เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
LOVE & FATE of Yuri 'ยูริ'i3e-dwz
YURI : 06 : 'ฉันไม่อยากให้นายตีกรอบตัวเองไว้ด้วยคำสัญญา'
  • วิคเตอร์เล่าว่าเขาอยู่ในหอพักที่มีแต่พวกนักกีฬาอยู่เสียส่วนใหญ่ ก่อนมาถึงจริงๆ ยูริก็จินตนาการเอาไว้อย่างแย่ที่สุดแล้วว่ามันคงจะไม่ค่อยสะอาดและมีแต่กลิ่นเหงื่อกับกลิ่นเสื้อผ้าเหม็นอับแน่ๆ สำหรับห้องของคนอื่นยูริไม่รู้ แต่พอไขกุญแจเข้าห้องพักของวิคเตอร์แล้วก็พบว่ามันต่างจากความคิดไปคนละทิศละทาง เพราะห้องของเขาสะอาดสะอ้าน รูปถ่ายบนผนังกับชั้นหนังสือและที่แขวนเสื้อดูเข้ากันไปหมด เขาบอกว่าเตียงล่างเป็นของเขา ส่วนเตียงบนเป็นรูมเมทจากชมรมเบสบอล หลังจากยูริเดินสำรวจตรงนั้นตรงนี้จนหมดแล้วก็ถึงเวลาทิ้งตัวลงกับเตียงของเขาเสียที  ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางคนเดียวเป็นครั้งแรกแสดงผลชัดเจนอยู่ในตอนนี้ ยูริรู้สึกว่าหนังตาเริ่มที่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเจ้าตัวเลือกที่จะไม่ยื้อเอาไว้อีกต่อไป

    ไม่รู้เมื่อไหร่ที่หลับไป แต่ยูริตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงและสัมผัสของเขา พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าหน้าของวิคเตอร์อยู่ใกล้แค่คืบ แถมเขายังขโมยหอมแก้มแทนคำทักทายกันอีก

    “ชั่วโมงนึงพอดี” เขาพูดเหมือนกับรายงานตัว พอได้ยินอย่างนั้นยูริก็ทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ภาพผู้หญิงหลายคนที่ยืนรุมล้อมและวิคเตอร์ที่ยิ้มเหมือนแก้มจะแตกอยู่แล้วนั่นก็ทำให้คนสวยต้องหน้ามุ่ยอีกหน

    “แฟนๆ กลับไปหมดแล้วหรือไง”

    “โธ่ ยูริ”

    เขาวาดแขนกอดยูริ แล้วจูบหยอกล้ออยู่ที่แก้มนุ่มๆ นั้นจนเริ่มที่จะเจือสีแดงขึ้นมา

    “ไม่ต้องมาพูดเลย”

    “แต่ฉันอยากพูดให้นายเข้าใจนี่ คนพวกนั้นชอบฉันจริงๆ แล้วถ้าฉันจะปฏิเสธทุกอย่างจากพวกเขามันจะไม่หยาบคายไปหน่อยหรือไง”

    “แต่นายมีแฟนแล้ว ได้บอกเขาไปหรือเปล่า”

    “บอกแล้ว…”

    “ทำไมเขาไม่เกรงใจกันเลยนะ”

    “ก่อนออกมาฉันบอกว่าต้องรีบกลับแล้ว แฟนรออยู่ที่หอ พวกเขาก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แน่ะ”

    “ก็ดีแล้ว”

    “คนอะไรขึ้หึงจังเลยนะ”

    “ไม่แซวกันได้ไหมวิคเตอร์”

    “ครับๆ จะไม่แซวคุณยูริอีกแล้วครับ”

    เขาเรียกว่าคุณยูริ ที่จริงแล้วยูริเคยจินตนาการถึงการใช้ชีวิตร่วมกันกับวิคเตอร์เพียงลำพังอย่างคู่รักทั่วๆ ไปอยู่บ่อยครั้ง เคยคิดว่าเมื่อต่างคนต่างโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้สรรพนามที่ใช้เรียกกันอาจเปลี่ยนไปบ้าง ยูริจะเรียกวิคเตอร์ว่าคุณวิคเตอร์ และวิคเตอร์ก็น่าจะเรียกยูริว่า คุณยูริ เหมือนกัน

    “หิวหรือเปล่า”

    “ไม่เลย”

    “แต่ฉันหิวนะยูริ”

    ยูริหันไปมองเขาตาแป๋ว จะว่าไปก็หอบคุ้กกี้ที่ลองอบเองมาฝากวิคเตอร์ด้วย

    “คงจะซ้อมหนักมาเลยใช่ไหม...ฉันมี…”

    พอยูริกระวีกระวาดจะลุกไปหยิบกระเป๋าใบโตที่หอบมาด้วยก็ถูกรั้งให้ลงมานั่งตักวิคเตอร์เหมือนเดิม ก่อนที่เสียงกระซิบของเขาจะทำให้คนสวยจากยงอินต้องหน้าแดงไปหมด

    “รูมเมทฉันไปแข่งอุ่นเครื่องที่พูซาน อีกหลายวันกว่าจะกลับ”

    “ย...อย่างนี้นี่เอง”

    “นะ” 

    เขาอ้อน เอาหัวมาซุกกับอกของยูริจนเจ้าตัวเขินจนประหม่าไปหมด

    “ฉันคิดถึงนายมากๆ นอนดูรูปนายทุกคืน อดทนทุกคืน พอเห็นว่ามาอยู่แค่เอื้อมแบบนี้จะให้อดทนต่อไปได้ยังไง ฉันไม่ใช่พระซะหน่อย”

    “คนบ้า…”

    ยูริทุบกำปั้นเบาๆ ลงกับหัวไหล่ของเขาอย่างเขินอายไม่หาย ก่อนที่จะโน้มหน้าไปรับจูบจากเขาอย่างเต็มใจ แล้วต่อจากนั้นเรื่องหฤหรรษ์สำหรับคนสองคนก็เกิดขึ้นบนเตียงชั้นล่างในหอพักชายแห่งนี้

    สำหรับยูริแล้ว การที่กล้าเดินทางไกลมาตามลำพังแบบนี้ก็เพราะว่าคิดถึง และพอได้ยินและได้เห็นว่าอีกฝ่ายคิดถึงกันจริงๆ ไม่ใช่แค่แกล้งหยอดให้ดีใจแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกดีจนต้องการคำอื่นที่หมายถึงอะไรที่มากกว่าความคุ้มค่ามาอธิบายความรู้สึก ยูริรักวิคเตอร์ ทั้งรักแล้วก็อยากดูแลในขณะเดียวกันก็อยากถูกผู้ชายคนนี้ดูแลและทะนุถนอมแบบนี้เสมอ อยากให้เขาเป็นเพียงรักเดียวในชีวิตด้วยซ้ำไป




    ครู่ต่อมา ยูริรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดอย่างแรงที่ไม่หักใจจากความคิดถึงและเสน่ห์ของวิคเตอร์เอาไว้ได้ เพราะเตียงเหล็กสองชั้นเจ้ากรรมที่เพิ่งจะเคยนอนเป็นครั้งแรกหลังนี้ส่งเสียงน่าอายออกมาไม่หยุด ถึงที่อยู่ตรงหน้านี้จะเป็นวิคเตอร์ก็ยังน่าอาย ยูริได้แต่ภาวนาให้มันเงียบลงเสียทีแต่อีกใจก็รู้ดีว่ามันจะเงียบลงได้ก็ต่อเมื่อไปถึงที่หมายกับวิคเตอร์แล้วเท่านั้น 
    แต่อย่างไรการอยู่ในอ้อมกอดของวิคเตอร์ก็ยังเหมือนกับถูกโอบล้อมไปด้วยความแข็งแรงทั้งหมดจนยูริคิดเอาเองว่าอย่างไรก็คงจะปลอดภัยแน่ๆ ถ้ามีวิคเตอร์อยู่ตรงนี้และแม้ว่าเขาจะทั้งแข็งแกร่งและแข็งแรงแต่เมื่อไรที่เขาพูดคุยหรือแสดงความเป็นห่วงต่อกันแล้วเขาจะเป็นคนที่มีแต่ความอ่อนโยนและนุ่มนวล ยูริตัวเล็กกว่าเขาตั้งมาก ทั้งสูงน้อยกว่าแล้วก็ผอมกว่านักกีฬาอย่างเขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่เวลาที่เขาโน้มตัวลงมาใกล้ๆ ก็เหมือนกับว่าเขาจะขย้ำและกลืนยูริลงท้องไปง่ายๆ เลยด้วยซ้ำ...




