เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyห้องนอนที่อบอุ่น
ฉัน(พ่อแม่)เลือก อนาคตให้ฉัน | (ไม่)อยากเรียนพิเศษรึเปล่า
  •      ต้องบอกก่อนเลยว่าทุกอย่างทีาพิมพ์ไปนี้เป็นความคิดเห็นในมุมของเราที่อยากให้ทุกคนลองเปิดใจรับและทำความเข้าใจบ้าง ซึ่งมันอาจจะขัดใจใครบางคนก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ  ~go go~ ไปเริ่มกันเลย
         
          ต้องยอมรับตรงนี้เลยว่าในปัจจุบันมีการเรียนพิเศษกันอย่างมากมายที่เป็นไปตามการแข่งขันที่สูงขึ้น แม่หรือพ่อของบางครอบครัววางแพลนเอาไว้ให้ลูกแล้วตั้งแต่เด็กจนโต(มันไม่ผิดค่ะอย่าพึ่งอคติกับเราอ่านที่เราตะเขียนต่อก่อนนะ) พอมีคนถามลูกตัวเองว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร พ่อหรือแม่ก็อาจจะตอบขึ้นมาก่อนว่าให้เป็นอะไรก็ได้ตามใจลูกเลย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยจ้าาตัวเองวางแพลนไว้ให้ลูกเรียบร้อยแล้วต่างหากล่ะ วางแพลนไว้แล้วว่าเมื่อลูกอยู่ระดับชั้นนี้นะลูกต้องเรียนอะไร เพื่ออนาคตที่พ่อและแม่เป็นคนตั้งไว้ให้ 
            เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า คือเราไปเรียนพิเศษเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เราเป็นเด็กมัธยมปลายคนหนึ่งที่ใกล้เข้ามหาวิทยาลัยการไปเรียนพิเศษแบบนี้เราว่ามันไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่สำหรับเด็กรุ่นเรา แต่ที่น่าตกใจคือเราไปเจอเด็กที่อายุยังน้อยนั่งอยู่ที่เรียนข้างๆเรา (การเรียนของเราผ่านคอมพิวเตอร์ค่ะ) เหลือบไปเห็นคือเป็นเนื้อหาของเด็กม.2แล้ว แต่ดูจากลักษณะของน้องนั้นอายุยังไม่ถึงแน่ๆ นั่นเป็นตัวจุดประกายความคิดของเราเลยว่า เด็กสมัยนี้เริ่มเรียนพิเศษเร็วเกินไปหรือเปล่า อย่างที่บอกว่าสมัยนี้การแข่งขันมันสูงขึ้น ผู้ปกครองก็พยายามส่งลูกหลานให้เรียนนำกันไป เพื่อที่จะไปแข่งไปสู้กับคนอื่นได้ จนบางครั้งผู้ปกครองคงคิดไม่ถึงว่าตนนั้นอาจจะกำลังพรากช่วงชีวิตวัยเด็กที่น่าสนุกของลูกหลานตัวเองไปนะคะ บางคนอาจบอกว่าเราเยอะเกินไปรึเปล่าจะมีผู้ปกครองทำกับลูกหลานตัวเองแบบนี้ด้วยหรอ มันมีอีกค่ะอันนี่แม่เราเล่าให้ฟัง ตอนที่แม่ไปรอเราตรงที่เรียนพิเศษ คือมีคุณผู้ปกครองมานั่งด้วยแล้วก็คุยกันว่าลูกมาเรียนวิชาอะไรหรอคะ ลูกอยู่ชั้นไหนแล้วหลังจากที่แม่เราคุยกับน้าคนนั้นจบ เราเรียนเสร็จแม่ก็มาเล่าให้ฟังว่า คุณน้าคนนั้นลูกอยู่ป.4 อันนี้มาให้ลูกเรียนของป.6อยู่ แล้วก็จะให้เตรียมตัวท่องตารางธาตุ เราตกใจมากๆเลยค่ะคือจริงๆแล้วเรื่องตารางธาตุนั้นเรียนหนักคือตอนม.ปลายนะ แล้วแม่ก็เล่าให้ฟังว่าน้าคนนั้นจะให้ลูกลงฟิสิกส์ต่อ(จำได้ว่าตอนนั้นคือเรามองบนหนักมาก555) แม่เรามีโอกาสเห็นน้องค่ะแม่ก็อธิบายลักษณะกับชุดที่น้องใส่ให้ฟังเราก็แบบ "อ่อเด็กที่นั่งข้างๆหนูแน่ๆ"  จะบอกเลยค่ะว่าน้องไม่ได้สนใจจอคอมสักเท่าไหร่เห็นเล่นแต่โทรศัพท์ สำหรับเรา เราคิดว่าผู้ปกครองวางกรอบให้เด็กเยอะมากไปค่ะ สำหรับเด็กที่อายุเท่านี้เราว่ามันควรเป็นช่วงที่น้องน่าจะได้เล่นและได้ฝึกพัฒนาการด้านอื่นมากกว่า ก่อนที่จะมาอัดเนื้อหาด้านวิชาการให้เด็กอายุเท่านี้เราว่ามันอาจทำให้น้องเครียดนะคะ 
