เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Dangerous Love (Deadly Companions #1)Aki_Kaze
บทที่ 3: โดมินิค
  • 3
    โดมินิค

    ผมโทรศัพท์กลับไปหามาร์กาเร็ตทั้งที่เพิ่งบอกเธอไปว่าจะเข้าออฟฟิศ การที่โบรสนั่งอยู่ในรถทำให้ผมไม่สามารถสอบถามอะไรได้มากนัก
    “เธอเจออะไรบ้าง” ผมถามทันทีที่มาร์กาเร็ตรับสาย เสียงเสียดสีของกระดาษดังลอดเข้ามาในลำโพง
    “ดูเหมือนเขาจะทำงานหนักกว่าคนธรรมดาทั่วไป” เธอไล่รายชื่อสถานที่ทำงานของอีกฝ่ายนับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว “เขาย้ายออกจากบ้านในช่วงเวลานั้นเหมือนกัน ในฐานข้อมูลมีไฟล์ที่เราเข้าไม่ถึงอยู่แต่คุณรู้ว่าไม่มีใครหยุดเร็จจี้ของเราได้”
    ผมสนใจสิ่งที่เร็จจี้ หรือเรจินัล วู้ดส์ค้นเจอมากกว่าเรื่องไหน เธอเองก็รู้ว่ากำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญของบทสนทนาถึงได้พูดต่อทันทีโดยไม่จำเป็นต้องให้ผมเร่ง
    “เขาไม่มีประวัติอาชญากรรมแต่เคยอยู่ในฐานข้อมูลคนหายมาก่อน ปี 2002 และ ปี 2007 เขาถูกลักพาตัวทั้งสองครั้ง เร็จจี้เชื่อว่าน่าจะมีมากกว่านั้นแต่ไม่ได้แจ้งตำรวจ พวกเขามีเงินและคงยอมจ่ายค่าไถ่”
    “แล้วพ่อของเขาล่ะ”
    “เกี่ยวกับเรื่องนั้น” มาการ์เร็ตเปรย ตามมาด้วยเสียงกระดาษ “อย่างที่รู้ว่าแอนเดอร์สัน มิลเลอร์เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในเมือง ธุรกิจของเขารุ่งเรืองมากในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาแต่เหมือนทุกอย่างจะหยุดนิ่งไปในช่วงปลายปีที่แล้ว”
    “ช่วงเดียวกันกับที่แอมโบรสออกจากบ้าน”
    “ใช่” เธอเว้นวรรค “เร็จจี้กำลังหาทางดูข้อมูลทางการเงินของมิลเลอร์คนพ่ออยู่ แต่คุณก็รู้ว่าต้องใช้เวลา”
    ปลายสายเงียบไปโดยที่ผมรู้ทันทีว่าเธอมีคำถาม “ว่ามาสิ”
    “เราแค่ต้องการรูปถ่ายกับไฟล์ภาพคืนไม่ใช่เหรอ ของแค่นี้เร็จจี้จัดการให้ได้อยู่แล้ว ปกติคุณชอบเคลียร์งานให้เสร็จเร็วๆ ไม่ใช่เหรอ”
    “ฉันคงเบื่อ มีอะไรอีกหรือเปล่า”
    “อ้อ มีค่ะ” ผมนึกภาพเธอยกเท้าลงจากโต๊ะ มองดูโน้ตข้างโทรศัพท์ “เจฟโทรมา อยากให้คุณไปหาหน่อย ดูเหมือนจะมีปัญหา...อีกแล้ว”
    ผมถอนหายใจ “งั้นฉันค่อยเข้าออฟฟิศทีเดียวตอนเย็น ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมโทรบอกด้วยล่ะ”
    “ค่ะ บอส”
    ผมเลี้ยวรถเข้าสู่ถนนหลัก มุ่งหน้าสู่อีกด้านของดาวน์ทาวน์ ไปยังที่ทำงานของเจฟซึ่งเป็นอาคารสูงยี่สิบชั้น สำนักงานของเขาตั้งอยู่บนชั้นที่สิบเอ็ด เป็นบริษัทประกันแต่งานของผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอาชีพของเขา ผมดูแลเรื่องส่วนตัวเสียมากกว่า
    เสียงสัญญาณจากลิฟท์บ่งบอกว่าผมเดินทางมาถึงชั้นที่ต้องการ โถงทางเดินประดับด้วยไฟสีส้ม พื้นกระเบื้องแผ่นใหญ่สีงาช้างให้ความรู้สึกกว้างขวาง สบายตา บนผนังแสดงรายชื่อสำนักงานที่ตั้งอยู่บนชั้นนี้
    ผมแจ้งชื่อและสาเหตุการมาเยือนกับพนักงานต้อนรับ เธอบอกทางสำหรับห้องทำงานของเจฟซึ่งตั้งอยู่ด้านใน ปกติผมจะไปหาเขาที่บ้านหรือนัดเจอกันที่อื่น ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมมาที่ทำงานของเขา เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองพัวพันกับเรื่องอะไร แต่เห็นทีปัญหาคราวนี้จะเร่งด่วนถึงได้ต้องการเจอตัวทั้งที่เป็นเวลางาน
