เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Walker PhukradungOil Na'thamonn
04 - วันที่สองสุดลองเดย์
  • 4.00 AM

    ตี๊ดติ๊ดตี๊ดตี๊ด ตี๊ดติ๊ดตี๊ดตี๊ด ตี๊ดติ๊ดตี๊ดตี๊ด 
    เสียงนาฬิกาปลุกแจ้งเตือนว่าขณะนี้ทุกท่านได้เข้าสู่เช้าวันใหม่ในเวลา 4.00 AM 
    กรุณาตื่นและลุกขึ้นโดยด่วน

    เราเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์เพื่อดูเวลาและปิดเสียงปลุกที่ดังอยู่ 
    ก่อนจะหันไปมองเพื่อนอ้อมที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่ข้างๆ แล้วคิดในใจว่า 'เอาไงดีวะ ฟ้ายังมืดอยู่เลย'

    (ตอนนั้นอากาศน่าจะอยู่ที่ประมาน 10 องศาน่าจะได้ คือหนาวมาก ถ้าถุงนอนไม่กันหนาว
    คุณจะไม่มีทางนอนหลับสนิทหรือสบายได้เลย)

    ในสมองตอนนั้น คิดอยู่สองทางเลือก 
    ทางเลือกแรก ลุกขึ้นปลุกอ้อมแล้วเดินไปดูทะเลหมอกจิบน้ำเปล่าชิวๆ ตรงหน้าผา
    ทางเลือกที่สอง ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจลุกมากๆ นอนต่อแล้วทำเหมือนกับว่าเราไม่ได้ยินเสียงปลุก 

    จังหวะนั้นเอง เราเห็นอ้อมขยับตัว 
    เรา - อ้อมๆ มึงจะไปมั้ยเนี้ย
    อ้อม - แล้วแต่มึง ค่อยไปก็ได้มั้ง (นางงวงเงียมากตอบดีเลไป 5 วินาที)
    เรา - โอเค ค่อยไปพรุ่งนี้ก็ได้มึง นอนๆ 

    หลังจากนั้นเราก็เลือกใช้บริการปลุกของโทรศัพท์คู่ใจตามเคย คราวนี้ตั้งปลุกตอน 7.00 PM

    ... 

    และในที่สุดเต็นท์ของเราก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง

    7.00 AM 
    เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นอีกครั้ง 
    เราเอื้อมมือหยิบมันมาปิดเสียงปลุกแล้วลุกขึ้น ขยี้ตาก่อนปลุกเพื่อนที่ยังคงนอนอยู่ข้างๆ 
    พลางเลือกหยิบเสื้อผ้าอย่างมีสไตล์ ซึ่งสไตล์ของพวกเราจะในวันนี้คือ เดินป่าสไตล์

    เดินป่าสไตล์ของหลายๆ คนคงจะเป็นรองเท้าบูทหรือผ้าใบ 
    ที่เซฟตี้เท้าอย่างดีอะไรทำนองนั้น


    แต่ไม่ใช่กับพวกเรา 


    เราเลือกรองเท้าที่พกพาง่าย สวมใสสบาย ไม่มีลายแต่ดูดี
    นั่นก็คือ ... รองเท้าแตะนั่นเอง 


    8.00 AM 
    เราสองคน เริ่มภารกิจโดย ไปที่ที่ใกล้ที่สุดในระแวกนั้น ซึ่งก็คือ น้ำตกวังกวาง 
    ระหว่างทางเราได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดมากจน ทากเข้ามาเซย์ไฮ 
    เหมือนเป็นการพิสูตรว่า เออ มึงใกล้ชิดธรรมชาติมากๆ แล้ว จริงๆ 



    และแล้วในที่สุดเราก็ถึง น้ำตกวังกวางงง
    จังหวะที่ถึงน้ำตก เรากับอ้อมแยกย้ายกันตามอัธยาศัยต่างคนต่างเดินไปตามมุมที่ตัวเองสนใจ




