เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
see saw scene.Zupisets Sasiwimon
Liberal Arts บอกลาความฉลาด (ที่เรามโนกันไปเอง) ซะที!
  • ในฐานะคนที่เคยเรียนคณะมนุษยศาสตร์มีคำว่าศิลปศาสตรบัณฑิตตราอยู่ในปริญญาบัตรหนังเรื่องนี้ค่อนข้างจี้ใจดำและเหมาะสำหรับคนอย่างพวกเราชาว อักษรศาสตร์ /ศิลปศาสตร์/ มนุษยศาสตร์เสียเหลือเกิน

    “เรียนคณะมนุษย์ฯ ไปทำไมวะ ยังเป็นมนุษย์ไม่พอหรอ”นี่เป็นประโยคที่ผมได้ยินได้ฟังมาบ่อยหลังจากพูดถึงคณะที่ตัวเองเรียน(อย่างภูมิใจ) ให้คนอื่นฟัง แต่ก็มักจะได้ฟีดแบคที่ไม่ค่อยดีกลับมาเท่าไหร่ ทั้งๆที่คณะ (กู) ผม สอนให้เราเข้าใจมนุษย์เลยนะเว้ย มันเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้ง น่าสนใจทำไมคนอื่นถึงไม่เข้าใจถึงความสำคัญของมันกัน (วะ)

    อาจเป็นเพราะมันทำเงินไม่ได้ – ซึ่งโคตรจะจริง

    เอาเถอะ มาพูดถึงหนังเรื่องนี้กันดีกว่า มันเป็นเรื่องราวความรักความผูกพันของคนสองคนที่มีอายุห่างกันถึง 16 ปีพวกเขาทั้งสองเรียนที่คณะศิลปศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันแม้จะคนละช่วงเวลากันก็ตาม ลองนึกภาพเด็กคณะเหล่านี้ดูสิครับ เนิร์ดๆ บ้าเรียนชอบถกปรัชญา มักหนีบหนังสือหนาๆ ที่อ่านไม่รู้เรื่องเอาไว้ข้างกาย พูดคำศัพท์ยากๆและเป็นคนอ่อนไหวในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

    ในช่วงแรกของหนังนั้นมีความเป็นหนังโรแมนติก-คอแมดี้สูงมากทั้งสองเริ่มคุยกันผ่านจดหมาย แลกเพลง (คลาสสิค) กันฟังนั่นทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนมันอาจเรียกได้ว่าความรักแต่ติดอยู่ที่ว่าทั้งคู่นั้นอายุห่างกันตั้ง 16 ปี!ซึ่งถือว่าเป็นช่องว่างที่กว้างพอสมควรทีเดียว

    ฝ่ายหญิง – ซิบบี้ (เอลิซาเบธ โอลเซ่น) ที่มีความคิดที่โตเกินวัยเธอไม่รู้ต้องตาพึงใจกับชายหนุ่มในรั้วมหาวิทยาลัยเลยเธอต้องการคนที่เป็นสุภาพบุรุษ มีความคิด และเจซซี่ (จอซ แรดเนอร์) คือคำตอบนั้นความสัมพันธ์ของเรื่องพัฒนามาจนถึงเรื่องเซกซ์ ซิบบี้มาเฉลยเอาว่าเธอยังไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อนนั่นทำให้เจซซี่สับสนอย่างมากกับกรอบความคิดเรื่องศีลธรรม ความถูกต้องความดีงามทั้งหลาย จนเลือกที่จะปฏิเสธโอกาสเหล่านั้นไป

    เจซซี่ นั้นคือผลผลิตของวิชาศิลปศาสตร์ขนานแท้เลยดีเดียวเขาบ้าอ่านหนังสือ คลั่งไคล้งานเขียนคลาสสิค หมกมุ่นกับตัวเอง ถกเถียงถึงความดีงามของเขียน(มองว่าตัวเอง) มีรสนิยมที่ดีงานเขียนอื่นนอกจากที่ตนอ่านนั้นคืองานเขียนที่ไม่ได้เรื่อง(หนังไม่ได้เอ่ยชื่อหนังสือเล่มที่ตัวเอกบอกว่าเป็นหนังสือภาษาอังกฤษที่แย่ที่สุดแต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นไตรภาคแวมไพร์ ทไวไลท์ นั่นแหละแสบจริงๆ)

    ความจริงแล้วรสนิยมหรือสิ่งที่คนเรียนอักษร / ศิลปศาสตร์ /มนุษยศาสตร์ถูกปลูกฝังมานั้นดีเลิศจริงๆ หรือเปล่า เราจำเป็นต้องอ่านแต่วรรณกรรมวรรณคดีคลาสสิคเท่านั้นหรือไม่ นอกจากนั้นแล้วถือว่างานเขียนขยะหรืองานที่ไม่ควรเสียเวลาอ่านหรือเปล่า ยอมรับตามตรง ในระยะที่ได้เรียนวิชาวรรณกรรมในคลาสผมเองก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกันแต่ในความเป็นจริงโลกของหนังสือมันมีอะไรมากกว่านั้น มันมีการอ่านเพื่อความบันเทิงเพื่อความสนุกถ้าหากหนังสือแต่ละเล่มรับใช้เราในหน้าที่อื่นที่ไม่ใช่การจรรโลงใจอย่างวรรณกรรมเล่มโตๆมันก็เพียงพอแล้วหรือเปล่า

    หนังใช้ฉากเป็นตัวมหาวิทยาลัยที่ทั้งคู่เรียนและเคยเรียนมาด้วยกันมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ที่มีอะไรเกิดขึ้นมากมายที่นี่เป็นที่จัดปาร์ตี้ที่สนุกสุดเหวี่ยง เป็นสถานบ่มเพาะความรู้เป็นที่แลกเปลี่ยนความคิด ถกเถียงทางวิชาการ “เป็นที่ที่นายจะบอกใครว่าเป็นกวีแล้วไม่โดนต่อย”แต่สำหรับเจซซี่ การกลับมามหาวิทยาลัยของเขามันคือการหลบภัยหลีกหนีจากความเป็นจริง จากเมืองหลวง ที่ทำให้เขาอึดอัดและสับสนวุ่นวาย

    การสนทนาของตัวละครมันก็ดูเป็นบทสนาที่โคตรจะ Liberal Arts จริงๆนั่นแหละ แต่ประโยคที่จำได้ไม่ลืมและดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คณะเหล่านี้ปลูกฝังความคิดนี้ให้นักศึกษาก็คือ "A Liberal Arts education solvesall your problems."

    แต่… มัน “จริง” จริงๆ หรอครับ!

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in