    ประตูห้องของเจฟเปิดค้างไว้ ผมเคาะสองที ปรายตาเข้าไปในห้องทำงานที่มีขนาดพอดีสำหรับหนึ่งคน
    “โดมินิค ขอบคุณที่มา ปิดประตูให้ด้วย” เขาลุกขึ้นยืน ทักทายผมด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง
    ห้องทำงานของเขามีโต๊ะทำงานหนึ่งชุด ตู้เตี้ยเก็บเอกสารเรียงติดผนังและโต๊ะประชุมเล็กๆ ที่มีเก้าอี้เพียงสี่ตัว บริเวณนี้คงเป็นสถานที่ที่เขาใช้ขายประกันมานักต่อนัก
    ผมเลื่อนเก้าอี้ออกเพื่อนั่งลง เขาเลือกที่นั่งถัดไป แสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมาอย่างไม่ปกปิด คุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่าผู้ชายท่าทางเป็นมิตร แต่งตัวภูมิฐานจะมีพฤติกรรมแบบไหน เขาเป็นพนักงานบริษัททั่วไปกระทั่งไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนไม่สมควรเข้า
    “เมื่อคืน ผมได้รับโทรศัพท์ พวกนั้นต้องการเงิน ผมว่าผมใช้หนี้ไปหมดแล้ว คุณทำให้ผมใช้หนี้ไปหมดแล้ว”
    “ผมทำให้คุณไม่ต้องใช้หนี้ด้วยเงิน” ผมแก้และผมมั่นใจว่าตัวเองจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วนอกเสียจากผู้ชายตรงหน้าคนนี้ไปทำอะไรไว้อีก “เท่าไรล่ะ”
    “อะไรนะ”
    “ไปเอาของเขามาเท่าไรล่ะ”
    อีกฝ่ายหน้าเสียเมื่อผมรู้ทัน เม็ดเหงื่อผุดซึมบนใบหน้า ผู้ชายคนนี้กลัวโดนผมตวาดมากกว่าจะกลัวพวกค้ายาที่ตัวเองไปข้องเกี่ยวด้วยเสียอีก
    “ซ...ซองเดียว ผมให้ผู้หญิงในนั้นช่วย เธอ...เรา...นั่นแหละ ต...แต่ผมไม่ได้ใช้ยามาเป็นเดือนๆ แล้วนะ
    เพียงแค่ถูกมอง เจฟก็ก้มหน้าก้มตา พิจารณารอยด่างดวงบนโต๊ะประชุม ผมไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองยังต้องช่วยผู้ชายคนนี้ เขาไม่มีปัญญาจ่ายเงินให้ผมด้วยซ้ำ
    นี่ผมกลายเป็นคนขี้สงสารตั้งแต่เมื่อไร
    “คราวนี้คุณติดหนี้ผม” ผมลุกขึ้นยืนบ่งบอกว่าบทสนทนาได้จบลงแล้ว เขามองตามก่อนจะพยักหน้าหลายครั้ง
    “ขอบคุณ ขอบคุณมากๆ”
    พอกลับขึ้นรถผมก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเลื่อนหารายชื่อที่ตัวเองไม่ได้ติดต่อไปนาน ระหว่างรอสายก็ขับรถออกจากอาคาร กลับสู่สภาพการจราจรแออัดในช่วงใกล้เลิกงาน
    “เจ้านั่นติดต่อคุณจริงด้วย” เสียงจากปลายสายดังขึ้น ท่าทางฝ่ายนั้นจะรอการติดต่อของผมอยู่
    “มันมีวิธีติดต่อผมที่ง่ายกว่านี้นะ ทอสคาโน่”
    “ไม่ ไม่ คุณคีตัน การทำงานของผมไม่เป็นแบบนั้น” เขาพูด “ลูกค้าของคุณติดหนี้ผม คุณช่วยผม ผมยกเลิกหนี้ให้”
    ผมไม่แปลกใจเลยที่ได้ยินประโยคนั้นจากเขา เอ็นซิโอ้ ทอสคาโน่ เป็นพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่อันดับต้นๆ การที่เขายังทำธุรกิจได้อยู่เป็นเพราะมีเส้นสายที่ดีกับกรมตำรวจ อีกทั้งเวลาเกิดปัญหาขึ้นเขาจะมีลูกน้องรับโทษแทนเสมอ
    “งานของผมมันไม่ยาก คุณคีตัน เอาเป็นว่าผมจะเลี้ยงมื้อเย็นคุณ หกโมงที่ร้านเซบาสเตียน แอนด์ ฟรานเชสก้า”
    เขาวางสายโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมตอบรับหรือปฏิเสธ ผมโทรหามาร์กาเร็ตอีกครั้ง เธอรับสายหลังสัญญาณดังแค่ครั้งเดียว
    “ค่ะ บอส”
    “ฉันต้องเข้าออฟฟิศหรือเปล่า”
    “ฉันกับเร็จจี้ยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับมิลเลอร์ให้หรอกนะคะ แต่...”
