"นายอธิบายทีได้ไหมว่าทำไมในโลกนี้ถึงไม่เคยมีเรื่องราวที่มีความสุขตั้งแต่ต้น ไปจนจบเลย"
"ความสุขไม่ใช่เรื่องราวไง ความโชคร้ายต่างหาก"
(จากหนังเรื่อง Us and Them ดูในเน็ตฟลิกซ์วันก่อนมาน่ะ)
ฉันไม่แน่ใจอะไรมากนัก แต่อาจจะพูดได้ว่าในมวลหมู่ปัจจัยทั้งหมดที่ทำให้เราเริ่มต้นรู้จักกันได้นั้น หนึ่งในนั้นมาจากความรู้สึกดิ้นรนหาทางออกเพื่อที่จะยุติความปั่นป่วนในจิตใจของฉันที่พยายามจะ "จบ" กับผู้ชายคนเก่าๆทั้งหลายให้ได้ ซึ่งฉันบังเอิญไปเจอประโยคหนึ่งในโลกอีกใบว่า "ผู้ชายคนหนึ่งอาจจะทำให้เราลืมอีกคนไม่ได้ เราต้องใช้หลายๆคนต่างหาก" และฉันก็สิ้นหวังกับความพยายามที่จะยุติให้เขาเข้ามาหลอกหลอนฉันในยามค่ำคืน ในยามสาย หรือยามดึกที่ข่มตาหลับไม่ลงเต็มที มันคงไม่มีอะไรเสียหายหากจะเชื่อประโยคบ้าๆแบบนี้สักครั้ง ในเมื่อเสียงในหัว หรือความต้องการในใจและร่างกายมันก็หลงทางและวุ่นวาย ฉันพยายามทุกอย่าง ฉันสาบานว่าฉันไม่ได้นอนอยู่เฉยๆและปล่อยให้ความเศร้า อดีต หรือความทรงจำกัดกินฉันแม้แต่น้อย ฉันได้พยายามอย่างสุดความสามารถจริงๆ อย่างน้อยก็ในความคิดของฉัน ถึงแม้ว่ามันจะล้มลุกคลุกคลานก็เหอะ
อย่างไรก็ตามในช่วงนั้น ช่วงเวลาแห่งความพยายามของผู้หญิงสิ้นหวังติดจั่น อันกินระยะเวลาประมาณหนึ่งเดือน โดยฉันต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าในย่านที่ไม่คุ้นเคยในเมืองใหญ่ที่ไม่เคยเติบโตมาก่อน มันเป็นย่านคนจีนที่มีร้านก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ หมูกรอบ หมูแดงเยอะพอๆกับร้านอาหารทั้งหมดในอำเภอต่างจังหวัดที่เป็นบ้านเกิดของฉันรวมกัน ตลอดระยะเวลาที่ต้องเรียนหนังสือที่นี่คงเพียงพอหรืออาจจะมีอีกเมนูเหลือเฟือให้ฉันได้ลองโดยไม่ต้องออกไปไหนไกลกว่าย่านนี้ "บางขุนนนท์" ฉันใช้เวลาสร้างความคุ้นเคยกับห้องสีเหลี่ยมกระเบื้องสีเขียวอ่อน และผนังสีเขียวอ่อน คล้ายกับโรงเรียนเด็กอนุบาลปฐมวัย มีผ้าม่านที่เจ้าของหอพักคู่รักวัยทองเลสเบี้ยนให้หยิบยืม เป็นผ้าฝ้ายสีขาวเหลืองที่ฉันเกลียด แต่ฉันก็ไม่สามารถหาผ้าม่านใหม่มาทดแทนได้ หนำซ้ำฉันซ้ำเติมความอัปลักษณ์ของห้องด้วยการซื้อผ้าปูเตียงและปลอกหมอนสีเขียวเทาอีก และเก้าอี้พลาสติกราคาถูกที่ฉันเดินแบกกลับหอในราคาหลักร้อย มาเพื่อจะนั่งอ่านหนังสือและนั่งสูบบุหรี่ริมระเบียง ฟังเสียงรถไฟเก่าๆ ดูฟ้าสีส้มและตึกอพาร์ตเม้นท์น่าโง่ตรงหน้าทุกเย็น