    - YURI -



    แม่บุญธรรมของยูริยิ้มแป้นเลยตอนที่จู่ๆ วิคเตอร์ก็โผล่มาช่วยเตรียมอาหารเย็น ปกติแล้วเธอจะมีมื้อเย็นง่ายๆ ร่วมกับยูริ แต่พอมีเขาที่เป็นเหมือนลูกชายอีกคนมาร่วมด้วยในโอกาสพิเศษแบบนี้ก็เลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ
    วันรุ่งขึ้นเขาต้องไปทำหน้าที่ลูกชายอีกอย่าง นั่นก็คือการเข้ารับใช้ชาติที่ทำให้ทุกคนในละแวกบ้านดีใจกันยกใหญ่เนื่องจากเขาเป็นเหมือนลูกชายของคนทั้งเมืองไม่มีผิด แม้กระทั่งแม่บุญธรรมของยูริเองก็เอ็นดูเขาแบบนั้น แต่คนเดียวที่ไม่ได้รู้สึกดีใจหรือชื่นใจไปกับเขาเลยก็คือยูริที่ไม่ยอมคุยกับเขามานับเดือน พอถึงเวลาปิดภาคเรียนเขากลับมาที่บ้านอีกครั้งยูริก็เอาแต่หลบหน้าจนกระทั่งเมื่อเขาบุกมาในเวลาอาหารเย็นแบบนี้นี่เองที่ทำให้หนีไม่พ้นอีกต่อไป

    มีวิคเตอร์ที่ไม่เข้าใจจิตใจกันเลยอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ยูริไม่เจริญอาหาร กินข้าวได้ไม่ทันหมดถ้วยก็บอกว่าอิ่มก่อนจะวิ่งหนีขึ้นห้องไปโดยที่ไม่ฟังเสียงใครอีก 

    ขณะที่คนแทบทั้งหมู่บ้านอยากจะไปส่งวิคเตอร์จนกว่าจะลับสายตา แต่ยูริที่สนิทกันที่สุดกลับพูดตรงกันข้าม เจ้าตัวว่าต่อให้วิคเตอร์จะหายไปสองปี หรือสิบปี ก็จะไม่มีทางไปส่งแน่ๆ และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่วิคเตอร์มาโดยไม่บอกกล่าว แล้วเขาก็เป็นลูกชายอีกคนของคุณแม่ เรื่องเข้านอกออกในบ้านของยูริก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนกันสำหรับการเปิดประตูเข้าห้องนอนของยูริโดยไม่บอกกล่าว

    ยูริทำเป็นอ่านหนังสือไม่สนใจการมาของเขาในตอนแรก แต่ก็ต้องเลิกทำเมื่อเขานอนหนุนตักแล้วก็แย่งหนังสือไปจากมือ

    “อย่าแกล้งกันได้ไหม”

    “ไม่อย่างนั้นเราจะได้คุยกันเมื่อไหร่”

    “ฉันไม่มีอะไรต้องคุยกับนายนี่วิคเตอร์”

    “โกหก”

    “หืม?”

    “ที่บอกว่าไม่อยากไปส่งฉันเพราะไม่ได้ห่วงหรือกังวลอะไร แล้วยังบอกว่าจะไปเป็นสิบปีเลยก็ได้นั่นโกหกทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ฉันหรอก แต่ทั้งหมู่บ้านรู้กันหมดนั่นแหละ”

    ยูริทำหน้าตูมแล้วสะบัดมองไปทางอื่น ไม่ใช่ว่าโกรธคนรักที่จะต้องไปทำหน้าที่ แต่ที่โกรธแล้วก็หงุดหงิดมากๆ ในพักนี้อยู่ก็เพราะว่าไม่รู้จะต้องโกรธใครถึงจะตรงจุด วิคเตอร์ก็ไม่ได้อยากไป แต่ประเทศชาติต้องการเขา… เขาไม่เหมือนยูริที่ถือสัญชาติอื่น ต่อให้เลือกได้ว่าจะไปตอนไหนแต่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่เขาก็ต้องไปอยู่ดี เขาพูดเองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่พอเรียนจบแล้วก็ต้องไปทันที ขืนช้าไปกว่านี้ร่างกายอาจจะไม่ไหวต่อการฝึกหนักอีกแล้วก็ได้  
    ซึ่งเขาก็พูดถูก….แต่ยูริไม่อยากให้เขาไป  
    ลำพังสามสี่ปีที่เขาไปทุ่มเทให้กับการเรียนและกีฬาในเมืองหลวงมันก็มากพอแล้ว แค่คิดว่าจะต้องรออีกสองปี คิดจะเจอหน้ากันตอนไหนเมื่อไหร่ก็ทำไม่ได้เท่านี้ก็เครียดจะแย่แล้ว

    “พรุ่งนี้ฉันต้องไปแต่เช้ากับบ้านแทคเบ พ่อแม่ไอ้หมอนั่นจะขับรถไปส่ง”

    “ก็โชคดีก็แล้วกัน”

    “แค่นี้?”

    “อืม”

    ยูริดื้อมาก ซ้ายไม่เอาขวาก็ไม่เอาอีกแล้วจนวิคเตอร์เหนื่อยใจ แต่ถ้าเขาพูดอะไรตามใจตัวเองออกไปก็เหมือนชวนทะเลาะไม่มีผิด
    การอยู่ห่างกันโดยเฉพาะในช่วงเดือนแรกคงทำให้ยูริหายงอนแล้วก็ยิ่งคิดถึงกันได้บ้าง ซึ่งเขาภาวนาให้มันเป็นอย่างนั้น

    “ยูริ…”

    “ว่ามาสิ”

    “ฝากดูแลต้นไม้ด้วย ถึงมันจะเยอะไปหน่อยเพราะบ้านใหม่ของนายหลังใหญ่โตขนาดนี้ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ช่วยดูแปลงกุหลาบแล้วต้นซากุระที่ฉันลงไว้เอาไว้ก็พอ แล้วฉันก็รู้ว่านายชอบของสวยๆงามๆ แต่จะจับผีเสื้อไม่ได้เด็ดขาด ถ้านายยิ่งพยายามจับมันก็จะยิ่งหนี เพราะฉะนั้นนายต้องเป็นมิตรกับมัน แล้วมันจะเป็นมิตรกับนายเอง”