    “แต่อะไร”
    “เอลเลียตเอาแต่เล่น บอสจะไม่เข้ามาดูหน่อยเหรอ”
    พอได้ยินชื่อแมวที่ผมเก็บมาเลี้ยงเมื่อสองเดือนก่อน ก็แทบอยากละทิ้งความเร่งรีบและความวุ่นวายกลับไปลูบขนสีเทานุ่มลื่นของอีกฝ่าย ผมยังจำหน้าของลูกน้องแต่ละคนยามที่ผมอุ้มแมวตัวนั้นกลับออฟฟิศได้ พวกเขาบอกว่าผมเหมาะกับการเลี้ยงสุนัขมากกว่าแมว แต่ไม่มีอะไรทำให้ผมปลื้มปิติได้เท่ากับการเห็นเอลเลียตเดินเข้ามาคลอเคลีย หรือประสบความสำเร็จในการเรียกความสนใจจากเขา
    “ฉันมีงานต้องทำต่อ” ราวกับเสียงของผมไปกระตุ้นอะไรบางอย่างเข้า เสียงร้องของเอลเลียตจึงดังเข้าลำโพงมา “เอลเลียต แดดดีต้องทำงาน เป็นเด็กดีเชื่อฟังมาร์กาเร็ตรู้ไหม”
    “คับ แดด เอลเลียตเป็นเด็กดี เอลเลียตกำลังเล่นเกมเหยียบกระดาษทุกแผ่นบนโต๊ะของมาร์กาเร็ต”
    “เมย์”
    “ว่าไงคะ บอส” เธอปรับเสียงของตัวเองใหม่
    “บอกทุกคนให้กลับบ้านตามเวลาปกติ ถ้ามีอะไร ฉันจะโทรหา”
    “บอสไปพบใครเหรอคะ”
    “ทอสคาโน่ ไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหาอะไร” ผมรีบเสริม ชื่อเสียงของทอสคาโน่เป็นที่เลื่องลือในวงการใต้ดิน คนนอกอย่างผมไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายไหนเป็นพิเศษ ผมรักษาทุกความสัมพันธ์ในระดับธุรกิจ
    “รับทราบค่ะ” เธอขานรับก่อนจะวางสายไป
    ผมมองเวลาจากคอนโซลรถและพบว่าเลยเวลาเลิกเรียนของแอมโบรสไปแล้ว ถึงอย่างไรวันนี้เขาคงไม่ว่างไปไหนกับผม ทุกคืนวันพุธกับคืนวันพฤหัสฯ เขาจะทำงานในไนท์คลับย่านไชน่าทาวน์ ถ้าจำไม่ผิดเจ้าของคลับน่าจะเคยใช้บริการจากผม
    นับว่าคิดถูกที่ตัดสินใจไปที่จุดนัดพบเลยเพราะกว่าผมจะออกจากตัวเมืองได้ก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ผมจอดรถไว้ที่ลานจอดข้างสวนสาธารณะ เดินเท้าไม่ถึงห้านาทีก็พบกับร้านเซบาสเตียน แอนด์ ฟรานเชสก้า เป็นร้านแบบไอริชผับ เหล้าและเบียร์หลากหลายยี่ห้อตั้งเรียงรายบนเคาน์เตอร์ไม้ ลูกค้าหลายคนจับจองที่นั่งบริเวณบาร์ โต๊ะนั่งมีทั้งแบบสองที่นั่งไปจนถึงแปด บทเพลงไอริชดังคลอภายในร้าน
    “คุณทอสคาโน่รออยู่ด้านใน” พนักงานชายเดินนำผมไปด้านในของร้าน เป็นห้องอาหารอีกส่วนที่มีบรรยากาศความเป็นส่วนตัวมากกว่าด้านนอก มีเพียงโต๊ะเดียวจากบรรดาหลายโต๊ะที่ถูกจับจอง
    เอ็นซิโอ้ ทอสคาโน่ นั่งสูบซิก้าอยู่บนเบาะหนังตัวยาว เขาเป็นชายรูปร่างท้วมย่างเข้าสี่สิบห้า แต่งตัวด้วยชุดสูทอิตาเลียนผ้าลินินสีเทาชาโคล แผลเป็นยาวเหนือคิ้วซ้ายเพิ่มความน่าเกรงขามให้กับใบหน้าที่ปกคลุมด้วยหนวดเครา
    เขาทักทายด้วยการผายมือให้ผมนั่งฝั่งตรงข้าม มืออีกข้างดีดนิ้วเรียกบริกรให้นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ
    “ผมต้องขับรถ” ผมพูดขึ้นเมื่อบริกรสาวกำลังจะรินเหล้าให้ เธอลอบมองทอสคาโน่ด้วยความประหม่า พอเห็นเขาพยักงานเธอจึงเดินกลับไปพร้อมขวดเหล้าในมือ
    “ผมสั่งมื้อเย็นให้คุณแล้ว” สิ้นเสียงทอสคาโน่ก็มีพนักงานอีกคนนำจานอาหารวางลงตรงหน้าผมและอีกฝ่าย เป็นสเต็กเนื้อเสิร์ฟพร้อมเฟรนช์ฟราย สีสันน่ารับประทาน แต่การนั่งต่อหน้าผู้ชายคนนี้ลดความยากอาหารผมไปมากโข
    “กินเลยๆ” เขาคะยั้นคะยอพลางส่งสเต็กคำแรกเข้าปาก
    ผมดื่มน้ำเปล่าที่บริกรสาวเป็นฝ่ายรินให้ ในห้องอาหารบริเวณนี้แทบไม่ได้ยินเสียงเพลงจากด้านนอก
    “ใจเย็น คุณคีตัน ถึงอย่างไรคุณก็ยังเริ่มงานให้ผมไม่ได้”
    ต่อให้ไม่อยากกินแต่ผมก็ยังต้องรักษามารยาทและหยิบเฟรนช์ฟรายเข้าปาก ดูเหมือนว่าแค่ผมแตะอาหารก็ทำให้ทอสคาโน่พึงพอใจ
    “คุณต้องการให้ผมทำอะไร”
    ทอสคาโน่เคี้ยวสเต็กคำโต หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากก่อนตอบ “คืองี้นะ คุณคีตัน ผมมีของที่ต้องการส่งแต่ผมใช้คนของผมไม่ได้เลยต้องให้คนนอกอย่างคุณช่วย”
    “ผมต้องรู้ไหมว่าของที่ว่าคืออะไร”
    “ตราบใดที่ไม่ถูกจับมันก็ไม่ใช่ของอันตราย” ทอสคาโน่ส่งสัญญาณมือเรียกลูกน้องที่รักษาการณ์อยู่ห่างๆ “ปกติแล้วผมให้คนไปส่งเองได้ แต่ตอนนี้มันขรุขระนิดหน่อย ลูกค้าของผมจะอยู่ที่สปาร์คในไชน่าทาวน์ เขาจะไปที่นั่นแค่คืนวันพุธเท่านั้น และน่าเสียดายที่คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะอยู่ในเมือง”
    ชื่อของไนท์คลับเรียกความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี สปาร์คเป็นร้านที่แอมโบรสทำงานอยู่และคืนนี้เป็นคืนที่เขาต้องเข้ากะพอดิบพอดี
    สายตาของผมหันไปเห็นกระเป๋าเอกสารสีดำที่ลูกน้องของทอสคาโน่ถือมา
    “ผมคงไม่ต้องบอกว่าห้ามให้ใครเปิดนอกจากลูกค้าของผมเท่านั้นสินะ”
    “ผมส่งของให้คุณ คุณยกเลิกหนีของเจฟ”
    อีกฝ่ายกระตุกยิ้ม “แน่นอนๆ คุณคีตัน เราย่อมช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี”
    “แล้วลูกค้าของคุณชื่ออะไร”
    “ฟิชเชอร์ ผมสีส้ม ผิวขาว ตัวสูง คุณไม่คลาดกับเขาแน่”
    ลูกน้องของทอสคาโน่ส่งกระเป๋าเอกสารสีดำให้ผม จากน้ำหนักแล้วไม่อาจตอบได้ว่าของในนั้นคืออะไร และผมรู้ดีพอที่จะไม่เปิดดู ไม่มีข่าวดีสำหรับพวกค้ายาอย่างแน่นอน
    “ผมอาจอยากให้คุณช่วยอะไรบ้าง”
    “ไม่ๆ คุณคีตัน นี่สำหรับเจฟ” เขาปฏิเสธทันควันด้วยน้ำเสียงติดสำเนียงบ้านเกิด “หากคุณอยากให้ผมช่วย คุณต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้การช่วยเหลือจากผม”
    “ก็แค่ลองถามดู” ผมลุกขึ้นยืนพร้อมของสำคัญในมือ “ขอบคุณสำหรับมื้อเย็น”
    “เราอาจจะได้เจอกันอีก คุณคีตัน”
