เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Learning mealLOTUS
มื้อเย็นกับพี่พิ พิริยะ
  • ขอเปิดบทแรกกับประสบการณ์ที่ได้ไปนั่งกินข้าวกับพี่่่ๆเพื่อนๆ ชมรม CU leadership club กับพี่พิ พิริยะ ซึงเป็นพี่ที่ทางชมรมเชิญมาเพื่่อให้พูดคุย บอกเล่าประสบการณ์ให้ทุกคนฟัง 
    (สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าพี่เป็นใคร search ใน google ดูแล้วจะรู้ว่าชีวิตพี่เขาสุดยอดจริง)

    โดยได้ยินเสียงลือเล่าอ้างจากพี่ในชมรมว่าพี่เขาเป็นนักเล่าเรื่องที่เก่งมากกกกกก ทำให้เราแอบคาดหวังพอควร  

    ซึ่งปรากฏว่าเมื่อถึงวันจริงพี่เขาไม่ทำให้เราผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
     /แต่คิดว่าเราน่าจะทำให้พี่เขาผิดหวังเพราะมาสายไปเกือบชั่วโมงครึ่งT_T

    พี่พิเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันแบบที่เรียกกันว่า  sarcastic  คือสามารถพูดหน้าตายแดกดันชีวิตของตัวเองที่น่าจะเศร้าให้ตลกได้แบบหม่นๆ โดยที่อยู่ในขอบเขตที่กำลังดีพอเหมาะ 
     
    ซึ่งความ ironic humour แบบนี้แหละที่แวบหนึ่งทำให้เรานึกถึงนักเขียนชาวไทยคนหนึ่งที่ชื่อ "เบนซ์ ธนชาติ ศิริภัทราชัย"  /ลองไปอ่านหนังสือพี่เขาดูของเขาดีจริง

    แต่ในเรื่องที่พี่เขาจริงจังก็จริงจังได้จนน่าใจหาย ชวนให้เกิดอารมณ์ร่วมตามไปด้วย

    เรามองว่านี่แหละคือสเน่ห์ของพี่เขา
    กว่าจะรู้ตัวอีกทีก้เพลิดเพลินกับการนั่งฟังพี่เขาจนหมดเวลาไปแล้ว


    มาดูกันดีกว่าว่าเราได้อะไรจากการพุดคุยครั้งนี้บ้าง



  • พี่พิเอามือประสานกัน มองไปรอบโต็ะแล้วทำหน้านิ่งๆพร้อมกับค่อยๆพูดว่า
     
    " It's not about making the right decision but it's about making the decision right "

    ซึ่งสิ่งนี้คือสิ่งที่พี่พิได้เรียนรู้มาจากการใช้ชีวิตและเป็นคติประจำใจตลอดเวลาที่ตัดสินใจ

    ประโยคที่ถ้าเราพูดเองจะดูเชยๆเห่ยๆ กลับดูเท่อย่างไร้สาเหตุเมื่อออกมาจากปากพี่คนนี้
    คงเป็นเพราะว่าพี่เขาได้ผ่านจุดที่ทำให้ decision  ของตัวเอง right ด้วยความพยายามของตัวเองมาหลายรอบแล้ว

    เราคิดว่าประโยคนี้คือสิ่งที่คนในสังคมสมัยนี้ควรจะยึดเป็นคติประจำใจข้อหนึ่ง ในโลกปัจจุบันที่มีทางเลือกมากมายให้เราต้องเลือก ยกตัวอย่างง่ายๆ ขนาดแค่กินขนมปัง ยังมีประเภทและยี่ห้อมากมายให้เลือกสรร ไม่ต้องพูดถึงทางเลือกในเรื่องสำคัญอย่างอื่น เรามีอาชีพมากมาย มีคณะ มหาวิิทยาลัย บริษัท มากมายให้เลือก

    มองเผินๆอาจจะเป็นเรื่องดีเพราะทำให้เรามีโอกาสมากขึ้น แต่ความจริงแล้วทางเลือกที่มากขึ้นอาจทำให้เรากลายเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจเพราะเราไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วทางไหนคือทางที่ "ถูก" จริงๆ หรือถ้าร้ายกว่านั้นก็เป็นคนที่โทษสิ่งที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น ซึ่งคือกลายเป็นคนที่ไม่รับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น โดยโทษว่าเรื่องร้ายๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะว่าเราเลือกทางเลือกที่ผิดทั้งๆที่ความจริงอาจมิได้เป็นเช่นนั้น

    ดังนั้นแทนที่เราจะมองว่าเราต้องเลือกทางที่ถูก เราควรมองว่าเราควรจะทำยังไงให้ทางที่เราเลือกน้้น กลายเป็นทางที่ถูกให้ได้ โดยการรับผิดชอบทำให้ดีที่สุดในทางที่เราเลือกนั้น 