    ไหนๆ ก็มาถึงแล้วเราก็อยากให้รองเท้าเราได้เข้ากล้องกับเขาบ้าง ช้างดาวในตำนาน
    ช้างดาวเพื่อนรัก กัดกูชิบหาย รู้สึกคิดผิดมากที่เอามันมาใช้เดินป่า 

    ขอเตือนทุกคนว่า อย่าคิดใช้มันมาเดินป่า ถึงแม้ว่ามันจะดูเท่ ชิค และคูลมากก็ตาม 
    แต่ผลกระทบที่มันให้กับเรามันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน 

    (เราจะบ่นเป็นระยะ)



    หลังจากครื่นเครงกันมาประมานนึง (1 ชั่วโมงครึ่ง / เดี๊ยวนะมึงกะไม่เดินที่อื่นกันเลยใช่มั้ย)
    เราก็เริ่มเดินต่อไปยังสถานีต่อไป นั่นคือ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ 
    จุดเริ่มต้นของชื่อน้ำตกนี้คือ ป้าเพ็ญ (จากไดอารี่ตุ๊ดซี่) ได้ไปเที่ยวที่นั้นแล้วบังเอิญเจอ ใหม่ ดาวิกา 
    จึงทำให้เกิดเป็นชื่อน้ำตกตั้งแต่นั้นมา 

    ...

    เอ่อ ขอโทษๆ Skip มันไปเถอะ 



    ระหว่างทางในภูกระดึง ถือว่าเป็นความสวยงามที่หาไม่ได้ในเมือง เพราะว่าในเมืองมันมีแต่ตึก
    และต้องขอบอกไว้ ณ ที่นี้ว่า เราเป็นคนที่ชอบถ่ายเท้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม 
    แต่เราไม่ได้ค่าโฆษณาของรองเท้าแบรนช้างดาวแต่อย่างใด โปรดเข้าใจไว้ ณ จุดจุดนี้ด้วย

    และนี้คือ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ ตอนนี้เราเดินกันไป 2576 เมตร หรือ 2 กิโลครึ่ง
    ด้วยรองเท้าช้างดาวเพื่อนรัก




    ความดีงามของน้ำตกเพ็ญพบใหม่คือ สายน้ำที่มีความคูลตลอดสาย ทุกครั้งที่ไหลผ่านเท้า
    และรองเท้าช้างดาวอันงดงามของเรา จะให้รู้สึกว่ามันคูลมาก (หมายถึงเย็นนะ ไม่ใช่รู้สึกเท่นะโว้ย) 
    เป็นความคูลที่อยากจะเก็บไปใช้ที่กรุงเทพเสียจริงเอย

    มาต่อกันที่สถานีต่อไปคือ น้ำตกโผนพบ ซึ่งห่างจาก เพ็ญพบใหม่ 588 เมตร



    ความเท่ของมันคือหินที่มีต้นไม้แซมๆ อยู่ระหว่างช่องว่างของหิน 
    เป็นความสวยงามที่ไม่จำเป็นต้องจัดองค์ประกอบอะไรเลยจริงๆ 
    ธรรมชาติตรงหน้ามันสวย จนแทบไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้เลย
    เพราะว่า ... มันไม่มีสัญญาณ 

    ถรุ้ย !  ไม่ใช่ละ (แต่ไม่มีสัญญาณอ่ะจริงๆนะ มันไม่มีสัญญาณ ฮ่าๆ)




  • เดินไปอีกนิดก็จะพบกับ น้ำตกเพ็ญพบ


    ความเก๋ของน้ำตกเพ็ญพบคือ การที่เพ็ญเป็นคนพบน้ำตกนี้ 

    ถรุ้ยยยยย 
    ผู้อ่าน - นี้มึงจะเล่นอีกนานมั้ย


    ซอยเท้าอีกนิดประมาน 1,138 เมตร ก็จะเจอกับ น้ำตกถ้ำใหญ่
    ซึ่งจริงๆแล้ว น้ำตกเพ็ญพบ มันสามารถเดินลิ้งค์กันได้กับน้ำตกถ้ำใหญ่ได้
    เพราะช่วงที่เราไปน้ำในลำธารค่อนข้างน้อย
    จึงทำให้สามารถเดินไปอย่างชิวววว