    ผมเดินออกจากร้าน สู่ความมืดมิดยามค่ำคืน ถนนในย่านนี้เงียบเชียบกว่าในตัวเมือง บรรยากาศผ่อนคลายและไม่เร่งรีบเท่า แต่ของในมือส่งผลให้ผมกังวลขึ้นมา ผมวางกระเป๋าเอกสารบนเบาะนั่งข้างคนขับ ติดเครื่องยนต์แต่ยังไม่เคลื่อนรถไปไหน ผมยังมีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนจะถึงช่วงเวลาเปิดร้าน
    บุหรี่หนึ่งมวนถูกจุดขึ้น ผมลดกระจกลงเพื่อไล่ควัน ปกติแล้วคนทั่วไปทำอะไรในยามว่าง ดูโทรทัศน์? อ่านหนังสือ? โทรศัพท์หาคนรู้จัก? รายชื่อที่บันทึกในสมาร์ทโฟนของผมล้วนแต่เป็นเรื่องงานทั้งสิ้น การโทรหาลูกน้องโดยไม่เกี่ยวข้องกับงานดูจะผิดวิสัยจนเกินไป ส่วนคนที่ผมจะเรียกว่าเพื่อนได้เต็มปากก็ไม่มี ผมอยู่ตัวคนเดียวมาเป็นเวลานาน สนใจอยู่กับงาน ไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวมาก่อน
    กลุ่มควันล่องลอยออกจากริมฝีปากของผม ท้องฟ้าในคืนพระจันทร์เต็มดวงคงมีอำนาจบางอย่างที่ทำให้คนมองรู้สึกอ้างว้างได้ ผมนึกถึงงานที่รับมาจากอีริค โกลด์ งานง่ายๆ ที่ใช้เวลาแค่วันเดียวก็สำเร็จแต่ผมกลับปล่อยให้มันยืดเยื้อ มีบางอย่างเกี่ยวกับมิลเลอร์ที่ทำให้คิดไม่ตก ทั้งแอมโบรส ทั้งแอนเดอร์สัน คนเป็นพ่อจะรู้หรือเปล่าว่าลูกชายตัวเองทำงานแบบไหนและเกี่ยวข้องกับใครบ้าง
    พอบุหรี่หมดมวน ผมก็ตัดสินใจออกรถ เดินทางเข้าสู่ย่านไชน่าทาวน์ที่มีแสงสีตระการตา จากที่เคยเป็นย่านเงียบเหงากลับกลายเป็นแหล่งรวมการท่องเที่ยวยามค่ำคืนในเวลาไม่กี่ปี มีทั้งผับและไนท์คลับมากมายเต็มท้องถนนซึ่งมีให้เลือกหลากหลายราคาตั้งแต่เข้ากันได้ทุกคนยันระดับที่ต้องเป็นสมาชิกเท่านั้น
    ผมเหลือบมองกระเป๋าเอกสารสีดำเป็นระยะ ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าตัวเองกำลังถือครองสิ่งใดไว้ การที่ทอสคาโน่ใช้คนของตัวเองไม่ได้น่าจะมาจากการถูกตำรวจจับตามอง ผมได้แต่ภาวนาว่างานจะผ่านไปได้ด้วยดี
    หลังจอดรถไว้ด้านหลังของร้านผมก็เดินอ้อมมายังทางเข้าด้านหน้า มีชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนยืนตรวจบัตรอยู่หน้าประตู ลูกค้ายืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบซึ่งผมคงไม่ไปยืนตรงนั้นแน่ ชายคนหน้าสุดของแถวกำลังเดินผ่านจุดตรวจก็ถูกคนเฝ้าหน้าร้านทักขึ้น
    “คืนนี้เป็นเกย์ไนท์นะ”
    “รู้แล้ว” ชายคนนั้นตอบพร้อมกางแขนให้คนเฝ้าหน้าร้านเลื่อนเครื่องตรวจจับโลหะไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
    ผมมองกระเป๋าเอกสารในมือ หากในนี้เป็นอาวุธผมคงไม่รอดเครื่องแสกนแน่
    “ถ้าจะเข้าร้านต้องไปต่อแถว” คนเฝ้าประตูคนเดิมหันมาพูดกับผมที่ยังไม่ทันจะขยับตัวไปไหน
    “คนนั้นไม่ต้อง” ชายอีกคนพูดพร้อมเรียกให้ผมเข้าไปด้านใน “ถ้าเป็นคุณคีตันจะเข้าร้านตอนไหนก็ได้ มาดามทราบหรือเปล่าว่าคุณจะมา”
    “วันนี้ผมไม่ได้...”
    “อ้อ มาเที่ยวสินะ เชิญเลย เดี๋ยวผมให้คนหาโต๊ะดีๆ ให้ มิลเลอร์!”