    เพราะบางครั้งต่อให้หาข้อมูลมาแค่ไหน มองการณ์ไกลแค่ไหน เราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าทางที่เราเลือกนั้นจะถูกหรือจะดีที่สุดอย่างที่เราหวังหรือไม่ เพราะทุกอย่างในชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนเนื่องจากชีวิตนั้นเต็มไปด้วยปัจจัยมากมายที่เราควบคุมไม่ได้


    ช่างเป็นประโยคที่ดูเหมือนง่ายแต่ก็ยาก

    แต่โดยส่วนตัวคิดถ้าพยายามพวกเราย่อมสามารถทำให้ทุกทางที่เลือกเป็นทางที่ "ใช่" ได้แน่นอน



  • "พี่ค้นพบว่าจุดแข็งของพี่คือสามารถเล่าเรื่องให้ impact ได้ เพราะคนบางคนเค้าเก่งนะแต่เค้าเล่าเรื่องให้คนอินไปกับเค้าจนอยากมาช่วยมาร่วมมือกับเขาไม่ได้ แต่พี่เป็นคนที่สามารถช่วยให้คนพวกนั้นเล่าเรื่องเหล่านั้นออกมาได้ ไม่ว่าจะผ่านการพูดคุย ตั้งคำถามหรืออะไรก็ตาม พี่ก็เลยออกมาตั้งบริษัทแบบนั้น"

    อยากจะบอกว่าคนที่พูดออกมาได้ชัดเจนว่าตัวเองมีดีตรงไหนเนี่ยโคตรเท่

    แล้วคนที่ทำให้จุดดีตรงนั้นมันออกมาเป็นรูปธรรมได้อย่างพี่เขาคือโคตรของโคตรคูล


    เพราะปัจจุบันจากระบบการศึกษาพื้นฐาน 12 ปีนั้นเป็นการเร่งให้เราต้องรีบค้นหาว่าตัวเองอยากเป็นอะไร โดยที่ตัวระบบการศึกษาและสังคมไม่ค่อยให้โอกาสเด็กได้ค้นหาและคิดถึงเรื่อง"จุดแข็ง"ของตัวเองในฐานะที่เป็นหนึ่งในปัจจัยในการเลือกอาชีพเท่าไหร่นัก

    ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องจุดแข็งนี้เป็นเรื่องสำคัญกว่า เงินเดือนที่จะได้ หรือ ความมีหน้ามีตาของสังคมซะอีกแต่เด็กสมัยนี้กลับใช้เรื่องนี้เป็นเรื่องรองในการตัดสินใจซะมากกว่า (โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องที่เราคิดว่าเป็นจุดแข็งของเรานั้นเป็นอย่างที่เราคิดจริงๆหรือเปล่า)

    ในหนังสือชื่อดังอย่าง Managing oneself ที่ถูกเขียนโดยปรมาจารย์จัดการของโลกอย่าง Peter F. Drucker หรือหนังสือขายดีอันดับ1 ของ WALL STREAT JOURNAL อย่าง STRENGTHS FINDER ล้วนแต่กล่าวไปในทำนองเดียวกันว่า ที่มาของความเบื่อหน่ายในการทำงานของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมาจากการทำงานที่ไม่ได้ใช้ "จุดแข็ง" ในตัวพวกเขาจริงๆ และคนเราจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้แต่จาก "จุดแข็ง" ของตัวเองเท่านั้น

    ถ้าเรามองดูคนที่ประสบความสำเร็จนั้น (ในที่นี้หมายถึงคนที่สามารถรักษาสมดุลของทุกด้านในชีวิตได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว เพื่อน ตัวเอง) จะพบว่าส่วนใหญ่คนเหล่านั้นรู้ว่าจุดแข็งของตัวเองคืออะไร และใช้จุดแข็งนั้นให้เป็นประโยชน์ 


    และพี่พิคือหนึ่งในคนเหล่านั้น


    จากที่ฟังพี่พิเล่าประสบการณ์ชีวิตในด้านต่างๆให้ฟังถึงได้เข้าใจว่าพี่เค้าได้ค้นพบจุดแข็งตัวเองจากการที่พี่เขาลงมือทำอะไรหลายอย่างและคอยสังเกตตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือหลักการพื้นฐานในการค้นหาจุดแข็งที่ชื่อว่า feedback analysis (การวิเคราะห์ทบทวนตัวเอง) จากในหนังสือเรื่อง Managing oneself

    อย่างไรก็ตามจริงอยู่ที่ถึงแม้ "จุดแข็ง" จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราประสบความสำเร็จแต่ก็อย่าลืมว่ายังมีอีกหลายอย่างนอกจากจุดแข็งที่เราต้องใส่ใจ

    แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ทุกคนลองคิดอย่างจริงจังเรื่อง "จุดแข็ง" ของตัวเองเพราะมันอาจทำอะไรได้มากมายกว่าที่คุณคิด


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in