    มาถึงซิคเนเจอร์ของน้ำตก นั่นก็คือ น้ำตกธารสวรรค์
    สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดเฮือกสุดท้ายในป่า ก่อนออกสู่พื้นพสุธาที่โล้งแจ้งและมีแสงแดดอันร้อนแรง
    แผดเผา ร่างอันบอบบางของสองสาวที่ต้องกลับไปทำโปรเจคจบ (ธีสิส) ต่อให้เสร็จ ในชีวิตจริง


    ช่วงที่เราไปนั้นมีน้ำค่อนข้างน้อย เนื่องจากเรามีเงื่อนไขเกี่ยวกับเวลาไป จึงทำให้ไม่สามารถเลือก
    เวลาที่เหมาะสมกับการท่องเที่ยวได้อย่างเต็มสตรีม 

    แน่นอนว่าาาา ... การเดินทางของเราในตอนนี้
    ราบรื่นตลอดเส้นทาง ซึ่งเป้าหมายของเราคือเดินให้ครบทุกน้ำตกและทุกผา

    ภายใน วันเดียว ! 

    นี้คือปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเราสองคน 

    12.00 PM
    และตอนนี้เราได้เดินครบทุกน้ำตกเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนี้ คือพื้นที่โล่งแจ้ง 
    ซึ่งอุปสรรคของการเดินทางครั้งนี้คือ 
    1. รองเท้าที่เริ่มกัดเท้า รวมถึงทางเดินที่ไม่เท่ากันทำให้เดินลำบาก
    2. แสงแดดที่เจิดจ้าและร้อนมาก
    3. หาเรื่องคุยกับเพื่อนอ้อม แต่ส่วนใหญ่อ้อมจะชอบคิดเรื่องมาคุยมากกว่า

    ก่อนจะเริ่มเดินทางอีกครั้งเราได้เจอกับ คุณลุง 3 คนระหว่างทางเดิน 
    ซึ่งเป็นคนไทย 2 คน และชาวต่างชาติ 1 คน 

    เรายืนพักและมองดูป้ายบอกทาง 

    'ผาหล่มสัก 9 กิโลเมตร'

    ผาหล่มสักเป็นผาที่ไกลที่สุดในภูกระดึง แต่จากวันแรกที่เราเดิน 3 กิโลเมตร
    แมร่งก็โครตไกลเลย แล้วนี้ 9 กิโล กูไม่ชิบหายกันหรอวะ 

    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดความคิดที่ว่า 
    จะเดินต่อไป หรือ หยุดมันไว้แค่นี้ 

    จังหวะนั้นเอง คุณลง 3 คนนั้นก็ได้ยืนมือเข้ามาช่วยตัดสินใจ
    ลุงหนึ่ง - หนูจะไปไหนกันลูก 
    อ้อม - ก็ว่าจะเดินไปเรื่อยๆ ไหวแค่ไหนก็แค่นั้นแหละค่ะ 
    ลุงหนึ่ง - ไปผาหล่มสักสิหนู สวยนะ ลองดู
    เรา - สวยมากมั้ยคะ ลุง
    ลุงหนึ่ง - ก็สวยนะ เหมือนในที่เค้าโปรโมทแหละ ไหนๆ ก็มาแล้วไปเถอะ เดี๊ยวมาไม่ถึงนะ

    อ้อมหันหน้ามาปรึกษาเรา
    อ้อม - เออ ไปเถอะ อุส่ามาแล้ว
    เรา - เออๆ งั้นไปกัน

    ลุงชตช. - You should give your map with her Cuz we not use it
    ลุงหนึ่ง - อะหนู เขาบอกให้ลุงให้พวกเราไว้ เพราะเราคงไม่ได้ใช้กันแล้ว 
    พร้อมยื่นถั่วมาให้ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เข้ากับสภาพอากาศเอาซะเลย (ฮ่าๆ)

    เราสองคนกราบขอบคุณคุณลุง พร้อมกล่าวคำร่ำลา 
    แล้วเดินจากไปกับถั่วฟรีที่ได้มาอย่างยื้มแย้มแจ่มใส


    เดินไปประมาน 2,758 เมตรก็จะพบกับที่แรกนั่นคือ ...