    ผมเห็นอีกฝ่ายก่อนที่คนเฝ้าหน้าประตูคนนี้จะทักเสียอีก แอมโบรสใส่ชุดพนักงานมีผ้ากันเปื้อนสีดำคาดที่เอว สีหน้าของเขาแสดงความประหลาดใจออกมาทันทีที่เห็นผม
    “ทางนี้คือโดมินิค คีตัน แขกคนสำคัญของมาดาม ดูแลให้ดีๆ ล่ะ”
    ดวงตาสีเขียวหรี่มองอย่างสงสัยก่อนจะพูดขึ้น “ตามมาทางนี้ครับ”
    ถึงจะเดินตามแอมโบรสไปแต่สายตาของผมมองหาลูกค้าของทอสคาโน่ ยิ่งปล่อยมือจากกระเป๋าเอกสารได้ไวเท่าไรยิ่งดี ทว่าลูกค้าในคืนวันพุธกลับมีมากอย่างไม่คาดคิดโดยเฉพาะบริเวณกลางลานที่เต็มไปด้วยบรรดานักท่องราตรีกำลังสนุกไปกับเสียงเพลงที่เปิดลั่นร้าน ถือเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นผู้คนพลอดรักกันตามทางทั้งที่บางคนอาจไม่ได้มาด้วยกันด้วยซ้ำ
    “จะรับอะไรดีครับ” เสียงของแอมโบรสเรียกสายตาผมให้ละจากการตามหาฟิชเชอร์
    “โซดา” คำตอบของผมเรียกคิ้วเรียวให้โก่งขึ้นเล็กน้อย “ฉันขับรถมา” คำอธิบายไม่ได้ช่วยให้ความสงสัยหายไปจากใบหน้าของเขา กระนั้นแอมโบรสก็ขานรับแล้วเดินกลมกลืนไปกับผู้คนรอบข้าง
    ผมนั่งลงยังเก้าอี้ตัวสูง วางกระเป๋าเอกสารไว้บนโต๊ะโดยที่ยังคล้องนิ้วไว้กับที่จับ ไม่ปล่อยให้ถูกวางทิ้งไว้เฉยๆ
    “ตอนสมิทขึ้นไปบอกว่าเธอมา ฉันยังคิดว่าอีกฝ่ายโกหกเสียอีก โดมินิค คีตันในคืนวันพุธ ถ้าเธอสร้างความวุ่นวายให้กับลูกค้าฉันไล่เธอออกจากร้านได้นะ”
    ผมยกมือข้างที่ว่างขึ้นเพื่อแสดงเจตนาบริสุทธิ์
    ซาแมนธา ชาร์ป หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกว่ามาดาม เป็นหญิงวัยสี่สิบปีที่ยังมีรูปร่างหน้าตาไม่ต่างอะไรกับสาวๆ เธอสวมเดรสยาวสีม่วงเปลือกมังคุดแบบเข้ารูปที่โอบกอดเรือนร่างของเธอไว้อย่างลงตัว ผมสีน้ำตาลเป็นลอนของเธอยาวสลวย ดวงตาสีเข้มโฉบเฉี่ยว ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีจัดจ้านส่งยิ้ม
    “มาดามไม่มีเหตุอะไรให้ต้องกังวล”
    เธอส่งสายตาเคลือบแคลงสงสัยไม่ต่างอะไรกับแอมโบรสเมื่อครู่ ถึงอย่างนั้นใบหน้าของเธอยังคงฉาบยิ้ม มาดามนั่งลงฝั่งตรงข้ามแสดงเจตนาว่าต้องการสนทนาด้วยแม้บริเวณนี้ไม่เหมาะกับการพูดคุยเท่าไรนัก
    ระหว่างนั้นแอมโบรสก็นำเครื่องดื่มของผมมาเสิร์ฟ เขาก้มศีรษะให้มาดามครั้งหนึ่งก่อนเดินจากไป
    “เธอสนใจเขาเหรอ”
    “มาดามทราบใช่ไหมว่าเขาเป็นใคร” ผมถาม “ไม่คิดว่าแปลกเหรอที่คนอย่างแอมโบรส มิลเลอร์จะต้องทำงานเพื่อหาเงินเรียน”
    สีหน้าของมาดามบ่งบอกว่าเธอรู้อะไรบางอย่างที่คนทั่วไปไม่รู้ ผมอยากถามแต่ด้วยลักษณะนิสัยของเธอแล้วคงไม่พูดเรื่องของคนอื่นอย่างแน่นอน
    “เด็กสมัยนี้รู้จักหาเงินก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” เธอทอดสายตาไปทางแอมโบรสที่กำลังพูดคุยกับพนักงานบริเวณบาร์เหล้า “ช่างน่าสงสารจริงๆ”
    “เขาไม่ถูกกับแอนเดอร์สันเหรอ”
    “เปล่าเลย ตรงข้ามกันต่างหาก” เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกได้ว่าเธอปกปิดอะไรบางอย่าง ทว่ามาดามก็เปลี่ยนเรื่องไปก่อนที่ผมจะทันได้ถาม “สรุปแล้วเธอมาทำอะไรที่นี่กันแน่ คีตัน ฉันไม่คิดว่าเธอชอบเที่ยวกลางคืนนะ”
    สายตาของเธอมองมาที่กระเป๋าเอกสารบนโต๊ะ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มก็บึ้งตึงทันควัน