    คนขี้งอนไม่ยอมรับปากทว่าต่อจากนั้นวิคเตอร์รู้สึกถึงน้ำตาที่หยดลงตรงปลายจมูกของเขาพอดี พอแหงนหน้ามองเจ้าของตัดที่เขานอนหนุนอยู่แล้วถึงได้เห็นว่าสุดท้ายแล้วยูริก็ใจอ่อนร้องไห้ออกมาจนได้ เขาเองก็พอเดาได้ว่าตั้งแต่ที่เขาบอกเรื่องไปเกณฑ์ทหารยูริที่เอาแต่ต่อต้านก็คงแอบร้องไห้อยู่คนเดียวบ่อยๆ จนกระทั่งก่อนหน้านี้ก็ยังตั้งใจว่าจะร้องเฉพาะตอนอยู่คนเดียว แต่ที่สุดแล้วกำแพงก็พังลงจนได้

    ยูริกับวิคเตอร์พบกันตอนอายุสิบสาม พวกเขารู้จักกันในตอนที่ร่างกายและจิตใจกำลังเจริญเติบโตอยู่ในโค้งอันตราย แต่ความสัมพันธ์ของเด็กสองคนในตอนนั้นก็นำพาพวกเขาผ่านอุปสรรคและเรื่องราวมากมายไม่ว่าจะในหมู่บ้านนี้หรือเมืองใหญ่ ในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ถึงคราวต้องรับผิดชอบมากขึ้น มากพอที่จะต้องสละความสุขของตัวเองและฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ
    ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นเหมือนต้นไม้ แรกเริ่มเป็นเพียงเมล็ดพันธ์แต่นานวันเข้าดอกใบก็เริ่มงอกงามและงอกเงยมากเมื่อถึงเวลาออกดอกแต่ถึงตอนนั้นเหลือบไรก็กลายเป็นอุปสรรคชั้นดี 
    หากแข็งแกร่งและแน่วแน่พอจะประคับประคองไปเรื่อยนั้นก็จะโตได้ไม่รู้จบ

    “ก็แค่นี้เอง ทำไมต้องทำเป็นไม่สนใจกันด้วย”

    “ฉันไม่อยากให้นายไปไหนนี่”

    วิคเตอร์ลุกขึ้น เช็ดน้ำตาที่แก้มให้ยูริอย่างอ่อนโยน ในขณะเดียวกันก็ปลอบกันด้วยรอยยิ้มที่ยูริหลงรักมาตั้งแต่ต้น

    “ฉันก็ไม่อยากไป คิดว่าฉันภูมิใจกับการที่พ่อตายในชุดทหารเหมือนที่ทุกคนบอกให้ภูมิใจขนาดนั้นเลยหรือไง”

    พ่อของวิคเตอร์ตายในหน้าที่ ทุกคนบอกว่าเขามีเกียรติที่ได้ทำหน้าที่รั้วของชาติ แต่วิคเตอร์พูดกับยูริอยู่หนหนึ่งว่าต่อให้การตายของพ่อจะทำให้โลกใบนี้สงบสุขขึ้นมาได้ เขาก็ยินดีให้มีครอบครัวอยู่พร้อมหน้าท่ามกลางโลกที่วุ่นวายยังดีกว่า  เขาไม่ได้ต่อต้านการรับใช้ชาติแบบผู้ชายเกาหลี มันไม่ใช่แบบนั้น แต่คนที่ไม่ได้เสียครอบครัวไปอย่างเขา ใครจะเข้าใจ

    พ่อของยูริก็เป็นนายทหาร ยศเขาสูงพอที่จะถูกส่งมาที่ดินแดนทางเหนือ แต่ยูริไม่ได้รับรู้อะไรมากเพราะพ่อแม่ไม่เคยเล่าให้ฟัง บันทึกที่เขียนเอาไว้ก็ไม่เคยปรากฏเรื่องพวกนี้ ก่อนจะถูกสังหารพ่อและแม่กำลังประสบความสำเร็จเรื่องธุรกิจ ไม่มีเรื่องการทหารและการเมืองเลย แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตายไปเพราะเหตุผลนั้น

    “สงครามไม่เคยทำให้ใครมีความสุขหรอก ที่ฉันจะไปพรุ่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของสงครามด้วยเหมือนกัน แต่ว่านะ...ยูริ คนเราไม่ได้มีทางเลือกเสมอไป ทั้งฉันและนายเราเลือกที่จะอยู่ด้วยกันในระหว่างนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องอดทนนะ เราทั้งคู่น่ะ”

    “วิคเตอร์”

    คนตัวบางที่ยังสะอึกสะอื้นนั้นโผเข้ากอดคนรัก พวกเขากอดปลอบกันและกันอย่างไม่ซับซ้อน แต่ส่งถึงใจ

    “เราเป็นของกันและกันนะวิคเตอร์…และสำหรับฉัน ฉันจะเป็นของนายคนเดียวด้วย ดังนั้นระหว่างที่ฝึก...ถ้านายบาดเจ็บหรือไม่สบายตรงไหนอย่าโกหกนะ อย่างน้อยก็บอกกับฉันตรงๆ เห็นใจฉันเถอะ”

    “ฉันจะไม่โกหก ไม่ปิดบังนาย” 

    เขารับปาก 

    “แต่ฉันไม่อยากให้นายตีกรอบตัวเองไว้ด้วยคำสัญญา ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหรอกนะที่นายกล้ารับปากว่าจะเป็นของฉันคนเดียว แต่ใครก็รู้ว่าอนาคตมันไม่แน่นอนเลยยูริ หรือไม่...ฉันก็แค่กลัวว่าวันนึงคำพูดพวกนี้จะมาผูกมัดตัวนายเอง”

    “ฉันไม่สน ฉันมั่นใจ...มั่นใจว่าฉันคงจะไม่รักใครอีกแล้วนอกจากนาย”



    - YURI -



    แม่บุญธรรมของยูริยิ้มแป้นเลยตอนที่จู่ๆ วิคเตอร์ก็โผล่มาช่วยเตรียมอาหารเย็น ปกติแล้วเธอจะมีมื้อเย็นง่ายๆ ร่วมกับยูริ แต่พอมีเขาที่เป็นเหมือนลูกชายอีกคนมาร่วมด้วยในโอกาสพิเศษแบบนี้ก็เลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ
    วันรุ่งขึ้นเขาต้องไปทำหน้าที่ลูกชายอีกอย่าง นั่นก็คือการเข้ารับใช้ชาติที่ทำให้ทุกคนในละแวกบ้านดีใจกันยกใหญ่เนื่องจากเขาเป็นเหมือนลูกชายของคนทั้งเมืองไม่มีผิด แม้กระทั่งแม่บุญธรรมของยูริเองก็เอ็นดูเขาแบบนั้น แต่คนเดียวที่ไม่ได้รู้สึกดีใจหรือชื่นใจไปกับเขาเลยก็คือยูริที่ไม่ยอมคุยกับเขามานับเดือน พอถึงเวลาปิดภาคเรียนเขากลับมาที่บ้านอีกครั้งยูริก็เอาแต่หลบหน้าจนกระทั่งเมื่อเขาบุกมาในเวลาอาหารเย็นแบบนี้นี่เองที่ทำให้หนีไม่พ้นอีกต่อไป

    มีวิคเตอร์ที่ไม่เข้าใจจิตใจกันเลยอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ยูริไม่เจริญอาหาร กินข้าวได้ไม่ทันหมดถ้วยก็บอกว่าอิ่มก่อนจะวิ่งหนีขึ้นห้องไปโดยที่ไม่ฟังเสียงใครอีก 

    ขณะที่คนแทบทั้งหมู่บ้านอยากจะไปส่งวิคเตอร์จนกว่าจะลับสายตา แต่ยูริที่สนิทกันที่สุดกลับพูดตรงกันข้าม เจ้าตัวว่าต่อให้วิคเตอร์จะหายไปสองปี หรือสิบปี ก็จะไม่มีทางไปส่งแน่ๆ และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่วิคเตอร์มาโดยไม่บอกกล่าว แล้วเขาก็เป็นลูกชายอีกคนของคุณแม่ เรื่องเข้านอกออกในบ้านของยูริก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนกันสำหรับการเปิดประตูเข้าห้องนอนของยูริโดยไม่บอกกล่าว

    ยูริทำเป็นอ่านหนังสือไม่สนใจการมาของเขาในตอนแรก แต่ก็ต้องเลิกทำเมื่อเขานอนหนุนตักแล้วก็แย่งหนังสือไปจากมือ

    “อย่าแกล้งกันได้ไหม”

    “ไม่อย่างนั้นเราจะได้คุยกันเมื่อไหร่”

    “ฉันไม่มีอะไรต้องคุยกับนายนี่วิคเตอร์”

    “โกหก”

    “หืม?”

