของเขา


    "จริงด้วย" พูดจบเขาก็ยิ้ม "จริงๆตอนแรกคิดว่า'ถาปัตย์มันใช่นะ แต่พอเข้าไปถึงได้รู้ว่าถ้าเป็นวาดรูปเราคงเหมาะแค่วาดการ์ตูนเล่นน่ะ" พูดจบเขาก็หัวเราะร่วน แล้วเล่าต่อ "แต่พอเรียนวิศวฯแรกๆก็คิดว่าจะไหวไหม แต่คิดไปคิดมาถ้าไม่ใช่สองอย่างนี้ก็ไม่รู้ตัวเองจะเรียนอะไร" 


    "แต่สุดท้ายก็ไหว" เธอตอบพร้อมรอยยิ้ม เขายิ้มตาม


    "อ้อ ส่วนที่เธอถาม จริงๆก็หนัก แต่ก็สนุกดี ไม่ค่อยได้มีเวลามาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเท่าไหร่ รวมถึงเวลาจะไปเที่ยวด้วย" พอพูดจบทั้งเขาและเธอก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน 


    "ตลกดีนะ ตอนนั้นเราไม่กล้าเข้าไปคุยกับนายเลย ดูนายเป็นคนเงียบๆกับพวกผู้หญิง" เธอนึกย้อนกลับไปช่วงมัธยมปลาย มันต่างจากวันนี้ที่เขาเป็นคนเปิดบทสนทนาก่อนตลอด


    "จริงๆก็คือเราทำตัวไม่ค่อยถูกเวลาอยู่กับพวกผู้หญิงน่ะ แต่พอเข้ามหา'ลัย พวกกิจกรรมต่างๆก็ทำให้เจอคนเยอะขึ้น ก็รู้สึกได้ว่าเริ่มดีขึ้น"เธอตั้งใจฟังที่เขาเล่า ดูเหมือนบรรยากาศระหว่างเขาและเธอจะผ่อนคลายขึ้นมาก


    บทสนทนาระหว่างเขาและเธอดำเนินไปเรื่อย ทั้งเรื่องงาน ความชอบ ความสนใจ โดยเฉพาะแนวเพลงที่ฟัง เรื่อยไปจนถึงเรื่องสัตว์เลี้ยง ป้ายหน้าร้านถูกพลิกเป็นคำว่าcloseตั้งแต่ตอนไหนไม่มีใครรู้ คงจะเป็นฝีมือของเจ้าของร้านที่หายเข้าไปจัดการหลังร้านจนตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา คงไม่อยากเข้ามาขัดจังหวะระหว่างเขาและเธอ


    "จริงๆเรามีเรื่องนึงอยากบอกเธอ" ห่างกันไปนาน เขาคิดว่าความรู้สึกนี้จะหายไปด้วย ทว่าเมื่อได้พบเธอวันนี้ คำตอบก็ชัดเจนว่าความรู้สึกเหล่านั้นยังคงอยู่ และไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย 


    "อื้อ ว่าไง" เธอมองหน้าเขาอย่างรอคอยคำตอบ 


    เขานิ่งไปนาน คิดไม่ตกว่าควรบอกเธอไปหรือไม่ แต่ในเมื่อความรู้สึกวันนี้มันยังคงชัดเจนและไม่ได้เปลี่ยนไปจากวันนั้นเลย เขาเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ "ตอนมอปลาย..." เขานิ่งไปชั่วครู่ เหมือนเธอรู้ว่าประโยคนั้นยังไม่จบ เธอรอคอยให้เขาพูดต่อ "...เราชอบเธอ" เขามองมาที่เธอด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาก็ฉายชัดถึงความจริงจังไม่น้อย สายตาของทั้งคู่สบประสานกัน ราวกับทุกอย่างรอบตัวหยุดการเคลื่อนไหวอีกครั้ง


    แน่นอนว่าเธอตกใจไม่น้อย ทว่าก็พยายามเก็บอาการให้มากที่สุด แม้ว่าความเงียบจะทำให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังแค่ไหนก็ตาม ในเมื่อเขาตัดสินใจจะบอกความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้น ก็คงไม่มีความจำเป็นอะไรที่เธอต้องเก็บความรู้สึกของวันนั้นด้วยอีกแล้ว 


    "จริงๆแล้วตอนนั้น..." เขามองตาเธอนิ่งอย่างรอคอยคำตอบ "เราก็ชอบนาย" เขามีท่าทีตกใจชัดเจนจนเผลอเบิกตากว้างขึ้น ทำอะไรไม่ถูก ไม่เคยคิดว่าความรู้สึกของคนที่ชอบมาตลอดก็จะตรงกัน ทั้งคู่ยังคงสบตากันอยู่อย่างนั้น เกิดความเงียบปกคลุมระหว่างเขาและเธอ ทว่าไม่ทีใครคิดจะเอ่ยทำลายความเงียบนั้น มีเพียงเสียงฝนที่ซาลง เสียงเครื่องปรับอากาศ และเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงของสายลมที่พัดผ่าน

    "และตอนนี้ก็ยังชอบอยู่" ในตาของเขาปรากฏภาพเธอ และในตาของเธอก็ปรากฏภาพเขา เรายังคงสบตากันกระทั่งตอนที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย หากไม่ได้คิดไปเองต่างคนก็ต่างเห็นแววตาของอีกฝ่ายมีประกายขึ้นเล็กน้อย มันดูมีชีวิตชีวาขึ้นในพริบตา รอยยิ้มของทั้งคู่ค่อยๆปรากฏขึ้นพร้อมๆกัน


    ในความเงียบมีเพียงเสียงฝน และเสียงหัวใจของเขาและเธอ...




      

    _________________


    (c) cover : cari입니다


     

     

     

     

     

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in