    “ฉันควรขอให้เธอออกจากร้านไหม คีตัน”
    “ผมรับปากว่าจะไม่รบกวนมาดาม” คำยืนยันของผมส่งผลให้เธอผ่อนคลายขึ้นบ้าง
    “ไหนๆ ก็อยู่ในร้านแล้วจะหาความสุขใส่ตัวบ้างก็ได้นะ” มาดามลุกขึ้นยืนก่อนจะวางมือลงบนบ่าของผม “มันผ่านมานานแล้ว โดมินิค หากไม่ใช่เรื่องน่าจำ ก็ควรลืมซะ”
    ผมไม่ได้นึกถึงมันด้วยซ้ำถ้าหากเธอไม่พูดขึ้นมา แต่ก่อนที่ผมจะตกอยู่ในห้วงอดีต สายตาของผมก็หันไปเห็นผู้ชายรูปร่างผอมสูง ลักษณะตรงตามที่ทอสคาโน่บรรยายไว้ไม่ผิด เขามาพร้อมผู้ชายอีกคนที่อายุน้อยกว่ากำลังสั่งเครื่องดื่มอยู่ที่บาร์เหล้า
    ผมกล่าวลามาดาม รอกระทั่งเธอเดินจากไปก่อนถึงได้ตรงเข้าไปหาเป้าหมาย ตั้งใจจะรีบส่งของแล้วรีบออกไปจากที่นี่
    ผมเดินสวนแอมโบรสที่กำลังนำเครื่องดื่มไปเสิร์ฟ ถึงจะอยากคุยด้วยแต่ภารกิจของผมต้องมาก่อน เมื่อเดินมาถึงบาร์เหล้าก็เห็นฟิชเชอร์กำลังสร้างโลกส่วนตัวกับหนุ่มอายุน้อยกว่า จากบทสนทนาทำให้รู้ว่าทั้งคู่เพิ่งเจอกันในนี้แต่กิริยาที่ทั้งสองมีต่อกันราวกับรู้จักกันมาแรมปี ผมอยากทักแต่ใบหน้าของทั้งสองก็ดูดติดกันจนไม่มีช่องว่างให้แทรกได้
    “เป็นพวกชอบดูหรือไง” ฟิชเชอร์ตวัดสายตามาทางผม ปล่อยชายในอ้อมกอดที่กำลังหอบสะท้าน
    “คุณฟิชเชอร์ ทอสคาโน่ส่งผมมา”
    ชื่อนั้นทำให้สายตาเจ้าชู้ของฟิชเชอร์เปลี่ยนไป เขาหันไปกระซิบบางอย่างกับชายหนุ่มส่งผลให้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำพลางพยักหน้ารับเบาๆ ฟิชเชอร์จูบชายคนนั้นอย่างลึกซึ้งจนผมอยากเปิดห้องให้ทั้งคู่เสียเลย
    “เราควรไปในที่ๆ เป็นส่วนตัวกว่านี้”
    ฟิชเชอร์เดินนำขึ้นไปยังชั้นสองที่จัดเป็นโต๊ะสำหรับผู้ที่มาสังสรรค์เป็นกลุ่ม เสียงดนตรีบนนี้เบากว่าด้านล่าง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นลานเต้นตรงกลางและเวทีได้
    ฟิชเชอร์หยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งส่งให้พนักงานที่ดูแลส่วนนี้เพื่อให้หาโต๊ะที่เป็นส่วนตัว
    “คุณเปิดดูของด้านในหรือเปล่า”
    “ผมแค่นำของมาส่ง”
    “รู้งานดีนี่ ผมชอบ” ท่าทางกันเองของเขาทำให้ผมไม่สบอารมณ์เล็กน้อย อีกฝ่ายน่าจะอายุน้อยกว่าผมและคงอ่อนประสบการณ์ในด้านนี้แต่วางท่าเหมือนเป็นเจ้าของที่นี่
    ผมวางกระเป๋าเอกสารลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้า หันกระเป๋าไปทางฟิชเชอร์ ดวงตาสีเขียวเปล่งประกายขณะเปิดดูของข้างใน แต่ริมฝีปากที่ฉีกยิ้มกว้างกลับด้านลงอย่างรวดเร็ว
    “นี่เล่นตลกอะไร”
    ฟิชเชอร์ไม่พูดเปล่า ลุกขึ้นยืนพร้อมชักปืนที่เหน็บจากด้านหลังจ่อมาทางผม
    ผู้คนรอบข้างแตกตื่นแต่กลับไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา เสียงเพลงจังหวะเมามันยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
    “ผมแค่นำของมาส่ง” ผมมองสิ่งที่อยู่ในกระเป๋า เป็นห่อพลาสติดบรรจุผงสีขาวที่มองอย่างไรก็เป็นการปลอมแปลงได้ไม่แนบเนียน
    ถ้าทอสคาโน่ไม่ได้จัดฉากผม ก็คงมีไส้ศึกอยู่ในกลุ่ม
    ผมเกลียดการที่ตัวเองต้องมาเจอกับการแก่งแย่งชิงดีกันเองแบบนี้
    “แกเอาของไปไว้ไหน”
    ปากกระบอกปืนจ่อเข้าที่ขมับของผม
    ผมถอนหายใจ อยากจะตามไปกระทืบเจฟตั้งแต่ตอนนี้ ดันพาความซวยมาให้ผมเสียได้