    “ที่บอกว่าไม่อยากไปส่งฉันเพราะไม่ได้ห่วงหรือกังวลอะไร แล้วยังบอกว่าจะไปเป็นสิบปีเลยก็ได้นั่นโกหกทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ฉันหรอก แต่ทั้งหมู่บ้านรู้กันหมดนั่นแหละ”

    ยูริทำหน้าตูมแล้วสะบัดมองไปทางอื่น ไม่ใช่ว่าโกรธคนรักที่จะต้องไปทำหน้าที่ แต่ที่โกรธแล้วก็หงุดหงิดมากๆ ในพักนี้อยู่ก็เพราะว่าไม่รู้จะต้องโกรธใครถึงจะตรงจุด วิคเตอร์ก็ไม่ได้อยากไป แต่ประเทศชาติต้องการเขา… เขาไม่เหมือนยูริที่ถือสัญชาติอื่น ต่อให้เลือกได้ว่าจะไปตอนไหนแต่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่เขาก็ต้องไปอยู่ดี เขาพูดเองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่พอเรียนจบแล้วก็ต้องไปทันที ขืนช้าไปกว่านี้ร่างกายอาจจะไม่ไหวต่อการฝึกหนักอีกแล้วก็ได้  
    ซึ่งเขาก็พูดถูก….แต่ยูริไม่อยากให้เขาไป  
    ลำพังสามสี่ปีที่เขาไปทุ่มเทให้กับการเรียนและกีฬาในเมืองหลวงมันก็มากพอแล้ว แค่คิดว่าจะต้องรออีกสองปี คิดจะเจอหน้ากันตอนไหนเมื่อไหร่ก็ทำไม่ได้เท่านี้ก็เครียดจะแย่แล้ว

    “พรุ่งนี้ฉันต้องไปแต่เช้ากับบ้านแทคเบ พ่อแม่ไอ้หมอนั่นจะขับรถไปส่ง”

    “ก็โชคดีก็แล้วกัน”

    “แค่นี้?”

    “อืม”

    ยูริดื้อมาก ซ้ายไม่เอาขวาก็ไม่เอาอีกแล้วจนวิคเตอร์เหนื่อยใจ แต่ถ้าเขาพูดอะไรตามใจตัวเองออกไปก็เหมือนชวนทะเลาะไม่มีผิด
    การอยู่ห่างกันโดยเฉพาะในช่วงเดือนแรกคงทำให้ยูริหายงอนแล้วก็ยิ่งคิดถึงกันได้บ้าง ซึ่งเขาภาวนาให้มันเป็นอย่างนั้น

    “ยูริ…”

    “ว่ามาสิ”

    “ฝากดูแลต้นไม้ด้วย ถึงมันจะเยอะไปหน่อยเพราะบ้านใหม่ของนายหลังใหญ่โตขนาดนี้ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ช่วยดูแปลงกุหลาบแล้วต้นซากุระที่ฉันลงไว้เอาไว้ก็พอ แล้วฉันก็รู้ว่านายชอบของสวยๆงามๆ แต่จะจับผีเสื้อไม่ได้เด็ดขาด ถ้านายยิ่งพยายามจับมันก็จะยิ่งหนี เพราะฉะนั้นนายต้องเป็นมิตรกับมัน แล้วมันจะเป็นมิตรกับนายเอง”

    คนขี้งอนไม่ยอมรับปากทว่าต่อจากนั้นวิคเตอร์รู้สึกถึงน้ำตาที่หยดลงตรงปลายจมูกของเขาพอดี พอแหงนหน้ามองเจ้าของตัดที่เขานอนหนุนอยู่แล้วถึงได้เห็นว่าสุดท้ายแล้วยูริก็ใจอ่อนร้องไห้ออกมาจนได้ เขาเองก็พอเดาได้ว่าตั้งแต่ที่เขาบอกเรื่องไปเกณฑ์ทหารยูริที่เอาแต่ต่อต้านก็คงแอบร้องไห้อยู่คนเดียวบ่อยๆ จนกระทั่งก่อนหน้านี้ก็ยังตั้งใจว่าจะร้องเฉพาะตอนอยู่คนเดียว แต่ที่สุดแล้วกำแพงก็พังลงจนได้

    ยูริกับวิคเตอร์พบกันตอนอายุสิบสาม พวกเขารู้จักกันในตอนที่ร่างกายและจิตใจกำลังเจริญเติบโตอยู่ในโค้งอันตราย แต่ความสัมพันธ์ของเด็กสองคนในตอนนั้นก็นำพาพวกเขาผ่านอุปสรรคและเรื่องราวมากมายไม่ว่าจะในหมู่บ้านนี้หรือเมืองใหญ่ ในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ถึงคราวต้องรับผิดชอบมากขึ้น มากพอที่จะต้องสละความสุขของตัวเองและฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ
    ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นเหมือนต้นไม้ แรกเริ่มเป็นเพียงเมล็ดพันธ์แต่นานวันเข้าดอกใบก็เริ่มงอกงาม และงอกเงยมากเมื่อถึงเวลาออกดอก แต่ถึงตอนนั้นเหลือบไรก็กลายเป็นอุปสรรคชั้นดี แต่หากแข็งแกร่งและแน่วแน่พอจะประคับประคองไปเรื่อยนั้นก็จะโตได้ไม่รู้จบ

    “ก็แค่นี้เอง ทำไมต้องทำเป็นไม่สนใจกันด้วย”

    “ฉันไม่อยากให้นายไปไหนนี่”

    วิคเตอร์ลุกขึ้น เช็ดน้ำตาที่แก้มให้ยูริอย่างอ่อนโยน ในขณะเดียวกันก็ปลอบกันด้วยรอยยิ้มที่ยูริหลงรักมาตั้งแต่ต้น

    “ฉันก็ไม่อยากไป คิดว่าฉันภูมิใจกับการที่พ่อตายในชุดทหารเหมือนที่ทุกคนบอกให้ภูมิใจขนาดนั้นเลยหรือไง”

    พ่อของวิคเตอร์ตายในหน้าที่ ทุกคนบอกว่าเขามีเกียรติที่ได้ทำหน้าที่รั้วของชาติ แต่วิคเตอร์พูดกับยูริอยู่หนหนึ่งว่าต่อให้การตายของพ่อจะทำให้โลกใบนี้สงบสุขขึ้นมาได้ เขาก็ยินดีให้มีครอบครัวอยู่พร้อมหน้าท่ามกลางโลกที่วุ่นวายยังดีกว่า  เขาไม่ได้ต่อต้านการรับใช้ชาติแบบผู้ชายเกาหลี มันไม่ใช่แบบนั้น แต่คนที่ไม่ได้เสียครอบครัวไปอย่างเขา ใครจะเข้าใจ