          เราว่าน้องควรได้ลองเล่นต่างๆลองหาด้านที่ตัวเองชอบก่อนการที่เด็กหาทางที่ตัวเองชอบได้แล้วอาจนำไปสู่การอยากเป็นด้วยซ้ำนะคะ เรารู้ค่ะว่าผู้ปกครองต้องเป็นห่วงอนาคตของลูกหลานตัวเองอยู่แล้ว แต่การเป็นห่วงของเราบางทีก็อาจจะทำร้ายคนที่เรารักนะคะมากสุดคืออาจจะไปทำลายอนาคตของเขาได้เลย เราควรมีขอบเขตค่ะ ผู้ปกครองในความคิดเราคือมีหน้าที่ประครองลูกหลานของตนเมื่อตกอยู่ในที่นั่งลำบากแค่นั้น เราไม่ควรเข้าไปกำหนดอนาคตของลูกหลานตัวเองมากไปนะคะ ผู้ปกครองมีหน้าที่ที่คอยอบรมและตักเตือนไม่ให้ลูกหลานของตนเองไปในทางที่ไม่ดีและคอยสนับสนุนทุกทางที่ลูกหลานเราอยากเป็น สนับสนุนให้ได้มากที่สุดที่เราสามารถทำได้คอยอยู่ข้างๆเขาเมื่อลูกหลานของคุณเริ่มท้อ คอยให้กำลังใจเขาเมื่อเขาเริ่มไม่ไหว และคอยเป็นที่พักพิงให้เมื่อเขาต้องการ 
              เพราะฉะนั้นแล้วผู้ปกครองคนไหนที่กำลังวางแพลนให้ลูกมากจนเกินไปจนทำให้เขาต้องพลาดวัยที่สนุก หรือช่วงที่สนุก ก็อยากให้คิดนะคะว่าการที่คุณทำแบบนั้นแล้วลูกหลานของตนเองรับได้หรือเปล่าเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณกำลังจะกำหนดอนาคตของเขาไหม แล้วคุณคิดว่าคุณเลือกสิ่งที่ดี ที่จะไม่ทำร้ายคนที่คุณรักจริงๆรึเปล่า มันมีเด็กอยู่เยอะนะคะที่ยังไงก็ได้แล้วแต่พ่อแม่ผู้ปกครองเลย "หนูโอเคอยู่แล้ว"  แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าถ้าเรายังคงวางแพลนปูทางให้เขาอยู่ มันจะมีวันหนึ่งที่เขาจะเริ่มรู้สึกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ความสุขของเรานะ การที่เราทำอยู่นั้นมันมาจากความเคยชินมากกว่าแล้วก็จะเริ่มเกิดคำถามกับตัวเองว่าความสุขของเราคืออะไร อนาคตของเราคืออะไรเราอยากเป็นอะไร บางคนรู้ตัวก็สายไปแล้วเลยต้องทนเรียนในสิ่งที่ผู้ปกครองปูทางมาให้ แต่พอเรียนไปมันจะมีอยู่จุดหนึ่งที่่่่่่ตัวเองไม่ไหวแล้วจนเขาต้องหาทางออกให้ตัวเอง บางคนกล้าที่จะบอกกับผู้ปกครองว่านี่ไม่ใช่ทางของเรานะขอลองเปลี่ยนได้ไหม  บางคนไม่กล้าที่จะบอกก็อดทนเรียนไปพอไม่ไหวก็ทำให้เครียดจนหาทางออกไม่ได้ สุดท้ายก็เลือกทางหนึ่งที่ทำให้ผู้ปกครองเสียใจไปตลอดกาล ลองคิดดูนะคะวาาอยากให้มันเกอดกับลูกหลานของตนเองรึเปล่า ไม่ว่ายังไงก็ควรรักควรเป็นห่วงให้พอดีนะคะ อย่าลืมว่าอะไรที่มันมากไปก็ไม่ดีนะคะ

    แล้วถ้าเกิดใครตกอยู่ในสถานการณ์ ลองขอผู้ปกครองดูนะคะ ลองที่จะกล้าทำในสิ่งที่ราอยากทำดูนะ มันมีความสุขจริงๆนะที่ได้ทำ 


     










เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in