    “ถ้าอยากรู้คำตอบก็ไปถามทอสคาโน่เองเถอะ”
    คำตอบของผมไม่สบอารมณ์ของฟิชเชอร์เท่าไรนัก น้ำหนักของปากกระบอกปืนที่กระทบขมับของผมถึงได้เพิ่มขึ้นกะทันหัน
    “อย่าคิดว่าฉันจะไม่ยิง”
    จนถึงตอนนี้พนักงานก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ อีกไม่นานมาดามคงปรากฏตัวและผมคงโดนเธอสั่งห้ามเข้าร้านไปอีกนาน
    ใช่ว่าผมจะชอบมาที่นี่
    “ลดปืนลงเดี๋ยวนี้ ที่นี่ห้ามนำอาวุธเข้ามา” เสียงจากพนักงานรักษาความปลอดภัยดังขึ้น เป็นโอกาสดีสำหรับผมในการบิดแขนข้างที่ถือปืนของฟิชเชอร์ออกจากตัว เพียงชั่วพริบตาปืนของเขาก็มาอยู่ในมือผม สถานการณ์พลิกกลับอย่างรวดเร็ว
    “คุณไม่อยากหาเรื่องกับผมแน่ คุณฟิชเชอร์ คนที่คุณต้องคุยด้วยคือลูกน้องของทอสคาโน่”
    “นี่มันอะไรกัน คีตัน”
    เสียงของมาดามทำให้ผมลดปืนลง ปลดกระสุน แล้วส่งของต้องห้ามในพนักงานรักษาความปลอดภัยของร้าน
    “ไม่มีอะไรครับ มาดาม แค่เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย” ผมหยิบธนบัตรขึ้นมาแต่ก็ถูกมือของมาดามห้ามไว้
    “ฉันคิดบัญชีกับเธอทีหลังได้ คีตัน คนที่ต้องจ่ายคือทางโน่น แต่เธอก็ต้องออกจากร้านเช่นกัน”
    ผมพยักหน้า ได้ยินเสียงก่นด่าจากฟิชเชอร์ดังไล่หลัง สายตาของบรรดานักท่องเที่ยวยามราตรีไล่ตามผมไปจนถึงชั้นล่าง แอมโบรสเดินมาทางผม แต่ผมใช้ความแออัดของผู้คนปลีกตัวออกมาด้านนอกร้าน
    “นี่คุณ! หยุดก่อน” เสียงของเขาดังไล่หลังแต่ไม่อาจหยุดฝีเท้าของผมได้ “ผมบอกให้หยุดไง!”
    ลองนึกภาพตอนคุณกำลังเดินอยู่ดีๆ แล้วมีคนมากระชากเสื้ออย่างแรงจากด้านหลังสิ นั่นแหละคือสิ่งที่แอมโบรสทำ และผมเกือบหงายหลัง
    แอมโบรสดูไม่น่ามีแรงเยอะขนาดนั้นแต่อันที่จริงแล้วเขารู้วิธีป้องกันตัว ต่อให้ตัวเล็กกว่าเขาก็สามารถล้มคนตัวโตแบบผมได้หากไม่ระวังให้ดี
    “มีอะไร”
    “มีอะไร” เขาถามกลับ “คุณก่อเรื่องในนั้นแล้วมาถามผมว่ามีอะไรเนี่ยนะ”
    สีหน้าท่าทางไม่ไว้วางใจกลับมาอยู่บนใบหน้าของแอมโบรสอีกครั้ง
    “คุณเป็นใครกันแน่” น้ำเสียงของเขาคาดคั้น ไม่เจือความหยอกล้อเหมือนที่ผ่านๆ มา “เธอรู้จักคุณ แถมยังเหมือนเคารพคุณอีก มีไม่กี่คนที่ทำให้เธอเคารพได้”
    วิธีที่แอมโบรสพูดถึงมาดามทำให้ผมสงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขามากขึ้นไปอีก เห็นทีต้องให้มาร์กาเร็ตช่วยหาข้อมูลระหว่างมิลเลอร์กับมาดามด้วย
    “ฉันก็แค่คนขยันทำงานคนหนึ่ง”
    “นั่นไม่ใช่คำตอบ”
    “แล้วเธอล่ะ” ผมถามกลับ “เธอเป็นใครกันแน่”
    “ผมเนี่ยนะ” หัวคิ้วของเขาพุ่งเข้าหากัน “คุณรู้ดีว่าผมเป็นใคร ไม่งั้นคุณจะมาติดตามผมแบบนี่เหรอ”
    “ฉันไม่รู้จักเธอ ฉันไม่รู้ว่าเธอทำแบบนั้นทำไม” เขาทำหน้าสงสัยยิ่งกว่าเดิม ผมเลยอธิบาย “ทำไมเธอใช้ชีวิตแบบนั้น”
    สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความโกรธ คำพูดของเขาไม่ได้รุนแรงทว่าห่างเหิน
    “คุณพูดถูก คุณไม่รู้จักผม”
    แอมโบรสเดินกลับเข้าไปในร้าน ผมเพียงแค่มองตามแล้วปล่อยไว้แบบนั้น
    ผมไม่ควรเอาความรู้สึกของตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับงาน และต่อให้รู้ตัว ผมก็รู้ว่ามันสายเกินไป
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in