ในช่วงเดือนนั้นฉันทำทุกอย่างเพื่อให้แต่ละวันอันยากลำบากผ่านไปได้และไม่ตายไปเสียก่อน และผูกตัวเองไว้กับงานเขียนบทความวิชาการชิ้นหนึ่งที่ตั้งใจจะส่งไปเสนอในเวทีวิจัย ลึกๆในใจฉันอยากจะปรากฏและมองเห็น หลังจากที่ถูกผู้ชายพวกนั้นมองไม่เห็นมาสักพัก หรือบางช่วงในความสัมพันธ์ของเรา และมันคงจะดีไม่น้อยที่ฉันได้ไปอยู่ตรงนั้นด้วยตัวเอง ฉันพยายามจะพิสูจน์ตัวเองว่าฉันสามารถเขียนงานออกมาได้โดยไม่ต้องให้พวกเขามาช่วยเหลือ ถึงแม้ว่าจะมีการหยิบยืมหนังสือจากเขาและในตอนท้ายจะมีคนหนึ่งอาสามาพิสูจน์อักษรให้ฉันก็ตาม และช่วยวิจารณ์ไปชุดใหญ่ แต่ฉันก็ยังคิดว่าฉันพอจะภาคภูมิใจกับส่วนที่เหลือที่มาจากความสามารถของตัวเองไม่น้อย ในแต่ละวันฉันพาตัวเองไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดชั้นดีใกล้หอ ฉันไม่อยากบอกว่าเป็นที่ไหน เพราะถ้าคุณรู้ว่าบางขุนนนท์ใกล้อะไร คุณก็น่าจะเดาได้ไม่ยาก ซึ่งงานก็ไม่ได้เดินนัก เพราะจิตใจฉันอาละวาดชุดใหญ่ มันคงเครียดที่ต้องผ่านเรื่องราวหนักหน่วงมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ไว้ฉันค่อยเล่าเรื่องนั้นทีหลัง ฉันเลยหมดเวลาไปกับการจัดการความปั่นป่วนไปเสียมาก และมีเวลาเพียงเล็กน้อยในการลุกปล้ำตัวเองให้แก้งานชิ้นนั้น ซึ่งเป็นงานเก่าที่ฉันเพียงแต่แก้ไข เพิ่มเติมเนื้อหาและเรียบเรียงใหม่
มันคือสองวันสุดท้ายก่อนจะสิ้นสุดกำหนดการส่งบทความ และฉันก็เบื่อหน่ายบางอย่างและต้องการทำอะไรๆตื่นเต้น ฉันจึงเข้าไปในโลกนั้น ส่วนนั้นของโลกนั้นอีกครั้ง โดยฉันได้สมัครตัวตนหนึ่งๆเลือกรูปภาพที่คิดว่าดูดีสองสามรูปมาเป็นตัวแทนไว้นานแล้วอันมาจากคำแนะนำของเพื่อนสาวที่ได้แฟนฝรั่งรักระยะไกลทรหดจากพื้นที่ตรงนี้ "คนแบบแกน่าจะเหมาะกับฝรั่ง"
ส่วนมากฉันก็เลือกปัดชอบเฉพาะฝรั่ง และบางส่วนคนไทย จริงๆฉันต้องพูดว่าฉันไม่ได้ปัดชอบใครเลยทั้งนั้น นานๆทีฉันจะเลือกถูกใจฝรั่งที่ไม่ดูโอ้อวดเรือนร่างและความสามรถในการดื่มกิน และคนไทยที่ดูน่าจะพอคุยกันได้และไม่ถ่ายรูปรถยนต์ กล้ามใหญ่ เครื่องประดับ ในผับบาร์ และสวมแว่นตาดำ ฉันคุยกับหนุ่มแขกช่วงหนึ่ง แต่อินเตอร์เน็ตหอคุณภาพแย่ทำให้เขาใจร้อนและบอกฉันว่า "บางที่ผมก็สงสัยนะว่าคุณอาจจะอยู่ที่ดวงจันทร์ เพราะคุณใช้เวลานานมากกว่าจะตอบผม" ฉันจึงยกเลิกการจับคู่ของเราไป เพราะฉันไม่ได้อยู่ดวงจันทร์