    สระอโนดาต
    ซึ่งเป็นสระที่มีความอบอุ่นโรแมนติกอยู่ระดับหนึ่ง และมีความสวยงามจนอยากจะนั่งจิบกาแฟอยู่เฉยๆ
    แต่ด้วยความที่เวลาไม่เอื้ออำนวยกับการกระทำแบบชิวๆ เราจึงมีความจำเป็นต้องผ่านเลยไป
    อย่างไร้เยื่อใย และไม่สนใจ แม้มันจะพยายามรั้งเราไว้ก็ตาม


    หลังจากสระอโนดาตก็ถึงทางแยกที่เราจะต้องเลือกเดินต่อ
    ซึ่งทางแรกคือไปน้ำตกถ้ำสอเหนือ ส่วนทางที่สองคือผาเหยียบเมฆ

    จากการคำนวนของ ออย ณฐมน (เราเอง) ผู้เก่งคณิตศาสตร์ทั้งหลักและเพิ่มเติม 
    เราจึงมองว่าการไปผาเหยียบเมฆใกล้กว่าเป็นไหนๆ แล้วเราจะอ้อมไปเพื่ออะไร 

    อีกอย่าง เรากับอ้อมก็เริ่มหิวกันแล้วด้วย จึงเลือกที่จะไปในทางที่มันน่าจะมีร้านสะดวกซื้อ
    หรือร้านอาหารอะไรทำนองนั้น เราจึงตัดสินใจเดินไปผาเหยียบเมฆ 
    ซึ่งห่างจากสระอโนดาต 1,180 เมตร

    ระหว่างทางเป็นทางเดินที่โล่งแจ้งเหมือนเดินอยู่ในทะเลทรายอาหรับ 
    (เรา - เพราะอาง่วง / ไอสัสนั้นมันอาหลับ)
    ไม่มีใครเล่นด้วย เล่นกะตัวเองแมร่ง ! (ฮ่าๆ)



    นี้ไง โล่งมั้ยละ 
    มันจะโล่งกว่านี้ถ้าเจอร้านอาหาร ในใจคิดแค่ว่า อีกนิดเดี๊ยวก็ถึง 

    เรา - เอ้ย !!!!!! มึงกูเห็นเต็นท์ ~~ ใช่ป่ะวะ 
    ซอยเท้าถี่ขึ้น 
    เรา - มึงงงง นั่นเต็นท์จริงๆ ด้วยโว้ยยยยย
    เราสองคนวิ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเองเราก็พบว่า

    เราได้มาถึง ผาเหยียบเมฆแล้ว !!



    เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับผาใกล้ขนาดนี้ 
    รู้สึกได้ว่า ความผานี้มันมีเสน่ห์เหมือนกันนะ 
    เสน่ห์ของผาสำหรับเราคือการมองออกไปสุดลูกหูลูกตา ในแบบที่ไม่มีอะไรมาขว้างตาเราได้
    มันเป็นฟิลลิ่งที่น่านั่งจิบกาแฟซะจริงๆ

    ตัดภาพมาที่

    เราแวะกินลาบหมู และซื้อมันเผาตามเจตนาลมของเมื่อวาน
    ปรากฏว่า มันเผาแมร่งเย็นมากไม่มีความร้อน จืดชื้ดสุดๆ 


    ...