    พ่อของยูริก็เป็นนายทหาร ยศเขาสูงพอที่จะถูกส่งมาที่ดินแดนทางเหนือ แต่ยูริไม่ได้รับรู้อะไรมากเพราะพ่อแม่ไม่เคยเล่าให้ฟัง บันทึกที่เขียนเอาไว้ก็ไม่เคยปรากฏเรื่องพวกนี้ ก่อนจะถูกสังหารพ่อและแม่กำลังประสบความสำเร็จเรื่องธุรกิจ ไม่มีเรื่องการทหารและการเมืองเลย แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตายไปเพราะเหตุผลนั้น

    “สงครามไม่เคยทำให้ใครมีความสุขหรอก ที่ฉันจะไปพรุ่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของสงครามด้วยเหมือนกัน แต่ว่านะ...ยูริ คนเราไม่ได้มีทางเลือกเสมอไป ทั้งฉันและนายเราเลือกที่จะอยู่ด้วยกันในระหว่างนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องอดทนนะ เราทั้งคู่น่ะ”

    “วิคเตอร์”

    คนตัวบางที่ยังสะอึกสะอื้นนั้นโผเข้ากอดคนรัก พวกเขากอดปลอบกันและกันอย่างไม่ซับซ้อน แต่ส่งถึงใจ

    “เราเป็นของกันและกันนะวิคเตอร์…และสำหรับฉัน ฉันจะเป็นของนายคนเดียวด้วย ดังนั้นระหว่างที่ฝึก...ถ้านายบาดเจ็บหรือไม่สบายตรงไหนอย่าโกหกนะ อย่างน้อยก็บอกกับฉันตรงๆ เห็นใจฉันเถอะ”

    “ฉันจะไม่โกหก ไม่ปิดบังนาย” เขารับปาก “แต่ฉันไม่อยากให้นายตีกรอบตัวเองไว้ด้วยคำสัญญา ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหรอกนะที่นายกล้ารับปากว่าจะเป็นของฉันคนเดียว แต่ใครก็รู้ว่าอนาคตมันไม่แน่นอนเลยยูริ หรือไม่...ฉันก็แค่กลัวว่าวันนึงคำพูดพวกนี้จะมาผูกมัดตัวนายเอง”

    “ฉันไม่สน ฉันมั่นใจ...มั่นใจว่าฉันคงจะไม่รักใครอีกแล้วนอกจากนาย”





    - YURI -




    ผ่านไปกว่าครึ่งปีของการเข้ากรมทหารของวิคเตอร์ ในจดหมายฉบับแรกที่เขาเขียนให้ระหว่างฝึกเดือนแรกเขาแทบจะบ่นบรรทัดเว้นบรรทัดว่าเขาไม่เหมาะกับการใช้กำลังประเภทนี้เลย แต่ยูริเชื่อว่าต่อให้เขาจะบ่นมากแค่ไหนแต่เขาก็ทำได้ดีเสมอ โชคดีที่วิคเตอร์สังกัดหน่วยที่ดี ที่นั่นมีสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานสำหรับให้เขากลายเป็นปลาฉลามทุกครั้งที่กระโดลงสระ ตอนที่ยูริไปเยี่ยมเขาครั้งล่าสุดที่นั่น เขาเกือบจะกลายเป็น ‘ผู้ชายอกสามศอก’ จริงๆ เสียแล้ว


    .



    ถึง ยูริที่รัก


    ฉันกำลังแอบเขียนจดหมายอยู่ในโรงนอน ที่จริงฉันตั้งใจว่าจะเขียนมันในวันพรุ่งนี้ แต่ฉันคงจะนอนไม่หลับแน่ถ้าทำอย่างนั้น ตอนนี้ถึงได้มีแค่แสงจากหลอดไฟข้างนอกเท่านั้นที่ทำให้ฉันมองเห็นได้ หรือไม่ก็อาจเป็นไฟในหัวใจของฉันด้วยเหมือนกันที่ทำให้ฉันมองเห็น
    วันนี้เท่าฉันเป็นแผลจากการเดินขึ้นเขา เราต้องข้ามลำธาร ขึ้นทางลาดชันไปพร้อมกับอุปกรณ์หนักหลายกิโลที่แบกออกมา ครูฝึกบอกว่าจะหยุดพักบ้างก็ได้ แต่ทำได้ยังไงล่ะ ตำแหน่งนายทหารชั้นเยี่ยมค้ำคอฉันจนก้มไม่ลงเลย พอเดินไปเรื่อยๆ ก็ชักจะสนุกขึ้นมา แต่หมอบอกว่าท่าเดินฉันแปลกๆ เขาสั่งให้ถอดรองเท้าดูถึงได้รู้ว่าตอนนั้นเท้าเปื่อยไปหมดเพราะเลือดไหลออกมาไม่หยุด ขอโทษนะถ้านายกำลังกินข้าวอยู่…
    ทุกคนบอกว่าฉันควรจะหยุดบ้าง แม้แต่ครูฝึกก็คิดแบบนั้นแต่ถ้าฉันทำเวลาได้ดีเท่าไหร่โอกาสในการได้รับวันหยุดก็ยิ่งมากเท่านั้น ฉันถือคติการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน อดทนวันนี้เพื่อที่จะได้กลับไปหานายในวันข้างหน้า ฉันมาคิดๆ ดูแล้วว่าการกลับไปหานายที่บ้านจะดีกว่าการที่ให้นายมาหาฉันที่หน่วยเหมือนคราวก่อนแน่ ไม่ต้องมาอีกแล้วนะยูริ เพราะหลังจากที่นายกลับไปครั้งก่อน เจ้าพวกที่หน่วยเอาแต่เพ้อถึงนายไม่หยุด แจจุงอย่างนั้น แจจุงอย่างนี้ จนฉันแทบจะต่อยปากเรียงคนอยู่แล้ว ไหนจะบอกว่าข้าวกลางวันที่นายเอามาฝากอร่อยที่สุดอีก เมื่อก่อนฉันก็เป็นคนดังเพราะเป็นทหารชั้นเยี่ยม แต่หลังจากนายกลับไปฉันเป็นคนดังเพราะนายมาหาไปแล้ว ไม่ดีเลย

    ดังนั้น ช่วงนี้อาจต้องทนคิดถึงหน่อย ฉันขอห้ามไม่ให้นายมาที่นี่!! ถ้ามาก็อย่าเอากับข้าวมาเผื่อคนอื่นเหมือนครั้งก่อน เอามาให้ฉันคนเดียวก็พอ แต่ถ้าจะให้ดีก็รอฉันอยู่ที่บ้านเถอะนะ ฉันจะตั้งใจในส่วนของฉันแล้วจะไปกดกริ่งหน้าบ้านนายด้วยตัวเอง

    ฉันหาวเป็นครั้งที่สามแล้ว...เห็นไหมว่าถ้าเขียนจดหมายหานายสักหน่อยก็จะนอนหลับสบายทั้งคืน เพราะฉะนั้นฉันคงจะต้องวางปากกา ปิดซองให้เรียบร้อย แล้วไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้เอาจดหมายไปส่งแต่เช้าจะได้ไปถึงมือนายได้เร็วที่สุด 