เอาล่ะ ฉันก็จับคู่กับหนุ่มไทยวัยกระเต๊าะนายหนึ่งขึ้นมาในช่วงสองวันก่อนส่งบทความ พูดกันตามจริง เขาทำให้ฉันกระตือรือร้นในการเขียนงานให้เสร็จไวๆมาก เพราะฉันอยากจะพักผ่อนกับเขาอย่างเต็มที่หลังจากนั้น ฉันอดขำไม่ได้เมื่อนึกถึงคำพูดเพื่อนสาวสายฝอร่วมล่าใบปริญญามหาบัณฑิตที่เคยบอกว่า "สองอย่างที่ทำให้งานเดินได้เร็วคือ ความโกรธและผู้ชาย" ข้อหลังฉันค้นพบว่าเป็นความจริงก็เอาตอนนี้แหละ เขาเพิ่งเรียนจบด้านการทำภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัยศิลปะแห่งหนึ่ง อยู่ห่างจากฉันไม่กี่กิโลเมตร รูปภาพของเขาดูเป็นคนดื้อรั้นที่มั่นใจในตัวเอง แต่บางรูปกลับก้มหน้าก้มตาดูขี้อาย บางรูปดูขี้เซาเปื่อยเพราะมีหมอนรองคอเกาะบ่าไว้ และบางรูปดูทางการเพราะสวมสูทสีครีมผูกไทในสถานที่ดูขึงขัง และปิดท้ายด้วยรูปแมวที่ซุกตัวอยู่ในหมอนปลาวาฬเพชฆาต เขาแนะนำตัวด้วยข้อความสั้นๆว่าเป็น นักเรียนภาพยนตร์ ดนตรีซิตี้ป็อบ หนังสือ ศิลปะแนวทดลอง และคนรักแมว แต่สิ่งที่ฉันชอบเห็นจะเป็นภาพถ่ายเก่าๆของเขาสมัยเป็นเด็กที่ถ่ายคู่กับผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะเป็นแม่ แทบหาไม่ได้ผู้ชายที่จะลงรูปครอบครัวในพื้นที่แบบนี้ เขาน่าจะไม่ธรรมดาดาดดื่นในแง่นี้นัก และแน่นอน ซิตี้ป็อบมิวสิค และหนังสือ และนักเรียนหนัง และภาพบุคลิกขัดแย้งเหล่านั้น จริงๆฉันว่าฉันไม่ได้วิเคราะห์มากมายขนาดนี้ในตอนนั้นหรอก ฉันเพิ่งมาแจกแจงก็เอาตอนนี้ตอนที่เล่าให้พวกคุณฟัง แต่ใครจะรู้ได้บางทีการรับรู้และการประมวลผลเราอาจจะเร็วขนาดที่สามารถวิเคราะห์ทั้งหมดภายในปัดเดียว แม้ว่าตอนนั้นฉันก็อาจจะแค่ ชอบและปัดขวาและ บูม! คุณจับคู่กับเขาแล้วก็ตาม เขาทักมาหลังจากนั้นไม่นานนัก แบบห้วนๆอย่างเช่น "หวัดดี" ฉันใช้ชื่อปลอมๆในการอยู่ในพื้นที่แบบนี้ เพราะฉันคิดว่ามันน่าจะทำให้ฉันอุ่นใจแบบแปลกๆ อย่างน้อยคนพวกนั้นก็ไม่ได้รู้จักฉันจริงๆได้ในตอนแรก ฉันทักทายเขาว่า "โจ้ว โจ้ว" แบบแร็พเอก เขาเอาหนังสั้นที่ทำเป็นโปรเจ็คจบให้ฉันดูและกำชับไม่ให้ฉันแบ่งปันต่อเพราะต้องเอาไปฉายในงานสักที่ก่อน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in