    หลังจากกินกันเสร็จก็ออกเดินทางต่อ 
    ความอิ่มและง่วงเกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องมีคำสั่งใดใด 

    อินโทรระหว่างทางต่อจากนี้ ด้วยความน่ารักของธรรมชาติ มีสวยก็ต้องมีน่ารัก มันเป็นของคู่กัน


    ต่อจากนี้อีก 1,907 เมตรคือผาแดง 
    ในความคิดแรกที่เห็นชื่อ คิดว่ามันต้องมีอะไรแดงๆ เยอะๆ อย่างแน่นอน 

    แล้วมันก็แดงจริงๆ หวะ 

    ผิวกูเนี้ยแดงหมดเลย ไม่ได้ทาครีมกันแดดด เจ็บใจสุดๆ





    ถ้าสังเกตุดีดี ที่เท้าเริ่มมีการติดปาสเตอร์ เนื่องจากรองเท้ามีระบบเซฟตี้แบบที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง
    นั่นแหละค่ะ ความดีงามของรองเท้าช้างดาวในตำนาน 




    อันที่จริงระหว่างทางที่เดินไป ผาหล่มสักนั้นจะมีคนปั่นจักรยานมาให้อิจฉาเล่นเป็นระยะ
    อาจจะงงกันว่าทำไมเราถึงเลือกที่จะเดิน เหตุผลก็คือ

    ด้วยความที่เราสองคนเป็นคนที่ค่อนข้างรักธรรมชาติถึงอยากสัมผัสธรรมชาติ
    อย่างใกล้ชิดให้ได้มากที่สุด อยากเติมเต็มส่วนที่ขาดหายของชีวิต

    ตัดภาพมา

    ณ ร้านเช่าจักรยาน
    เรา - พี่เช่าจักรยานเท่าไหร่
    ผู้ให้เช่า - 300 บาท ต่อวันครับน้อง
    เรา - อ่อ ขอบคุณค่ะ
    ผู้ให้เช่า - ไว้มีตังแล้วมาใช้บริการนะครับ 

    เดินปาดน้ำตาอย่างรู้ชะตากรรมออกมา

    ...

    นั่นแหละค่ะความจริง

    กลับมาต่อที่การเดินทางอันแสนยาจกของพวกเรา เรายังคงเดินต่อไป

    และแล้วในที่สุดดดดด เราก็เห็นแสงสว่างที่ปลายทางงงงงง



    เราสองคนซอยเท้ายิบๆ ด้วยความง่วงและความหิว 

    4.45 PM 
    เราเดินถึงผาหล่มสัก สิ่งแรกที่ดึงดูสายตาคือ ร้านกาแฟ 
    จังหวะนั้นง่วงนอนมาก ไม่ไหวแล้ว กาแฟต้องช่วยชีวิตกูได้แน่ๆ 
    เพราะหลังจากนี้เราต้องเดินกลับที่พักอีกประมาน 9 กิโลเมตร



    ด้วยความเคยชินเราก็สั่ง คาปูชิโน่เย็นไป เพราะไม่มีปั่น 
    ระหว่างที่เค้ากำลังทำ เรารู้สึก อเมซิ่งกับอุปกรณ์พวกนี้มากๆ ก็เลยขอเขาถ่ายเก็บไว้ 

    แล้วนั่งพักอยู่ 10 นาที ก่อนเดินออกไป รอดูพระอาทิตย์ตก จับจองที่นั่งพร้อมมมม 
    รอแค่แสงสวยๆ แล้วเล็งกล้องถ่ายยยยย 
    ระหว่างรอเราก็เล็งกล้องดูมุม ตามมุมต่างๆ ในผาาา

    จนในที่สุดก็ได้เวลา

    ความเห้ ของวันนี้คือ ที่เปิดกล้องมาแล้วพบว่า เชี้ยยย !! แบตหมด ... 
    ทำให้เราได้รูปมาเพียงสองรูป

    โดยใช้วิธีเล็งแล้วปรับโฟกัสก่อนจะเปิดแล้วรีบกดถ่าย 

    ชีวิตช่างน่าสงสาร !


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in