    ช่วงนี้อากาศหนาวแล้วนะยูริ นายเป็นหวัดง่ายมาตั้งแต่เด็ก...รักษาสุขภาพด้วย ไม่ต้องห่วงฉันมาก ยกเว้นแผลที่เท้า ฉันยังสบายดีทุกอย่างเหมือนกับที่นายเห็นกับตาตัวเองครั้งก่อน และที่เหมือนเดิมอีกอย่างก็คือ ฉันรักนายเสมอ ยูริที่รัก

    รัก,
    วิคเตอร์ ชอง





    ถึง ที่รักของฉัน

    พักนี้ฉันอยากเจอนายยิ่งกว่าเดิมตั้งไม่รู้เท่าไหร่ จำได้ใช่ไหมที่ฉันบอกนายเรื่องอาการป่วยของคุณแม่ ปีนี้คุณแม่อายุมากแล้ว และเพราะว่าเป็นหมอผ่าตัดก็เลยเอาแต่ห่วงสุขภาพของคนไข้มากกว่าของตัวเองมาตลอด ตอนนี้คุณแม่ก็เลยมีปัญหาเรื่องข้อเข่าเสื่อม หมอที่เป็นเจ้าของไข้บอกว่าถ้ารอช้ากว่านี้อาจจะยิ่งลำบาก เพราะที่จริงแล้วอาการของคุณแม่อยู่ในขั้นน่าเป็นห่วงแต่คุณแม่ก็เอาแต่ทำตัวปกติและปิดบังมาตลอด บวกกับฉันเองที่เป็นลูกที่แย่ ฉันดูไม่ออกลเยว่าคุณแม่ปวดหัวเข่ามาตั้งหลายปีแล้ว ตอนนี้ฉันนั่งเขียนจดหมายอยู่ในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล พอนายไม่อยู่ที่นี่แล้วคุณแม่ไม่ยอมให้ฉันอยู่บ้านคนเดียวเลย และในสถานการณ์นี้ฉันเองก็ต้องอยู่คอยดูแลคุณแม่ใกล้ๆ ด้วย พรุ่งนี้ตอนสายๆ คุณแม่จะเข้าผ่าตัดแล้วฉันอยากให้นายอยู่ด้วยเพราะแบบนี้นี่แหละ... ถ้านายอยู่นายคงจะคอยคุยกับคุณแม่ให้คุณแม่หัวเราะได้มากกว่าฉัน เพราะฉันหยุดโทษตัวเองไม่ได้เลยที่เอาแต่สนใจตัวเองจนละเลยสุขภาพของคุณแม่ ฉันไม่อยากร้องไห้แต่ว่าน้ำตามันไหลออกมาเองพอคุณแม่มาเห็นแบบนี้ก็ยิ่งเป็นกังวล ฉันนี่ช่างเป็นลูกที่แย่จริงๆ

    ฉันไม่สบายใจเลยตอนที่ได้อ่านเรื่องอาการบาดเจ็บของนาย นายต้องดูแลตัวเองให้มาก เป็นห่วงตัวเองให้มากกว่าคนอื่นบ้าง เพราะฉันคิดว่าต่อให้นายได้วันหยุดยาวเป็นเดือนแต่ถ้ามันต้องแลกมากับแผลหรือเลือดของนายก็ถือว่าไม่คุ้มกันเลย ฉันไม่ชอบความรู้สึกที่คนรอบข้างของฉันไม่สบาย ตอนนี้คุณแม่ก็ไม่สบาย นายก็เจ็บ...ถึงจะเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ทำให้ฉันไม่สบายใจได้เหมือนกัน นายต้องขอบคุณการเกณฑ์ทหารเอาไว้ให้มากนะเพราะมันทำให้นายไม่ต้องทนฟังฉันบ่น แต่ถึงยังไงฉันก็ขอบคุณนายที่บอกฉันตรงๆ อย่างที่ฉันขอ แต่คงไม่ใช่ว่าเจ็บมากแล้วบอกฉันว่าแผลนิดเดียวหรอกใช่ไหม

    อากาศเย็นลงแบบนี้ก็ยิ่งใกล้เวลาจะต้องฝึกกลางหิมะแล้วใช่ไหม พี่ชายของยูราเล่าว่าตอนเขาไปฝึกหน้าหนาวกลับมาน่ะรู้สึกเหมือนเหลือแต่ร่างกายแช่แข็งเพราะแทบไม่มีความรู้สึกอะไรอีกแล้ว เขายังบอกอีกว่ามันหนักมากๆ และฉันคงจะจินตนาการไม่ถูกแน่  แค่คิดว่าพอถึงทีของนายฉันก็เป็นห่วงแล้ว...แต่ฉันก็เชื่อว่านายจะพยายามเต็มที่เหมือนกับทุกครั้งและทุกเรื่องใช่ไหม  
    ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่ส่งนายไปฉันไม่ได้หวังอะไรไปมากกว่าการที่นายจะไม่บาดเจ็บหรือไม่สบาย ฉันไม่ได้รู้อะไรมากนักแต่ก็หวังว่ากรมทหารและหน่วยฝึกจะไม่ทำให้วิคเตอร์ผู้แข็งแรงและสมบูรณ์แบบของฉันเปลี่ยนไปเมื่อเขากลับมา

    ฉันหวังว่าทุกครั้งที่เราได้พบกัน นายจะแข็งแรง แล้วก็อารมณ์ดีเหมือนในภาพจำของฉัน 
    และไม่ต้องห่วงเรื่องเพื่อนทหารของนายหรือใครๆ จะมาชอบฉันหรอก...เพราะเรื่องสุขภาพของคุณแม่ ฉันคิดว่าฉันคงไม่ได้ไปจากละแวกบ้านอีกนานทีเดียว 

    แล้วจะรอวันที่นายมากดกริ่งนะ


    รักและคิดถึง,
    ยูริ คิม 




    - YURI -




    ‘ฮัดชิ่ว!’ 



    ‘ฮัดชิ่ว!’



    “กินยาหรือยังจุนซู”

    “ผมคงรบกวนสมาธิคุณท่านใช่ไหมครับ ขอโทษนะครับ เดี๋ยวผมจะไปบอกให้ชางมินเข้ามาแทน…”

    “หยุดเลย ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แค่เป็นห่วง...อยากรู้ว่าไม่สบายแบบนี้กินยาหรือยัง”

    “กินแล้วครับ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอดทนหน่อยนะ เป็นหวัดหน้าหนาวมันไม่ใช่เล่นๆ ฉันเข้าใจ”

    “ขอบคุณครับคุณท่าน”

    แจจุงมองเด็กในปกครองที่รักและห่วงใยต่างลูกชายด้วยความเอ็นดู เธอเห็นตั้งแต่เช้าแล้วว่าวันนี้จุนซูไม่สบาย ทั้งฟึดฟัดคัดจมูกไหนจะจามบ่อยๆ แบบนี้อีกก็บอกได้แล้วว่าไม่ควรใช้งานอะไรมาก ก็เลยเรียกให้เข้ามาอยู่ด้วยกันแล้วก็ค่อยๆ จัดชั้นหนังสือไปด้วย ถึงจะไม่ใช้งานที่ต้องให้ทำอย่างเร่งด่วนแต่อย่างน้อยก็ให้อยู่ในสายตา ให้ได้มั่นใจว่าจะไม่ไปทำอะไรให้หายป่วยช้ากว่าที่ควร

    อ่านหนังสือไปลอบมองเด็กป่วยไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีคราวนี้หนุ่มหล่อของบ้านก็กลับเข้ามาอีกครั้งทว่าไม่ได้นำมาแค่ของว่างกับชาร้อนเท่านั้นแต่ยังมีข่าวดีมาถึงคุณยูริด้วย

    “หิมะตกแล้วนะครับคุณท่าน”

    จะมีใครที่ไม่ตื่นเต้นกับหิมะแรกบ้าง...ถึงยูริจะไม่ได้ชอบฤดูหนาวเป็นพิเศษ แต่ก็อดที่จะตื่นเต้นไปกับหิมะแรกไม่ได้เหมือนกัน พอได้ยินว่าชางมินบอกแบบนี้ก็เลยวางหนังสือแล้วก็ลุกไปดูให้เห็นกับตาเองจากตรงหน้าต่างบานยาวของห้องนั่งเล่นใหญ่

    หิมะแรกของปีกำลังโปรยปรายอยู่ด้านนอก และอีกเดี๋ยวบนสนามหญ้าและยอดไม้ก็คงกลายเป็นสีขาว พอหนาหน่อยชางมินกับจุนซูก็ต้องกระวีกระวาดออกไปช่วยกันตักหิมะ ซึ่งถ้าจุนซูยังไม่หายดีปีนี้ชางมินอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยแต่คุณยูริก็ไม่รู้จะทำยังไงนอกจากให้กำลังใจเพราะการให้คนข้างนอกเข้ามาในอาณาเขตบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยอยากให้เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ถ้าไม่นับคุณหมอพัค คนล่าสุดคือชองยุนโฮ แต่ก่อนหน้าเขาสองปีก็ยังมีคนงานมาจัดการงานใหญ่ในสวนที่ทำกันเองไม่ได้ แล้วก็ต้องอยู่แต่บนห้องแล้วคอยแอบดูความเรียบร้อยอยู่จากช่องเล็กๆ ระหว่างผ้าม่าน แล้วพวกเด็กๆ ก็ต้องโกหกเขาไปว่าคิมแจจุงไม่ได้อยู่ที่นี่มานับสิบปีแล้ว…

    ชีวิตก็เป็นไปแบบนี้

    การที่หิมะตกอีกแล้วก็บอกได้ว่าในที่สุดก็ผ่านไปอีกปีแล้วกับการชีวิตที่ทั้งสุขและทุกข์ประปราย เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเองก็บอกอยู่นัยๆ ว่าโลกภายนอกไม่ได้สวยงามแต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันโหดร้ายหรือเลวทรามอะไรมากนัก แต่เพราะคิดอยู่เสมอว่าความผูกพันกับใครต่อใครเป็นบ่อเกิดของความเสียใจ เมื่อไม่พบใครก็ไม่ผูกพันทั้งนั้นก็เลยเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ และรับรู้โลกภายนอกผ่านนิตยสาร อินเตอร์เน็ต และทีวีเสียมากกว่า ไม่ได้อยู่เหมือนคนถ้ำ กินของดิบๆ เลือดสดๆ อย่างที่คนอื่นพูดกันไปปากต่อปาก และถึงจะเป็นแบบนั้นก็มีความสุขดี ถึงจะมีร่างกายที่เปราะบางลงทุกขณะ มีความรักที่ไม่เติบโตทั้งยังคล้ายว่าจะยืนต้นตายไปเสียแล้วก็ตามที

    แล้วรอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าอยู่แค่ชั่วครู่ ก่อนที่จะจางลงและหายไปในเวลาต่อมา ท่ามกลางสายตาของผู้หวังดีทั้งสอง


    ตั้งแต่วันที่ผู้ชายชื่อชองยุนโฮกลับบ้านไปคราวนั้นเขาก็ไม่ได้กลับมาที่นี่อีกได้นับเดือนแล้ว แม้ว่าการหายหน้าไปเฉยๆ ของเขาจะทำให้ทั้งจุนซูและชางมินสงสัย แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถึงกับเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร ก่อนเขาจะเข้ามาทุกอย่างก็เป็นแบบนี้ และปกติดีอยู่แล้วเสียด้วย พอเขาไม่มาอีกชีวิตก็ไม่ได้พลิกผันหรือต้องรับการเปลี่ยนแปลงอะไร เคยเป็นยังไงก็เป็นต่อไปแบบนั้น 
    ถึงตอนที่มองจากชั้นสองของบ้านจะเห็นได้ชัดพอดูว่าเกิดอะไรขึ้นบนเรือ และรับรู้ได้อย่างดีว่าเขาไม่ใช่แค่คนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แม้ว่าคุณท่านจะให้เหตุผลที่ชวนสงสัยเสมอถึงการยอมให้เขาเข้ามาในบ้านทั้งที่ไม่เคยยอมให้ใครแบบนั้นว่าเพราะเขาดูเหมือนคนที่เคยรู้จักมากก็ตาม แต่เมื่อมีวันที่สอง สาม และวันต่อๆ มาให้เห็นอีกนั้นก็พอรู้แล้วว่าเขาเองก็คงถูกจัดเป็นคนสำคัญของคุณท่านเหมือนกัน และเมื่อคุณท่านถึงกับต้องร้องไห้พร้อมๆ กับมีจูบที่ลึกซึ้งกับเขาถึงขนาดนั้นมันก็แน่นอนแล้วว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุที่ว่าเข้าหน้าตาเหมือนใคร หรือมีอะไรมากกว่านั้น อย่างไรตอนนี้มันก็ได้ทำพาไปสู่ความรู้สึกบางอย่างกับหัวใจของคุณท่านแล้วแน่นอน 

    การที่เขาไม่มาอีกก็คล้ายว่าจะไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรให้คุณท่านด้วย เพราะการปฏิบัติตัวและทำกิจวัตรเดิมๆ ที่หากดูเผินๆ คงไม่อาจรู้เรื่องราวอะไรแน่ แต่เพราะทั้งชางมินและจุนซูผู้ที่เป็นหนี้บุญคุณและพร้อมยกชีวิตให้กับคุณคิมแจจุง...ทั้งสองคนนี้ย่อมดูออกได้ไม่ยากเลยว่าถึงจะมีรอยยิ้ม แต่หัวใจก็อาจจะกำลังร้องไห้อยู่ก็ได้



    พักหลังนี้ยูริใช้เวลาอาบน้ำนานเป็นพิเศษ ปกติแล้วก็มักจะรวมเวลาอาบน้ำและแช่น้ำและอื่นๆ ได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงพอดี ทว่าตั้งแต่ที่ยุนโฮไม่ได้เข้ามาที่บ้านก็แช่น้ำจนเลยเถิดไปหลายนาที จุนซูที่มักจะช่วยดูแลเรื่องอาบน้ำแต่งตัวให้เจ้านายเห็นว่าอากาศเย็นลงทุกวัน ยิ่งเข้าหน้าหนาวก็เกรงว่าจะไม่สบายเข้าไปอีกก็เลยต้องไปเคาะประตูเรียก พอเห็นว่าแช่น้ำนานจนมือเปื่อยก็อดจะบ่นคุณท่านไม่ได้ แต่บ่นไปก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรนักเพราะดูเหมือนนอกจากอีกฝ่ายจะยิ้มและหัวเราะแล้ววันต่อมาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเหมือนไม่เคยถูกบ่นอีกอยู่ดี


    คืนนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมอีก แต่ดีหน่อยตรงที่จุนซูอาจจะง่วงซึมมากกว่าทุกครั้งเพราะเจ้านายคอยกำกับให้กินยาแก้หวัดด้วยตัวเองก็เลยไม่ได้บ่นหรือเร่งเร้าอะไรมากนัก ยูริถึงได้ใช้เวลาอาบน้ำจนคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ตั้งแต่นึกถึงเรื่องสมัยเด็กของตัวเอง เรื่องครอบครัว และเรื่องของรักครั้งแรกที่ไม่มีวันลืมอย่างวิคเตอร์...รวมถึงเรื่องหนุ่มหล่ออีกคนที่ยูริเผลอให้ทั้งตัวและหัวใจโอนอ่อนไปกับเขา คนที่เป็นสาเหตุหลักให้คุณท่านของจุนซูต้องอาบน้ำนานขึ้นเรื่อยๆ เพราะหมดเวลาไปกับการคิดถึงเขาและจูบบนเรือเล็กที่คล้ายกับว่ารสขมนั้นยังติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปาก และขณะเดียวกันก็เหมือนกับว่ามันยังมีความหวานเคลือบอยู่ที่หัวใจจนน่าหงุดหงิด

    ชอง ยุน โฮ  -- ชื่อนี้อยู่ในหัวของคิมยูริมานานหลายวัน ตั้งแต่ที่จูบกับเขายูริก็ขอร้องให้เขาไปและไม่ต้องหวนมาอีกตั้งน้ำตา และเพราะน้ำตาของยูรินั่นเอง เขาถึงได้หายหน้าไปแล้วนับเดือน และทั้งที่เอ่ยปากเองแบบนั้นแต่ยูริกลับไม่อาจเลิกนึกถึงเขาได้เลย ทั้งยังคิดเอาเองเป็นตุเป็นตะว่ามันคงไม่แปลกเลยถ้าหากหนุ่มหล่ออย่างเขาได้เจอกับคนสวยๆ สักคนและลองคบหาดูใจกัน เขาอาจจะจูบหล่อนจนลืมรสจูบจากคนแก่กว่าเป็นสิบปีอย่างยูริไปแล้วก็ได้ ซึ่งนั่นมันคงเป็นเรื่องดีแล้วนั่นแหละ ดีกว่าให้เขาต้องมาหมดเวลาเป็นชั่วโมงต่อวันไปกับการคิดถึงใครเหมือนที่ยูริเป็น 

    ก็ดีแล้ว…



    แจจุงต้องกินยาก่อนนอน  ซึ่งลูกรักอีกคนอย่างชางมินไม่เคยขาดตกบกพร่องในเรื่องจัดยาให้สักครั้ง คืนนี้เขาเองก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมและเปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบเหมือนเคย

    “ทำเหมือนฉันเคยเกเรไม่กินยาอย่างนั้นแหละ”

    “ใครว่าล่ะครับ ผมแค่อยากสบายใจที่เห็นคุณท่านกินยาต่างหาก”

    เจ้านายส่ายหน้าพลางส่งแก้วน้ำคืนให้อีกฝ่ายที่ยืนรออยู่ข้างๆ เตียงเป็นประจำ  ก่อนจะหันไปมองหน้าต่างอีกครั้งเพื่อมองหิมะสีขาวที่ยังโปรยปรายไม่ขาดสาย

    “อยากให้อุ่นกว่านี้หรือเปล่าครับ ผมจะได้ไปดูฮีทเตอร์ให้”

    “ไม่เป็นไร นี่ก็อุ่นดีอยู่แล้ว”

    “คุณท่านครับ”

    “หืม?”

    “คือ…”

    ยูริรอฟังเขา แต่นอกจากอ้ำอึ้งแล้วชางมินก็ไม่ยอมพูดอะไรอีก

    “มีอะไรชางมิน”

    “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”

    “เธอมีพิรุธขนาดนี้แล้วคิดว่าฉันจะปล่อยเธอไปนอนง่ายๆ หรือไง” 

    “ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ”

    “อย่าโกหกฉันเชียว”


    “ครับ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ ฉันจะนอนแล้ว”

    พอเปิดทางให้แบบนั้นชางมินก็รีบปลีกตัวไปอย่างไว ปล่อยพิรุธเอาไว้เยอะจนคุณยูริปล่อยไปไม่ได้จริงๆ พอแน่ใจแล้วว่าคงนอนไม่หลับแน่ถ้าไม่ได้รู้ความจริงก็เลยตวัดผ้าห่มลุกออกไปข้างนอกอีกครั้งแล้วย่องให้เบาที่สุดเพื่อจะได้ฟังเสียงของลูกชายทั้งสองที่กำลังคุยกันอย่างระวังในบ้านที่เหลือเพียงไฟสลัวในตอนกลางคืนแบบนี้



    “ฉันพยายามลดไข้แล้วแต่ยังไม่ได้ผลเลย ยาก็กินไม่ได้ ถ้าอีกหน่อยเขาไม่ดีขึ้นคงต้องถึงมือหมอแล้วล่ะ”

    “แต่ถ้าพาไปหาหมอหรือให้คุณหมอพัคมาที่นี่คุณท่านต้องรู้เรื่องแน่ๆ”

    “แล้วจะให้ทำยังไงเล่า ความผิดของเราแท้ๆ เลยนะเนี่ย”


    “ก็นายอ่ะต้นคิด!”

    “เอ๊ะ ชางมิน! อย่างกับนายห้ามฉันนักนี่”

    “เขาอยู่ที่ไหน”

    คุณยูริถามอย่างเรียบไปหมดทั้งสีหน้า แววตา และน้ำเสียงแล้วนั่นก็ทำให้ทั้งสองคนที่มีความผิดติดตัวมาเป็นชั่วโมงแล้วรู้สึกหนาวอย่างกับออกไปตากหิมะข้างนอกไม่มีผิด

    “ฉันถาม…”

    “คือ…”

    “จุนซู ตอบฉันซิว่าชองยุนโฮอยู่ที่ไหน”

    “ชองยุนโฮไม่ได้อยู่ที่นี่ครับ”

    “ยังจะกล้าโกหกกันอีกหรือไง ว่ายังไงชางมิน”

    เขาก้มหน้าแล้วเหลือบมองคนรอคำตอบที่กำลังเดินลงจากบนบันไดมาทีละขั้นๆ เพียงเล็กน้อยก่อนจะกลั้นใจตอบอย่างเสียมิได้ แล้วนั่นก็ทำให้เขาต้องร้อนใจอีกครั้งเมื่อเจ้านายที่รักพอกับชีวิตตนนั้นทำท่าจะออกไปทันทีที่ได้ยินคำตอบ

    “คุณท่านจะออกไปแบบนี้ไม่ได้นะครับ!”

    “พวกเธอเล่นอะไรกันอยู่! ทำไมไม่บอกฉันว่าเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ขึ้น”

    “ก็เขา…”

    “โทษตัวเองเสียก่อนจะไปโทษเขาสิ”

    “คุณท่านครับ”

    “ไปเอาเสื้อกันหนาวของฉันมา”

    “คุณท่านครับ”

    “เดี๋ยวนี้! จุนซู!”

    “พรุ่งนี้เช้าค่อยไปไม่ได้หรือครับ”

    เจ้าของชื่อที่ถูกสั่งรีบวิ่งไปหยิบเสื้อตามที่ได้ยินแล้ว ทว่าหนุ่มหล่ออีกคนที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างหนักในตอนนี้ยังอยู่ที่เดิมและพยายามโน้มน้าวอีกครั้ง เขาพูดแบบนั้นย้ำๆ ก่อนที่คุณท่านที่เคารพรักอย่างยิ่งจะให้คำตอบในตอนที่กำลังสวมเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์นัก

    “ไม่ได้!”




    tbc

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in